แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๙๑ ร่างกายเป็นสิ่งที่เรายืมมาจากธรรมชาติชั่วคราว สุดท้ายต้องเสื่อมสลายและคืนสู่ธรรมชาติในที่สุด
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราเกิดมาต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติถูกต้อง เอาหลักของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากเหตุ จากปัจจัย เราจะปล่อยชีวิตของเราไปตามความเคยชิน ไปตามธรรมชาติไม่ได้ เราทุกท่านต้องพากันมาประพฤติปฏิบัติตัวเอง การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ได้เจริญมาไกล แต่ว่าการพัฒนาใจของเรานั้น ทุกคนส่วนใหญ่ไม่ได้พัฒนา เอาแต่ทางวัตถุ เอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ คนรุ่นใหม่ สมัยใหม่ก็ต้องพากันเข้าใจ ไม่อย่างนั้นตัวเราก็จะเป็นแต่ผู้มีปรัชญา ผู้ดำเนินไปสู่จิตวิทยาแต่ไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน มนุษย์เราก็จะเป็นมนุษย์อันตรายถือว่าเป็นสัตว์อันตราย ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจ
คนเรามันต้องฝึกต้องปฏิบัติเหมือนเราต้องเรียนหนังสือตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงปริญญาเอก แต่การเรียนตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงปริญญาเอกนั้น มันไม่จบไม่สิ้นเพราะการพัฒนาวิทยาศาสตร์นั้นพัฒนาไปเรื่อยๆ การที่พัฒนาวิทยาศาสตร์นั้นเก่าๆ มันถึงเป็นสิ่งล้าสมัย แต่การพัฒนาใจนั้น เราต้องพัฒนา เพราะวัตถุที่เราสร้างมานั้นเราจะพากันหลง หลงในตัวในตน หลงในบ้าน ในรถ ลาภ ยศ สรรเสริญ เราทุกคนต้องพากันมาพัฒนาใจของเราจะได้เสียสละ เพื่อเข้าสู่การเป็นธรรม ความยุติธรรม เอาธรรมนูญหลัก เป็นที่ตั้ง เราไม่ได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ให้เพียงพอ ไม่ได้พัฒนาใจให้เพียงพอ ค่าใช้จ่ายของเรามันก็มากขึ้น
เหมือนประเทศที่ด้อยพัฒนานั้น เราไม่ได้พัฒนาแรงงาน ไม่ได้พัฒนาการประพฤติปฏิบัติของเรา จากชนชั้นกรรมกรค่าแรงงานขั้นต่ำมัน 300-400 แต่เมื่อเรามีค่าใช้จ่ายเยอะ ค่าแรงงานมันก็ไม่พอ แต่ถ้าเราจะไปให้เงินค่าแรงงานเยอะ มันก็จะเจ๊ง เพราะเราไม่ได้พัฒนาแรงงานเหมือนพวกฝรั่ง เขาจะก่ออิฐเป็น เขาใช้เวลาก่อ 3 ปี บ้านเราก่อเก่ง ก่อรวดเร็ว มาตรฐานได้ชั่วโมงละกี่ก้อน พวกฝรั่งถึงคิดเป็นชั่วโมงละเท่าไหร่ๆ งานทุกอย่างมันก็เหมือนกัน พวกฝรั่งมันก็พัฒนาไป พวกเทคโนโลยีมันก็พัฒนาไป จนเอาพวกมนุษย์นี้หยุดทำงาน เอาหุ่นยนต์มาทำงานแทน เพราะว่าหุ่นยนต์มันไม่มีคอรัปชั่นเวลา มันซื่อสัตย์ มันซื่อตรงอย่างนี้ เราต้องพัฒนาแรงงานขึ้นอีก เพราะเราโดยธรรมชาติ ทำอะไรก็เป็นไปโดยธรรมชาติ มันไม่มีการฝึก เรา 2 คน 3 คน จะเท่ากับคนที่เขาฝึกมาเก่ง มาเร็ว ได้มาตรฐาน ก็สู้เขาคนเดียวไม่ได้ เราก็ไปว่าประเทศที่พัฒนาได้แรงงานสูง เราไม่คิดว่าเขาได้เงินสูงเพราะเขาพัฒนาแรงงานเขา พัฒนาความสามารถ เหมือนพวกที่ใช้ความรู้ ใช้หัว วิวัฒนาการทางจิตใจ ทางความคิด เขาคิดได้วางแผนได้ เงินเดือนเขาถึงเป็นหลายหมื่น หลายแสน หลายล้าน เราต้องพากันเข้าใจ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ทางแรงงาน ทางระบบสมอง ทางวิทยาศาสตร์ เราก็ต้องพัฒนา แต่เราต้องพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อเราจะได้จิตใจที่มีสติ มีปัญญา เราจะได้รู้ว่าทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง ทุกอย่างมันเป็นอนัตตา ทุกอย่างมันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน เราจะได้เสียสละ เราจะได้หยุดพลังงานแห่งอวิชชา พลังงานแห่งความหลง เราทุกคนจะได้ไม่ไปแก้ที่คนอื่น กลับมาแก้ที่ตัวเอง มีความสุขในการแก้ไข มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ ไปเรื่อยๆ อย่างนี้
เราต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ เราะจะปล่อยไปเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ เพราะโลกสมัยใหม่เขาต้องพัฒนา ทุกอย่างต้องใช้เงินใช้สตางค์ ภายนอกเขาพัฒนา ทุกอย่างก็ต้องใช้ธรรมะเข้ามาประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ เราทุกคนต้องมีความสุขในการทำงาน ทุกคนต้องมีการเสียสละ เราไปตามหลักเหตุ หลักผล หลักวิทยาศาสตร์ ทั้งเทคโนโลยี ทั้งจิตใจไปพร้อมๆ กัน ทุกท่านทุกคน สติสัมปชัญญะของเราจะได้สมบรูณ์ เพราะเราต้องทำถูกต้อง ถูกวิธี เราจะได้เข้าหลักศาสนา หลักธรรมะ เราจะได้มีประโยชน์ต่อตนเอง มีประโยชน์ต่อคนอื่น เพราะเราเกิดมาเพื่อมามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันไปไม่ได้แน่นอน ถ้าเราอยู่ในระบบอย่างนี้ๆ เหมือนหลวงพ่อมองเห็นต้นไทรอยู่ในป่า ในวัด ที่รากไทรมันย้อยลงมา ที่ให้หลวงพ่อยงยุทธเอาท่อพีวีซี เอาแกลบดำ เอาปุ๋ยมะพร้าว ประคองรากไทรลงมา เพราะว่าที่รากไทรมันลงมา เพราะว่ามันมีประชากรมันมีกิ่งก้านสาขาเยอะ มันเลี้ยงอาหารไม่พอ มันย้อยลงมาเพื่อจะมาหาอาหาร ถ้าเราเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราก็ต้องช่วยเขา เหมือนรัฐบาล ถ้าน้ำมันท่วมเราก็ต้องหาวิธีแก้ไข ถ้ามันแห้งแล้งก็ต้องหาวิธีแก้ไข ถ้าเราทำต้นไทร รากมันจะได้ลงมา จากรากเล็กๆ อีก ไม่กี่ปีมันก็จะเป็นรากใหญ่ ขนาดแขน ขนาดขา ลำตัว มันจะไปเลี้ยงกิ่งก้านสาขา มันจะไปเลี้ยงพสกนิกรกิ่งก้านสาขา มันจะมีความมั่นคง ใบมันจะเขียว เพราะมันหาอาหารมาช่วยกัน มาเลี้ยงกัน
เมื่อพ่อแม่แก่แล้ว พวกลูกพวกหลานก็จะช่วยกันทำมาหาเลี้ยงชีพ ไม่ช่คอยแต่มรดกของพ่อของแม่ ทุกคนเกิดมาต้องพากันมาเสียสละ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ต้นไม้นั้นมันถึงจะอายุยืน จาก 50 ปี ก็จะเป็น 100 ปี จาก 100 ปี ก็จะเป็นหลายร้อยปี เป็นพันๆ ปี ความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มันก็จะยั่งยืน ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ถึงเป็นสิ่งที่มีความสุข โลกนี้ก็ต้องมี 3 อย่างคือ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เราต้องมีบ้าน มีที่อยู่ แล้วก็มีโรงเรียน วัด ไปพร้อมๆ กัน เพื่อเราจะเป็น สุปะฏิปันโน อุชุปะฏิปันโน ญายะปะฏิปันโน สามีจิปะฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เข้าสู่ระบบบ้านเมือง เราจะได้หยุดอบายมุข อบายภูมิ ไม่ต้องไปหาความดับทุกข์ที่ไหนหรอก หาความดับทุกข์ที่กาย ที่วาจาของเรา ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง
ที่ว่าความสุขๆ นี้ มันก็ยังไม่ถูกนะ เราจะว่าความดับทุกข์อย่างนี้ เพราะว่าสุขนั้นมันของอร่อย ทุกข์มันของไม่อร่อย สุขกับทุกข์มันก็คืออันเดียวกัน มันก็เป็นความยึดมั่นถือมั่นเป็นความปรุงแต่ง แต่ว่าความสุขนี้มันเป็นทางนิพพาน เพราะว่าความรวยเป็นสิ่งที่เราจะต้องผ่าน ความสะดวก สบาย เป็นสวรรค์วิมานเป็นสิ่งที่เราจะต้องผ่าน ทุกท่านทุกคนต้องใจเข้มแข็ง รู้จักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเราหมดบุญหมดวาระ มันก็เป็นทุกข์ รู้จักอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อันไหนดีก็ให้เราพยายามระลึกถึงสิ่งนั้นบ่อยๆ อันไหนมันไม่ดีเราก็อย่าไประลึกมัน เพราะความคิดเราต้องอาศัยติดต่อต่อเนื่อง เหมือนน้ำหยด หยดห่างๆ กันเวลาถี่เข้าๆ ก็เป็นสายน้ำ มันถึงเข้าสู่มหาสมุทรได้
เช่นว่า การพิจารณากายต้องพิจารณาติดต่อ ต่อเนื่อง อย่างคนเรามันมองเห็นคนอื่นสวย หล่อ เพราะว่ามันเห็นแต่ภายนอก เห็นแต่เฟอร์นิเจอร์พระพุทธเจ้าถึงให้ตาเรามองไปกำหนดให้เห็นโครงกระดูก ผู้หญิง ผู้ชายเดินได้ ทั้งภายนอกและภายใน เราต้องทำอย่างนี้ ให้มันติดต่อต่อเนื่อง ต้องติดต่อกันหลายวัน หลายเดือน เหมือนไก่มันฟักไข่อย่างนี้ อารมณ์ที่เป็นจริตเราต้องรู้จัก จากภาวนา ทุกท่านทุกคนต้องพากันปฏิบัติแก้ตนเอง ให้รู้จักภาวนา องค์ภาวนา ต้องอาศัยสติ อาศัยสัมปชัญญะ ความฟุ้งซ่านนี้มันจะทำอะไรไม่ได้ เราต้องพากันทำ ผู้หญิงมันสวยที่ไหน ผู้ชายมันหล่อที่ไหน เราต้องรู้จัก เราอย่าไปมองที่มันสวยที่มันหล่อสิ หลวงพ่อชาถึงคุยกับพระฝรั่งว่าจะให้ ชอบผู้สาวคนนั้นที่สวยที่รักกันเขียนจดหมายไปหานะ บอกเขาว่าให้ส่งอุจจาระใส่ตลับส่งมาอย่างนี้ หลวงพ่อชาบอกว่าเวลาคิดถึงเมื่อไหร่จะได้เปิดอุจจาระออกมาดมดู หรือว่าเสลดของเรา น้ำลาย น้ำหนองเขา ต้องระลึกอย่างนี้บ่อยๆ ให้เป็นองค์ภาวนา
พิจารณาเห็นความไม่งามของร่างกายอสุภสัญญา อสุภสัญญา แปลว่า พิจารณาเห็นความไม่งาม ถามว่าอะไรไม่งาม พระพุทธเจ้าได้ตรัสให้พิจารณาส่วนต่างๆ ในร่างกาย ตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไป ตั้งแต่ปลายผมลงมา ว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ มีของไม่สะอาดด้วยประการต่างๆ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า อันนี้เป็นธาตุดิน มีเสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำไขข้อ น้ำมูก น้ำปัสสาวะ หรือมูตร อันนี้เป็นธาตุน้ำ ให้พิจารณาโดยความเป็นของปฏิกูล คือไม่สะอาดในร่างกายนี้
เพื่ออะไร เพื่อความไม่ยึดติดในร่างกาย ไม่ยึดมั่นผูกพันในร่างกายทั้งของตนและของผู้อื่น ที่จริงโดยทั่วไปในกรรมฐาน พูดถึงอสุภกรรมฐานท่านบอกว่าให้พิจารณาอสุภะ คือ ร่างกายของผู้อื่นที่เป็นศพ เป็นซากศพ ๙ ระยะที่เรียกว่า นวสีวถิกา ซากศพ ๙ ระยะ ตั้งแต่ตายวันแรก ๒ วัน ๓ วัน เรื่อยไป จนถึงเหลือแต่กระดูกป่นๆ
ในคิริมานันทสูตรนี้ ท่านอธิบายเป็นความไม่สะอาดในร่างกาย คือ อาการ ๓๒ ร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วก็มีสิ่งปฏิกูลซึมซาบอยู่ทั้งภายในและภายนอก สิ่งภายในกายที่ไหลออกภายนอกแล้ว ไม่มีใครปรารถนาจะถูกต้อง เจ้าของร่างกายเองก็รังเกียจ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น เมื่อระลึกไว้เสมอเช่นนี้ ความพอใจในกายก็จะคลายลง ทำให้ไม่ต้องเสียเวลามาก ไม่ต้องเสียเงินเสียทองมาก ในการตกแต่งประดับประดาร่างกาย คืออยู่อย่างธรรมชาติก็ได้ ก็พิจารณาให้เห็นจริงว่า ความสวยก็อยู่เพียงแค่ผิวหนังเท่านั้น เจาะผิวหนังลงไปก็มีแต่เนื้อเลือด น้ำหนอง ไม่มีอะไรสวยแล้ว มีสุภาษิตภาษาอังกฤษกล่าวว่า Beauty is but skin-deep. ความสวยอยู่ลึกเพียงแค่ผิวหนังเท่านั้น เลยไปก็ไม่สวยแล้ว จิ้มลงไปก็มีเลือดออก เอาหนังออกก็ดูไม่ได้เลย
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคท่านบอกว่า ถ้ากลับเอาภายในร่างกายไว้ภายนอก เหมือนเรากลับเสื้อหรือกางเกงข้างในเอาไว้ข้างนอก จะเป็นอย่างไร ท่านบอกว่าพวกนกพวกกาพวกหมาก็คงไล่ตามกันเป็นกลุ่ม ๆ เจ้าของกายคงต้องถือไม้ไล่สัตว์เหล่านั้นเป็นแน่
ถ้าสังเวชสลดใจอยู่กับร่างกายดังนี้ จิตก็จะสงบลง สุขภาพจิตก็จะดีขึ้น คือเห็นใครสวยกว่าก็ไม่ริษยา เห็นใครเขาขี้เหร่กว่าก็ไม่ดูถูกเขา เพราะคิดได้ว่า มันก็เพียงแค่ผิวหนังเท่านั้นเอง อันนี้สำคัญ
ถ้าเห็นใครสวยกว่าแล้วไม่ริษยาเขา เห็นใครขี้เหร่กว่าก็ไม่ดูถูกเขา คิดว่ามันก็เพียงแต่ผิวหนังนั่นเอง ยิ่งพอตายลงก็หมดค่าเลย เคยมีราคาเท่าไหร่ มีค่าเท่าไหร่ พอตายลงก็หมดค่าเลย สิ่งปฏิกูลที่เคยปิดบังกันมานาน ก็ปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้น คนที่เคยรักก็เบือนหน้าหนี ไม่กล้าอยู่ด้วยสองต่อสอง เพราะว่าตอนนี้ไม่ได้เป็นคนแล้ว เป็นผีแล้ว เป็นศพไปแล้ว ต้องมีคนคอยอยู่เป็นเพื่อนมากมาย แล้วก็พาไปเผา พอเผาเสร็จแล้ว ก็ขอร้องวิงวอนว่าไปที่ชอบๆ เถอะ คืออย่ามายุ่งกันอีกเลย ทำนองนั้น ไม่ต้องห่วงอะไรทางบ้านอย่างนี้เป็นต้น
มีเรื่องเล่าในอรรถกถาธรรมบทเรื่องนางสิริมาว่า เป็นผู้หญิงที่สวยมากและราคาแพง เป็นนครโสเภณี หญิงที่ยังนครให้งาม หญิงประดับเมือง หญิงงามเมืองสวยงามมากจนพระไปเห็นหนเดียวก็หลงใหลมากๆ กลับมาวัด ไม่เป็นอันฉัน ไม่เป็นอันทำอะไร พร่ำเพ้อถึงแต่สิริมา
มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ นางอุตตรา มาจ้างนางสิริมาให้ไปบำเรอสามีตัวเอง เป็นงานเหมา 15 วัน 15 คืน ซึ่งต้องจ่ายสูงถึง 15,000 กหาปณะ หรือ 39 ล้านบาท! สาเหตุที่นางอุตตราทำเช่นนั้น คือพื้นฐานเดิมทางเกิดในครอบครัวที่ใจบุญสุนทานจิตใจใฝ่หาทางธรรมมาโดยตลอด เคยฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า พ่อแม่ของนาง รวมทั้งตัวนางอุตตราเองก็บรรลุธรรมระดับโสดาบัน
แต่พอแต่งงานมาในครอบครัวเศรษฐีเหมือนกันบ้านสามีโดยเฉพาะตัวสามีเป็นคนไม่ใส่ใจธรรมะเลยแม้แต่น้อย ใช้เงินกินบุญเก่าวาสนาเก่าไปวันๆ และปฏิเสธไม่ให้นางอุตตราทำบุญทำทานใดๆทั้งสิ้น นางเลยไม่เคยได้ตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรมเหมือนตอนก่อนแต่งงาน นางอุตตราจึงขอสามีจะจ้างนางสิริงาม หญิงงามที่สุดในเมืองด้วยเงินของพ่อแม่ตัวเองมาปรนนิบัติสามี 15 วัน และขอช่วงเวลานี้ จะนิมนต์พระสงฆ์มารับบิณฑบาตและถือศีลแปด ปฏิบัติธรรมที่บ้าน สามีได้ยินชื่อเสียงความงามของนางสิริมามานานเลยไม่ปฏิเสธ ยิ่งเจอตัวจริงยิ่งหลงใหล และขอบใจภรรยายิ่งนัก นางสิริมาก็มาบริการท่านเศรษฐีสามีของนางอุตตรา สามีก็เบิกบานกาย นางอุตตราก็เบิกบานใจ เพราะได้ทำบุญใส่บาตร นิมนต์มารับบิณฑบาตตลอด 15 วัน ได้ถือศีลอุโบสถปฏิบัติธรรมสมดังตั้งใจ วันเวลาผ่านไปจนถึงใกล้วันท้ายๆ นางสิริมาด้วยอยู่มาหลายวัน อยู่ๆ เลยเกิดความหึงหวงอยากเป็นใหญ่ในเรือนแทนนางอุตตรา เลยตรงเข้ามา ตักน้ำมันร้อนๆจะมาราดนางอุตตรา นางอุตตราเห็นดังนั้น จึงรีบทำสมาธิรีบเข้าฌานในจังหวะเร่งด่วนและเฉพาะหน้าสุด ทำจิตรวมเป็นสมาธิเพื่อแผ่เมตตาไปยังนางสิริมา โดยอธิษฐานจิตในใจว่า “หญิงนี้เป็นสหายของเรา และเป็นผู้มีคุณกับเราถ้าไม่มีเขา เราคงไม่ได้ทำทานและฟังธรรมเช่นนี้ ถ้าเรามีความโกรธ ขอให้น้ำมันร้อนๆนั้นลวกเรา
แต่เราถ้าไม่มีความโกรธ ขออย่าให้น้ำมันลวกเราเลย” สุดท้ายน้ำมันร้อนเดือดจัดที่นางสิริมามาราดเทใส่หัวนางอุตตราก็กลายเป็นน้ำเย็น บ่าวไพร่นางอุตตรารีบเข้ามาจับตัวนางสิริมาและจะรุมทำร้ายให้จงหนัก นางอุตตรารีบเอาตัวเข้าไปขวางไม่ให้บ่าวไพร่รุมทำร้าย นางสิริมาเห็นดังนั้นก็รู้สึกตัว รู้สึกผิดสุดๆในในเลยเข้าไปกราบที่เท้านางอุตตรา ขอโทษด้วยความรู้สึกอยู่เต็มหัวใจอยากให้นางยกโทษให้ นางอุตตราบอกว่า... “พรุ่งนี้พระพุทธเจ้าจะเสด็จมารับบิณฑบาตให้ไปขอโทษพระองค์แทน ถ้าพระองค์ยกโทษให้เราก็จะยกโทษให้” รุ่งเช้าพอพระพุทธเจ้าเสด็จมาและทราบเรื่องทรงยกโทษให้นางสิริมาและทรงยกย่องนางอุตตราเป็นเอตทัคคะผู้เป็นเลิศด้านยินดีในฌาน และเทศนาเป็นพระคาถาว่า “อักโกเธนะ ชิเน โกธัง อสาธุง สาธุนา ชิเน ชิเน กะทะริยัง ทาเนนะ สัจเจนาลิกะวาทินัง...พึงชนะคนโกรธด้วยความใจเย็น พึงชนะคนร้ายๆด้วยความดี พึงชนะคนขี้เหนียวด้วยการให้ พึงชนะคนพูดเหลวไหวด้วยการพูดความจริง”
จบเทศนานี้ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม นางสิริมาก็บรรลุโสดาบันทันที กลับบ้านไป เลิกประกอบอาชีพโสเภณี เข้าทางธรรมะ รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ใส่บาตรพระ 8 รูปทุกวันเป็นประจำ โดยถวายของอันประณีตที่สุดเท่าที่จะหาได้ นางสิริมาทำแบบทุกวัน จนเวลาผ่านไป..
มีภิกษุรูปหนึ่ง คุยกับพระอีกรูปที่เพิ่งไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนางสิริมามา พระท่านนั้นเล่าถึงอาหารอันประณีตและความงดงามของนางสิริมา ภิกษุรูปนี้ แค่ได้ฟังเรื่องเล่าฟังคำบรรยายความงามของนางสิริมาก็เกิดความหลงรักแค่เพียงจากเรื่องเล่าทั้งๆที่ยังไม่เห็นตัวจริง วันพรุ่งนี้เลยขอไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนาง เพื่อได้เห็นนางสิริมาตัวจริงกับตาตัวเอง รุ่งขึ้น ภิกษุรูปนี้ก็ได้เดินทางไปรับบิณฑบาต แต่วันนั้นนางสิริมาไม่สบายหนักแทบจะลุกจากห้องไม่ไหว แต่ก็พยายามลุกออกมาโดยที่หน้าตาไม่ได้แต่งเพราะไม่ไหวจริงๆ ภิกษุผู้ลุ่มหลงยิ่งเห็นตัวจริงของนางก็ยิ่งหลงรักคิดในใจว่า “ขนาดป่วยไม่สบายยังงดงามขนาดนี้นี่ถ้าไม่เจ็บไข้ ได้แต่งตัวตามปกติจะสวยงามปานนางฟ้าแค่ไหนเนี่ย” ภิกษุผู้นั้นก็เกิดราคะลุ่มหลงในนางสิริมา กลับกุฏิไปก็ไม่ฉัน ฉันอาหารไม่ลง ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์เอาแต่เฝ้าคิดถึงนางสิริมา ไม่กินไม่นอนอยู่หลายวัน
ตัดกลับมาที่นางสิริมา วันนั้นนางไม่สบายหนักจริงๆ และการใส่บาตรในครั้งนั้นก็เป็นครั้งสุดท้ายของนาง เพราะตกเย็นนางก็เสียชีวิตจากความเจ็บป่วย
พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องภิกษุผู้ลุ่มหลงและการตายของนางสิริมา จึงขอให้เก็บศพนางสิริมาไว้อย่างดี ห้ามให้หมาให้นกมาแทะ จนเวลาผ่านไปถึงวันที่ 4 ศพเริ่มเน่าเหม็นส่งกลิ่นคละคลุ้งมีน้ำหนองน้ำเลือดไหลออกมาตามทวารต่างๆ ผิวพรรณแตกและเริ่มร่างกายเริ่มพอง สภาพคือแทบดูไม่ได้ ใครเห็นเป็นจะอ้วก พระเจ้าพิมพิสารประกาศให้ชาวเมืองทุกคนมาประชุมกันที่หน้าศพนางสิริมา พระพุทธเจ้าและคณะภิกษุสงฆ์ก็เดินทางมาที่นี่ ภิกษุหนุ่มแม้รูปนั้นไม่เชื่อฟังคำของใครๆ เลย ตลอด ๔ วัน อดอาหารนอนแซ่วอยู่. ข้าวสวยในบาตรบูด สนิมก็ตั้งขึ้นในบาตร.
ภิกษุผู้ลุ่มหลงไม่รู้ว่านางสิริมาตายแล้วได้ยินว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปหา แค่ได้ยินคำว่า “สิริมา” เลยรีบผุดลุกจากกุฏิ เดินทางตามไปกับหมู่พระภิกษุ เมื่อทุกคนมาพร้อมกันพระพุทธเจ้าให้พระราชาประกาศขายศพนางสิริมา เท่ากับราคาค่าตัวของนาง 1 วันคือ 1,000 กหาปณะ ปรากฏไม่มีใครซื้อ เลยให้ประกาศลดลงเรื่อยๆจาก 1,000, เหลือ500 , เหลือ 250 เหลือ 200, เหลือ100, เหลือ 50, เหลือ 20, เหลือ 10, เหลือ 1 ก็ยังไม่มีใครเอา จนกระทั่งประกาศให้ฟรีๆ เลย ก็ยังไม่มีใครเอา
พระพุทธองค์จึงได้ทรงเทศนาสั่งสอนโดยใช้ศพของนางสิริมาเป็นอุบาย ว่าให้ทุกคนดูนะ นี่คือผู้หญิงที่งามที่สุดของเมืองนี้ ใครจะเชยชมนาง ต้องจ่ายถึง 1,000 กหาปณะ แต่วันนี้พอนางตายไปแล้วผ่านเวลาไปแค่ไม่กี่วันความงามของนางสิ้นและเสื่อมลงไม่เหลือเค้าเดิมความงามใดๆอีก และเมื่อหมดซึ่งความงามแล้วยกให้เปล่าๆ ก็ไม่มีใครเอาแม้แต่คนเดียว
พระศาสดาจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงดูมาตุคามซึ่งเป็นที่รักของมหาชน ในกาลก่อน ชนทั้งหลายในพระนครนี้แล ให้ทรัพย์พันหนึ่งแล้ว ได้ (อภิรมย์) วันหนึ่ง บัดนี้ แม้ผู้ที่จะรับเอาเปล่าๆ ก็ไม่มี, รูปเห็นปานนี้ ถึงความสิ้นและความเสื่อมแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงดูอัตภาพอันอาดูร" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า “ปสฺส จิตฺตกตํ พิมฺพํ อรุกายํ สมุสฺสิตํ อาตุรํ พหุสงฺกปฺปํ ยสฺส นตฺถิ ธุวํ ฐิติ. เธอจงดูอัตภาพ ที่ไม่มีความยั่งยืน (และ) ความมั่นคง (อันกรรม) ทำให้วิจิตรแล้ว มีกายเป็นแผล อันกระดูก ๓๐๐ ท่อนยกขึ้นแล้ว อันอาดูร ที่มหาชนครุ่นคิดแล้วโดยมาก.
พอเทศนาจบ ภิกษุผู้ลุ่มหลงผู้นั้นก็บรรลุโสดาบัน ส่วนนางสิริมาพอตายไปก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา และกลับมาฟังธรรมของพระพุทธเจ้าที่หน้าศพของตัวเองได้บรรลุธรรมเพิ่มอีกสองขั้นเป็นระดับอนาคามี
ความไม่เที่ยงของร่างกาย ร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่จีรังเป็นสิ่งที่เรายืมมาจากธรรมชาติชั่วคราว สุดท้ายต้องเสื่อมและสลายคืนธรรมชาติในที่สุด การเสื่อมของร่างกายจึงเป็นเรื่องที่แน่นอนและธรรมดาที่สุดในโลกนี้แต่หลายครั้งกับหลายคนที่เป็นทุกข์เพราะอยากยึดไว้ ไม่อยากให้เสื่อม บางคนทุกข์เพราะหน้าเริ่มมีตีนกาขึ้น บางคนทุกข์เพราะเป็นโรคต่างๆที่เกิดจากร่างกายเสื่อมถอยบางคนทุกข์เพราะพยายามไปยื้อ ให้ร่างกายดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลาบางคนก็ทุกข์ก็ไปยึดติดลุ่มหลงในกายของคนอื่นร่างกาย เป็นสิ่งที่เสื่อมแน่นอน เดี๋ยวนี้มีศาสตร์ชะลอวัย แต่ก็ทำได้แค่ชะลอเทคโนโลยีไปไกลแค่ไหน แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องเสื่อมลง แทนที่เราจะทำใจและเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงและคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ที่ไม่มีใครหนีได้ มีแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่พวกเรากลับ...พยายามฝืนความเป็นจริงของธรรมชาติและทุกข์กับความเป็นจริงของธรรมชาติ
ความจริงที่เราเห็นอีกอย่างก็คือ...ต่อให้ร่างกายภายนอก ผม ขน เล็บ ฟัน หนังสวยงามแค่ไหนพอตายไปไม่กี่วัน ทุกคนจะกลับมาหน้าตาเหมือนกันหมดอยู่ดี อยู่อย่างเข้าใจมัน เข้าใจธรรมชาติ เข้าใจความเป็นไป และอย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย ร่างกายจริงๆ มันก็ไร้สาระ มีสาระอยู่แต่คุณงามความดีที่มีอยู่กับร่างกาย คนฉลาดจึงพยายามที่จะทำร่างกายนี้ให้เป็นประโยชน์ ให้เป็นสาระ คือใช้สิ่งที่ไม่เป็นสาระให้มันเป็นสาระ ให้มันเป็นประโยชน์โดยตัวมันเอง
คนเราหน่ะต้องทำติดต่อ ต่อเนื่อง จนมันเกิดนิมิตทางธรรม เกิดนิมิตแต่ทางโลก ทางหลงมันเสียดุลการค้า มันคิดไปทางเสื่อมเยอะ มันก็เสียดุลการค้า คนเราต้องแก้ตัวเอง ภาวนาตัวเอง เพราะอันนี้เป็นความสุข ความดับทุกข์ของเราทุกๆคน เป็นผู้ที่ประเสริฐ ต้องภาวนา ในชีวิตประจำวันหน่ะธรรมะก็สัปปายะอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาประเสริฐไม่มีอะไรที่จะหลงเหลือไม่ให้สัปปายะแล้ว อาหารการบริโภคก็สัปปายะอยู่แล้ว อย่างเมืองไทยถ้าเราขยัน มีความสุขในการทำงานอย่างนี้ สำหรับประชาชนที่มีครอบครัวมันก็ไม่อดอยู่แล้ว ทุกคนต้องตื่นขึ้นมีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการขยัน มีความสุขในการรับผิดชอบ อาหารก็สัปปายะ อากาศก็สัปปายะ เราก็พากันเก็บขยะ ต้องแยกขยะ อากาศมันก็ดี เพราะคนที่พัฒนาแล้วต้องแยกขยะ มันจะได้ง่ายขึ้น มนุษย์เราต้องทำความสะอาดบ้านที่พักอย่างน้อย วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น อย่างนี้เป็นต้น ต้องสัปปายะ สะอาดทั้งภายนอกยังไม่พอ ต้องสะอาดทั้งใจ ต้องพากันเสียสละ ต้องมีความสุขในการขยัน มีความสุขในการเสียสละอย่างนี้ ต้องมีความสุข เราจะไปหาสัปปายะที่ไหน เราต้องหาที่ใจของเรา
เราเกิดมาเราต้องมาพัฒนาตัวเอง เพราะเราเป็นผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อพระนิพพาน ให้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้ ชีวิตของเราจะมีแต่ความดับทุกข์ จะไม่พูดเรื่องความสุข พูดแต่เรื่องความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า “เธอจงทำที่สุดแห่งความทุกข์เถิด” คนเราจะไปเอาอะไร เพราะว่ามันไม่ได้อะไรอยู่แล้ว ทุกอย่างผ่านมาและผ่านไปอย่างนี้ ไปถามพระอรหันต์ว่า ท่านได้อะไร พระอรหันต์บอกว่าไม่ได้อะไร ทุกอย่างมันผ่านมาผ่านไป การที่เราจะเอานั้น มันเป็นโรคจิตโรคประสาท โรคไสยศาสตร์ โรคหลงงมงาย ให้เราเข้าใจ พวกประชาชนทุกคนที่อยู่ในบ้านให้พากันเข้าใจ อย่าไปหลงในทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติธรรม อยู่วัดบ้านต้องพากันประพฤติปฏิบัติ เพราะญาติโยมเขามองเห็นหน้าพระ พระเรามันยังไม่ได้เป็นพระ เขาแต่งตั้งให้เป็นพระโน้น พระนี้ยังไม่เป็นพระ พระอาจารย์โน้น อาจารย์นี้มันยังไม่เป็นพระ มันเป็นแต่นักบวช แบรนด์เนมอย่างนี้แต่ยังเป็นของปลอมอยู่ ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจ ต้องรู้จักหน้าที่ รู้จักความรับผิดชอบของตัวเอง ต้องมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ อันไหนไม่ดี อย่าไปคิด อันไหนไม่ดีอย่าไปพูด อันไหนไม่ดีอย่าไปทำ มันต้องใจเข้มแข็งไว้ เดี๋ยวจะมาถามหลวงพ่อว่า ทำยังไง พลังจิตถึงจะมีติดต่อต่อเนื่อง หลวงพ่อก็บอกว่า เอ้ย... หายใจเข้าให้มันชัดเจน หายใจออกให้มันชัดเจน หายใจเข้าสบาย ออกสบาย อันไหนไม่ดีไม่คิด อันไหนไม่ดีไม่พูด อันไหนไม่ดีไม่ทำ ต้องเสียสละ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นถือว่าเป็นไฟติ้ง เป็นไฟท์ที่เราต้องหยุดตัวเอง ให้มันสงบ ให้มันเย็น คนเราถ้าไปใจอ่อน ใจอ่อนก็คือคนเรายอมไปเป็นหนี้เป็นสิน คนเป็นหนี้ เป็นสิน มันนอนหลับเมื่อไหร่ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า กามทั้งหลายทำให้จิตใจของเราไม่มีพลัง เราต้องรู้จักว่ารูป เสียง กลิ่น รส มันเป็นไฟติ้งที่เราจะต้องผ่าน ให้เข้าใจ เราจะได้มีพลัง เราจะได้ปฏิบัติ
สำหรับประชาชนไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับศีล ๕ สำหรับพระไม่มีอะไรเท่ากับศีลพรหมจรรย์ ต้องพากันปฏิบัติ ต้องทำความเพียรแข่งกับเวลา รู้จักหยุดตัวเอง รู้จักมีสติ สัมปชัญญะ สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่น มีความสุขในการเสียสละ รู้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตประจำวัน ส่งไปทำลายด้วยอนิจจัง ด้วยทุกขัง ด้วยอนัตตา ว่าเราทุกคนต้องพากันเสียสละ มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ทุกท่านทุกคนก็จะไปของเราไปเรื่อย สติสัมปชัญญะ อานาปานสติก็ต้องทำไป ปฏิบัติไป อันนี้คือความสุข ความดับทุกข์ ทุกท่านทุกคนต้องพากันปฏิบัติอย่างนี้ เราจะหลงไปเรื่อยไม่ได้ เราคิดไปเรื่อย น้อยเนื้อต่ำใจ ว่าเรามีบุญน้อย มีวาสนาน้อย เราไม่รวย เราไม่มีบ้าน มีรถ อะไรกับเขา เราอย่าไปคิดอย่างนั้น อันนั้นมันหลงไปเรื่อย เราต้องพัฒนาใจของเราอย่างนี้
เดี๋ยวนี้ธรรมะในโลกนี้มันต้องพากันปฏิบัติธรรมะทั้งหมด เราจะได้แชร์ความดับทุกข์เหมือนๆ กัน ให้พากันเข้าใจ ทรัพย์สมบัติและอริยทรัพย์ที่ประเสริฐ มนุษย์เราต้องพัฒนาอย่างนี้ทำอย่างนี้ไป มันต้องอาศัยหลายวัน หลายเดือน ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้าติดต่อกัน พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่เกิน ๕ ปี นิสัยของปุถุชนมันก็จะเปลี่ยนไป เป็นนิสัยของพระอริยเจ้า ถ้าเราไม่ถือนิสัยของพระพุทธเจ้ามันไม่ได้ เราดูตัวอย่าง อย่างผู้ที่จะเป็นพระอริยเจ้าเป็นพระอรหันต์เขาพากันทำอย่างนี้ เขาจะไม่เป็นผู้มีปัญญา นักปรัชญา จิตวิทยา มันต้องพากันเข้าใจเราจะได้ใช้ทรัพยากรแห่งความเป็นมนุษย์ของเรานี้ที่ถูกต้อง เราอย่าไปทิ้งความถูกต้อง ทิ้งความเป็นธรรม ทิ้งความยุติธรรม โลกนี้ความเป็นอยู่จะไม่ได้ว่างจากความดับทุกข์ เป็นพระนิพพาน