แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๙๐ การเดินทางของผู้ที่จะออกจากวัฏฏะสงสาร ต้องเดินด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ในปัจจุบัน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ศาสนาพุทธ คือ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นธรรมะ พระไตรปิฏกที่พระอรหันต์ได้สังคายนาร้อยกรองไว้เป็นหมวดหมู่ มีพระสูตร พระวินัย และก็พระอภิธรรม นี้เป็นสิ่งที่สมบูรณ์ ฝ่ายมหายาน ทิ้งไปมาก เอาแต่เรื่องจิต เรื่องใจ ใหม่ๆ ก็ดี เพราะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า มันเป็นเหตุ เป็นผล เป็นวิทยาศาสตร์ แต่มันจะดีในเบื้องต้น ถ้านานวันไปมันจะไม่ดี เพราะว่ามันกลายเป็นนักปรัชญา เป็นเรื่องจิตวิทยา มันไม่ได้เข้าสู่ภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ ไม่ได้เข้าสู่มรรคผล สู่พระนิพพาน นานๆ ทีถึงจะมีพระอริยเจ้าเกิดขึ้น ด้วยบุญกุศลของท่านได้สั่งสมมาอย่างนี้เป็นต้น
เราดูตัวอย่างแบบอย่างที่พระเจ้าอโศกให้ผู้ที่ไม่เอามรรคผล เอาพระนิพพาน ไปเอาแต่เรื่องเงิน เรื่องสตางค์ เอาแต่เรื่องสตรี เอาแต่ลาภยศสรรเสริญ พระอรหันต์เกือบจะสาบสูญไปจากโลก มีเหลือน้อย เมื่อนิมนต์ให้พระที่อย่างนี้ลาสิกขาไปเพื่อให้เป็นผู้อุปถัม อุปฐาก เป็นฆราวาสดีกว่า พระอรหันต์ถึงได้เกิดขึ้น มรรลผลนิพพานมันถึงเกิดขึ้นจากศีล จากสมาธิ เกิดจากปัญญา ที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้
อย่างประเทศไทยเรานี้ก็ถือว่าล้มเหลว มีมหาจุฬาฯ มีมหามกุฏฯ มีผู้จบ ป.ธ.๙ ปีนึงก็หลายรูป เพราะว่ามันมีแต่แผนที่ มีแต่ตำหรับ ตำรา มันถึงมีแต่ความรู้ มีแต่ความเข้าใจ ประเทศไทยเราถึงได้ล้มเหลว ทำให้เสียหายหมด วัดต่างๆ ก็นักปกครองนี้ก็บริหารยากลำบาก พากันไปขับรถ ขับเรือ ยังเหลือแต่ขับเครื่องบิน ต่อไปอาจจะมีเครื่องบินส่วนตัวได้ วัดต่างๆ นั้นคนรุ่นใหม่ คนสมัยใหม่ ที่เค้ามีเหตุผล เค้าก็เคารพนับถือ วัดก็เป็นวัดร้างก็เยอะ อย่างประเทศไทย ถ้ากฏหมายบ้านเมืองไม่บังคับไว้ คงจะได้ขายวัดเยอะ เพราะว่าถูกพวกฝรั่งศาสนาคริสต์ไม่ได้เอาธรรม ไม่ได้เอาพระวินัย ไม่ได้เอามรรคเอาผล โบสคริสต์อยู่เมืองนอกก็ร้างเยอะ ผู้ที่ไปเผยแผ่ที่เมืองนอก เช่น ประเทศออสเตเลีย ประเทศอังกฤษ อย่างนี้เป็นต้นก็ซื้อเอาโบสถ์คริสต์ มาเป็นโบสถ์พุทธ
โรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อกันได้ฉันใด ภิกษุขี้เรื้อนก็เป็นเชื้อยั่วยุทำให้ภิกษุซึ่งเคยดีอยู่ต้องกลายเป็นภิกษุขี้เรื้อนไปด้วย เพราะเมื่อเห็นภิกษุขี้เรื้อนหาเงินทองข้าวของได้ง่ายๆ ได้มากๆ มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ภิกษุที่บวชโดยไม่ได้หวังพระนิพพานจึงได้เกิดความทะเยอทะยานอยากได้เช่นเดียวกัน เมื่อไม่มีทางได้ลาภสักการะและเสียงเยินยอโดยประกอบกิจศาสนาหรือปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธเจ้าสอน ก็มักวกไปประกอบเดรัจฉานวิชา หาเงินด้วยอุบายวิธีต่างๆนานา ไม่เกรงกลัวใคร ไม่ละอายชั่วกลัวต่อบาป จิตใจไม่สงบระงับ ห่างไกลมรรคผลนิพพานออกไปทุกๆวัน เข้าใกล้นรกมากขึ้นทุกๆที และเป็นภิกษุที่นำภัยมาสู่พุทธศาสนาอย่างแท้จริง จะทำให้พระพุทธศาสนาถูกทำลาย โดยพวกที่ไม่ชอบศาสนา การที่ศาสนาคริสต์ถูกทำลายไปในบางสมัยบางประเทศ ก็เพราะนักบวชขี้เรื้อนของสมัยนั้นประเทศนั้น เขาอยู่ดีกินดีกว่าคนทั่วไป วัดวาอารามสวยยังกับพระราชวัง สะสมทรัพย์สมบัติ เส้นด้ายมาจากงานของศาสนา มีความเป็นอยู่สุขสบายอย่างเทวดาที่เดียว ส่วนศาสนิกชนที่ทำบุญยังยากจนอดอยากกันอยู่
เราต้องพากันเข้าใจเรื่องศาสนา ศาสนานี้คือธรรมะ ธรรมะนี้คือศาสนา ศาสนานี้ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เพียงปรัชญา ไม่ใช่เป็นเพียงจิตวิทยา มันเป็นภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เค้าเรียกภาคประพฤติภาคปฏิบัติกับการบำบัดก็อันเดียวกัน อย่างนี้ก็ให้คนพากันเข้าใจ เราดูตัวอย่างแบบอย่างที่ลูกศิษย์หลวงพ่อชาที่เคร่งๆ ไปเผยแผ่เมืองนอกเมืองฝรั่ง ที่หลวงพ่อชาที่ไปเดินบิณฑบาตที่ประเทศอังกฤษ หลวงพ่อชาไม่ได้ไปบิณฑบาตเอาอาหารนะ ท่านไปปรากฏตัวให้ชาวโลกเค้าเห็น ไปบิณฑบาตให้คนรู้คนเห็น พระใหม่ๆ ไปก็พากันเคร่งครัด ทุกๆ ประเทศที่หลวงพ่อชาไปมา ลูกศิษย์หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว ท่านเจ้าคุณพุทธทาส พากันเคร่งครัด จะเอาคนที่เจริญแล้ว พัฒนาแล้ว เพราะหลักพระพุทธศาสนามันเป็นหลักวิทยาศาสตร์ ที่เหนือวิทยาศาสตร์คือเป็นมนุษย์รวยแล้วก็ไม่หลง เป็นเทวดาที่มีความสุขและก็ไม่หลงอย่างนี้เป็นต้นอย่างนี้มันดีกว่าวิทยาศาสตร์
เพราะการเดินทางของผู้ที่จะออกจากวัฏฏะสงสาร เค้าต้องเดินด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เพราะเรื่องจิตเรื่องใจมันเป็นเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ไม่ใช่เรื่องกฏหมายบ้านเมือง เพราะเราต้องพัฒนาตัวเอง ทางจิตใจด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ว่าอันไหนไม่ดีไม่คิด อันไหนไม่ดีไม่พูด อันไหนไม่ดีไม่ทำ อย่างนี้แหละ เลยไม่เหลือพระพุทธศาสนาแล้ว เหลือแต่นักปรัชญา เหลือแต่จิตวิทยาแล้ว พากันไปเมืองนอก พากันไปคุยกันกับผู้หญิงสองต่อสอง บางคนก็เผลอเลอไปเช็คแฮนด์กับผู้หญิง เพราะเห็นพวกฝรั่งเค้าเจอกันส่วนใหญ่เค้าจะไม่ยกมือไหว้หรอก ส่วนใหญ่ก็วิ่งเข้าหากันเช็คแฮนด์กัน ถ้าเป็นคนที่ใกล้ชิดกันอีกจะจูบแก้มกัน จูบปากกัน อย่างนั้นเป็นประเพณีของเค้า เราเป็นพระ ต้องเป็นผู้ทรงธรรมวินัย เราไปทำอย่างนั้นไม่ได้ บางทีมันจะย่อหย่อนอ่อนไปตามสิ่งแวดล้อมไม่ได้ พระคือพระธรรม พระวินัย เราต้องทรงไว้
สิ่งดีๆ เราต้องปฏิบัติไว้ ทรงไว้ เพราะเราเป็นพระคือผู้ที่เสียสละ เพราะคนเราถ้าไม่หิวก็ไม่ได้ทำใจ ถ้าไม่เจ็บไม่ป่วย เราก็ไม่ได้ทำใจ ถ้าไม่แก่ ไม่ตาย เราก็ไม่ได้ทำใจ ถ้าไม่ได้พลัดพราก เราก็ไม่ได้ทำใจ เพราะภพภูมิมนุษย์มันเป็นภพภูมิที่พอดีที่เราทุกคนที่จะได้ทำใจ และพัฒนาใจ เราต้องพัฒนาทั้งวัน เพราะครั้งพุทธกาล ถ้าพระไม่ป่วย ไม่มีพระนอนกลางวันหรอก ต้องเดินจงกรม นั่งสมาธิทำใจในปัจจุบัน ไม่ใช่พระจัดฉาก พระจัดฉากอย่างไร โยมมาที่ศาลานี้ตัวตรงทุกคน เวลากลับไปที่พักบางคนก็ไปนั่งพิงหมอน บางคนก็ไปนั่งพิงฝา ไม่สมาธิมันเสียเลย คิดว่าสมาธิมันทำได้ทุกอิริยาบถ นอนสมาธิก็ได้ มันไม่ได้ ทุกคนต้องทำใจพัฒนาใจ ทุกคนต้องพากันมาเสียสละไม่ว่าเราจะเป็นโยมเป็นประชาชน ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ที่มาบวชต้องเสียสละ ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก ทุกคนต้องตั้งใจพัฒนาใจตัวเอง ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา อย่าให้เราเป็นโมฆะบุรุษ อย่าให้เราเป็นโมฆะสตรี
อวิชชามันไม่เข้าใครออกใคร ความย่อหย่อนอ่อนแอมันก็จะมาอย่างนี้ บางทีมันก็ธุระมาก ทำวัตรเช้าก็ไม่เอา ทำวัตรเย็นก็ไม่เอา ย่อหย่อนอ่อนแอ มันไม่ขลัง ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ในธรรมวินัยนี้ จะพูดให้ดูแง่มุมของความเสื่อมจากพระศาสนานะ แต่พระศาสนาไม่เสื่อมหรอก เพราะศาสนามันเป็นอมตะ พวกเราจะทำความเสื่อม จะทำความเสียหายให้กุลบุตรลูกหลาน ที่จะไม่ได้รับผลประโยชน์จากศาสนา สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ ให้ทำบุญตักบาตร เพราะว่าเรานี้ไม่ได้เดินตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรากลับมาเป็นนิติบุคคล ตัวตน ความยึดมั่นถือมั่น มรรคผลนิพพานมันจะหมดจากครอบครัวของเรา
พระพุทธเจ้าตรัสสอนในเรื่องนี้ไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกว่า "เราทั้งหลาย จักไม่เป็น ผู้มักมาก, จักไม่เป็นผู้ร้อนใจเพราะความมักมาก, แต่เป็นผู้รู้จักพอด้วยผ้านุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และ หยูกยาแก้ไข้ ตามมีตามได้; จักไม่ตั้งความปรารถนาลามก เพื่อให้ได้รับการคอยเอาอกเอาใจจากคนอื่น และเพื่อให้ได้ลากสักการะและเสียงเยินยอ; จักไม่วิ่งเต้น ขวนขวาย พยายาม เพื่อให้ได้รับการคอย เอาอกเอาใจจากคนอื่น,และเพื่อให้ได้ลากสักการะและเสียงเยินยอ; จักเป็นผู้อดทนต่อหนาว ร้อน หิว ระหาย ต่อสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลานทั้งหลาย,ต่อถ้อยคำหยาบคายร้าย แรงต่างๆ, เป็นผู้อดทนต่อเวทนา ที่เกิดในกาย อันเป็นทุกข์ กล้าแข็ง เผ็ดร้อน ขมขื่น ไม่เจริญใจ ถึง ขนาดจะคร่าเอาชีวิตเสียได้" ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้อย่างนี้แล.”
พระพุทธเจ้าตรัสไว้เสมอในเรื่องกาม สมณะใดยังละกามไม่ได้ ผู้นั้นเป็นคนลวงโลก ใครทำบุญกับสมณะเช่นนั้น ย่อมไม่ได้บุญเลย เพราะไม่ใช่เนื้อนาบุญ ฉะนั้นผู้ใดทำบุญเพื่อให้ได้บุญแล้วก็จำเป็นต้องเลือกนะเนื้อนาให้ดีๆเสียก่อน นักบวชใดที่รู้ตัวว่าตนไม่ใช่เนื้อนาบุญก็รีบแก้ไขความบกพร่องเสีย มิฉะนั้นกินอาหารของชาวบ้านชาวเมืองเขาแล้ว จะต้องไปตกนรกเสวยวิบากกรรมมากมาย คนทั่วไปมักได้รับคำสั่งสอนอบรมมาผิดๆว่า ถ้าทำบุญตักบาตรถวายอาหารถวายข้าว แก่ภิกษุแล้วตนจะได้บุญมากตายแล้วจะได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นนั้น ผู้ที่หวังสวรรค์หรือความสุขในทางกามารมณ์ชั้นดีเยี่ยมอย่างพวกเทวดา จึงอุตส่าห์อดออมกิน อดออมอยู่ เพื่อเจียดเอาอาหารหรือข้าวของต่างๆของตนนำไปถวายภิกษุ อุตส่าห์ตื่นแต่เช้าทำอาหารอันตนเองไม่กล้าซื้อหรือทำกิน ได้ยินดีซื้อยินดีทำต่อให้ภิกษุ รายได้ของชาวสวนชาวนาไทย หมดไปไม่น้อยกว่า 60% เพื่อบำรุงภิกษุ ซึ่งส่วนมากเวลานี้ก็เป็นประเภทเนื้อนาที่ไม่เกิดบุญ เพราะท่านเหล่านั้นอย่างเต็มไปด้วยความอยากนานาประการ ชอบดูหญิง ฟังดนตรี ชอบดมของหอม ชอบแสวงหาอาหารเครื่องดื่มอันโอชารส ชอบสัมผัสทางกายให้เกิดอารมณ์ ไม่เห็นละกามให้ผิดไปจากฆราวาสเลย แล้วจะถือว่าตัวเองสูงกว่าชาวบ้านไปได้อย่างไร เป็นเนื้อนาบุญได้อย่างไร
ชอบแต่สอนให้คนเมาบุญมาสวรรค์ หลอกให้คนโง่บำรุงตน ให้เงินแก่ตน โดยอ้างว่าจะได้ไปเกิดในสวรรค์ในวิมาน อิ่มเอิบไปด้วยกามารมณ์ การสอนเรื่องสวรรค์ก็คือสอนคนให้ก่อเหตุชนิดที่ทำให้คนนั้นต้องเกิดอีก แก่อีก ตายอีก โศกอีก ร่ำไรรำพันอีก มีความทุกข์ใจคับแค้นใจ ไม่หลุดพ้นจากทุกข์ไปเช่นเดิม เวียนว่ายตายเกิดเช่นเดิม กิเลสตัณหาอุปาทานเช่นเดิม พระพุทธเจ้าชี้แจงเรื่องโทษของสวรรค์เอาไว้มาก แต่ภิกษุไม่กล้าบอกประชาชนเพราะกลัวว่าจะขาดคนปรนเปรอจึงสอนแต่เพียงว่าสวรรค์เป็นของที่มนุษย์ควรได้ในชาติหน้า นี่เป็นการผิดความประสงค์ของพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงมุ่งสอนคนมีให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งอะไรอะไร สอนคนไม่ให้โลภจึงแนะให้ทำทานเพื่อทำลายความตระหนี่และความเห็นแก่ตัวจัด ไม่ได้มุ่งให้คนเกิดปัญหาเกิดความอยากไปอยู่สวรรค์ ไปเสพกามคุณที่ดีเลิศ เพราะสวรรค์ก็ยังเป็นสภาพที่ไม่หมดความทุกข์ใจ ยังเต็มไปด้วยกิเลส คนที่ตายจากสวรรค์แล้วก็ตกนรกเสียเป็นส่วนมาก พระองค์จึงสอนให้มุ่งแต่พระนิพพาน กล่าวคือหมดความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งภิกษุไม่ยอมสอนกัน
ธรรมะที่ทำให้เราเป็น 'พระ' เบื้องต้น คือการลดมานะละทิฏฐิ ละความเห็นแก่ตัว ไม่เอาความสุขทางวัตถุ ไม่เอาความสุขทางเนื้อทางหนัง ลาภ ยศ สรรเสริญ จะเอาความสุขทางทำความดีมีศีลมีธรรม เอาความสุขทางการทำจิตใจให้สงบทางการเสียสละ เรื่องเงินเรื่องสตางค์ เรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เค้ามาพร้อมกับความดีของเรา โดยที่เราไม่ต้องไปอยากไปต้องการ อย่างเค้าให้เราเรียนหนังสือตั้งแต่อนุบาลจนถึงดอกเตอร์นี้ก็เพื่อเป็นคนดีเป็นคนเสียสละ ละความเห็นแก่ตัวความขี้เกียจขี้คร้าน อย่างให้เค้าเรียนนักธรรมตรีไปถึง ป.ธ.๙ ก็เพื่อเป็นคนดี เป็นคนเสียละความเห็นแก่ตัว
โลกเราที่มันร้อนอยู่นี้เพราะอะไร...? เพราะเราทุกๆ คนมีความเห็นแก่ตัวมันถึงได้สร้างปัญหา เราทำความดีมันมีแต่สงบมีแต่เย็นน่ะ ไม่มีใครมาได้เปรียบเรา เราไม่ได้เสียเปรียบใครหรอก การชนะจิตชนะใจตัวเองได้ คือการชนะข้าศึกทั้งหลายทั้งปวง พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสอนเราอย่างนี้นะ
ขึ้นชื่อว่า 'ความผิด' พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราคิด แม้แต่เราคิดก็ยังไม่ได้ เพราะว่าพระนิพพานมันเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ เราปกบิดคนอื่นได้ แต่เราปกปิดตัวเองไม่ได้ อินทรีย์บารมีของเรามันยังอ่อน ยังไม่แก่กล้า ให้เราถือนิสัย ถือวินัยของพระพุทธเจ้าไว้ ให้มีความเชื่อ มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าไว้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าพาเราทำอย่างนี้ อย่างนี้ ท่านถึงได้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านถึงได้เป็นพระอรหันต์
ให้ทุกท่านทุกคน ตั้งใจดีๆ อธิษฐานจิตให้ดีๆ ให้มีหลัก ให้มีเกณฑ์ แล้วก็บังคับตัวเองอย่าให้คนอื่นบังคับ "การบังคับตัวเองเขาเรียกว่า ศีล" เมื่อ 'ศีล' เข้าถึงจิต ถึงใจ ถึงเจตนา สมาธิที่มันเป็นธรรมชาติ ที่มันเป็นกฎของธรรมชาตินั้น มันจะเกิดขึ้นมาเอง ปัญญาตัวที่ดับทุกข์ที่แท้จริงมันถึงจะเกิดศีล สมาธิ ปัญญา มันจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
อาการที่มันรักษาศีล อาการที่มันนั่งสมาธิ อาการที่มันทำข้อวัตรปฏิบัติก็กลัว นี้ก็คือ "อาการของกิเลสที่มันกลัว" มันกลัวที่จะหมดภพหมดชาติ มันกลัว มันอาลัยอาวรณ์ มันไม่อยากไปพระนิพพาน มันอยากจะขออยู่ต่อ
เหมือนเราเกิดมานี้ ถึงจะทุกข์ยากลำบากด้วยการดำรงธาตุดำรงขันธ์ทั้งการทำมาหากิน แต่ทุกๆ คน มันก็ไม่อยากตาย
กิเลส อวิชชา-ตัณหา-อุปาทาน มันก็ไม่อยากตายเหมือนกัน มันติดอดีต ติดภพติดชาติ มันติดพ่อ ติดแม่ ติดลูกติดหลาน มันติดสมบัติข้าวของเงินทอง มันติดมาก ติดจริงๆ นี้คือเรื่องอวิชชา เรื่องความหลง เรื่องตัว เรื่องตน เรามันถึงเป็นคนอ่อนแอ มาบวชมาปฏิบัติ มันก็ไม่ยอมปฏิบัติ เขาแต่งตั้งให้เป็นพระก็ไม่ยอมเป็นพระ
"อุปัชฌาย์กรรมวาจา คณะสงฆ์ สวดจนเหนื่อย ถ้าเราคิดดูดีๆ นะ เราก็ยังชื่อว่าเป็นพระแต่งตั้ง หรือว่ายังเป็นพระปลอมอยู่ มันเป็นพระที่ตัวหนังสือนะ ไม่ได้เป็น 'พระที่จิตที่ใจ' มันยังมาต่อต้านคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วมันก็มาละเมิดคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านกล่าวไว้ว่า "ในอนาคตจะมีบุคคลที่มาเอาพระพุทธศาสนา เป็นที่ทำมาหากิน ด้วยการสมัครรับแต่งตั้งว่าจะเป็นสุปฏิปันโน ว่าจะเป็นผู้ปฏิบัติดีผู้ปฏิบัติชอบเพื่อสิ้นอาสวะ แต่แล้วไม่ได้ประพฤติปฏิบัติทำตามที่ให้สัจจะคำมั่นสัญญาไว้ จะด้วยเจตนาก็ดี จะด้วยไม่เจตนาก็ดี จะด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี"
ขอให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณาตัวเอง ว่าตัวเองได้เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตรงต่อพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ดีแล้วหรือยัง ถ้ายัง... พวกเราและท่าน ให้ยกระดับจิตใจ ให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ มิฉะนั้น เราจะได้ชื่อว่า เป็น 'พระปลอมทางจิตทางใจ' เดี๋ยวนี้ท่านกำลังเป็นแค่ 'พระจริงทางกาย' เรานี่แหละ ที่ยังเป็นพระหนุ่ม หรือว่าเป็นพระแก่ๆ เรานี่แหละ จะเป็นครูบาอาจารย์
เมื่อเรา...จิตใจของเราไม่เป็น 'พระ' เราจะเอาอะไรไปเป็นครูบาอาจารย์เล่า?
ปฏิปทาที่เข้มแข็ง หนักแน่น เด็ดเดี่ยว ทุกท่านทุกคนต้องทำได้ ถ้าทำไม่ได้แล้ว ถ้าเราไม่ตั้งใจแล้วเราสมควรแล้วหรือ...ที่จะบริโภคอาหาร ปัจจัยสี่ของประชาชน มันสมควรแล้วหรือ...ที่จะให้ประชาชนเขากราบ เขาไหว้
เขาไหว้ 'พระ' นะ พระ...ก็พระจริง ไม่ใช่...พระปลอม
พระปลอม คือ "พระอลัชชี' พระไม่มีความละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป ละเมิดพระวินัย เมื่อละเมิดพระวินัยแล้วก็ละเมิดธรรม ถึงจะห่มผ้าเหลืองโกนหัว มันก็เป็นได้แต่เพียง 'พระแต่งตั้ง' เราที่เป็นพระสมมุติด้วยกันก็ไม่อยากกราบ โยมก็ไม่อยากกราบ อยากไหว้ กราบไหว้ตามโลกสมมติ มันก็ฝืนใจ
เราเป็นญาติเป็นโยมก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เราบริโภคปัจจัยสี่ ข้าวของ เงินทอง มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
เราเกิดมาทั้งที ในชาตินี้เราต้องทำความดีให้ถึงที่สุด อย่าให้สิ่งไม่ดีมาทำลายพระศาสนาอันบริสุทธิ์ เราใช้ชีวิตไม่เกิน ๑๒๐ ปี ก็จากโลกนี้ไป เราจึงต้องมาคิดดีพูดดีทำดี เพื่อมาสร้างแสงสว่าง คือ มรรคผลนิพพานให้แก่ตนเอง ให้แก่ศิษยานุศิษย์ ให้แต่กัลยาณมิตรผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย เพราะพระมหาเถระทั้งหลายก็มาจากพระเด็กๆ ที่จะไปเป็นพระผู้ใหญ่ในอนาคต สมัยเด็กๆ อาจจะหย่อนไปบ้าง แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องมาปรับปรุงแก้ไข จะไปทำเหมือนตอนเป็นเด็กไม่ได้
ที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ว่ามานี้ ไม่ได้ว่าให้พระนะ พระคือพระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ ท่านเป็นพระอริยเจ้าผู้ประเสริฐ จะไปว่าไปกล่าวให้ท่านไม่ได้ หากไปกล่าวจาบจ้วงล่วงเกินท่าน ก็เป็นอริยุปวาทันตราย คือการกล่าวร้ายพระอริยเจ้า ก็เป็นอันตรายอย่างหนึ่งในการขัดขวางต่อการบรรลุพระนิพพาน ถึงขนาดว่า หากพระอริยเจ้าที่เราเคยกล่าวล่วงเกินนั้น ท่านละสังขารไปแล้ว หากยังไม่ได้ขอขมาท่าน ต้องไปขอขมาต่ออัฐิของท่านจึงจะพ้นโทษได้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ แต่ที่กล่าวมานี้ คือกล่าวถึงผู้หลงผิดปฏิบัติผิด ตามอวิชชาความหลง ตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึก ตามมิจฉาทิฏฐิของตนเอง เลยเป็นอลัชชี ที่ได้พากันลาสิกขาบท ลาจากศีลจากวินัยของพระพุทธเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ร่างกายจะครองผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ก็ตาม เพราะไม่ได้ประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน
ในโอกาสนี้ ถือว่าเป็นโอกาสสำคัญที่ทุกท่านทุกคน จะได้ฝึกจะได้ปฏิบัติขัดเกลากิเลสอาสวะของตัวเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัด หรือจะอยู่ในบ้านอยู่ที่ไหน ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตัวเองทั้งหมด เราอยู่ที่ไหนเราก็แก่ เราก็เจ็บ เราก็ตายเหมือนกันหมด 'สัจธรรม' คือความจริงเค้าไม่ได้ยกเว้นใคร
มนุษย์เราถึงเป็นผู้ที่โชคดี ได้พบพระพุทธเจ้า ได้พบพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรียกว่าได้ พบกับบัณฑิต ที่พื้นฐานของเราที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน เรียกว่าพื้นฐานที่เราได้เกี่ยวข้องกับพ่อกับแม่กับญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ก็ถือว่ายังเป็นสามัญชนอยู่ ยังไม่ปลอดภัย เราทุกคนควรจะศึกษาให้เข้าใจ เราต้องเข้าสู่กระบวนการ เข้าสู่ทาง super highway ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามนุษย์เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง การทำงานของเรานั้นคือความสุข การเรียนหนังสือคือความสุข ถ้าเรามีความสุขในการเรียนหนังสือหรือว่าในการทำงาน สมองไม่ดีมันก็จะดี ถ้าเราคิดว่าเรียนหนังสือเพราะจำเป็น ทำงานเพราะจำเป็น มันเป็นการทำลายระบบสมองสติปัญญา เหมือนกับเรามีบาดแผลอยู่แล้ว เราก็เอาไปย้ำแผลมันก็ยิ่งจะเสียหาย ความสุขความดับทุกข์ของเราต้องมีอยู่ที่ปัจจุบัน เราถึงเข้าสู่ศีล เข้าสู่สมาธิ เข้าสู่ปัญญา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเป็นนักบวช หรือว่าจะเป็นประชาชนผู้ครองเรือนก็ต้องไปทางนี้ ผู้บวชก็เป็นถึงพระอรหันต์ ผู้ที่ครองเรือนก็สามารถถึงพระอนาคามี และเป็นสิ่งที่ไม่หมดสมัยไม่ล้าสมัย
ความงามของพระพุทธเจ้าคืองามที่ศีล สมาธิ ปัญญา สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ไม่ตามใจตัวเอง ไม่ตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ตามความรู้สึกตัวเอง รักษาพระวินัยน้อยใหญ่ ให้มีความสุข เขาเรียกว่าความงามทางจิตใจ จิตใจสะอาด สว่าง สงบ จิตใจไม่เศร้าหมอง งามท่ามกลางคือสมาธิ เป็นสัมมาสมาธิ นิวรณ์ครอบงำไม่ได้ งามที่สุดคือปัญญาที่พาไปสู่ความดับทุกข์ ต้องงามอย่างนี้...
คนเราทุกคนต้องรู้จักนะ เดี๋ยวนี้เป็นปัจจุบัน อีกหลายวันหลายเดือนหลายปี มันจะเป็นปัจจุบันอย่างนี้ เพราะมันจะเป็นพื้นเป็นฐานให้อินทรีย์บารมีของเราเเก่กล้าไปเอง ทุกท่านทุกคนต้องเน้นมาหาปัจจุบัน พระนิพพานอยู่ไม่ไกลอยู่ที่ปัจจุบันนี้เเหละ สวรรค์ก็อยู่ไม่ไกล อยู่ที่ปัจจุบัน เราทำตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ได้สวรรค์อยู่เเล้ว ได้พรหมอยู่เเล้ว เพราะนี้เป็นถนนผ่าน เป็นทางซุปเปอร์ไฮเวย์ผ่าน เราอย่าพากันฟุ้งซ่านไปไกลเกิน เราต้องเน้นตรงที่ปัจจุบัน คนเราทุกคนมันเห็นเเก่ตัว มันขี้เกียจขี้คร้านอย่างนี้ เราไม่ต้องไปสนใจมัน เจ้านี้เจ้าสักกายทิฏฐิ เจ้าตัวเจ้าตน เจ้ายึดมั่นถือมั่น มันจะขี้คร้านติดสุขติดสบาย ติดเรื่องอยู่เรื่องกิน เรื่องเที่ยว อันนี้เป็นเจ้าอารมณ์ เป็นวัฏฏะสงสาร เราอย่าไปสนใจมัน ใจเรามันล่องลอยเดี๋ยวก็จะไปโน่น เดี๋ยวก็จะไปนี้
ปัจจุบันนี้เเหละ ปัจจุบันเราต้องรู้จัก คนไม่ตายมันก็คิดอย่างนี้แหละ ความคิดนี้ มันเปิดโอกาสให้เราได้ฝึกใจ ให้เป็นผู้มีศีลมีสมาธิ มีปัญญา พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่า เรารู้จักเจ้าเสียเเล้ว เจ้าจะทำบ้านทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป ความคิดความปรุงเเต่ง เราต้องรู้จักความคิด รู้จักอารมณ์มันอยากไป เราก็ไม่ไป อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่กับปัจจุบันนี้เเหละ มันอยากไปเราก็ไม่ไป มันไม่อยากรักษาศีล มันไม่อยากนั่งสมาธิ มันไม่อยากทำงาน มันไม่อยากเสียสละ เราต้องรู้จักว่าอันนี้เป็นบารมีหรือความดี ที่ให้เราทุกท่านทุกคนพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เพื่อจะได้ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกให้พระที่มาบวชใหม่ ให้พากันฝึกติดต่อกัน ๕ ปี ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ๕ ปี ระบบความคิด ระบบคำพูด ระบบกิริยามารยาทการกระทำ ก็เพื่อเสียสละละซึ่งตัวซึ่งตน ถ้า ๕ ปี ไม่เปลี่ยนแปลงแสดงว่าเราไม่ปฏิบัติ หรือปฏิบัติกระท่อนกระเเท่น ไม่ติดต่อต่อเนื่องมันก็เป็นไปไม่ได้ พ่อเเม่เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นตัวอย่างเเบบอย่างคอยบอกคอยสอนคอยให้สติ ถ้าเรามีศีลลูกมันก็ฟังอยู่หรอก หลานมันก็ฟังอยู่หรอก ครูบาอาจารย์ ถ้าเรามีศีลมีธรรม มีคุณธรรม พระเณรเเม่ชี โยมปฏิบัติธรรมเค้าก็ฟัง
ทุกท่านทุกคนต้องพากันมาเเก้ที่เราที่ตัวเรา ชีวิตของเราจะได้สงบจะได้เย็นใจของเราจะเข้าถึงความเป็นมนุษย์ ถึงเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้าตั้งเเต่ในปัจจุบัน ต้องทำไปตามหลักเหตุตามหลักผล ทุกอย่างมันก็ดี พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้เรามาติด เพราะทุกอย่างต้องมีอยู่มีใช้เหลือกินเหลือใช้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาความสุขเเค่นี้ ต้องมาเสียสละ เอาภาวนาวิปัสสนา มาพิจารณาว่า สิ่งที่มาเกิดที่ใจของเรา มันไม่เเน่ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนทั้งนั้นนะ แล้วทุกอย่างก็ย่อมต้องผ่านมาผ่านไป ถ้างั้นเราจะติด ติดเป็นไวรัส เป็นไข้ เป็นมะเร็ง เป็นโควิด
ความสุขทุกคนมันเป็นสิ่งเสพติด ทุกคนมันชอบมันติดเราทุกคนจำเป็นต้องทำใจเฉยๆ น่ะ เดินหน้าประพฤติปฏิบัติธรรม
คำว่า 'ติด' ทุกคนก็รู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันถึงติด จิตใจเราจำเป็นจะต้องเดินหน้าไป ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง อย่าไปเสียดงเสียดายอาลัยอาวรณ์มัน แข็งใจสู้มัน มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถือว่าเราได้เดินตามรอยบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐยิ่งกว่า จงดีใจจงภูมิใจในตัวเอง ในการประพฤติปฏิบัติของตัวเองว่าเราได้เดินทางมาดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ชื่อว่า "สุคโต ปฏิบัติธรรมด้วยความสุข"
ทุกคนถ้ามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องไม่มีคำว่าสาย ถึงแม้จะอายุ ๘๐ - ๙๐ ปี ก็ไม่มีคำว่าสาย ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุสฺสีโล อสมาหิโต เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย สีลวนฺตสฺส ฌายิโน ฯ
ผู้มีศีล มีสมาธิ ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี ของคนทุศีล ไร้สมาธิ
มุนีผู้ประเสริฐกล่าวเรียกผู้ที่มีความเพียรอยู่อย่างนี้ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืน ว่าเป็นผู้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวก็น่าชม