แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๘๙ ให้พากันรู้ตัวเองว่า ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ เกิดมาเพื่อหยุดวัฏฏะสงสาร เดินทางไปสู่มรรค ผล พระนิพพาน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
มนุษย์ทุกคนให้พากันรู้ตัวเอง ว่าผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อหยุดวัฏฏะสงสาร เดินทางไปสู่มรรคผลพระนิพพาน การปฏิบัติของเราอยู่ที่ปัจจุบัน อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทุกท่านทุกคนปฏิบัติได้เหมือนกันหมด เราต้องพากันรู้ คำว่าพระ คือพระธรรมะ คือพระวินัย พระนั้นเขานับตั้งแต่พระโสดาบันไปถึงพระอรหันต์ ประชาชนทุกคนก็จะเป็นพระได้ เหมือนกันทุกคน ที่ไม่ได้บวช ไม่ว่าเราจะเป็นศาสนาใด ก็คือศาสนาเดียวกัน คือธรรมะ แต่เราอาจจะมีชื่อแตกต่างกัน
ทุกคนเกิดมาต้องมีความเห็นอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ เราจะได้หยุดการแตกแยก หยุดที่มีความเห็นแก่ตัว ที่พากันแย่งวัตถุกัน แย่งขยะกัน กัดกัน พกเงิน พกสตางค์ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเรามีคึวามเห็นผิดเข้าใจ เราก็จะได้เป็นคนรวยอย่างโง่ๆ คนรวยอย่างไม่มีปัญญา มีความสะดวกสบาย มีวิมานเหมือนเทวดามันก็เป็นความหลง ทุกๆ อย่างมันตั้งอยู่ที่กฎพระไตรลักษณ์ กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ อยู่ในโลกนี้ มนุษย์ก็ต้องมีบ้าน มีที่อยู่ แล้วก็มีพระศาสนา มีโรงเรียนเพื่อเป็นโครงสร้าง ทุกคนจะอยู่แห่งหนตำบลใดก็สามารถเข้าถึงความดับทุกข์ได้เหมือนๆ กัน เพราะมันอยู่ที่เราทุกคน อยู่ที่ปัจจุบัน ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เรียกว่าสัมมาสมาธิ หนทางเดินของเราคือเอาธรรมะเป็นทางเดิน ที่ศาสนาพุทธของเราเรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ ให้เข้าใจนะ เราจะได้เข้าใจโคงสร้างชีวิตของเรา เราจะได้ไม่หลงงมงาย เป็นวิทยาศาสตร์ ความหลง งมงาย เขาเรียกว่าไสยศาสตร์
ทุกท่านทุกคนต้องพากันมาประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นมันเสียหาย เสียทรัพยากรอันประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราปล่อยเวลามันผ่านไปๆ เรายังไม่ได้ทำ กาย วาจา ใจ เราไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยี ไปตามหลักเหตุผล หลักวิทยาศาสตร์ มีความสะดวก มีความสบาย แล้วก็ไม่หลง ให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วทุกคนต้องประพฤติปฏิบัติ เพราะการปฏิบัตินั้น ทุกท่านทุกคนต้องพากันปฏิบัติที่ตัวของท่านเอง ไม่มีใครปฏิบัติให้เราได้ เราจะไปเดินไปสู่ธรรมนูญ คือเอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นหลัก เพราะประชาธิปไตยที่ประกอบด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ทาง สังคมนิยมที่เห็นแก่ตัวนั้นก็ไม่ใช่ทาง เราต้องปรับตัวเองเข้าหาธรรมนูญอย่างนี้ ทุกท่านทุกคนต้องพากันปิดอบายมุขอบายภูมิของตัวเอง เรามีบ้าน มีรถ มีลาภ ยศ สรรเสริญ ของใช้ในชีวิตประจำวัน ผัสสะทั้งหลายทั้งปวง จะเป็นอากาศร้อน อากาศหนาว ทุกสิ่งทุกอย่างให้เรารู้จักเพราะเราต้องมีสัมมาสมาธิ เราอย่าไปใจอ่อนตาม ทุกท่านทุกคนต้องเสียสละ เพราะทุกข์เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องรู้จัก เมื่อรู้จักแล้วก็ไม่เพิ่ม ไม่ต้องไปลด อย่างนี้เขาเรียกว่ามรรค หนทางปฏิบัติจิตใจของเรา เมื่อเราทำอย่างนี้ มันก็จะหยุด เย็น เพราะว่ามันเป็นมรรค โสดาปัตติมรรคมันก็จะเย็นเป็นแอร์คอนดิชั่น เป็นความอบอุ่นที่ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ไปแก้ไขต่อเติม เพราะทางเรื่องจิตใจมันไม่ใช่วัตถุ มันต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้ ทุกคนอบรมบ่มอินทรีย์เขาเรียกว่าบวช ทำอย่างนี้ดี มีความสุข เราอย่าไปคิดว่าเราเป็นประชาชน สิ่งแวดล้อมมันไม่อำนวย เราต้องแก้ที่ใจของเรา อยู่ที่ไหนเราก็ต้องมีศีลอยู่ที่นั้น มีสมาธิ มีปัญญาอยู่ที่นั้น แล้วแต่สิ่งแวดล้อม เน้นที่จิตที่ใจ
พวกที่เป็นพระวัดบ้าน เราต้องทำอย่างนี้ เพราะความเป็นพระ ประชาชนเขาก็ยังเป็นพระได้จนถึงพระอนาคามีเป็นต้น พระที่พากันไปทำความเพียร โยมอุปัฏฐากดูแลพระ ๖๐ รูป ปรากฏว่าโยมได้เป็นพระอริยเจ้าก่อน เพราะพระจะไปแก้ไขอย่างโน้น อย่างนี้ อยากบรรลุโน้น บรรลุนี้ ใจไม่สงบ ใจไม่เย็น อย่างนี้ให้เข้าใจ ครั้งพุทธกาลที่ได้ฟังธรรมะต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า เข้าใจ ประชาชนก็ได้เป็นพระอรหันต์กันได้ฟังเป็นพระอริยเจ้ากัน ไม่เกี่ยวกับเป็นพระกับเป็นโยม
ภิกษุประมาณ ๖๐ รูป เรียนกรรมฐานตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงพระอรหัตในสำนักของพระพุทธเจ้า แล้วเดินทางไปอยู่จำพรรษาที่ "มาติกคาม" เป็นหมู่บ้านที่มีคนอยู่หนาแน่นใกล้กับเชิงเขา ภายในแว่นแคว้นของพระเจ้าโกศล (= แคว้นโกศล) มารดาของเจ้าของเรือน (แม่ของเจ้าของเรือน เป็นเรือนที่มีทาสและกรรมกรอยู่อาศัยด้วย) หลังหนึ่ง เห็นพวกภิกษุกำลังเดินมาก็นิมนต์ให้ฉัน และนิมนต์ให้อยู่จำพรรษา ณ วิหาร (ใกล้หมู่บ้านนี้มีวิหารที่ภิกษุพวกอื่นเคยอยู่พำนักกัน ซึ่ง ขณะนี้ยังไม่มีภิกษุ) เมื่อพวกท่านรับนิมนต์แล้ว
มหาอุบาสิกา (นางมาติกมาตา = มารดาของเจ้าของเรือนชาวมาติกคาม) ก็ให้คนไปทำ ความสะอาดวิหารที่อยู่ของภิกษุเหล่านั้น
เข้าพรรษาแล้ว ภิกษุเหล่านั้นทำกติกากันว่า จะอยู่อย่างไม่ประมาท ไม่ควรอยู่ร่วมกัน ๒ รูป ควรแยกกันอยู่ เพื่อปฏิบัติกรรมฐานตามที่เรียนมาจากสำนักพระศาสดาจะรวมกัน ๒ เวลา คือ เวลาเย็น ทำวัตรแก่พระเถระ และเวลาบิณฑบาตเท่านั้น..
เวลาเย็นวันหนึ่ง มหาอุบาสิกาให้คนถือเภสัชต่างๆ เข้ามาในวิหารเวลาใกล้ค่ำไม่เห็นภิกษุ ประชาชนที่เข้ามาในวิหารก่อนหน้านั้นจึงบอกถึงกติกาว่า ถ้าจะพบภิกษุก็พึงตีระฆัง, เมื่อตีแล้ว นางก็เห็นภิกษุเดินมาจากทางนั้นทางนี้ทีละรูป นางคิดว่า พวกภิกษุคงทะเลาะกันจึงสอบถาม พวกท่านชี้แจงว่า ไม่ได้ทะเลาะวิวาทกัน แต่แยกกันทำสมณธรรม นางถามว่า สมณธรรมคืออะไร? ขอให้สอนให้บ้าง ภิกษุจึงสอนให้พิจารณาอาการ ๓๒ (กายคตาสติ) และวิปัสสนา
นับแต่วันนั้น นางก็สาธยายอาการ ๓๒ และเจริญวิปัสสนา (บรรลุฌานในอาการ ๓๒ คือ ปฐมฌานแล้วใช้ฌานเป็นบาทเจริญวิปัสสนา) ไม่นานก็บรรลุมรรค ๓ ผล ๓ (= เป็นพระอนาคามี) ทั้งยังได้ปฏิสัมภิทา ๔ และโลกียอภิญญาด้วย มหาอุบาสิกาใคร่ครวญดูว่า ภิกษุเหล่านั้นบรรลุมรรคผลกันหรือยัง? ก็พบว่า พวกท่านยัง ไม่บรรลุฌานและวิปัสสนาเลย เป็นเพราะอะไรหนอ? ก็พบว่าพวกท่านยังไม่ได้อาหารที่สัปปายะ, นางจึงเอาใจใส่จัดแจงอาหารรสเลิศให้ทุกๆ วัน ไม่กี่วันต่อมา พวกท่านก็บรรลุพระอรหัตพร้อม ทั้งปฏิสัมภิทา ๔ พวกท่านรู้อุปการะว่า การบรรลุมรรคผลของพวกเราสำเร็จได้เพราะมีมหา อุบาสิกาเป็นที่พึ่ง ครั้นออกพรรษาแล้ว พวกท่านบอกลา มหาอุบาสิกาว่า พวกเราจะไปเข้าเฝ้า พระศาสดา นางกล่าวว่า "ดีแล้ว ต่อไปก็ขอให้พวกพระผู้เป็นเจ้าพึงมาเยี่ยมดิฉันบ้างนะ" ภิกษุ เหล่านั้นเข้าเฝ้าในพระเชตวัน ถวายอภิวาทแล้ว ทรงไต่ถามถึงความเป็นอยู่ตลอดพรรษาที่ผ่านมา ...ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลเรื่องมหาอุบาสิกานั้น และการได้รับอุปการะจากนางอย่างดี เพราะ นางรู้วาระจิต ได้จัดทำอาหารที่เหมาะสมตามที่พวกภิกษุคิด ทำให้พวกเราไม่ลำบากในเรื่อง อาหารเลย พระพุทธเจ้าข้า
ภิกษุรูปหนึ่งได้ยินภิกษุเหล่านั้นสรรเสริญมหาอุบาสิกาแล้ว ต้องการจะไปอยู่ยังที่นั้นบ้าง จึงทูลขอเรียนกรรมฐานในสำนักพระพุทธเจ้าแล้วเดินทางไป ถึงมาติกวิหารแล้วคิดว่า "เราเหนื่อยมาก เราอยากให้อุบาสิกาส่งคนมาปัดกวาดวิหารให้ที่" มหาอุบาสิการู้ความคิดของท่านแล้ว จึงส่งคนมาทำความสะอาดให้...ท่านคิดอยากได้น้ำดื่ม...ข้าวยาคูและแกงอ่อมตอนเช้า...อุบาสิกา ก็จัดให้คนนำมาถวายตามที่ท่านคิดทั้งหมด, ท่านคิดอยากพบตัว...มหาอุบาสิกาก็มาพบท่านที่ วิหาร, ภิกษุถามตรงๆ ว่า อุบาสิการู้จิตของคนอื่นหรือ...
นางยอมรับว่า "ใช่จ๊ะ" ภิกษุคิดทันทีว่า "แย่แล้วเรา เราเป็นปุถุชนย่อมคิดโน่นคิดนี่ อุบาสิกาก็จะรู้ทุกอย่างที่เราคิด เราไม่ควรอยู่ที่นี่ อุบาสิกานี้ ก็พึงยังเราให้ถึงซึ่งประการอันแปลก เหมือนจับโจรที่มวยผมพร้อมด้วยของกลางฉะนั้น, เราควรหนีไปเสียจากที่นี้" แล้วกล่าวว่า อาตมาขอลากลับไปหาพระศาสดา, แม้นางจะนิมนต์ให้อยู่ท่านก็ไม่ยอมอยู่
ภิกษุนั้นเดินทางกลับมายังพระเชตวัน พระศาสดาตรัสถามว่า ทำไมไม่อยู่ที่มาติกคาม? ท่านทูลว่า "กลัวอุบาสิกาล่วงรู้ความคิด" ตรัสว่า "เธอควรไปอยู่ที่นั่น เธอพึงทำการรักษาจิต เพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็พอ เพราะจิตรักษาได้ยาก เธอจงข่มจิตไว้ให้ได้อย่านึกถึงอารมณ์อะไรๆ การข่มจิตทำได้ยาก" แล้วตรัสภาษิตนี้ว่า
ทุนฺนิคฺคหสฺส ลหุโน ยตฺถ กามนิปาติโน จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ
การฝึกจิตอันข่มได้ยาก เป็นธรรมชาติเร็ว มักตกไปในอารมณ์ตามความใคร่ เป็นการดี (เพราะว่า) จิตที่ฝึกแล้ว ย่อมเป็นเหตุนำสุขมาให้.
ธรรมดาจิตนี้อันบุคคลย่อมข่มได้โดยยาก เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ทุนฺนิคฺคหํ.
จิตนี้ย่อมเกิดและดับเร็ว เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ลหุ ซึ่งจิตอันข่มได้ยาก อันเกิดและดับเร็วนั้น.
บาทพระคาถาว่า ยตฺถ กามนิปาติโน ความว่า มักตกไปในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนั่นแล. จริงอยู่ จิตนี้ย่อมไม่รู้จักฐานะอันตนควรได้ หรือฐานะอันไม่ควรได้, ฐานะอันสมควรหรือฐานะอันไม่สมควร ย่อมไม่พิจารณาดูชาติ ไม่พิจารณาดูโคตร ไม่พิจารณาดูวัย, ย่อมตกไปในอารมณ์ที่ตนปรารถนาอย่างเดียว. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “มักตกไปในอารมณ์ตามความใคร่.”
การฝึกจิตเห็นปานนี้นั้น เป็นการดี คือความที่จิตอันบุคคลฝึกฝนด้วยอริยมรรค ๔ (โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค)ได้แก่ ความที่จิตอันบุคคลทำแล้วโดยประการที่จิตสิ้นพยศได้ เป็นการดี.
ถามว่า “เพราะเหตุไร?” แก้ว่า “เพราะว่า จิตนี้อันบุคคลฝึกแล้ว ย่อมเป็นเหตุนำสุขมาให้ คือว่า จิตที่บุคคลฝึกแล้ว ได้แก่ทำให้สิ้นพยศ ย่อมนำมาซึ่งความสุขอันเกิดแต่มรรคผล และสุขคือพระนิพพานอันเป็นปรมัตถ์.”
ภิกษุนั้นกราบทูลลาไปยังมาติกคามอีกครั้ง ฝ่ายอุบาสิกาทราบด้วยทิพยจักษุว่า ภิกษุนั้นรับพระโอวาทและกำลังเดินทางมา จึงให้จัดอาหารถวาย...ภิกษุมาอยู่ได้ ๒-๓ วันเท่านั้น สำรวม จิตกระทำสมณธรรมแล้วบรรลุพระอรหัต (= เป็นพระอรหันต์)
วันหนึ่ง ท่านก็ใคร่ครวญว่า มหาอุบาสิกานี้ เคยเป็นที่พึ่งของเราในอัตภาพก่อนๆ บ้าง หรือไม่หนอ? ก็ระลึกชาติย้อนหลังก็ไปพบว่า ในอัตภาพที่ ๙๙ (นับย้อนจากชาติปัจจุบันไป) นางเคยเป็นภรรยาของเรา (บริจาริกา) และนางได้นอกใจเรา (ผู้เป็นสามีในขณะนั้น) ได้ร่วมมือ กับชายชู้ฆ่าเรา โอ้ นางเคยทำกรรมหนักมาแล้ว
ฝ่ายมหาอุบาสิกาก็ใคร่ครวญดูว่า ภิกษุผู้เป็นบุตรของเรา ทำกิจของบรรพชิตถึงที่สุดหรือ ยังหนอ? (= บรรลุพระอรหัตหรือยัง?) รู้ว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงปลื้มใจมาก แล้วระลึกชาติ ตรวจดูว่าเราเคยเกี่ยวข้องกับภิกษุนี้มาก่อนหรือไม่? ก็ระลึกพบเรื่องราวเช่นเดียวกับที่ภิกษุระลึกได้ นางคิดว่า "พระเถระเห็นโทษของเราครั้งเมื่ออัตภาพที่ ๙๙ นั้นแล้ว เราเคยทำกรรมหนักไว้" แล้วคิดว่า เราเคยทำอุปการะต่อภิกษุนี้ไว้บ้างหรือไม่หนอ? ก็ระลึกไปพบว่า ในอัตภาพที่ ๑๐๐ เราก็เป็นภรรยาและได้ให้ชีวิต (ชีวิตทาน) ในสถานที่เป็นที่ปลงจากชีวิตแห่งหนึ่ง" (ท่านไม่ได้ ระบุว่า นางยอมตายแทนด้วยเรื่องอะไร อาจหมายถึง ช่วยสามีจนตัวตายเองหรือช่วยสามีให้พ้น เงื้อมมือศัตรูก็ได้) นางดีใจว่า ได้เคยทำอุปการะแก่ภิกษุรูปนี้ และขณะที่ยังนั่งอยู่ในเรือน นางก็ (ใช้ฤทธิ์) กล่าวให้ภิกษุได้ยินว่า "ขอท่านจงใคร่ครวญไปยังอัตภาพที่ ๑๐๐"
พระเถระได้ยินแล้วด้วยทิพยโสตก็ระลึกไปและรู้เห็นเหตุการณ์นั้น ท่านคิดว่า "น่าปลื้มใจนัก อุบาสิกาได้เคยช่วยเหลือเราไว้" เกิดความร่าเริงแสดงธรรมว่า ด้วยมรรค ๔ ผล ๔ แก่มหาอุบาสิกา, จบแล้ว ท่านก็ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ครั้งพุทธกาลที่ได้ฟังธรรมะต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า เข้าใจ ประชาชนก็ได้เป็นพระอรหันต์กันได้ฟังเป็นพระอริยเจ้ากัน ไม่เกี่ยวกับเป็นพระกับเป็นโยม ความเป็นพระนั้นมันอยู่ที่ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ให้เข้าใจอย่างนี้ ทุกท่านทุกคนจะได้ปฏิบัติให้เข้าใจ ให้มันทันสมัย อยู่ทุกหนทุกแห่ง เราต้องพากันปฏิบัติอย่างนี้ ทุกท่านทุกคนเมื่อรู้แล้วไม่ปฏิบัติ เขาเรียกว่ามันเป็นนักปรัชญาเฉยๆ มันไปบอกสอนคนอื่นมันก็แค่จิตวิทยา ยังไม่ได้เข้าถึงกฎแห่งกรรม
พวกที่บวชมาในเมืองไทย เมืองลาว เมืองต่างๆ พวกมหายานทั้งหลาย เราก็อย่าไปเอาเปรียบประชาชน เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติทางกาย วาจา ใจ สิกขาบทน้อยใหญ่เราอย่าไปทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึกตัวเอง อย่าไปถือนิสัยตัวเอง ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า พวกนี้เพราะว่าเรื่องพระศาสนามันไม่เหมือนกฎหมายบ้านเมือง มันเป็นธรรมวินัยที่เราทุกคนจะได้ฝึกจิตฝึกใจ แล้วเราก็ไม่ต้องถามคนอื่นว่าถูกหรือไม่ถูก สิ่งไหนมันแก้ใจของตัวเองได้ มันก็ต้องถูก เพราะจริตของเราทุกคน มันชอบอันไหน เรารู้แล้ว เราเข้าใจแล้วเราก็ไม่ไปคิด หลายวันมันก็สงบลง เย็นลง มันก็ถูกกับจริตของเรา การบรรลุธรรมเขาถึงไม่ต้องไปถามคนอื่น เพราะตัวเองก็รู้อยู่แล้ว ตัวเองปวดท้องมันก็รู้ตัวเองอยู่แล้ว ว่าต้องไปเข้าห้องน้ำ ตัวเองหิวข้าวก็ต้องทานข้าว เราต้องประกอบความเพียร ทุกคนมีตำแหน่งที่ดีแล้วประเสริฐแล้ว ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ อย่าให้มันเสียหาย เสียเวลา เราขอโอกาส ขอเวลาไปเรื่อยไม่ได้ เราหน่ะทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง มันเป็นคนใจอ่อน ไม่มีสัมมาสมาธิ อันนี้มันเป็นไสยศาสตร์เป็นความหลง เป็นความเข้าใจผิด เราอย่าไปคิดง่ายๆ ว่าเดี๋ยวค่อยไปๆ อย่างนี้ ไม่ใช่ความคิดอย่างนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ความดีไม่ต้องไปผัดวันประกันพรุ่ง คนเราไม่ต้องไปแก้ไขคนอื่น เราจะไปเทศน์ใคร บอกใคร สอนใคร ใครเขาจะไปเชื่อ เพราะว่าตัวเราก็แก้ไขตัวเองยังไม่ได้ ต้องเข้าใจ ไม่อย่างนั้นมันก็กระดากใจอยู่นะ เพราะตัวเองเป็นโจร จะไปบอกคนอื่นไม่ให้เป็นโจร เราต้องเป็นพระ มันถึงบอกคนอื่นให้เข้าใจ เราจะได้ทำให้ถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง อย่าให้ความเห็นแก่ตัว มันลอยนวลอยู่ในจิตในใจของเรา
อย่างพระศาสนา วัดนี้ก็คือสถานที่ของนักบวชผู้มุ่งมรรคผลนิพพาน ถึงมีกุฏิ มีวิหาร อะไรอย่างนี้ มีศาลาเป็นส่วนรวม ทำวัตรสวดมนต์ เขาเรียกว่า ศาลาการเปรียญ คือเรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ พระพุทธเจ้าท่านวางให้พอดี วันพระก็พากันไปฟังเทศน์ฟังธรรม ถือศีลอุโบสถ ศีลอุโบสถ ผู้ที่จะถือศีลอุโบสถคือถือที่ใจ ใจที่สมาทานหยุดไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ หยุดไม่มีเซ็กส์ทางกาย ไม่มีเซ็กส์ทางความคิด ไม่มีเพศสัมพันธ์ทางกายและทางใจ เข้าสู่พรหมจรรย์ ละความเห็นแก่ตัวอย่างนี้ พระเรานี้แย่นะ ไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง ยังพากันหละหลวม อย่างวัดต่างๆ ต้องเคร่งในการทำข้อวัตร กิจวัตร ดูแลความสะอาด เช้า กลางวัน เย็น ทำวัตรเช้า วัตรเย็น เดินจงกรม นั่งสมาธิ วัดต่างๆ ก็ไม่ควรมีโทรทัศน์ เพราะวัดมันคือสถานที่ประพฤติพรหมจรรย์ พระเรา เณรเรา ชีเรา มันไปดูหนังฟังเพลง ฟังวิทยุ อย่างนั้นไม่ได้ มันผิดพรหมจรรย์ ผิดศีล ๘ ประเทศไทยเราเสียหายมาหลายสิบปี การสร้างวัดสร้างวา มีลิเก มีหมอลำ มีหนังตะลุง มีคอนเสิร์ต มีชกมวย บางทีมันลามปามไปเรื่อยอย่างนี้มันผิด มันต้องมีข้อวัตรข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัด พระเราต้องปฏิบัติให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้น เราจะพากันเป็นโจรประจำวัด เป็นผู้หลอกลวงไม่ได้ เมื่อพระพุทธเจ้าให้โอกาส พระมหากษัตริย์ให้โอกาส ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติที่ตัวเอง อยู่ในสถานที่ต่างๆ วัดทุกวัดต้องเป็นที่ปฏิบัติธรรมะวินัย เราเอาแต่เรียน เอาแต่ศึกษาหาความรู้ เอาแต่พากันสอนแต่ไม่มีผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ได้ ผู้เทศน์ผู้สอนต้องพากันปฏิบัติก่อน มหาวิทยาลัยสงฆ์ก็สอนควบคู่กับการปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน ถ้าอย่างนั้นมันเสียหาย จะสอนแต่วิชาชีพทางโลกไม่ได้ จะเป็นการทำลายพระศาสนา ซึ่งเสียหายมาหลายปีแล้ว ต้องพากันฟื้นฟูใหม่
พวกโทรทัศน์ก็เหมือนการมีภรรยาเปิดเผย พวกมือถือถ้าไม่โทรสาธารณะก็เหมือนมีภรรยาลับๆ อยู่แล้ว ให้รู้จักเพราะอันนี้จะทำให้เรามีเพศสัมพันธ์ทางความคิด มีเพศสัมพันธ์ทางอารมณ์ แรงขึ้นๆ เราอย่าไปคิดว่าเราเก่ง เราไม่เก่งยังยินดีอยู่ เรายังบริโภคกามอยู่ ให้เข้าใจ ต้องพากันปฏิบัติ ต้องทำเหมือนพระพุทธเจ้า ไม่รับเงิน ไม่รับสตางค์ ไม่เอาอะไร เสียสละ เราจะชื่อว่าบำรุงพระศาสนา อย่างนี้พากันสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ จะแก้ไขแต่ภายนอก ไม่ได้บำรุงพระศาสนานะ มาหากินกับพระศาสนาต่างหาก เราจะไปว่าสร้างวัตถุแข่งกัน การที่มีวัตถุอย่างนี้ เรามันสู้เมืองใหญ่เมืองหลวงไม่ได้ อันนั้นมีหลายร้อยชั้น เราอย่าพากันคิดอย่างนั้น
เอาครอบครัวเอาให้มีศีล มีธรรม เอาโรงเรียนเรามีศีล มีธรรม เอาวัดมีศีล มีธรรม เราต้องทำอย่างนี้ เราจะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ใช้เวลาทำติดต่อ ต่อเนื่องกัน มันจะค่อยๆ ดีขึ้น ถ้าปัจจุบันทำดีมันก็เลื่อนไปเรื่อย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้ถึงมี โลกเราจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ โลกเราจะไม่ว่างจากพระอริยเจ้าในขั้นต่างๆ สมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม ท่านมีมติสั่งห้ามพระภิกษุสามเณรขับรถทุกชนิด จนไปถึงมอเตอร์ไซด์ ในประเทศไทยสั่งมาปีกว่าแล้ว ยังไม่ได้ปฏิบัติตาม เพราะพวกพระครูเป็นหัวหน้า พระขับเอง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จำเป็นต้องออกมาช่วยพระศาสนาเพื่อความมั่นคง ถาวร ออกมาเข้มงวด กวดขัน จับสึกผู้ที่ทำผิด ผิดพระธรรม ผิดพระวินัย ผิดกฎหมายบ้านเมือง เพราะพระเราไปขับรถอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของฆราวาส มันจะย่อหย่อนอ่อนแอเหมือนพระมหายาน มันจะไม่เป็นศาสนา มันจะเป็นแต่นักปรัชญา นักจิตวิทยาไป มันไม่เข้าถึงพระศาสนา ชาติเรา โลกเรามันต้องมี ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไปพร้อมๆ กัน ความมั่นคงมันจะอยู่ไม่ได้ รวมทั้งวัดทุกวัด ไม่ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ พวกยาเสพติด พวกเฮโรอีน กัญชา ไม่ดื่มยาดองเหล้าพญานาคที่คนแก่ทั้งหลาย อ้างว่ากินเพื่อปวดแข้ง ปวดขา มันไม่ได้ พระภิกษุสามเณร พวกนี้มันเสียหาย มันทำลายความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์.
พระพุทธเจ้าท่านได้บัญญัติศีล บัญญัติพระวินัย เพื่อให้บุคคลที่มีอินทรีย์บารมีอ่อน ที่ยังไม่เข้าใจ ยังเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความประมาท ไม่ให้ล่วงละเมิดในสิกขาบท ตั้งแต่พระวินัยที่เบื้องต้น ขนาดกลาง ขนาดหนัก
พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บัญญัติศีล บัญญัติพระวินัยไว้สำหรับพระอรหันต์ ไว้สำหรับสามัญชน ความเป็นพระของเรา ความเป็นเณร ความเป็นอุบาสก อุบาสิกา หรือเป็นตำรวจ ทหาร ข้าราชการนั้น ที่จะเป็นไปเต็มรูปแบบทั้งกายทั้งใจ มันต้องเกิดจากความประพฤติ เกิดจากการปฏิบัติของเราทั้งกาย ทั้งวาจาและทางจิตใจ
เราแต่งตั้งกันได้ก็เพียงแต่งตั้งทางสมมุติ แต่ความประพฤตินั้น จะไม่มีใครแต่งตั้งเราได้ นอกจากตัวของเราเอง 'ความรับผิดชอบ' เป็นคุณสมบัติที่จะนำทางเราไปสู่ความเป็น คนดี เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร
คนเราจะมีคุณธรรมมันจะต้องเป็นคนที่รับผิดชอบ มีความรู้มีความเข้าใจนั้นยังไม่เพียงพอ มันต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าใครมีความรับผิดชอบน่ะ คนๆ นั้นก็ชื่อว่าเป็น 'คนดี' ใครไม่มีความรับผิดชอบ เค้าก็เรียกว่าคนนั้นเป็น 'คนไม่ดี' คนที่รับผิดชอบ คือบุคคลที่เอาตัวรอดในทางที่ดี
คนที่ไม่รับผิดชอบ คือคนที่เอาตัวไม่รอด แม้แต่ตัวเองก็ยังปกครองตัวเองไม่ได้ ด้วยเหตุผลนี้ ไม่ว่าเราได้รับหน้าที่อะไร เราต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ อย่างเต็มร้อย เห็นความสำคัญในสิ่งที่เราได้รับมอบหมาย เราต้องการจัดการ ต้องเคลียร์ อย่าได้ประมาท คนเค้ามองกันว่าคนโน้นรับผิดชอบ คนนี้ไม่รับผิดชอบน่ะ... ความรับผิดชอบนี้จึงเป็นการทำประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
ทำไมเราถึงเคารพพระพุทธเจ้า ทำไมเราถึงฟังพระพุทธเจ้า เพราะว่าท่านเป็นคนมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ทำไมพวกลูกๆ หลานๆ ไม่ฟังพ่อไม่ฟังแม่ ไม่ฟังปู่ย่าตายาย เพราะว่าเป็นคนไม่มีศีล ทำไมเขาไม่ฟังเจ้าอาวาส ไม่ฟังผู้ที่บวชมาก่อน เพราะว่าคนพวกนี้ไม่มีศีล ไม่มีความตั้งมั่น ไม่มีปัญญา ยังทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเอง ด้วยเหตุผลนี้ ผู้ที่มาบวชต้องเข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า เข้าสู่ระบบระเบียบของพระพุทธเจ้า ตัวเองถึงจะเคารพตัวเองได้ คนที่เกี่ยวข้องกับเรา ถึงจะเคารพเราได้ เราก็รู้ว่าคนเก่งมันมีเยอะ แต่คนดีแล้วเป็นคนเก่งด้วยมันหายาก ธรรมะของผู้ปกครองก็ต้องเข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า ทำไมเขายกมือไหว้ พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพราะเขามีความสุข ทำไมไม่ไหว้ พระที่ไม่เอาศีล เอาธรรม เอาแต่เงิน เอาแต่ตังค์ เอาแต่ลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะมีความทุกข์ใจว่าทำไมเราถึงมาไหว้คนอย่างนี้
เรามองดู... ถ้าจะเอาคนส่วนใหญ่ที่เค้าไม่ได้มาตรฐานเป็นประมาณ นั้นไม่ได้ ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เราอย่าไปคิดว่า สมัยโน้นกับสมัยนี้มันไม่เหมือนกัน สมัยไหน... คนก็ย่อมมีความทุกข์ ย่อมมีความไม่สงบ เหมือนกัน ไฟมันก็ยังร้อนอย่างเก่า พริกมันก็ยังเผ็ดอย่างเก่า น้ำตาลมันก็หวานอย่างเก่า พระพุทธเจ้าให้ทุกท่านทุกคนน่ะ ตั้งมั่นใน 'พระรัตนตรัย' คือพระพุทธเจ้า คือพระธรรม คือพระอริยสงฆ์ 'พระอริยสงฆ์' ก็คือตัวเรานี้แหละ...ที่จะประพฤติปฏิบัติ เป็นพระอริยสงฆ์
ใจของคนนั้นมันไม่มีคนเฒ่าคนแก่ ไม่มีคนหนุ่มสาว ไม่มีผู้หญิง ผู้ชาย คือ ใจที่บริสุทธิ์ เป็นผู้หญิง...เป็นผู้ชาย ก็แตกต่างกันที่ไว้ผม มีเครื่องประดับ รักษาผิว เป็นพระ..เป็นโยม ก็แตกต่างกันที่เครื่องนุ่งห่ม กับปลงผม แต่ร่างกาย ก็คือ "ความแก่ ความเจ็บ ความตาย" นั้นเหมือนกัน
ถ้าเราปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร เป็นผู้ที่รับผิดชอบ เป็นผู้ที่เสียสละ หัวใจของเราก็เป็น 'พระอริยเจ้า' ได้ เหมือนกันทุกคน ไม่มีอะไรที่จะมากีดขวาง ขอให้เราตั้งมั่นในพระรัตนตรัย รับผิดชอบให้มันมากขึ้น ทุกอย่างให้มันละเอียดขึ้น เห็นคุณค่าในการเสียสละ เห็นคุณค่าในการที่เราจะต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบ ทุกๆ คนต้องดำเนินด้วยปลีแข้งของตัวเองด้วยการเสียสละในความดี หน้าที่การงาน ชีวิตก็จะพลิกล็อค เปลี่ยนแปลง ถ้าเราเป็นคนเสียสละ คนรับผิดชอบ ที่เราเป็นคนไม่รับผิดชอบเพราะเราไม่เสียสละ เห็นแก่ปาก แก่ท้อง แก่กิน แก่นอน เห็นแก่พวกพ้องบริวาร
คนรับผิดชอบเหมือนแผ่นดิน เป็นที่ให้เราได้ยืน ได้สร้างบ้านที่อยู่อาศัย มีร่างกายให้เราทำความดี ความรับผิดชอบจึงเป็นเยี่ยมที่สุดในโลก
อย่างในโลกนี้ ใครเป็นคนรับผิดชอบที่สุดในโลก...? พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่รับผิดชอบที่สุดในโลก เสียสละที่สุดในโลก เรารับผิดชอบ โลกก็ต้องการ ถ้าเรารับผิดชอบ บ้านก็ต้องการ ที่ทำงานก็ต้องการ เพราะบุคคลนั้นหาได้ยาก
ความงามของคนอยู่ที่ไหน..? ความงามของคนไม่ใช่อยู่ที่หน้าตา ผิวพรรณ ความ งามแท้จริงที่เป็นอมตะ คือ ความรับผิดชอบ
อยู่ในวัดถ้าใครรับผิดชอบ ชื่อว่างามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด เป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ โดยไม่หวังผลตอบแทน ชื่อว่างามแท้จริง ตั้งมั่นในธรรม มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม
ไม่ว่าจะเป็นธรรมยุตหรือมหานิกายก็ต้องสามัคคีกัน ไม่ว่านิกายไหนก็ได้บรรลุธรรมพอกัน ถ้าปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดตามพระพุทธเจ้า อย่างลูกศิษย์หลวงปู่มั่น มีทั้งธรรมยุตมหานิกายก็ได้บรรลุธรรมพอๆ กัน เราต้องสลายระบบสังฆเภทระบบแตกแยกระบบหมู่เฮาออกไปจากใจ พระพุทธเจ้าให้เราละอายต่อบาปกลัวต่อบาป อย่าไปคบค้าสมาคมกับอลัชชี อลัชชีภายนอกยังไม่ร้ายเท่ากับอลัชชีภายใน ที่มักจะอนุโลมขอโอกาสคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีไปเรื่อย ย่อหย่อนอ่อนแอไปเรื่อย สำคัญต้องเข้มแข็งต้องสมาทาน
คนเราเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกันที่มีความสุข มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม คนสำรวมตัวเอง คือคนปฏิบัติธรรม เพราะไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่าการปล่อยวาง... และสำรวมตนอยู่ในธรรม