แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๘๑ พุทธวิธีในการเลี้ยงลูกให้ถูกทาง เป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พ่อแม่ทุกคนพากันคิด เราเกิดมาเป็นพ่อเป็นแม่ต้องคิดเป็นต้องวางแผนเป็น พากันประพฤติปฏิบัติ เพื่อไปตามหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งกายทั้งจิตใจ เราเป็นสามีเป็นภรรยาต้องเอาธรรมะเป็นที่ตั้ง ทุกๆ คนต้องเน้นประพฤติต้องปฏิบัติในชีวิตประจำวันปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา ถ้าเราทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ ทุกคนที่เป็นสามีเป็นภรรยาจะยอมรับได้ เราจะปฏิบัติตามอารมณ์ไม่ได้ ต้องเอาธรรมเป็นหลัก ทุกๆ คนอย่าเอาใจเอาอารมณ์เป็นหลัก เอาการเสียสละเป็นหลัก ครอบครัวเราจะอยู่ได้ เกิดเป็นความมั่นคงถาวร ผู้ที่แต่งงานกันจะมีลูกเกิดมา มีภาระของตัวเอง มีภาระทางโลกที่เกิดมา ทุกๆ คนต้องพากันรับผิดชอบตัวเองให้เต็มที่ ให้เกิดเป็นสัมมาสมาธิ คือการตั้งมั่นชอบ
เรามีสามีภรรยา อย่าพากันทะเลาะกัน หยุดตัวเองให้ได้ เบรคตัวเองให้ได้ ความอดทนดีมาก ถ้าเราไม่มีความอดทน ชีวิตจะไม่สงบไม่เย็น กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ โมโหร้าย ความอดทนจะทำให้มีความสุข คนที่เป็นแม่เมื่อตั้งท้องลูกในท้องจะได้รับ DNA จากเราอย่างเต็มที่ จิตใจต้องมีศีลต้องมีธรรมมีคุณธรรม ลูกในท้องจะได้รับ DNA ทั้งทางกายทางจิตใจ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราไม่ปฏิบัติอย่างนี้ ลูกของเราจะเป็นไปตามอารมณ์ของแม่ เพราะเป็นตามพันธุกรรม ผู้ที่เป็นแม่ต้องเคร่งครัดในการรักษาศีล ๕ ไหว้พระสวดมนต์ เพื่อจิตใจจะได้มีศีลมีธรรม
คนเป็นสามีต้องช่วยภรรยา ปฏิบัติเช่นเดียวกัน จะได้เป็นผู้มีศีลเสมอกัน ปัญญาเสมอกัน เวลาภรรยาตั้งท้อง คนเป็นสามีอย่าเป็นคนเจ้าชู้ ไปมีความสำส่อน ไปมีเพศสัมพันธุ์กับผู้อื่น ภรรยาจะเป็นโรคประสาท ลูกในท้องจะรับเอาโรคจิตโรคประสาทไปอย่างเต็มที่ เมื่อภรรยาตั้งท้อง สามีต้องขยันเพิ่มขึ้นอีก ภรรยาจะได้ไม่คิดมาก การจะเป็นสามีภรรยา จะต้องมีศีลเสมอกัน ปัญญาเสมอกันตั้งมั่นในความดี สามีภรรยาต้องประพฤติตนให้เป็นพระ คือถือธรรมเป็นใหญ่ หยุดอบายมุข อบายภูมิ
ความเป็นพระคือสิ่งภายใน ประชาชนคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักความเป็นพระ คิดว่าโกนหัวห่มผ้าเหลืองคือพระ พระอยู่ที่ใจ พระนั่นพระโสดาบันเราถึงจะนับเป็นพระ ประเทศไทยของเรายังไม่เข้าใจเรื่องพระอยู่ พระหมายถึงพระอริยเจ้า ไม่ใช่หมายถึงพวกโกนหัวห่มผ้าเหลือง ถ้าพ่อแม่มีความเห็นถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่เป็นเพียงผู้มีปรัชญามีจิตวิทยา ถึงจะเข้าถึงความเป็นพระ ผู้ที่เข้าใจเรื่องพระพุทธศาสนา เรื่องธรรมะ ระดับ ป.ธ. ๙ นี่ก็ยังไม่ใช่พระพุทธศาสนา เป็นผู้มีเพียงปรัชญา เป็นนักจิตวิทยาเท่านั้น อยูที่การประพฤติการปฏิบัติ ผู้มีเจตนาตั้งใจ 100% ไม่ลูบคลำในการประพฤติในการปฏิบัติ เราถึงจะเข้าถึงพระศาสนา
ลูกเราเกิดมาได้ 1,2,3,4 ขวบ ที่มันคิดอะไรยังไม่เป็น เขาต้องดูตัวอย่างแบบอย่างจากพ่อแม่ พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างแบบอย่างที่ดี อย่าให้ขาดตกบกพร่อง เพราะเด็กจะฝังใจในสมอง พ่อแม่อย่าไปประมาทในปฏิปทาความประพฤติของตัวเอง เราทุกคนจะได้เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ในทางที่ดี ในหนังสือในตำราถึงได้บอกว่าพระในบ้านที่แท้จริงคือ พ่อ-แม่ ต้องพากันปฏิบัติให้ดี
เราเป็นพ่อเป็นแม่ส่วนใหญ่ไม่มีปัญญา รักลูกโอ๋ลูก ปรนเปรอ ตั้งแต่ความสุขความสะดวกความสบาย เลยใจอ่อน สนองอวิชชาความหลงให้ลูกอย่างเต็มที่ ลูกเราเกิดมา 1 ขวบ 2 ขวบ เราพากันประพฤติปฏิบัติให้เคยชิน คือสอนลูกให้กราบพระ ไหว้พระ นั่งสมาธิ ท่องพุทโธ เป็นต้น ต้องให้พาทำทุกวันให้เป็นปฏิปทาเหมือนลมหายใจ พ่อแม่ต้องทำตนเองให้เป็นนิสัยก่อน ต้องฝึกตัวเองตั้งแต่ยังไม่มีลูก พ่อแม่จะทำเหมือนสัตว์เดรัจฉานไม่ได้ นั่งสมาธิสวดมนต์ก็ไม่เป็น ลูกเราเกิดมาอย่าให้มีโทรศัพท์มือถือประจำตัว อย่าใช้โทรศัพท์เลี้ยงลูก เพราะโทรศัพท์ทำให้ลูกเราเสียคน หลงในการ์ตูน ในเกมส์ หลงในสิ่งต่างๆ โรงเรียนที่เราส่งไปเข้าอนุบาล เสียค่าเทอมแพงๆ เขาไม่ให้เด็กมีมือถือ จะสอนให้เด็กกราบพระไหว้พระ นั่งสมาธิ เก็บที่นอน ล้างจาน ทำความสะอาด เพื่อฝึกเด็กให้ติดเป็นนิสัย ให้เป็นคนมีวินัย ใช้วิธีแบบนี้ฝึกเด็กให้เป็นคนดีได้
แต่ยังมีพ่อแม่บางคน ลูกยังเรียนไม่จบเอาลูกออกมา มีความเห็นเป็นมิจฉาทิฏฐิ เอาลูกไปเรียนเมืองนอก ต้องเอาลูกไปเรียนที่มีชื่อมีเสียง ที่ไหนมีระเบียบมีวินัยต้องเอาลูกไปเรียนที่นั่น เราต้องฝึกให้ลูกเรามีระเบียบมีวินัย อย่าไปใจอ่อน ตามใจเด็ก เราเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่กับลูกตั้งแต่เด็ก เราต้องรู้จัก ฉลาดมีปัญญา เราอย่าไปคิดอย่างคนไม่ฉลาดว่า โตขึ้นค่อยไปบอก มันเสียเวลาหลายปี ลูกเรามีแต่จะโตเพียงร่างกาย แต่จิตใจและคุณธรรม มันไม่โตตาม เราจะไปเน้นแต่การเรียนการศึกษา เราเป็นคนหลงคนเห็นแก่ตัวนะ ต้องพากันเพิ่มความฉลาดให้แก่ตัวเองอีก ความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ปากแก่ท้อง เพราะเราเป็นคนไม่ฉลาด เพราะไม่สอนให้ลูกเป็นคนไม่เสียสละตั้งแต่เด็ก จนเป็นความเคยชินเป็นนิสัย อย่าไปเก่งแต่สอนเด็ก ร้องเพลงเต้นรำ ต้องพัฒนาตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจกับพัฒนาคุณธรรมไปพร้อมกัน เด็กๆ เกิดมาถึงเก่งทางการเรียนการศึกษา ถ้าพ่อ-แม่ ทำความเสียหาย ทำให้ลูกเป็นคนเห็นแก่ตัว ประเทศของเราเต็มไปด้วยอบายมุข อบายภูมิ มีแต่โกงกินคอรัปชั่น ไม่มีศีลไม่มีธรรม เต็มไปด้วยโจร ยาเสพติด เช่น ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา สาเหตุ มาจากพ่อแม่ ที่ไม่รู้ว่า เราต้องปฏิบัติตามธรรมะ
พ่อแม่นี่ก็ต้องอยู่ในศีลในธรรม ผู้ที่เป็นประชาชนเป็นฆราวาสนี่ก็ผัวเดียวเมียเดียวก็พอแล้ว เราอย่าให้ใจเรามีเซ็กส์มีเพศสัมพันธุ์กับผู้หญิงคนอื่นผู้ชายคนอื่น อย่างนี้มันไม่ได้ เพราะความอบอุ่นทุกคนก็ต่างก็ปรารถนา พวกที่รักลูกรักอะไรเนี่ยมันต้องสอนเป็นตัวอย่างแบบอย่างอย่าไปโอ๋มัน เหมือนที่มันเป็นอยู่ในประเทศไทย เราคิดแบบคนปัญญายังไม่มากนะ คิดว่ามันเป็นหนุ่มเป็นสาวมันจะคอยเรียนรู้ไป มันติดสุขติดสบาย เหมือนคนติดยาม้าติดยาอียาไอซ์ สมองมันถูกทำลายไปแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องให้มันมากขึ้น เข้าสู่ลูกเราเข้าสู่หลานเรา พ่อแม่ต้องเป็นผู้เป็น พระประจำบ้านประจำครอบครัวไป มีความอบอุ่นให้ลูกคิดภูมิใจให้หลานคิดภูมิใจ
คุณภาพเรานี่สู้ฝรั่งที่มาตรฐานไม่ได้ เขาเลี้ยงลูกเขา ลูกเขาตื่นขึ้นมา 2-3 ขวบ เก็บทำความสอาดเอง 4-5 ขวบมันทอดไข่ มันทำอาหารเป็นแล้ว เรานี่ก็อาศัยเป็นนายทุน มีแต่ศักดินา เอาคนอื่นมาเป็นลูกจ้าง เอาคนจนมาเป็นลูกจ้าง มันไม่ใช่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันต้องพึ่งพาตัวเองได้ เหมือนลูกเสือ คนไทยมันพึ่งพาตัวเองไม่ได้ เขาถึงให้เป็นลูกเสือชาวบ้านลูกเสือสามัญ - เนตรนารี หุงต้มเป็น ทำที่อยู่ที่นอนเป็น ทำเสื้อผ้าเป็น เด็กมันซักเสื้อผ้าด้วยมือไม่เป็น อย่างนี้มันเป็นอันตรายต่อชาติ วงศ์ตระกูลของเรา เหมือนกับคนทำร้านอาหารอย่างนี้ตัวเองทำกับข้าวไม่เป็น ก็ไปจ้างคนอื่นเขา ตัวเองมันต้องเป็นก่อนอะไรก่อน ต้องฝึกตัวเอง มันต้องเก่งต้องฉลาด ในปัจจุบันเข้ากับผู้ใหญ่ได้ เข้ากับเพื่อนได้ เข้ากับคนน้อยได้ เทคแคร์ แต่ไม่ทำผิดกับใคร มันจะได้ไม่มีโลกส่วนตัวเยอะ เอาแต่ไลน์โทรศัพท์เล่นโทรศัพท์ เราก็เป็นพ่อเป็นแม่ กราบพระก็ยังไม่เป็น ไหว้พระบท อรหัง จบ สุปะติปันโน ก็ยังสวดไม่ได้ พวกพ่อพวกแม่เนี่ย เป็นพ่อเป็นแม่อย่างนั้นได้อย่างไง เอาแต่วัตถุ ไม่พัฒนาจิตใจอย่างนี้ไม่ได้ มันผิดกฎแห่งกรรม ผิดหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ บางคนก็พัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาอะไรต่างๆ ต้องพากันทำต้องพากันปฏิบัติ
ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวไว้ว่า พ่อแม่ควรอบรมนิสัยจิตใจ ให้ลูกมันมีความรู้สึกสูง แม่ควรจะพาลูกไปร้านอาหารที่อร่อยๆ ของเล่น ของแต่งตัวที่มีราคาแพง แล้วก็บอกลูกว่า "ทั้งหมดนี้เขามีไว้สำหรับทำให้เราโง่" เด็กๆ จะรู้จักคิดไปตั้งแต่เล็กๆ ว่า ทั้งหมดนี้มันมีไว้ สำหรับทำให้เราโง่อย่างไร ของแต่งตัวสวยๆ ของกินอร่อยๆ ของเล่นตุ๊กตาที่น่ารักอะไรก็ตาม ทั้งหมดนี้แม่จะบอกว่ามีไว้สำหรับทำให้เราโง่ แล้วลูกมันจะคิดอย่างไร มีเหตุมีผลอย่างไรก็ค่อยรู้กันเอง
สอนให้ลูกรู้ว่าเราจะต้องทำอย่างไรเราควรมีอะไร ควรกินอะไร ควรใช้อะไร ควรบูชาอะไร ควรทะนุถนอมอะไร ถึงจะเป็นการถูกต้องที่สุด บอกให้ลูกรู้ว่า เรื่องกินก็ดี เรื่องกามก็ดี เรื่องเกียรติก็ดี มันมีลักษณะเหมือนกับดาบสองคม ใช้ไปทางหนึ่งก็วินาศ ใช้ไปทางหนึ่งก็เจริญ เด็กๆ ควรจะรู้ปรมัตถ์เรื่อง "ตัวกู-ของกู" ดีอย่างไร เสียหายอย่างไร ทีละเล็กทีละน้อยขึ้นมาตามสมควร ตามความเหมาะสม
เด็กๆ จะต้องรู้จักอดทน เสียสละเพื่อแม่ ให้สมกับความเจ็บปวดที่แม่ได้รับเมื่อคลอดเรามา ให้เด็กๆ เขารู้จักมีอะไร เพื่อจะได้ทำหน้าที่ถูกต้องเป็นผาสุก ไม่ใช่เพื่อยึดมั่นถือมั่น ลูกควรจะรู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร จะปฏิเสธความเกิดมานี้ไม่ได้ เพราะมันเกิดมาแล้ว มันมีแต่ว่าต่อไปต้องทำอะไร
ทีนี้จะดูถึงข้อที่ว่า แม่พ่อจะต้องส่งเสริมลูกอย่างไร คือส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างไร เด็กๆ ทารกมีสัญชาตญาณแห่งการรักดี ดูเถิด พอเราบอกว่า "ดี-ดี" เขาก็ดีใจ ตบพุงแป๊ะๆ แป๊ะๆ เด็กๆ ก็ชอบทำงาน ชอบขอทำงาน บอกว่านี่หนูทำเอง นี่หนูทำเอง ก็ต้องส่งเสริมสัญชาตญาณแห่งการชอบทำงานนี้ให้ยิ่งขึ้นไปตลอดชีวิต
เด็กๆ จะต้องรู้จักรักผู้อื่น รู้จักสังคมกับผู้อื่น เราจะต้องช่วยเพื่อน เราจะต้องมีเพื่อน ถ้าเราไม่ช่วยเพื่อน เราก็อยู่ไม่ได้ แล้วเราก็กลายเป็นคนมีนิสัยที่เลว เด็กๆ ทำงานให้สนุกรู้จักเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน ที่รู้สึกว่าเป็นการถูกต้อง เป็นสุขที่แท้จริง ไม่ต้องใช้เงิน เด็กนี้โตขึ้นก็จะรู้จักแสวงหาความสุขใจโดยไม่ต้องใช้เงิน ชีวิตกับการงานนั้นต้องเป็นสิ่งเดียวกันไปเลย งานคือเกียรติยศสูงสุดของคน การทำงานให้สนุกนี้เป็นหลักสำคัญที่สุด คือการเดินทางถูกต้องตามกฎของ "อิทัปปัจจยตา" ใครทำงานสนุก คนนั้นเดินตามกฎ "อิทัปปัจจยตา" อย่างยิ่ง
ทีนี้ลูกโตแล้ว ลูกโตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ควรจะชี้ให้เห็นในส่วนที่ลึกขึ้นไป ในฐานะที่เป็นปรมัตถ์ ให้รู้ว่ากามารมณ์กับการสืบพันธุ์นั้นเป็นคนละเรื่องกัน กามารมณ์เป็นเรื่องของกิเลส มีผลคือบ้าลูกเดียว บ้าลูกเดียว เป็นเรื่องของกามารมณ์ อย่าไปหลงเป็นทาสมัน แต่เรื่องสืบพันธุ์นั้นเป็นหน้าที่ของมนุษย์ ต้องประพฤติกระทำอย่างถูกต้อง เดี๋ยวนี้คนหนุ่มสาวเอาเรื่องกามารมณ์ไปปนกับเรื่องการสืบพันธุ์ แล้วปฏิบัติผิด มันก็เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะเกิดมาเป็นทาสของกามารมณ์ ใครเขาจะหลงใหลก็ตามใจเขาเราไม่เอา
ไม่ต้องแต่งงานสมรสเพราะกิเลสตัณหา แต่ต้องแต่งงานเพราะความรู้สึกผิดชอบชั่วดีว่าเราต้องมีหน้าที่สืบพันธุ์ไว้สืบพันธุ์มนุษย์ไว้ ให้มนุษย์เดินทางไปถึงนิพพานให้จงได้ ช่วงคนนี้ไปไม่ถึง ช่วงคนหน้าก็ไปให้ถึง การแต่งงานเพื่อแบ่งภาระกันให้มนุษย์ได้ทำหน้าที่ของมนุษย์สมบูรณ์ สะดวก โดยเร็วและโดยง่าย การแต่งงานเพื่อเป็นคู่คิด เพื่อช่วยกันให้เกิดความง่ายในการก้าวไปข้างหน้า เพื่อความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์ แม้จะพูดว่าเป็นเพื่อนเดินทางไปสู่นิพพานก็ไม่ผิด แต่คนเขาจะหัวเราะเยาะ นั่นมันคนโง่ ไม่ต้องไปสนใจ
การสมรสการแต่งงานเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระความยากความลำบากของความเป็นมนุษย์ให้มันง่ายเข้า ไม่ใช่เพื่อมาหลงใหลในกามารมณ์ เหมือนที่เขาทำกันอยู่โดยมาก เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างแพงมาก เพื่อการสมรสและแต่งงานแต่เพื่อกามารมณ์ ไม่ได้เพื่อการก้าวหน้าไปของความเป็นมนุษย์ สู่จุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์ ระวังให้ดี การพูดอย่างนี้ มันถูกด่าทุกที มีผู้เอาไปพูด แต่ก็ยังไม่พ้นจากการถูกด่า แต่อาตมาก็ยังขอพูดอยู่อย่างนี้ แม่จะสอนให้ลูก ๆ ให้รู้ว่า ชีวิตคืออะไร การสมรสคืออะไร ใครจะด่าก็ตามใจ เราจะทนทำไปเพื่อการบูชาคุณของแม่เองนั้นก็ยังได้ แม่ทั้งหลายล้วนแต่ต้องการให้ลูกรอด และต้องการให้ลูกไปได้ไกลกว่าพ่อแม่ด้วยกันทั้งนั้น
ทีนี้วันแม่ สรุปความวันนี้เป็นวันแม่ ต้องพูดกันถึงหน้าที่ของแม่ ต้องพูดกันถึง พระคุณแม่ ในแง่ที่เป็นปรมัตถวิจารณ์ คือพินิจพิจารณากันในส่วนลึกของความหมาย เรียกว่า ปรมัตถวิจารณ์ การพูดอย่างนี้ก็ยังคงอยู่ในชุดของการบรรยาย เรื่องปรมัตถธรรมกลับมา เพื่อเป็นรากฐานของศีลธรรม การปฏิบัติให้ถูกต้องต่อแม่พ่อ หรือแม่พ่อปฏิบัติถูกต้องต่อลูกนี้ก็เป็นเรื่องศีลธรรมที่เว้นไม่ได้ ที่จะเป็นที่สุด เพราะการที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องโดยแท้จริงนั้น ต้องมีความรู้ในส่วนปรมัตถธรรม คือในส่วนลึกที่สุด ที่มองเห็นยาก
ต้องใช้สติปัญญาพิจารณาว่าความเป็นพ่อคืออะไร ความเป็นแม่คืออะไร ความเป็นลูกคืออะไรกระทั่งความเป็นหลานเหลนสืบ ๆ ไป คืออะไร เขาก็จะปฏิบัติได้ถึงความหมายในส่วนลึก จะได้รับประโยชน์ในส่วนลึก มิใช่สักว่า เกิดมาแล้วก็หลงใหลในกามารมณ์ อย่างดีก็สืบพันธุ์ในลักษณะเหมือนกับที่สัตว์เดรัจฉานสืบพันธุ์ ไม่มีความมุ่งหมายอะไรมากไปกว่านั้นนี่ก็เพราะว่า ไม่รู้ว่าแม่คืออะไร ไม่รู้ว่าแม่คือผู้สร้างดวงวิญญาณของลูก ตั้งแต่วันแรกที่ลูกเกิดมา
แม่ทำหน้าที่อย่างหนึ่ง พ่อทำหน้าที่อย่างหนึ่ง ถ้าแม่ไปทำหน้าที่ของพ่อ โลกนี้ก็จะไม่มีแม่แล้วมันจะเป็นอย่างไร มันจะไม่มีสิ่งผูกพันอันลึกซึ้งในเรื่องความรักในเรื่องความกตัญญูมันไม่สมกับที่ว่าคำว่า "แม่" นี้มาก่อนคำว่า "พ่อ" ในภาษาธรรมะภาษาบาลีภาษาศาสนาจะพูดว่า "มาตาปิตา" ว่า "แม่พ่อ"ไม่ได้พูดว่า "ปิตามาตา" ไม่เคยพบเลย เพราะ "แม่" มีความสัมพันธ์ในส่วนที่ว่ามาก่อน ลูกจะเรียก "แม่" ชัดก่อนที่เรียก "พ่อ" คำว่า "แม่" ออกเสียงง่าย สำหรับลูกเด็กทารกอย่างนี้เป็นต้น
ขอให้สนใจว่า แม่จะทำหน้าที่ในการสร้างอุปนิสัยชีวิตวิญญาณในด้านลึกของลูก เราจึงควรพิจารณากันในลักษณะที่ว่าเป็นปรมัตถวิจารณ์ ปรมัตถธรรมอย่างนี้มาแล้วศีลธรรมก็จะมีรากฐานที่มั่นคงจะก้าวหน้าถูกต้องและลึกซึ้ง มันเป็นกฎของอิทัปปัจจยตา "อย่างนี้เอง" ชีวิตทุกก้าวย่างต้องเดินตามกฎของอิทัปปัจจยตา ไม่ว่าจะอยู่เป็นชาวนา หรือว่าจะบรรลุนิพพานมันเป็นกฎที่เฉียบขาดว่า เราทุกคนจะต้องเดินให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติอันเฉียบขาด เหมือนกับพระเป็นเจ้า
แม่ก็มีหน้าที่สร้างโลกเหมือนกับพระเป็นเจ้า เพราะเกิดมาก็สร้างอุปนิสัยของเด็กทุกคนในโลก จนโตขึ้นมาแล้วก็จะได้เป็นพลโลกที่ดี แม่ก็สร้างโลกนี้เหมือนกับที่พระเจ้าสร้างโลก และก็โดยกฎของพระเจ้าผู้สร้างโลก คือกฎของ อิทัปปัจจยตานั่นเอง จะเดินตามกฎของอิทัปปัจจยตา ไม่ว่าจะอยู่เป็นชาวนาหรือว่าจะบรรลุนิพพาน พูดอย่างนี้ก็หมายความว่าให้มันหมดจดสิ้นเชิง ถ้าจะอยู่กันในระดับต่ำเป็นชาวนาหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มันก็ต้องเดินตามกฎของอิทัปปัจจยตา แม่ของชาวนาก็ต้องเป็นแม่ที่ถูกต้อง เป็นแม่ที่เป็นอาจารย์ของลูกที่ดี เป็นพระพรหมของลูกที่ดี เป็น "อาหุเนยยบุคคล" ของลูกที่ดี ไม่มีอะไรดีไปกว่าแม่ ในแง่นี้ของลูกแต่ละคน ๆ จึงว่าแม้จะอยู่เป็นชาวนาก็ต้องเดินตามกฎของอิทัปปัจจยตา
ทีนี้ถ้าจะก้าวหน้าหรือจะบรรลุนิพพานอันสูงสุด ก็ยิ่งต้องเดินตามกฎของอิทัปปัจจยตาให้ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้วเป็นลำดับๆ ไป มันก็จะไม่เหลือวิสัยที่คนเราจะบรรลุนิพพานคือ มีชีวิตอันเยือกเย็น ต้องได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตายแล้วก็ไม่ต้องสงสัย เรียกว่ามีชีวิตเยือกเย็นทีนี่และเดี๋ยวนี้ จะได้รับประโยชน์กว่า ถ้าที่นี่เดี๋ยวนี้ได้รับ ตายแล้วก็ไม่ต้องสงสัยไม่ต้องเป็นห่วงต่อเรื่องตายแล้ว ขอแต่ให้ทำให้ถูกต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ จะเป็นการรับประกันตลอดไป
พ่อแม่จะต้องปลูกฝังความรู้อันนี้ให้แก่ลูก ลูกก็จะเดินถูกทาง มันก็เลยพร้อมที่จะเป็นแม่ที่ดีเป็นพ่อที่ดีสืบต่อๆ กันไปในอนาคต ทั้งหมดนี้เราเรียกว่า "ปรมัตถวิจารณ์เกี่ยวกับพระคุณของแม่" ดูพระคุณของแม่ในด้านลึก แล้วก็จะได้เคารพรักกตัญญูเชื่อฟังพ่อแม่กันอย่างสูงสุด เพื่อเตรียมตัวเป็นพ่อแม่ที่ดีสืบไปในเมื่อถึงรอบเวรของตนเข้า
พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ ยังเป็นสิ่งที่เราพกันมองข้าม ว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความอยู่รอดของมนุษย์ คือเป็นสิ่งสำคัญในการมนุษย์จะมีความปลอดภัย มีความเป็นอยู่ประกอบไปด้วยสันติภาพหรือสันติสุข...
การที่นุษย์เราในโลกนี้ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ก็มีเหตุปัจจัยหลายอย่าง แต่อย่างหนึ่งซึ่งสำคัญมาก ก็คือยังขาดพ่อแม่ที่สมบูรณ์ คือขาดบิดามารดาที่ถูกต้องตามแบบแผนกระทำหรือถูกต้องตามหลักของพระธรรม
เหตุปัจจัยที่ทำให้โลกเราขาดบิดามารดที่สมบูรณ์แบบนั้นก็มีอยู่มากเหมือนกัน มีเหตุปัจจัยหลายๆ อย่าง อย่างว่าสิ่งต่างๆ มันเป็นมาในลักษณะที่ซับซ้อนยุ่งเหยิงมากขึ้น หรือว่าการอบรมสั่งสอนในขั้นพื้นฐานนั้นไม่พอ เช่นว่า การศึกษาไม่พอที่จะทำให้มนุษย์รู้ว่าตัวเองเกิดมาทำไม ควรจะได้อะไร โดยวิธีใด อย่างนี้มันก็ไม่พอ มันไม่มี
คำว่าพ่อแม่หรือบิดามารดานี้ขอให้ทำความเข้าใจกันให้ถึงที่สุดว่าอยู่สองความหมายคือ มิดามารดาในทางกาย ที่ให้กำเนิดมาในทางกาย แล้วก็บิดมารดาในทางจิตทางวิญญาณ ที่ให้เกิดความรู้แสงสว่างอันถูกต้องทางจิตวิญญาณ ซึ่งกลายเป็นการเกิดอีกครั้งหนึ่ง ที่เกิดโดยธรรมะ เกิดโดยแสงสว่างของพระธรรม
ถ้าลองสังเกตดูให้ดีว่า คนเรานั้นจะมีการเกิดสองหนอย่างนี้เสมอไป เกิดมาจากบิดามารดาก็เสร็จไปแล้ว ทุกคนก็เกิดเสร็จแล้ว แต่นี่การที่จะเกิดโดยทางจิตใจเป็นมนุษย์ที่ดีที่ถูกต้องตามความหมายการเป็นมนุษย์นั้น บางคนยังไม่ได้เกิดด้วยซ้ำไปบางคนก็เกิดผิดๆ ไปเป็นมนุษย์ที่เลวคือไม่ใช่มนุษย์เสียก็มี...
การให้เกิดในทางวิญญาณนั้น หมายถึงการชักนำให้มีศีลธรม ให้มีโลกุตตรธรรมดี...หมายความว่า สอนให้รู้จักดำรงชีวิตอยู่ไปตามประสสโลกที่นิยมกันว่าดี เป็นเด็กดี เป็นผัวดี เมียดี เป็นบิดาดี เป็นมารดาดี เป็นอะไรดีอยู่กันไปในโลกตามวิสัยโลก นี่ก็เรียกว่าเป็นเรื่องทางวิญญาณด้วยเหมือนกัน แต่ยังเกี่ยวอยู่กับโลก
ที่นี้มันจะมีไปกว่านั้นได้คือว่าอยู่ในโลกนี้ถึงอย่างไรจะดีเท่าไหร่ก็ยังมีความทุกข์แน่นอน คนรู้อย่างโลกๆ นี้ ไม่ทำจิตใจให้สูงเหนือโลกไปได้ มันก็เที่ยวรักนั่น โกรธนี่ เกลียดนี่ กลัวโน่นอยู่ ไม่มีที่สิ้นสุดแหละ อยู่ในโลกมันเป็นอย่างนั้นเอง ก็เรียกว่า ใช้ได้แต่ยังเป็นโลกๆ ยังไม่พอ ยังไม่สูงสุด
นี้ก็มาสอนกันให้รู้ถึงเรื่องโลกว่า "มันเป็นอย่างนั้นเอง" เรื่องโลกแล้ว มันก็ต้องเป็นโลกอย่างนั้นเอง คือมันจะต้องมีความทุกข์นั่นแหละ... เช่นว่าเราไม่ได้ไปทำอะไรที่ไหน ขโมยก็มาขโมยเงินของเราไปหมด อย่างนี้เราจะมานั่งร้องไห้โง่อยู่ทำไม แต่คนธรรมดาทนไม่ได้ ถูกขโมยเงินไปซักแสน สองแสน ล้าน สองล้าน ก็มานั่งร้องให้อยู่ คนธรมดาก็เป็นอย่างนี้ หรือเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งไปกว่าอีก ว่า สามีตาย ภรรยาตาย เขาก็มานั่งร้องไห้อยู่ แม่ลูกตายอย่างนี้ก็อยากตายด้วย เพราะว่ายังมีความรู้สึกในระดับโลก ถ้ามีความรู้ที่เหนือโลก ไม่ต้องมานั่งเป็นทุกข์อยู่เพราะสิ่งหล่านี้ จะมีอะไรได้ จะมีอะไรเสีย มีอะไรเป็น มีอะไรตาย มีอะไรขาดทุน มีอะไรได้กำไร มีอะไรแพ้ มีอะไรชนะ เขาก็ไม่เห็นว่าประหลาดอะไร เป็นของธรรมดาไปทั้งนั้น...
การเกิดทางร่างกายมันก็หยุดอยู่เพียงแค่ได้เป็นคน เป็นคนดีเท่านั้นเอง คนที่สมมุติกันว่าดี อย่างนี้เรียกว่าดี ยิ่งสวย ยิ่งรวย ยิ่งอะไรด้วยก็ยินดี แล้วมันก็ได้เพียงเท่านั้น ยังจะต้องหัวเราะ ยังจะต้องร้องไห้สลับกันไปตามความเปลี่ยนแปลงในโลก เกิดในทางฝ่ายทางกาย มันได้เพียงเท่านี้ ที่นี้เกิดทางฝ่ายจิตมัน ก็นั้นคือจิตมันสูงขึ้นไปขึ้นไป จนเป็นจิตที่ไม่รู้จักทุกข์ ทุกข์ไม่เป็น ทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป การเกิดวิญญาณมันดีอย่างนี้
บุตรประเสริฐที่สุดคือเป็นผู้เชื่อฟัง พระพุทธเจ้าท่านระบุไปยังบุตรที่เชื่อฟังว่าประเสริฐที่สุด...ที่ว่าเชื่อฟังนี้ เชื่อฟังใคร เด็กๆ ก็จะเข้าใจได้เองว่าอย่างน้อยที่สุด เบื้องต้นที่สุด ก็เชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ คนเฒ่า คนแก่ ถ้าจะให้ดีจะต้องเลยไปถึงว่าเชื่อฟังพระเจ้าพระสงฆ์ ถ้าดีไปกว่านั้นอีก ก็จะเชื่อฟังพระพุทธเจ้า หรือให้ตรงก็เชื่อฟังพระธรรม หรือเชื่อฟังความรู้สึกฝ่ายดี ฝ่ายถูก ฝ่ายสูงที่มันมากระซิบอยู่บ่อยๆ
ลูกหลานไม่เชื่อฟังนั้นทำบิดามารดาให้ร้อนใจเหมือนกับตกนรกทั้งเป็นจริงหรือไม่ คำว่า "บุตร" นี้แปลว่า ผู้ยกบิดามารดขึ้นมาจากนรก ไม่เป็นเพียงก้อนสกปรกก้อนหนึ่ง ที่คลอดออกมาจากท้องของบิดามารดา ควรจะเข้าใจไว้ด้วย ว่าบุตรที่เป็นผู้ยกบิดามารดาขึ้นมาจากนรก นรกนั้นก็ชื่อว่า ปุตตะ คือบุตรเสียด้วย...นรกที่บุตรจะทำขึ้น นรกที่บุตรจะสร้างขึ้นต้องไม่มี บุตรจะต้องช่วยให้บิดามารดาพ้นจากนรกขุมนี้ คือนรกที่ร้อนใจเหลือประมาณ เมื่อบุตรมีประพฤติกระทำไม่ดี ฉะนั้นขอให้เราเป็นบุตรที่แท้จริง อย่าได้ทำอะไรที่จับเวลาบิดามารดาใส่ลงไปในนรกเลย
พ่อแม่จะต้องปลูกฝังความรู้อันนี้ให้แก่ลูก ลูกก็จะเดินถูกทาง มันก็เลยพร้อมที่จะเป็นแม่ที่ดีเป็นพ่อที่ดีสืบต่อๆ กันไปในอนาคต ดูพระคุณของแม่ในด้านลึก แล้วก็จะได้เคารพรักกตัญญูเชื่อฟังพ่อแม่กันอย่างสูงสุด เพื่อเตรียมตัวเป็นพ่อแม่ที่ดีสืบไปในเมื่อถึงรอบเวรของตนเข้า
ในเรื่องที่ว่ามานี้ ขอให้เป็นที่สนใจแก่บุคคลทั้งหลายที่เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นความรู้ที่ต้องใช้ทั้งแก่เด็กที่กำลังอมมือและแก่เด็กที่หัวหงอกแล้ว อย่าได้มีอะไรผิดพลาดในเรื่องหน้าที่ของแม่และลูกต่อไปอีกเลย หวังว่าพ่อแม่และลูกหลายทั้งหลายจะมีความรู้เรื่องนี้อย่างเพียงพอ ปฏิบัติแล้วไม่บกพร่องในหน้าที่ของตนๆ จะได้ประสบความสุขในฐานะที่เป็นมนุษย์อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเป็นแน่นอน