แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๖๖ สรรพสิ่งตั้งอยู่ในความไม่แน่นอน เราจึงต้องบริโภคทุกอย่างด้วยสติด้วยปัญญา
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การพัฒนาของระบบของเราทุกๆ คน เขาก็ต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์ตามหลักเหตุหลักผลเพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้มันถึงมี พัฒนาจิตใจไปพร้อมๆ กันเพื่อควมคุมเพื่อ control ตัวเอง ให้ตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง เราที่เป็นผลจากการที่เราทำความดีตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ มันจะทำให้ตัวเองหลง ทำให้ตัวเองใจอ่อน เราต้องเอาปัญญามาช่วย ว่า ความอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความสะดวกความสบาย ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงนั้น คือสิ่งที่ตั้งอยู่ในความไม่แน่นอน ให้เราต้องบริโภคทุกอย่างด้วยสติ ด้วยปัญญา เพราะว่าเราต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละไม่ได้ มนุษย์เราต้องพัฒนาใจไปพร้อมกับหลักวิทยาศาสตร์ เราขี้เกียจขี้คร้านมันจะรวยได้อย่างไง เราก็พาลูกพาหลาน เข้าสู่ขบวนการแห่งหลักแห่งผลหลักวิทยาศาสตร์
ศาสนาพุทธนี้ไม่มีไสยศาสตร์นะ ไม่ตั้งมั่นในไสยศาสตร์ ในพวกโมหะ พวกนี้มันเป็นกาฝากของทางศาสนา เป็นที่เขาเค้ามาทำมาหากิน มันเป็นเนื้องอก ให้ทุกคนทุกศาสนาก็ไปอันเดียวกัน ไปในแนวทางเดียวกัน คือพัฒนาวิทยาศาสตร์กับพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ทุกคนรักกันสงสารกัน เมตตากัน กรุณากัน เพราะเราทุกคนมาอยู่ด้วยกันนี้ สรีระร่างกายก็ไม่เกิน ๑๐๐ ปีก็ต้องจากโลกนี้ไป ความสมัครสมานสามัคคีนี้ถึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด การที่เป็นสังฆเภทไม่ดีเลย สามีภรรยา ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล มันแตกแยกกันไม่ได้ อันนั้นมันเป็นความยึดมั่นถือมั่น เขาเรียกว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ แล้วก็หลงในวิทยาศาสตร์ หลงในความสุขความร่ำความรวย พากันไปก๋าไปกร่าง ต้องพัฒนาใจของเรา ให้มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าท่องพุธ หายใจออกท่องโท
ทุกคนต้องพัฒนาตัวเองในปัจจุบัน เพราะอดีตก็ไม่ได้ อนาคตก็ไม่ได้ มันอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้มีมันจะเลื่อนของมันไปเอง เขาเรียกว่า บารมี ๑๐ ทัศน์ บารมี ๒๐ ทัศน์ บารมี ๓๐ ทัศน์ มันจะละเอียดคมไป ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเข้าสู่ภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ เข้าสู่ศาสนา อันนี้เป็นความสุขเป็นความดับทุกข์ อันนี้เขาเรียกว่าเป็นความดับทุกข์ที่สุดยอดของหมู่มวลมนุษย์ ทั้งเอเชียทั้งยุโรป ต้องพากันพัฒนากันอย่างนี้ อย่าไปหลงขยะ อย่าไปหลงสิ่งแบบนี้นะ มันไม่สมควรที่จะโง่ๆ อย่างนั้นอีก
เราต้องทานอาหารเสริม อาหารเสริมคือ นั่งสมาธิ ตอนเช้า ตอนกลางคืนอย่างนี้เป็นต้น เขาเรียกว่าอาหารเสริม เพราะปัจจุบันมันอาจจะไม่เพียงพออย่างนี้นะ ต้องทำอย่างนี้เรารูป เสียง กลิ่น รส ลาภยศ สรรเสริญ มันทำให้เราทุกคนเพลิดเพลิน เพราะมันทำตามความหลงนะ เราต้องกลับมามีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม เราต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา เราจะได้เป็นคนกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่บรรพบุรุษ กตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า เพราะท่านเสียสละ เราก็เดินตามเรียกว่าสืบทอด ต่อยอดในทางที่ดี พระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ก็คือธรรมะ คือการให้เขาเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้น มันอยู่ที่เราที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มรรคผลนิพพานไม่ล้าสมัย เป็นของสด สงบสดชื่นเบิกบาน ในปัจจุบันอย่างนี้นะ เราจะได้เข้าถึงสิ่งที่ประเสริฐ เราไม่สมควรที่จะไปยึดมั่นถือมั่นว่าตัวว่าตนอีกต่อไป เราต้องเสียสละเสียคืนซึ่งตัวซึ่งตน ความสุขความดับทุกข์มันไม่ได้เกี่ยวกับคนรวย ไม่ได้เกี่ยวกับคนจน ไม่ได้เกี่ยวกับคนแข็งแรง มันอยู่ที่มีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้อง พัฒนาใจ ความสุขความดับทุกข์ก็จะมีอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
สิ่งที่ทุกคนหลงเหยื่อ หลงมี Sex ทางจิตใจทางอารมณ์อย่างนี้ เค้าเรียกว่าเรายังยินดีในการบริโภคเหยื่อของพญามาร เราต้องเก่งกว่านี้ ฉลาดกว่านี้ เราต้องเสียสละ เรื่องจิตเรื่องใจ มันติดในวัฏฏะสงสาร มันยินดีในความเอร็ดอร่อย ทางอายตนะ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันไม่ได้ มันเป็นเหยื่อ มันเป็นการรับจ้างมาเวียนว่ายตายเกิด เราต้องรู้จักว่าหนทางที่เราไปมันต้องพาอุปสรรคต่างๆ อุปสรรคมาในความเอร็ดอร่อย รูปสวยๆ เสียงเพราะๆ เราต้องรู้จักว่าอันนี้มันมาปรากฏการณ์ให้ทุกคนได้รู้จัก ไม่ใช่ให้มาหลง เพราะเรามีตาก็เพื่อฉลาด มีหูก็เพื่อฉลาด มีจมูก มีลิ้นมีกายมีใจก็เพื่อฉลาด เมื่อฉลาดเเล้วเราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ เสียสละไป หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย เราต้องรู้จักว่าการเวียนว่ายตายเกิด มันต้องตัดอย่างนี้มันถึงได้
คนเรามันมีความสุขอยู่เเล้ว ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เราจะไม่ตามความคิดตามอารมณ์ไป ทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ตอนปฏิบัติใหม่ๆ มันไม่ได้ตามใจมันจะอกเเตกตาย มันจะกระอักเลือด ให้รู้จักให้ทุกคนมีสติสัมปัชญญะ หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน มามีสติสัมปชัญญะ ให้รู้ตัวทั่วพร้อมอย่างนี้ เราต้องอย่าไปหลงอารมณ์ อย่าไปหลงนิมิต ให้มีสติมีสัมปชัญญะ การประพฤติการปฏิบัติใหม่ๆ มันก็ต้องยาก เพราะรถมันวิ่งมาตั้ง 100-200 มาหยุดทันทีมันเเทบจะตีลังกาเลย เเต่การปฏิบัติต้องอาศัยเวลาหลายวันหลายอาทิตย์หลายเดือน เช่น คนเรากว่าจะเลิกเหล้าได้ใช้เวลาเป็นเดือน เลิกได้ทุกอย่างต้องใช้เวลา มันต้องเข้าใจว่า มันต้องมีการต่อสู้ในการประพฤติในการปฏิบัติที่ละบาปที่เกิดเเล้วไม่ให้เกิดขึ้น และบาปที่มันกดดันจะให้เราเดินไปต่อ เราต้องรู้จัก กลับมาหาสติสัมปชัญญะ กลับมาหาอานาปานสติ หายใจเข้ามีความสุขหายใจออกมีความสุข
ทุกท่านทุกคนต้องเปลี่ยนเเปลงตัวเอง พัฒนาตัวเอง ปรับตัวเองอย่างเต็มที่เลย เมื่อก่อนเดินไปทางทิศตะวันตก ทีนี้หันหลังกลับไปเดินทางทิศตะวันออกเลย ออกจากโลก ออกจากวัฏฏะสงสาร ผู้ที่อยู่ที่บ้านก็ประพฤติพรหมจรรย์เบื้องต้น คือศีล 5 ให้เรามีความสุขในการถือศีล 5 ตั้งใจตั้งเจตนา อันไหนเป็นศีล เป็นข้อวัตรปฏิบัติ เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราอย่าไปสงสัยว่าเราปฏิบัติได้หรือไม่ได้? มันได้ มันได้ทุกคนถ้าเสียสละ มันถึงจะเก่ง เอาให้มันเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม เป็นคุณธรรม ทุกคนพากันตั้งใจนะ
วัดคือข้อวัตรปฏิบัติ วัดอยู่ที่ทุกคนในชีวิตประจำวัน มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนปัญหาต่างๆ ในโลกมันไม่มีหรอก ต้องกลับมาหาตัวเอง กลับมาเเก้ไขตัวเอง กลับมามีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ เพราะเวลาของเรามันมีค่ามีราคาเวลา เราต้องกลืนกินเวลาด้วยการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่ปฏิบัติ เวลาจะกินเราปล่อยให้เราเเก่ไปเฉยๆ อย่างนี้มันก็ไม่ได้ มันเสียหาย จะมีประโยชน์อะไร ไปหาอยู่หากิน ให้มันเเก่ไปเฉยๆ เเล้วก็ไม่มีอะไร
คนเราต้องเข้าสู่ระบบระเบียบเข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า มันถึงจะเป็นอย่างนี้นะ ทุกคนถ้าตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองมันไม่เก่งหรอก เราอย่าไปคิดว่าเค้าเก่ง ที่เค้าว่าเราเดินตามรอยของพระพุทธ ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โยมเค้าก็ได้บุญได้กุศล นี้เป็นความมั่นคงของชาติ ชาติที่เป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ เป็นความมั่นคง จะได้ต่อยอดเป็นพระอริยเจ้า ความมั่นคงของศาสนา ของพระมหากษัตริย์ จะได้ส่งไม้ผลัดต่อลูกต่อหลาน เราดูโครงสร้างของสังคมของเรา มันมีเเต่ความล้มเหลวของชาติ ของศาสนา ของพระมหากษัตริย์ บรรพบุรุษเรา เราต้องเข้าใจอย่างนี้ ความมั่นคงมันอยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ที่พวกทหารตำรวจอะไรหรอก มันอยู่ที่ทุกคนมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราต้องปฏิบัติตัวเองให้ได้ มันถึงจะบอกคนได้
มันจะมีประโยชน์อะไร เรายังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า เราจะไปบอกไปสอนอะไรเค้า ตัวเองก็ยังสอนตัวเองไม่ได้ เมื่อเราเป็นโจร เราจะไปบอกโจรมันก็ไม่ได้ เราต้องเป็นพระ เป็นพระธรรม เป็นพระวินัย เป็นพระศาสนา ทุกท่านทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะ ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติให้มีความสุข เพราะเราประเสริฐขนาดไหนยิ่งขนาดไหน ที่ได้พากันมาบวชมาปฏิบัติอย่างนี้ วัดเราทุกวัดมันจะได้มีพระ นี้มันไม่มีพระ ถ้าเราตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันจะมีเเต่โจร เอาโจรมารวมกัน พวกห่มเหลืองโกนหัวนี้ไม่ใช่พระหรอก ถ้ามันเอาเเต่ใจตัวเอง เอาเเต่อารมณ์ตัวเองมันก็คือโจรนี้เเหละ เราทุกท่านทุกคนไม่ต้องไปหาโจรที่ไหน หาในตัวเรา
ให้ทุกคนมีสติมีสัมปชัญญะ เราอย่าไปท้อใจ ความท้อใจคืออาการตัวตน ตัวตนมันเยอะ คนเรามานะทิฏฐิมันเยอะ คนมีตัวตนเยอะ มีข้อเเม้มันอย่างนี้ มันว่าร้อน ว่าหนาว ว่าเช้า ว่าเย็น ว่าบ่าย มันทิฏฐิมานะเยอะ เอ๊! เจ้าโลก เจ้าเวียนว่ายตายเกิด มันจะครองโลกไปถึงไหน โลกคือหมู่สัตว์ที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏฐิ มันไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงการดับทุกข์
การปฏิบัติมันต้องปฏิบัติอย่างนี้ๆๆ ให้ทุกท่านมีความสุขอย่างนี้ ไม่ต้องสนใจเรื่องอนาคตจะอยู่ยังไงจะกินยังไงหรอก อันนั้นมันระบบครอบครัว พระพุทธเจ้าเห็นไหมท่านเสียสละหมด ท่านถึงมีความสุข เสียสละไม่ใช่ขี้เกียจขี้คร้านนะ ขยันมากกว่าเก่า เพราะว่าคนขี้เกียจขี้คร้านนั่น เค้าเรียกว่าคนมีมิจฉาทิฏฐิ คนไม่ขยัน ไม่รับผิดชอบ เค้าเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ ที่เซ่อๆ เบลอๆ พวกที่มาบวช พวกนี้เรียนหนังสือไม่เก่ง พวกติดเหล้าติดยาหากินไม่ได้ มาเอาศาสนา ไม่เป็นไร ให้ตั้งอกตั้งใจเสียสละ เพราะเราจะได้ไล่มิจฉาทิฏฐิ มามีความสุขในการรักษาศีลทำข้อวัตรข้อปฏิบัติ ต้องใจเเข็งทำติดต่อกันหลายวันหลายเดือนหลายปีอย่างนี้ เราไม่ต้องอวดร่ำอวดรวยอวดอะไร อย่างบวชหลายปี ยิ่งทิฏฐิมานะมาก มันไม่ใช่ บวชหลายปี ไม่ใช่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เรียกว่าไม่ใช่พระเถระหรอก มันเป็นภิกษุเถระ หรือเป็นโจรเถระนะ
พระก็ให้พากันเป็นพระ 100% พระที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่คนห่มผ้าเหลืองหรือโกนหัวอันนี้มันเป็นเครื่องแบบ ตัวผู้ที่บวชเป็นพระก็ให้รู้จักว่า ตัวเองเป็นพระที่แท้จริง ไม่ใช่มีเซ็กทางความคิด มีเซ็กทางอารมณ์อย่างนี้ไม่ได้ เพราะเราจะได้กราบไหว้ตัวเองได้ วัดทุกวัด ทั้งพระเก่าพระใหม่ต้องพากัน เข้าใจ แล้วประพฤติปฏิบัติ เข้าสู่ระบบให้ความเป็นพระ แห่งพระศาสนา ไม่อย่างนั้นมรรคผลนิพพานมันรับไม่ได้ วัดทุกวัด สาขาทุกสาขาทุกคนยอมรับได้เพราะเป็นพระธรรม พระวินัย เป็นพระแท้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้ทุกท่านทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ด้วยเจตนา ด้วยความตั้งอกตั้งใจ เราจะไม่ได้ระแวงในตัวพระ พระเองก็จะได้ไม่ต้องระแวงในตัวเอง ประชาชนจะได้ไม่ต้องระแวง จะได้พากันประพฤติปฏิบัติ ใครอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติในท้องถิ่นที่นั้น วัดคือศูนย์รวมแห่งผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ต้องเข้าถึงพื้นถึงฐานด้วยการประพฤติปฏิบัติ เราเรียน เราศึกษามาเข้าใจต้องมีการประพฤติปฏิบัติตามที่เรียนที่ศึกษามา เป็นพระอย่าไปบอกว่าอาตมาชอบเค๊ก ชอบชีส ชอบอย่างนั้น ชอบอย่างนี้ อย่างนั้นไม่เอา นิสัยของตัวเองไม่ใช่นิสัยของพระ นิสัยที่อาตมาชอบพูดอย่างนั้น พูดอย่างนี้ พูดจากใจ อันนั้นมันไม่ใช่ใจ ปกติของใจ ก็คือ กลางๆ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่มีสมมุติ ไม่มีอะไรในจิตในใจ ไม่มีสักกายทิฏฐิคือใจที่บริสุทธิ์ ใจปภัสสร จิตปภัสสร เราจะเอาสักกายทิฏฐิของตัวเองไปเป็นใจ เราอย่าเป็นพระอารมณ์ พระเจ้าอารมณ์ ไม่ได้ พระเรามันไม่ได้มาตรฐาน เขาให้ขึ้นเป็นหัวหน้าเป็นผู้นำ เพื่อนฝูงก็มองดูแล้วรับไม่ได้ เพราะว่าความประพฤติมันไม่ใช่ เขาให้ขึ้นไปแสดงละคร เป็นหัวหน้า เพราะใจ เจตนามันไม่ได้เป็นหัวหน้า มันเป็นละเก เป็นละครเฉยๆ
ผูัที่มีเวลาบวชน้อย ด้วยการดำรงชีวิต ด้วยธุรกิจหน้าที่การงาน ให้เอาธรรมะ เอาความถูกต้อง เอาการประพฤติการปฏิบัติ ไปปฏิบัติที่บ้าน ที่ครอบครัว ที่สังคม เราอย่ามาบวชแล้ว โดนที่ไม่ได้ทำกิจต่อเนื่องมันไม่มีความมั่นคง ทุกท่านทุกคนมาบวชแล้วต้องมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะการเดินทางนี้ไม่ได้มาจบเพียงแค่นี้ ตราบใดที่เราไม่ได้เป็นพระอรหันต์ถือว่างานเรายังเป็นเสขะบุคคลอยู่ เราต้องเข้าใจการประพฤติปฏิบัติ เราโชคดีที่ได้มาบวชที่วัดที่มีครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า เราเกิดที่ประเทศไทย เราโชคดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านให้โอกาส ให้เราลาบวชได้ ผู้ที่เรียนจบปริญญาพ่อแม้ก็ให้มาบวชเพื่อเอาหลักธรรมไปใช้ไปปฏิบัติ ในการดำรงชีวิตเพื่อให้ตระกูลได้มาตรฐาน ให้มีความมั่นคง
เรื่อง 'การประพฤติปฏิบัติธรรม' ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ของทุกๆ คน ไม่มีบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ให้ทุกท่านทุกคนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญนะ...ในชีวิตประจำวันของพวกเรา ความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบาก ถือว่าเป็นเรื่องดีที่จะให้เราได้ฝืน ได้อดได้ทน ได้ทำความเพียร แต่ละคนแต่ละท่านน่ะ พระพุทธเจ้าท่านให้สำรวจตรวจตราตัวเองว่า เรามีอะไรขาดตกบกพร่องอะไรบ้างนะ ข้อวัตรส่วนไหนของเราบกพร่อง ศีลของเราข้อไหนบ้างบกพร่องด่างพร้อย
การเจริญสติ การฝึกสมาธิ การเจริญปัญญาของเราน่ะ มันดีพอมันต่อเนื่อง...ที่จะทำให้ธรรมะของเราเจริญรุ่งเรืองงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไปหรือไม่ ใจของเราสงบหรือว่าใจของเราน่ะ ส่งออกไปตั้งแต่ข้างนอกจนกลายเป็น พระฟุ้งซ่าน เณรฟุ้งซ่าน แม่ชีฟุ้งซ่าน อุบาสกอุบาสิกาฟุ้งซ่าน เป็นคนหัวใจแตกสลาย เป็นคนจิตใจแตกสลายไม่อยู่ในความสงบ
วิธีแก้น่ะ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเราให้กลับมาหาตัวเอง ให้กลับมาหาข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ให้คลุกคลีกับคนอื่นหรือหมู่คณะ ให้พยายามอยู่กับตัวเอง ฝึกสมาธิให้มาก สมาธิ ก็คือ ความสงบน่ะ
สาเหตุที่ 'ใจ' ของเราจะสงบมันก็ต้องมีการนั่งสมาธิ เดินจงกรม ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ด้วยคณะ อย่าไปมองคนอื่น อย่าไปดูคนอื่นนะ ให้ดูกายวาจาใจตัวเอง
คนเรียนหนังสือน่ะตั้งแต่อนุบาล ป.๑ เค้าไม่รู้เรื่องอะไรหรอก เมื่อเรียนไม่หยุด ศึกษาไม่หยุด ชีวิตของบุคคลนั้น ก็ย่อมรู้จักรู้แจ้งจนได้จบดอกเตอร์นะ การประพฤติการปฏิบัติของเราผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ก็ต้องทำความเข้าใจแล้วก็นำไปประพฤติปฏิบัติ เมื่อเราปฏิบัติไม่หยุด ภาวนาไม่หยุด ค้นคว้าทั้งเหตุทั้งผลและประพฤติปฏิบัติ เดินตามรอยของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงน่ะ ทุกท่านทุกคนก็ย่อมเข้าถึง 'พระนิพพาน' ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น...ไม่มีใครยกเว้น
ธรรมะพระพุทธเจ้าน่ะมีเหตุและมีผลเป็นวิทยาศาสตร์พัฒนาไป...จนเหนือเหตุเหนือผลที่วิทยาศาสตร์จะตามเข้าถึงไม่ได้
สิ่งเหล่านี้น่ะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า... มันเป็นความรับผิดชอบของเรา เป็นหน้าที่ของเรา ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ต้องนิ่งต้องสงบ ไม่ตื่นเต้นตามบุคคล...สิ่งภายนอก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันให้หยุดไว้ นิ่งไว้ แม้แต่อารมณ์ของเราจิตใจของเราก็เหมือนกัน มันเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้เราตามความคิดตามอารมณ์ถ้าเราตามความคิดตามอารมณ์น่ะเราจะเป็นคนไม่มีสมาธิ เป็นคนที่ตกอยู่ในการมงคลตื่นข่าว
พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝึกจิตใจให้แข็งแรง อย่าได้ตามอารมณ์ อย่าได้ตามความคิดไป "คนเราน่ะปัญหาต่างๆ มันไม่มีหรอก แต่เราตามอารมณ์ไป... ตามความคิด... ตามความอยากไป... ปัญหามันถึงมี... ชีวิตที่ยังไม่ตายแต่มันก็ถูกเผาทั้งเป็นแล้ว" อะไรเผาล่ะ...? คือ 'ความอยาก' ที่เราพากันหลงความคิด หลงอารมณ์ ต้องฝึกใจให้สงบให้เย็นให้ได้ มันอยากคิดเราก็ไม่คิด มันอยากพูดเราก็ไม่พูด มันอยากทำเราก็ไม่ทำ มันไม่อยากทำ เราก็ทำน่ะถ้ามันดี เพราะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนเรานี้เป็นธรรมะที่ทวนโลกทวนกระแส ทวนจิตทวนใจของเราเอง
นักประพฤติปฏิบัติน่ะ ต้องพยายามมาแก้ที่จิตที่ใจ แก้ที่การกระทำความประพฤติของเราเอง พยายามถอนความรู้สึกนึกคิดอัตตาตัวเองที่มันเป็นเราเป็นของเรา คนเรามันมี 'ตัวตน' มาก... ถ้าเราไม่ได้ภาวนา ไม่ได้พิจารณา บวชมาหลายพรรษา 'กิเลส' มันก็ขึ้นหลายพรรษาเหมือนกันนะ เป็นนักเทศน์เก่งสอนเก่ง กิเลสมันก็เป็นนักเทศน์เก่ง นักสอนเก่งเหมือนกัน...เป็นผู้ทำอะไรได้ กิเลสมันก็ติดตามเราเหมือนเงาตามตัว
เราสังเกตดูนะ กิเลสของเราทุกๆ คนมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างเราไม่ได้เป็นผู้นำทำวัตรสวดมนต์อย่างนี้แหละ เราก็ไม่อยากเข้าศาลา เพราะว่าเราไม่ได้เป็นผู้นำสวดมนต์ เป็นต้น "นั่นเห็นมั้ย เห็นกิเลสมั้ย เห็นกิเลสตัวเองหรือเปล่า"
คนเรามันทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน มันชอบติดทองแต่หน้าพระ หลังพระมันไม่ติด อย่างใครมีบทบาทอะไรทำงานส่วนรวมอะไร กิเลสมันก็ฟู ก็คะนอง ถ้าใครไม่ได้ทำก็หงอย อันนี้มันเป็นอาการของจิตใจของกิเลสทั้งนั้น
สตฺติยา วิย โอมฏฺโฐ ฑยฺหมาโนว มตฺถเก สกฺกายทิฏฺฐิปฺปหานาย สโต ภิกฺขุ ปริพฺพเชติ ฯ
ภิกษุพึงมีสติ เว้นรอบเพื่ออันละสักกายทิฏฐิ เหมือนบุรุษถูกประหารด้วยหอก และเหมือนบุรุษที่ถูกไฟไหม้บนศีรษะ ฯ
ทุกท่านทุกคนก็ต้องพยายามแก้ไขตัวเองนะ จิตใจหรือปฏิปทาหรือสิ่งที่ดีๆ ของเราก็เจริญน่ะ มันเหนื่อยมากลำบากมาก เราก็ต้องอดต้องทนเพื่อทำความเพียร ละบาปที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น ละบาปที่อยู่ในใจอยู่ในกมลสันดานนี้ให้มันหายไป ทำอะไรอยู่ ปฏิบัติอะไรอยู่พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เราปรารภธรรม อย่าได้พากันปรารภอัตตาตัวตนซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม...ไม่เหมาะไม่ควร
เราทำอะไรอยู่ก็ตั้งใจทำให้มันดีๆ นะ เพื่อเราจะได้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เพื่อเราจะทำความดีให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
พระที่ชอบส่งใจออกไปข้างนอก โยมที่ชอบส่งใจออกไปข้างนอกต้องกลับเนื้อกลับตัว ทั้งกายทั้งใจ ถือว่าผิดแล้วก็แล้วไป อย่าได้ทำอีก ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกตัวน่ะ เราจะตกเป็นผู้หลอกลวง กิเลสมันหลอกลวงเรา เราก็ไปหลอกลวงคนอื่นต่อ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรายุ่งกับสิ่งภายนอกน่ะ เป็นธุระในเรื่องภายนอก ท่านเมตตาเราสงสารเรา ให้เน้นเข้าหาข้อวัตรปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินี้ คือความสำคัญ คือความเจริญในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่การมีหน้ามีตา มีลาภ ยศ สรรเสริญเป็นสิ่งที่สำคัญ เราจะได้เป็นพระมาตรฐาน เป็นเณรมาตรฐาน...เป็นโยมวัดมาตรฐาน...
ส่วนใหญ่ก็เราทุกๆ คนนี้แหละ ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อไม่ได้มาตรฐานอย่างนี้ ตัวอย่างที่ดี แบบอย่างที่ดีมันก็ไม่มี 'มีแต่ของปลอมทั้งนั้น' "ความย่อหย่อนอ่อนแอนี้เป็นอันตรายต่อตัวเราเองและคนอื่น"
สมัยก่อน... เมื่อห้าสิบกว่าปีน่ะ เขาพิมพ์หนังสือตำราดูพระภิกษุออกมา เพื่อให้ญาติโยมประชาชนรู้จักพระที่แท้จริง...พระผู้ใหญ่ที่ย่อหย่อนอ่อนแอ เค้าพิมพ์มาเท่าไหร่ก็เหมาซื้อแล้วเอาไปเผาทิ้งให้หมด กลัวประชาชนเค้าจะรู้ถึงความชั่ว... รู้ถึงพฤติกรรมน่ะ พระผู้ใหญ่หรือว่าพระรุ่นพี่ก็มีลักษณะอย่างนี้แหละ เพราะว่าปฏิปทามันไม่ได้มาตรฐาน เราไปบอกเค้าผิดๆ สอนเค้าผิดๆ ว่าไม่เป็นไร ปลงอาบัติก็ได้ สอนใหม่ว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมาก อันนี้เป็น 'มิจฉาทิฏฐิ' ที่เป็น 'มหาภัย' ต่อวงการประพฤติวงการปฏิบัติ
เมื่อเรายังหนุ่มยังน้อยนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราปฏิบัติให้มันหนักให้มันเข้มข้นเพื่อจะได้เป็นนิสัยเป็นปัจจัย เป็น 'สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า' เมื่อไม่ได้มาตรฐาน ไม่เข้า 'ถึงจิตถึงใจ' น่ะ เราถึงเห็นพระผู้ใหญ่มีปัญหาเรื่องนารีสีกา เรื่องหลอกลวงประชาชน ทำให้วงพระพุทธศาสนากระทบกระเทือน เพราะว่าการประพฤติปฏิบัติธรรมของเราไม่ต่อเนื่อง มีลาภ มียศ มีชื่อเสียงนิดหน่อยก็ลืมตัว...ลืมมาก วันไหนอยากออกบิณฑบาตก็ออก วันไหนไม่อยากออกก็ไม่ออก วันไหนอยากจะไปทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิก็ไป วันไหนไม่อยากออกก็ไม่ออก "กิเลสมันลามปามไปเรื่อยนะ"
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราทุกๆ คนน่ะ ทั้งพระใหม่พระเก่า ตลอดถึงญาติโยมประชาชน อย่าได้พากันลืมตัวนะ การประพฤติปฏิบัติต้องให้มันเข้มขันต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ การไม่ทำตามใจของตัวเอง ไม่ตามกิเลสของตัวเอง ท่านว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ประเสริฐ เราเป็นคนฉลาดเป็นคนเก่ง ไปเอาความสุขความดับทุกข์จากคนอื่น...คงไม่ได้...คงไม่ดีนะ ต้องเอาความสุข ความดับทุกข์จากตัวเอง ด้วยการไม่ตามกิเลสนี้แหละ
ถ้าเราจะพากันสร้าง 'เรตติ้ง' ให้กับตัวเองนั้น... พระพุทธเจ้าท่านให้เรากลับมาหาธรรมะ กลับหาวินัยอย่าได้พากันส่งกายส่งใจออกข้างนอก มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังโดยถูกกิเลสมันครอบงำ
เราทุกคนต้องกราบไหว้ตัวเองให้ได้ให้สนิทใจ คนอื่นเค้าอยู่ใกล้ๆ เค้าจะได้รักเคารพเรากราบไหว้เราได้สนิทใจ อย่างนี้ถึงจะถูกต้อง มันถึงจะไม่กินแหนงแคลงใจ ที่พูดที่บรรยายนี้แหละ...เป็นพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสว่า... "น เต อหํ อานนฺท ตถา ปรกฺกมิสฺสามิ อานนท์! เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม ยถา กุมฺภกาโร อามเก อามกมตฺเต เหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อ ที่ยังเปียก ยังดิบอยู่ นิคฺคยฺหนิคฺคยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิ อานนท์ ! เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุด ปวยฺหปวยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิ อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด โย สาโร, โส ฐสฺสติ ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้"
ทุกท่านทุกคนให้ถือเอาโอกาส...ถือเอาเวลานี้มาประพฤติมาปฏิบัติ มาอบรมบ่มอินทรีย์ให้จิตใจของเรามีอินทรีย์บารมีแก่กล้าขึ้น ต้องอาศัยความอดความทน อาศัยข้อวัตรปฏิบัติ คนเราเมื่อไม่ได้ตาม 'ใจ' ก็ต้องมาแก้ที่ 'ใจ' เพราะสิ่งที่มีปัญหาก็คือ 'ใจ' ที่มีปัญหา ต้องทำใจของเราให้สงบให้ได้น่ะ 'ใจ' ของเรามันก็ค่อยๆ เกิดปัญญาว่า ธรรมะนี้มันเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ถ้าเราทำตามใจตามอารมณ์น่ะชีวิตนี้ก็มีแต่ผิดหวัง โลกนี้ก็ย่อมมีแต่ความเห็นแก่ตัว ถือพรรคถือพวก ถือชั้นวรรณะชาติตระกูล "เอาดีใส่แต่ตัว เอาสุขใส่แต่ตัว เอาความทุกข์ให้คนอื่น มันไม่ถูกต้องเลยมันไม่ยุติธรรมเลย...."
ธรรมะที่ทำให้เราเป็น 'พระ' เบื้องต้น คือการลดมานะละทิฏฐิ ละความเห็นแก่ตัว ไม่เอาความสุขทางวัตถุ ไม่เอาความสุขทางเนื้อทางหนัง ลาภ ยศ สรรเสริญ จะเอาความสุขทางทำความดีมีศีลมีธรรม เอาความสุขทางการทำจิตใจให้สงบทางการเสียสละ เรื่องเงินเรื่องสตางค์ เรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เค้ามาพร้อมกับความดีของเรา โดยที่เราไม่ต้องไปอยากไปต้องการ อย่างเค้าให้เราเรียนหนังสือตั้งแต่อนุบาลจนถึงดอกเตอร์นี้ก็เพื่อเป็นคนดีเป็นคนเสียสละ ละความเห็นแก่ตัวความขี้เกียจขี้คร้าน อย่างให้เค้าเรียนนักธรรมตรีไปถึง ป.ธ.๙ ก็เพื่อเป็นคนดี เป็นคนเสียละความเห็นแก่ตัว
โลกเราที่มันร้อนอยู่นี้เพราะอะไร...? เพราะเราทุกๆ คนมีความเห็นแก่ตัวมันถึงได้สร้างปัญหา เราทำความดีมันมีแต่สงบมีแต่เย็นน่ะ ไม่มีใครมาได้เปรียบเรา เราไม่ได้เสียเปรียบใครหรอก การชนะจิตชนะใจตัวเองได้ คือการชนะข้าศึกทั้งหลายทั้งปวง พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสอนเราอย่างนี้นะ ให้ทุกท่านทุกคน ตั้งใจดีๆ อธิษฐานจิตให้ดีๆ ให้มีหลัก ให้มีเกณฑ์ แล้วก็บังคับตัวเองอย่าให้คนอื่นบังคับ "การบังคับตัวเองเขาเรียกว่า ศีล" เมื่อ 'ศีล' เข้าถึงจิต ถึงใจ ถึงเจตนา สมาธิที่มันเป็นธรรมชาติ ที่มันเป็นกฎของธรรมชาตินั้น มันจะเกิดขึ้นมาเอง ปัญญาตัวที่ดับทุกข์ที่แท้จริงมันถึงจะเกิดศีล สมาธิ ปัญญา มันจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ในโอกาสนี้ ถือว่าเป็นโอกาสสำคัญที่ทุกท่านทุกคน จะได้ฝึกจะได้ปฏิบัติขัดเกลากิเลสอาสวะของตัวเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัด หรือจะอยู่ในบ้านอยู่ที่ไหน ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตัวเองทั้งหมด เราอยู่ที่ไหนเราก็แก่ เราก็เจ็บ เราก็ตายเหมือนกันหมด 'สัจธรรม' คือความจริงเค้าไม่ได้ยกเว้นใคร
ความสุขทุกคนมันเป็นสิ่งเสพติด ทุกคนมันชอบมันติดเราทุกคนจำเป็นต้องทำใจเฉยๆ น่ะ เดินหน้าประพฤติปฏิบัติธรรม คำว่า 'ติด' ทุกคนก็รู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันถึงติด จิตใจเราจำเป็นจะต้องเดินหน้าไป ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง อย่าไปเสียดงเสียดายอาลัยอาวรณ์มัน แข็งใจสู้มัน มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถือว่าเราได้เดินตามรอยบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐยิ่งกว่า จงดีใจจงภูมิใจในตัวเอง ในการประพฤติปฏิบัติของตัวเองว่าเราได้เดินทางมาดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ชื่อว่า "สุคโต ปฏิบัติธรรมด้วยความสุข..."