แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๖๕ ผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสารที่จะหยุดเวียนว่ายตายเกิดนี้ ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษในการประพฤติปฏิบัติ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสารที่จะหยุดเวียนว่ายตายเกิดนี้ มันต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ ถ้าไม่เอาใจใส่พิเศษเนี่ย จะเป็นสีลัพพตปรามาส ลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติ มรรคผลนิพพานก็ไม่อาจสามารถจะเกิดขึ้นได้ จึงต้องตั้งใจตั้งเจตนา ที่พึ่งที่แท้จริงของเราก็คือพระพุทธเจ้า คือพระธรรม คือพระอริยสงฆ์ คือต้องปฏิบัติตนเองนี้ให้เป็นพระอริยสงฆ์ ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติเองไปอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นไปไม่ได้แน่นอน
เราต้องเห็นโทษเห็นภัยในความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเห็นภัย เราต้องรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้จักวิธีปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ ที่เราปฏิบัติไม่ได้ ที่เป็นไปไม่ได้ ก็เพราะว่าเราไม่รู้ทางที่ชัดเจน ระบบมีเซ็กส์มีเพศสัมพันธ์ทางความคิดทางอารมณ์ในความเพลิดเพลินในความประมาท เราต้องรู้จักให้ชัดเจน ปฏิบัติเน้นที่ปัจจุบัน ไม่ต้องสงสัยว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ เน้นที่ปัจจุบัน เราไม่ต้องไปอาลัยอาวรณ์ ต้องตั้งจิตตั้งใจ ยังหลวงปู่มั่นท่านตั้งใจที่จะเอาตามพระพุทธเจ้าเห็นภัยในวัฏสงสาร (แทรกประวัติหลวงปู่มั่น)
เราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้เรามีพระศาสนาก็ไม่มีประโยชน์อะไร เรามาสร้างโบสถ์สร้างวิหารใหญ่โต แต่ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติอะไร มาถือแต่ยี่ห้อแบรนด์เนมอย่างนี้ไม่ได้ ต้องเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ อย่างตอนในช่วงก่อนสังคายนาครั้งที่ ๓ ผู้เข้ามาบวชก็มัวแต่เพลิดเพลินในรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ พากันมาบวชไม่เอามาผลพระนิพาน ก็ทำให้มรรคผลนิพพานน้อยลงไป หายไป หรือพระอรหันต์อยู่จำนวนไม่มาก พระเจ้าอโศกมหาราชอาราธนาให้ผู้ที่ไม่เอาจริงเอาจังจับสึกถึง ๖๐,๐๐๐ รูป พระอรหันต์ถึงเกิดขึ้นมามากมายเป็นล้านองค์ แสดงว่าถ้าเราไม่เข้าสู่กระบวนการในภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันไม่ได้ผลแน่ ฉะนั้นสมณที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ จึงมีอยู่ในความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องพากันปฏิบัติถูกต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ
ดีแล้วเรามีความเหนื่อยอย่างนี้ เราจะได้แก้ที่ใจ เรามีความยากอย่างโน้นอย่างนี้เราจะได้แก้ที่ใจ เรานี้ก็ดีกว่าพวกสัตว์เดรัจฉาน เปรต ยักษ์ มาร อสุรกาย เราสามารถทำอะไรต่างๆ ได้ สามารถพัฒนาเทคโนโลยีไปถึงดวงจันทร์ดวงดาว ทุกคนต้องพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจด้วยภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าพัฒนาแต่ความรู้เราก็รู้อยู่แล้ว ต่อให้มีมหาวิทยาลัยสงฆ์มากมายก็ไปไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงไม่กี่ปีก็ยุบหายไป เพราะว่ามันไม่ชัดเจนไม่ติดต่อต่อเนื่อง
ทุกคนสามารถปฏิบัติได้บรรลุได้หมดทุกคน ไม่มีหรอกที่จะไม่ได้ ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ถ้าเรามัวแต่เชื่อตัวเอง มันถึงไปไม่ได้ ระบบการเมืองระบบการปกครองก็เป็นเพียงหินทับหญ้า เราก็เห็นไหมรู้ไหม ประเพณีปีใหม่สงกรานต์ลอยกระทงก็มีแต่เต้นแร้งเต้นกา ระบบที่มีแต่จะไปแก้ไขจัดการคนอื่น ก็จัดการได้ไม่แน่นอน เหมือนพากันมาแก้ไขตัวเองหรอก เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่จะไปแก้ก็ยังไม่ได้แก้ตนเองเลย พระพุทธเจ้าทรงพูดเรื่องเหตุเรื่องผล เราต้องพากันเข้าใจนะ เพื่อให้รู้ในปัจจุบัน เราสร้างโรงเรียนมาเห็นไหมมันก็ล้มเหลวนะ เพราะว่าไม่มีภาคปฏิบัติที่จะแก้ไขตนเอง สร้างโรงเรียนมามันก็ล้มเหลว สร้างวัดมามันก็ล้มเหลว ฟังหน่วยราชการมาก็ล้มเหลว เพราะว่าไม่ได้พัฒนาใจพร้อมกับเทคโนโลยี ดูสิโจรมันเยอะขนาดไหน โจรมันเยอะขนาดไหน ยาเสพติดมันเยอะขนาดไหน ทั้งภายในประเทศต่างประเทศ มันเสียหาย พระพุทธเจ้าถึงให้พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ภายนอกและพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ถึงจะเรียกว่าทางสายกลาง
ทุกคนให้พากันรู้จักคำว่าพระศาสนา เพราะว่าศาสนานั้นไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน จะเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกข์ คือธรรมะ ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ เราทุกคนต้องเอาไปอย่างนี้กรรมเก่าของเรามันเคยชิน มาจากสิ่งนี้ มันไม่บาป มันก็จะไม่คิด ไม่บาปมันก็ไม่พูด อันไหนไม่บาปมันก็ไม่ทำ เพราะความเคยชิน ทุกท่านทุกคน ถึงต้องมีควาามตั้งมั้นในพระรัตนตรัย สังขารร่างกายของเราทุกคนนี้ไม่เกิน ๑๐๐ ปี ส่วนใหญ่ก็ต้องจากโลกนี้ไปทุกคน เพราะอันนี้เป็นสภาวะธรรม ให้ทุกคนเข้าใจ จะได้เข้าใจง่ายๆ เข้าใจซื่อๆ อย่างนี้ มันไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เพียงแต่เราเสียสละ หยุดตัวหยุดตน เราจะได้เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ เพราะความทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก มันอยู่ที่ใจของเรา ร่างกายของเราก็ต้องมีภาระ มีการบริหาร การมีภาระในการบริหารนั้นเราต้องไม่ให้เป็นบาปเป็นกรรมทางจิตใจ ทุกท่านทุกคนต้องรับผิดชอบเป็นพิเศษ เราดูภาระเรื่องธาตุ เรื่องขันธ์
ถ้าจะดูๆ หมู่มวลมนุษย์ก็ยังดีกว่าพวกสัตว์ต่างๆ สัตว์ต่างๆ ทำบ้าน ทำไร่ ทำสวน ทำนา ทำกสิกรรมทำอะไรก็ไม่ได้ ไม่เป็น ได้บ้างก็แค่เพียงเล็กน้อย เมื่อเราเป็นผู้ประเสริฐอย่างนี้เราต้องรู้จัก ต้องเอาความประเสริฐนี้มาประพฤติมาปฏิบัตินะ ปฏิบัติที่ตัวเรา ทุกหนทุกแห่ง คนภาคอีสานก็ปฏิบัติอยู่ภาคอีสาน คนภาคเหนือก็ปฏิบัติอยู่ภาคเหนือ คนภาคกลางก็ปฏิบัติอยู่ภาคกลาง คนภาคตะวันออกก็ปฏิบัติอยู่ภาคตะวันออก คนอยู่ทางภาคใต้ก็ปฏิบัติอยู่ภาคใต้ หรือว่าคนที่อยู่ต่างประเทศก็ก็ปฏิบัติอยู่ที่ต่างประเทศ ความสุขความดับทุกข์มันจะมีอยู่ที่เรานี้แหละ
ให้เราเข้าใจ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เพราะเรานั้นต้องรู้จักรู้แจ้ง มันไม่มีอะไรไปมากกว่านี้ เรามารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วมันก็ตั้งอยู่ ร่างกายของนี้แหละตั้งอยู่ไม่เกิน ๑๐๐ ปีอย่างนี้ ทุกอย่างมันจะผ่านไปอย่างนี้ เราต้องรู้จัก สภาวะธรรมที่เราให้เราได้พัฒนาจิต ได้พัฒนาใจของเรา เราอย่าพากันเป็นมิจฉาทิฏฐิว่าการเสียสละนี้เป็นการทำให้ตัวเองเหนื่อย ตัวเองยาก ตัวเองลำบาก อันนี้มันเป็นความเห็นผิดนะ อย่างนี้ทุกคนต้องอยู่ด้วยการเสียสสละ ถ้าไม่อยู่กันด้วยเสียสละทางจิตใจ เรามีความผิดนะ เพราะเราเป็นมิจฉาทิฏฐินะ เราต้องเสียสละ สละคืนซึ่งความคิด ความปรุงแต่ง ทุกข์เป็นสิ่งที่กำหนดรู้ เรารู้จักความคิดรู้จักอารมณ์ เราก็อย่าไปวุ่นวาย เราทุกคนจะได้เป็นสติปัฏฐานทั้ง ๔ ทุกเมื่อ ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ
วันคืนผ่านไปมีแต่การประพฤติ มีแต่การปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนต้องหาความเป็นมนุษย์สมบัติอยู่ที่ตัวเรา หาสวรรค์สมบัติอยู่ที่ตัวเรา พวกมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ เราก็อย่าพากันไปติดมัน เราก็ต้องสละไป เข้าถึงนิพพานสมบัติ คือสะเสียซึ่งตัวซึ่งตน เราต้องมาแก้ที่จิตที่ใจเรา อย่างนี้มันจะก้าวไปเรื่อยอย่างนี้ เราเดินไปด้วยการประพฤติ ด้วยการปฏิบัติ ใหัทุกท่านทุกคนพากันรู้จักศาสนา เราพัฒนาตั้งแต่วัตถุ ความสะดวก ความสบาย มีรถ มีเรือ มีเครื่องบิน มีอะไรอย่างนี้ มันดีมันถูกต้องแต่เราต้องมีปัญญานะ อย่าพากันหลงนะ ให้ทุกคนรู้จักศาสนา ศาสนาคือความถูกต้อง มีสติมีปัญญา ความไม่หลงนะ เราทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก มันเอาสภาวะธรรมมาบอกเรา แสดงถึงทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เค้า ทุกคนมองไปข้างนอก เมื่อเรามีตาต้องรู้ว่าอันไหนเป็นอันไหน อย่างตัวเรานี้ถ้าเราไม่ส่องกระจกดูก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรหรอก เราต้องรู้จัก ทุกท่านทุกคนอย่าไปหลงในตัวในตน เราต้องพากันเสียสละ มีความสุขในการหายใจเข้า มีความสุขในกาารหายใจออก มีความสุขในการท่องพุทธโท มีความสุขในการทำงาน เราต้องพัฒนาไปอย่างนี้ เราอย่าไปสงสัยว่าการบรรลุธรรมเป็นยังไง การบรรลุธรรมก็คือ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันก็ไปอย่างนี้แหละ
พระพุทธเจ้าคือธรรมะ ธรรมะนั้นคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เราอย่าไปหลงตัว หลงตน แหละก็เราอย่าไปหลงในสิ่งต่างๆ เพราะเรามีความยึดมั่นถือมั่น สิ่งภายนอกมันก็เกิดจากผัสสะ มันก็แค่นี้เอง ทุกอย่างมันหลงความคิด หลงอารมณ์ เค้าเรียกว่ามันเป็นความเมา ความหลง เค้าเรียกว่าความหลงคือความสุดยอด ความสุดยอดของความอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นความสุดยอดของความรู้สึก เราต้องรู้จัก มันเป็นพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนะ เราต้องรู้จัก เราจะได้ตั้งจิตตั้งใจ เราอย่าไปตื่นเต้นมัน เราอย่าไปเสียใจ เราทำไป ปฏิบัติไปอย่างนี้
เราโชคดี เรามีพระพุทธเจ้า เราทำตามพระพุทธเจ้า ไปทำตามใครไม่ได้หรอก เราหยุดทำตามใจตัวเองนี่แหละคือพระศาสนา ให้เข้าใจอย่างนี้ทุกคนต้องอย่าไปถือตัวถือตน ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เรียกว่าธรรมวินัย เรียกว่าพรหมจรรย์ เราต้องรู้จักเสียสละ ถ้าไม่รู้จักเสียสละ เค้าเรียกว่าไม่รู้จักดีท๊อกซึ่งตัวซึ่งตน เราทานอาหารเราก็ถ่ายเท เค้าเรียกว่าดีท๊อก เราถ่ายเทไม่หมดสิ่งที่มันเป็นขยะ มันก็มาเลี้ยงสมองเรา เราทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ชีวิตของเรามันเป็นชีวิตที่ขยะนะ เป็นชีวิตที่ใช่ไม่ได้ ตัวเองก็ใช้ไม่ได้ คนอื่นก็ใช้ไม่ได้ เราจะเคารพตัวเองได้ก็เพราะตัวเองเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เราต้องพากันมีความสุข ความสุขความดับทุกข์มันหาได้อยู่ที่เรานี้แหละ อยู่ที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ อยู่ที่ปัจจุบันนี้แหละ เราจะไปหาพระที่อื่น พระมันอยู่ที่ตัวเรา ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณืตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึก เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง ความเป็นพระมันจะเกิดที่เราเอง เราต้องพากันเข้าใจ เราพากันตั้งมั่นในธรรมวินัย
คนเรามันโง่ไม่ฉลาด นึกว่าปล่อยวาง จะไม่ทำอะไร ไม่ได้ มันต้องเสียสละ เสียสละทางจิตใจ เราไม่ปล่อยวางหรอก คือเราติดสุข เราอย่าไปติดสุข เพราะสุขเราก็เป็นสิ่งที่กำหนดรู้ ทุกข์เราก็ไม่รู้จัก ทุกข์ก็กำหนดรู้ กำหนดรู้แล้วก็อย่าไปวุ่นวายไม่ปรุงแต่ง ความทุกข์มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่เราปรุงแต่งเอา เรื่องผิดเรื่องถูกคือเราปรุงแต่งเอา สมมุติกันไปอะไรอย่างนี้ สมมุติเค้าเอาใช้งานกันเฉยๆ เราต้องรู้จักต้องหยุดพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ให้ทุกท่านทุกคนพากันรู้จักสภาวะธรรม รู้จักศาสนา ทุกคนจะได้มีความสุขในการทำงาน จะมีความสุขในการปฏิบัติ มันอันเดียวกัน คนโง่ไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการทำงานคนไม่เข้าใจ บางคนเบื่อหน่ายอยากจะไปพระนิพพาน หยุดทำงานเพื่อจะมาเอาพระนิพพาน เมื่อเราอบรมบ่มอินทรีย์ของเราไปอย่างนี้เรื่อยๆ ผู้ที่อยู่ที่บ้านก็ทำได้พอๆ กัน มันอยู่ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราถึงจะพากันหยุดอบายมุข อบายภูมิได้ นี้แหละถึงจะเป็นพระศาสนา เข้าใจพระศาสนา
ชีวิตของเราคือการมีพระพุทธเจ้าในใจ มีพระธรรมในใจ มีพระอริยสงฆ์ในใจ เพราะคนเรามันมักจะพุ่มเฟือยกินจุกกินจิก อันนี้เป็นอาการทางจิตใจ ที่เราไม่เห็นความสำคัญแล้วปล่อยปละละเลย เพราะมาจากการที่ไม่ได้ปฏิบัติ ต้องกระชับการปฏิบัติเข้ามา
ทุกคนต้องเห็นภัยเห็นโทษ เห็นคุณเห็นประโยชน์ อย่าไปตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเอง ทุกคนต้องเอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญามาประพฤติปฏิบัติ เพราะเราดูแล้ว ผลกรรมที่ปรากฏออกมา นั่นคือผลของการตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเอง เมื่อเราตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองตามความรู้สึกตัวเอง ตัวเองก็ยังสอนตัวเองไม่ได้ บอกตัวเองไม่ได้ จะไปบอกลูกบอกหลานเขาได้อย่างไร ทำให้ลูกหลานเราเสียหายอีก เราก็ยังไปโง่โทษลูกโทษหลาน ผลกรรมมันจะปรากฏออกมาตามที่เราเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความไม่เข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะต้องฝึกตนเอง ฝึกลูกฝึกหลาน อย่างภิกษุที่บวชในพระศาสนาที่ตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเอง ผลก็ออกมาอย่างนี้แหละ คือมรรคผลนิพพานก็ไม่เกิด เราอย่าไปใจอ่อน เราจะไปใจอ่อนไม่ได้ เพราะศีลสมาธิปัญญาเป็นสิ่งสำคัญ เป็นยานพาหนะที่จะนำเราออกจากวัฏสงสาร หากผู้นำที่ใจอ่อนก็นำพาไปไม่รอด และก็นำตัวเองออกจากวัฏสงสารไม่ได้ มันต้องฝืนมันต้องทวน ความอดทนนี้แหล่ะมันจะเป็นการหยุดโลก ถ้าเราไม่หยุด ศีลสมาธิปัญญาก็ไม่มี
ไม่มีอะไรที่จะดีที่ประเสริฐเท่ากับเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ไม่มีอะไรที่จะเสียหายเท่ากับเราเข้าใจผิดเห็นผิด เราทุกคนทุกท่านต้องพากันเข้าใจเราจะได้รู้จักพระพุทธเจ้า เราจะได้รู้จักพระศาสนา เราทุกคนส่วนมากไม่รู้จักพระพุทธเจ้าเลย มีรู้จักศาสนาเลย เราไปเอาความสุขความดับทุกข์เฉพาะเรื่องทางกาย เรื่องความสะดวกสบายทางวัตถุ
บางคนคิดว่า เกิดมาทำไมไม่รวย ทำไมยากจน ก็ไปน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมถึงอาภัพอับจน เพราะพ่อแม่ก็ไม่รวย ไม่มีการเรียนไม่มีการศึกษา มีความขาดแคลนทางวัตถุ ไม่มีหน้าไม่มีตาในสังคม เพราะคนทำงานเหนื่อยทำงานหนักถึงตาย อันนี้ก็คือความเข้าใจผิด ถือว่ายังไม่เข้าใจพระพุทธเจ้า
เราต้องมีปัญญามากกว่านั้นอีก เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้เอาอะไร เพราะทุกอย่างนั้นแหละผ่านมาก็ผ่านไป เป็นปกติของมันอย่างนี้ มรรคผลนิพพานถึงเป็นสิ่งที่ไม่พ้นสมัยไม่ล้าสมัย มีแต่คุณแต่ประโยชน์ เราจะได้บริโภคใช้สอยร่างกายของเราอย่างมีประโยชน์บริโภควัตถุที่เราเกี่ยวข้องโดยมีปัญญา เราเป็นมนุษย์ที่ฉลาด เป็นเทวดาที่ฉลาด เป็นพระพรหมที่ฉลาดอย่างนี้แหละ ให้ทุกคนพากันเข้าใจนะ เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มรรคผลนิพพานจะหมดสมัยจริงๆ เพราะว่าเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติกัน การเรียนการศึกษาอย่างนี้แหละ มันเป็นการคิดข้ามภพข้ามชาติ มันไม่เน้นที่ปัจจุบัน คิดว่าบำเพ็ญบารมีไปอีกหลายชาติ ชาตินี้ก็คงไปนิพพานไม่ได้ อันนี้มันเป็นความเข้าใจผิด มันต้องเน้นที่ปัจจุบัน
ถ้าเรายังมีความเห็นอย่างนี้ มันไปไม่ได้ ถึงตายไปเปลี่ยนร่างใหม่มันก็ต้องเน้นที่ปัจจุบัน เราดูซ้ำๆ แล้ว มันน่าดีกว่าแต่ก่อนอีก เพราะเทคโนโลยีมันมาช่วยเยอะอย่างนี้ ทุกคนต้องฉลาดนะ ให้ทุกคนอย่าไปหลงตัวเอง อย่าไปเชื่อตัวเอง มันเป็นความเข้าใจผิด พระพุทธเจ้าไม่ได้เอาตัวตนเป็นหลัก ไม่ได้เอาความคิดตัวเองเป็นหลัก ท่านเอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นใหญ่ ท่านถึงได้เป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็เหมือนกัน ท่านต้องเอาธรรมเป็นหลักเอาธรระเป็นใหญ่ ถึงเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นพระศาสนา
ทุกคนมีความจำเป็นต้องแก้ไขใหม่ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ เรามีความตั้งมั่นในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระอริยสงฆ์ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก หาที่ตัวเรานี่แหละ เราคิดดีๆ พูดดีๆ ทำดีๆ ปฏิบัติดีๆ มันไม่ได้อยู่ที่ใครปัญหาต่างๆในโลกนี้มันมีอยู่ที่เราเป็นมิจฉาทิฏฐิที่ เข้าใจผิด มีความเห็นผิด เราไม่ได้เห็นความสำคัญ ความคิดบวกคำพูดการกระทำมันไม่ได้เป็นอริยมรรคมีองค์ 8 เมื่อเราไปแต่กับภายนอกหมด อานาปานะสติของเราจะสมบูรณ์ได้อย่างไร พุทโธที่หลวงปู่มั่นพาให้เราพากันท่องพุทโธ มันสมบูรณ์ไม่ได้ เพราะใจมันเป็นกาม เป็นพยาบาท มันเข้าสู่กายวิเวกไม่ได้ สู่จิตวิเวกไม่ได้ เพราะเรายังยินดีในกาม ในพยาบาทอยู่
เราทุกคนถือว่าโชคดีนะ เราต้องประพฤติปฏิบัติ เราจะได้เกิดความสุขความอบอุ่นอย่างนี้ ครอบครัวเราจะเกิดความสุขความอบอุ่น เราทุกคนต้องมีความเห็นอย่างนี้แหละ ทุกคนในครอบครัวของเรา เราจะได้ทำงานมีความสุข เรียนหนังสือมีความสุข ขยันรับผิดชอบมีความสุข ความอดทนเป็นสุดยอดของความสุข เพราะมันได้เบรคเราให้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราไม่ต้องคิดในเรื่องผลเราต้องเป็นผู้เสียสละ เราอย่าเป็นคนโง่ คิดแต่ว่าจะเอาเงินเดือนเท่าไร จะได้รวยเท่าไร อย่างนี้ไม่ได้ คิดว่าเราต้องมีเจตนาที่มีความสุขในการเสียสละ เราไม่ได้คิดว่าเรามีกรรมมีเวรอะไร ทำไมเกิดมายากจน เราอย่าไปคิดอย่างนั้น คิดอย่างนั้น มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เราต้องมาเสียสละ เพราะความสุขของเรามัน อยู่ที่เสียสละ มันถึงจะเกิด เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ความสุขความดับทุกข์มันเกิดจากเราที่เสียสละที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน
การเดินนี่คือศีล คือสมาธิ คือปัญญา นั่งนี่ก็คือศีล คือสมาธิ คือปัญญา การพูดจานี่คือศีล คือสมาธิ คือปัญญา มันก็เข้าสู่ความดับทุกข์ เราไม่ใช่ว่านั่งสมาธิ เดินก็ต้องสมาธิ นอนก็ต้องสมาธิ ทำอะไรก็ต้องสมาธิ ไม่ใช่สมาธิอย่างเดียว ทั้งศีลสมาธิปัญญามันก็คืออันหนึ่งอันเดียวกัน คือสัมมาทิฏฐิ นี่มันเป็นความสุขความดับทุกข์นะ เราจะเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าอย่างนั้นธรรมะจะอยู่แต่ในพระไตรปิฎก มันจะไปมีประโยชน์อะไร เพราะธรรมะต้องอยู่ในใจเรา อยู่ในภาคประพฤติภาคปฏิบัติของเรา
ปัจจุบันเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง และก็มีความสุขในการปฏิบัติ มันจะก้าวไปไปอย่างนี้ ทุกคนต้องทิ้งอดีตหมด อนาคตมันอยู่ที่ปัจจุบันเรานี้แหละ เราเดินทางก็เหมือนกับเราขับรถไปตามทางถนนนี้แหละ อย่าให้มันออกนอกถนน อย่าไปหยุด น้ำมันก็คือกำลังใจของเรานี้แหละ มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง อย่าได้เพลิดเพลิน อย่าได้ประมาท เพราะทุกอย่างมันต้องตายจากอดีตไปในตัว เรียกว่าตัวมันเองมันระเบิดของมันไปในตัว เพราะทุกอย่างมันต้องผ่านไปจากอดีต ปัจจุบัน จะสุขจะทุกข์จะดีจะชั่ว เราต้องรู้จักว่าอันนี้เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่จะให้ทุกคนได้ประพฤติปฏิบัติธรรม
ทุกคนต้องมีสติมีปัญญา มาพัฒนาตัวเองให้ได้ในปัจจุบัน เราต้องเป็นผู้ให้ ต้องเป็นผู้ที่เสียสละ เราอย่าไปเอาอะไรกับใคร เหมือนพระพุทธเจ้า ไม่เอาอะไรกับใคร มีแต่เสียสละ ทุกคนทำอะไรก็เพื่อจะเอา ทำดีก็เพื่อจะเอา เพื่อจะหวังผลตอบแทน อย่าไปหวังผลตอบแทน ให้เราเสียสละ มีความสุขในการทำงานอย่างนี้ มันถึงจะมีปัญญา เหมือนเราดูแลลูก เราจะให้ลูกมาตอบแทน เราเลี้ยงเค้าดีดี ตามคุณธรรม เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะดีเอง เหมือนเราให้ของคนยากคนจน เราก็ให้เขาไป ถ้าเราไม่ให้ เราก็เป็นคนเห็นแก่ตัว พอเรามีก็พอที่จะให้ได้ แต่ว่าเราก็คิดผิด ไปคิดว่าเรานี้ทำคุณคนไม่ขึ้น ให้ใครก็ไม่เห็นเขาตอบแทน เพราะหวังการตอบแทน ไปมองแต่ว่า คนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ไปมองแต่คนอื่นไม่ดี ที่แท้แล้ว เราก็แย่เหมือนกับเขานั้นแหละ เพราะเราไม่มีปัญญา เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มาเป็นโลกธรรมมาให้เราเสียสละ อะไรไม่ดีเราก็เอาเป็นตัวอย่าง อันไหนไม่ดีเราก็ไม่เอา เพราะเราเกิดมาเพื่อมีพุทธะ มีปัญญา เราต้องแยกจิต แยกใจ ในปัจจุบันให้เกิดปัญญาให้ได้
ให้ทุกคนกระฉับกระเฉง แคล่วคล่องว่องไว ด้วยการเสียสละ เป็นผู้นำของตนเองให้ได้นะ ไม่ต้องอาศัยคนอื่นมันต้องเข้าใจ เข้าใจจริงๆ แล้วประพฤติปฏิบัติ เรียกว่าเป็นเอกเป็นหนึ่งเป็นตัวของธรรมะ เป็นตัวของพระนิพพาน ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน สละทิ้งเสียซึ่งนิมิตทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ทุกคนก็จะได้หายเซ่อๆเบลอๆงงๆ ทุกคนต้องเข้าสู่ภาคบังคับนะ บังคับตนเอง เหมือนขับรถ ขับเครื่องบิน ขับยานพาหนะ ก็ต้องบังคับมันทั้งนั้นจึงจะขับได้ จึงต้องบังคับตนเองเพราะเรายังไม่ได้เป็นอเสขบุคคลคือพระอรหันต์ เรายังเป็นเสขบุคคลคือผู้ที่ยังต้องศึกษาเรียนรู้ประพฤติปฏิบัติ
การทำตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึก เรียกว่าตามอัธยาศัย เราพากันทำอย่างนี้จนเคยชิน ทำจนเคยชินมาไม่รู้กี่ร้อยชาติพันชาติหมื่นชาติแสนชาติ ทุกคนต้องบังคับตนเองทั้งความคิดคำพูดและการกระทำกิริยามารยาท มนุษย์จะประเสริฐได้อยู่ที่การฝึกตน ทันโต เสฏโฐ มนุสเสสุ ในหมู่มนุษย์ทั้งหลายผู้ที่ฝึกตนแล้วเท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐที่สุด จึงต้องบังคับตนเอง ถ้าทำอะไรตามอัธยาศัย โดยไม่มีการบังคับ ก็เหมือนรถคันหนึ่งที่เบรคไม่ดี คันเร่งไม่ดี พวงมาลัยไม่ดี
ทุกคนให้กลับมารู้ตนเองนะ ว่าขาดตกบกพร่องตรงไหน มาแก้ไขให้ตรงจุด ไม่เช่นนั้นจะเป็นโรคภูมิแพ้ คือตกไปในอบายภูมิ จึงต้องมาประพฤติปฏิบัติ มาสร้างภูมิคุ้มกันอันเป็นภูมิแห่งชัยชนะ เราจะชนะคนอื่นสิ่งอื่นยังไม่ประเสริฐ เท่ากับชนะตนเอง ชนะคนอื่นเป็นหมื่นครั้งไม่สู้ชนะใจตนเองครั้งเดียว จึงต้องบังคับตนเองฝึกฝนตนเอง ให้เป็น บุคคลอาชาไนยเป็นมนุษย์อาชาไนยให้ได้
การประพฤติปฏิบัติธรรม ท่านให้เราเน้นลงปฏิบัติลงในปัจจุบัน เพราะสิ่งที่เป็นอดีตมันก็ปฏิบัติไม่ได้ สิ่งที่เป็นอนาคตก็ปฏิบัติไม่ได้ การปฏิบัติของเราต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราจึงต้องเอาปัญญา เอาสมาธิ เอาศีล มาประพฤติปฏิบัติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในปัจจุบัน ให้เราทุกคนมีฉันทะคือความพอใจ มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติเพราะเราได้ทำดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ไม่มีอะไรจะประเสริฐกว่า ยิ่งใหญ่กว่า ให้เรามีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ ความทุกข์ทางใจของเราจะไม่มี เพราะเราเห็นด้วยปัญญาว่านี่คือ หนทางที่ถูกต้อง ได้ปฏิบัติถูกต้อง เราปฏิบัติไปเรื่อยๆในปัจจุบัน เหมือนกับเราเดินไปทีละก้าว ทานข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง เป็นปัจจุบันธรรมไปเรื่อยๆ
เราทุกคนนะ ติดสุขสบายในเหยื่อของโลก ทุกท่านทุกคนต้องมาทวนโลก ทวนกระแสทวนอารมณ์ ทวนความรู้สึกนึกคิดของตนเอง หนทางเราเดินไป ทางจิตใจของเราที่จะไปสัมผัสเกี่ยวข้องกับความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ ทุกท่านจึงมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มีจิตใจเข้มแข็ง มีจิตใจเสียสละ เราระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง พระพุทธเจ้าคือผู้ที่เสียสละ มันเป็นธรรมดาของการเดินทาง มันต้องเป็นอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เรามีปัญญาต้องเฉียบแหลมคม ต้องเสียสละ
สัมมาสมาธิต้องตั้งไว้เพื่อก้าวไปแต่ละก้าวอย่างมีความสุข ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ เราก็ไม่มีข้อวัตรข้อปฏิบัติทั้งทางกาย วาจา ใจ ในชีวิตประจำวันของเรา จะมีการเรียนรู้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจพร้อมทั้งการประพฤติปฏิบัติตลอดเวลา
คนเราต้องตั้งใจฝึก ตั้งใจปฏิบัติ เราจะบวชนาน หรือ ไม่นาน ไม่สำคัญหรอก สำคัญตรงที่ประพฤติที่ปฏิบัตินี่แหละ ก็เพราะนอกเหนือจากนี้ไป มันไม่ใช่ มีแต่ความปรุงแต่ง ไม่ใช่การปฏิบัติ เราทำไปปฏิบัติไป เพราะนี่คือข้อวัตรข้อปฏิบัติ บวชมาเพื่อพากันมาเสียสละ เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ เราจะได้มีความสุขทั้งวันทั้งคืน ธรรมะจะได้เกิดขึ้นที่ใจของเรา อย่างนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นพระหรือโยม เราก็ต้องเป็นพระทั้งกายทั้งใจทั้งข้อวัตรข้อปฏิบัติ เราต้องมีความสุขอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้นะ ไม่ว่าเราจะเป็นใคร อริยมรรคมีองค์ ๘ ของเราต้องสมบูรณ์ อย่าให้ความเห็นแก่ตัวมันไปอยู่ในใจของเรา
เราไม่ต้องไปสนใจหรอก เรื่องวัตถุภายนอก เราต้องเน้นมาหาตัวเรา ตำแหน่งแต่งตั้งไม่ต้องเอาหรอก ต้องเอาตำแหน่งที่เราประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ที่เสียสละอย่างนี้ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการเสียสละอย่างนี้ๆ เราทุกคนจะได้งาม สง่างาม มีความสุขอย่างนี้นะ เราอย่าให้มิจฉาทิฏฐิมันครองใจของเรา มันโง่แล้วก็แล้วไป ต้องฉลาด ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าต้องฉลาด ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าไม่มีใครเซ่อ เบลอๆ งงๆ หลงในโลกธรรม ใครว่าเรานินทาเราติเตียนเรา ก็ช่างหัวมัน อย่าให้พระพุทธเจ้าติเตียนเรา อย่าให้พระอรหันต์ติเตียนเรา อย่าให้ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบติเตียนเราได้ เราต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เราอย่าทำตามใจ ตามอัธยาศัย ตามอารมณ์ ตามความรู้สึก อย่างนี้ไม่ได้ ไม่ดี ไม่สมศักดิ์ศรี ไม่มีคุณธรรม เราไม่ต้องเป็นคนลวงโลก ไม่ใช่สมณะก็เรียกตัวว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่พระก็เรียกตนว่าเป็นพระ สมณะหรือพระแท้ ก็หมายถึง พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ เราจะมาเป็นแต่ภิกษุผู้ขออย่างเดียวไม่ได้ อย่างนี้เป็นกาฝากของพระศาสนา ของสังคม
ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ถึงจะอยู่ที่เคหสถานบ้านเรือน ก็เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีได้ ไม่ต่างกันหรอก เราต้องกลับมาหาพระภายในตัว อย่าไปมัวแต่หาพระภายนอก มันหายาก เดี๋ยวจะถูกเขาหลอกลวง เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มีความสุขในการทำงาน เสียสละ วัตถุสิ่งของข้าวของเงินทอง ส่วนใหญ่ก็ได้มาจากคนอื่น อย่างเราค้าขายทำธุรกิจ เป็นต้น เราต้องเดินไปด้วยกัน ด้วยความเมตตากรุณา ไม่ต้องไปเอารัดเอาเปรียบใคร เราต้องเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ อาชีพเราต้องเป็นสัมมาอาชีพ อย่าไปเดินทางลัด อย่าไปเอาเปรียบคนอื่น ต้องเน้นมาหาธรรมะ ชีวิตเราจะได้ปฏิบัติไปอย่างนี้
เราทุกคนนับว่าเป็นผู้ที่โชคดี ที่มีบุญวาสนา มีเวลา มีโอกาสได้มาประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ มีความสุขมาก สุขพิเศษ สุขจริงๆ ที่ได้มาประพฤติปฏิบัติ เราทุกคนจึงจะได้หนีจากวัฏสงสารได้ ด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้