แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๖๓ พัฒนาแก้ไขตนเอง ให้เป็นผู้ไม่เสื่อมจากความดี จากความประเสริฐ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ศาสนาทุกศาสนานั้น ไม่เสื่อม ที่เสื่อมนั้นเพราะศาสนิกชน เพราะศาสนานั้นเป็นธรรม เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ที่ศาสนาทุกศาสนาเสื่อม เสื่อมอยู่ที่บุคคล เราทุกๆ คนก็เหมือนกัน ไม่มีใครทำให้เราเสื่อม ทำให้เราเจริญได้ นอกจากตัวของเราเอง เราถึงมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วเราจะได้ปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนเกิดมาก็มีแต่ที่จะไปแก้ไขบุคคลอื่น แก้ไขสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ถูกต้อง ทุกคนต้องศึกษาเรียนรู้ ต้องให้เข้าใจ แล้วเราจะได้แก้ที่ตัวของเราทุกๆ คน
เราจะมีความรู้ มีความเข้าใจก็มาจากการเรียนการศึกษา การเรียนการศึกษานั้น ถ้าเราได้รับจากบุคคลที่ยังไม่รู้ยิ่งเห็นจริงจากความเป็นจริง ก็ย่อมผิดพลาดได้ เราทุกคนถึงต้องเอาศาสนาเป็นหลัก หลายปีที่ผ่านมาเป็นเวลายาวนาน เกือบ 100 ปี เราไม่มีเห็นการเรียนการศึกษาไหนที่ไปแก้ไขตนเอง มีแต่ที่จะแก้ไขบุคคลอื่น จึงเป็นความล้มเหลว ความผิดหวัง เรามีความวิตกกังวลเรื่องความยากจน ที่ไหนมีโครงสร้างให้มีการเรียนการศึกษา สมัยก่อนหลายสิบปีก็มี ตั้งแต่ประถม ระยะไม่กี่สิบปีมานี้ก็มีอนุบาล ผู้สอนก็ไม่รู้จุดหมายปลายทาง ในการสอน ผู้เรียนก็ไม่รู้จุดหมายปลายทางในการเรียน เป็นโครงสร้างที่เรามีโรงเรียน
ทางพระศาสนาก็มีวัดเป็นศูนย์รวมแห่ง คุณธรรม แห่งธรรมะ เพื่อให้บ้าน ให้วัด ให้โรงเรียน ไปพร้อมๆ กัน ถ้าคุณครูมีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง สอนให้นักเรียนนักศึกษาเข้าใจ ที่จะต้องเอาไปนำไปประพฤติ นำไปปฏิบัติ ถ้าผู้ที่บวชเป็นพระเข้าใจแล้วก็ประพฤติ ปฏิบัติตัวเอง แล้วก็บอกประชาชน ทั้งปฏิบัติเป็นตัวอย่างแบบอย่าง ชีวิตของเราก็จะมีความสุข มีความสงบ มีความร่มเย็น เราไม่เข้าใจน่ะ ทุกคนก็ไปโทษสิ่งภายนอก ไปโทษโจร ไปโทษขโมย ไปโทษคนโกงกินคอรัปชั่น ไปโทษคนอื่นเค้า เพราะเรายังไม่เข้าใจ ไม่มีใครที่จะมาทำให้เราเสื่อม มาทำให้เราเจริญได้ นอกจากตัวของเราเอง
อย่างผู้ที่บวชมาในพระพุทธศาสนาก็กลัวอิสลามบ้าง กลัวคริสต์ กลัวพวกพราหมณ์ พวกศาสนาต่างๆ ที่จะมาทำให้คนพุทธหลง ทำให้เสื่อม ที่แท้จริงไม่มีใครที่จะทำให้เสื่อมได้นอกจากตัวของเราเอง ศาสนาทุกศาสนานี้ไม่มีใครที่จะทำ ไม่มีศาสนาอื่นที่จะทำให้เสื่อมได้ นอกจากผู้ที่มาบวชในพระศาสนา พาให้ศาสนาเสื่อม ทำให้คนเสื่อมศรัทธาในผู้ที่มาบวช ศาสนามันไม่เสื่อม การที่เราจะไปแก้ไขคนอื่นนั้นถึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เราจะไปโทษลูก โทษหลาน โทษสังคมสิ่งแวดล้อมไม่ได้ มันเป็นอยู่ที่ตัวเรา พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างแบบอย่าง พระต้องเป็นตัวอย่างแบบอย่าง ครูบาอาจารย์ที่อยู่ที่โรงเรียนต้องเป็นตัวอย่างแบบอย่าง เข้าสู่ภาคความรู้ความเข้าใจยังไม่พอ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราจะถึงพระศาสนาที่แท้จริง ศาสนาทุกศาสนานั้นย่อมเป็นพี่น้องที่เกิดแก่เจ็บตายกับเราทุกๆ คน เราไม่ต้องกลัวศาสนาอื่นทำให้ศาสนาพุทธของเราเสื่อม ไม่มีแน่นอน
เพราะศาสนาเสื่อมมันอยู่ที่พระอุปัชฌาย์ อยู่ที่เจ้าอาวาส พวกนี้ ตลอดถึงผู้ที่ปกครองไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้อยู่ที่พระใหม่ นี่เป็นเรื่องจริง พระเราส่วนใหญ่มันถึงไม่ขึ้นถึงมาตรฐานของเป็นศาสนาพุทธ ทุกอย่างมันแก้ไขได้ อย่างวัดเราก็ต้องเน้นเจ้าอาวาส เน้นพระบวชหลายพรรษา เพราะพวกนี้จิตใจส่วนใหญ่มันจะเป็นภาพรวมของวัด ของสังคม พวกนี้จะเป็นอลัชชี มาตรฐานยังไม่ถึงความเป็นพระพุทธศาสนา
อย่างครอบครัวนี้ก็ขึ้นอยู่ที่พ่อ ขึ้นอยู่ที่แม่ พวกนนี้แหละ ทุกคนก็ต้องกลับมาแก้ไขตัวเอง เราไปแก้ไขพ่อเราลำบาก แก้ไขแม่เราลำบาก แก้ไขนักการเมืองรุ่นเก่ายาก ต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ เดี๋ยวเราทำอย่างนี้หลายๆ ปี มันถึงจะเปลี่ยนแปลง ต้องอาศัยเวลาซัก 20-30-40-50 ปี คนรุ่นเก่ามันตายไป
เพราะหลวงพ่อมาคิดดูน่ะ พระองค์นั้น พระองค์นี้ ที่พ่อแม่เค้าได้มาตรฐาน เค้าเรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เค้าไม่ได้กะว่าจะมาบวชตลอดชีวิต เค้ามาเพื่อมาศึกษาคุณธรรม มาปฏิบัติอะไรอย่างนี้ พระนี้ดี แต่ถ้าเค้าไปเกี่ยวข้องกับพระที่ไม่ได้มาตรฐาน พวกนี้ก็จะทำความพินาศให้ประเทศไทย ผู้ที่เก่านี้ต้องแก้ไข เพราะพวกที่มันเสียหายก็คือพวกเรานี่แหละ ไม่ได้มาตรฐานแล้ว ลูกเราก็ไม่ได้มาตรฐาน ติดเหล้า ติดเบียร์ พวกนี้เอามาบวช
อย่างหลวงพ่อชาหรือว่าระบบของพระฝรั่งที่กำลังมาแรง กว่าจะมาบวชเป็นผ้าได้เค้าก็ให้บวชหลายเดือน บวชเป็นผ้าขาวก็เป็นหลายเดือน บวชเป็นสามเณรก็เป็นปีล่ะ เค้าถึงบวชพระได้ ผู้ที่ไปสมัครบวชปีหนึ่งบางทีก็หลายร้อย แต่ก็ยังเหลืออยู่ไม่กี่รูป เพราะเค้าจะเอาทางศาสนา การที่มาบวชนี้ก็ต้องเข้าใจ ถึงแม้เราจะเป็นคนที่มีเมตตา มีกรุณาสูงเราก็ต้องเข้าใจ เราจะได้มีเมตตาที่ประกอบด้วยปัญญา ผู้ที่มาบวชกับอาจารย์ชานี่ พ่อแม่ถึงมาฝากให้ แล้วก็แล้วแต่อาจารย์ชาจะบวชให้ เมื่อสมัย 40-50 ปีก่อน บางทีก็เป็นปี หรือมากกว่านั้น พ่อแม่มาวัดถึงรู้ว่าลูกยังเป็นผ้าขาวอยู่ หรือว่าลูกตัวเองบวชเป็นพระ เป็นเณรแล้ว ไม่ใช่เอาเงินไปซื้อ 500 1000 2000 น่ะบวชได้
ผู้ที่บวชมาอย่างนี้ก็ต้องตั้งใจฝึก ต้องตั้งใจปฏิบัติธรรมปฏิบัติพระวินัยให้มันได้ทุกข้อ อุปัฏฐากครูบาอาจารย์อย่างนี้ เวลาเราไม่ลาสิกขา เราก็จะได้เป็นพระอริยเจ้า จะได้บอกพระบอกเณรได้ ผู้ที่มาบวชเพื่ออยู่จำพรรษา หรือบวชไม่กี่วัน สึกไปถึงจะได้รู้จักศาสนา นี่รู้จักแต่เครื่องรางของขลัง รู้จักแต่เอาสิ่งที่หลอกลวงประชาชนว่าเป็นศาสนา รู้จักแต่พวกนั้น ถึงแม้จะหายใจคนละคนก็ แต่ว่ามันไม่ได้เป็นตัวอย่างแบบอย่าง แบบนั้นก็ไปไม่ได้
ที่พระพุทธเจ้าท่านได้เป็นพระพุทธเจ้าก็เนื่องมาจากความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี เป็นเครื่องหมายของสัตบุรุษ เป็นเครื่องหมายของผู้ที่เสียสละ ที่เอาธรรมะเป็นหลักเป็นใหญ่ เป็นที่ตั้งในการดำเนินชีวิต มีความสุขในการเสียสละ เราได้บริโภคอาหารบริโภคใช้สอยปัจจัย ๔ เราได้เครื่องอำนวยความสะดวกสบายทุกอย่าง ล้วนแต่เป็นพระบารมีของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ไม่ได้เป็นบารมีของเราเลย ที่เราปลงผมห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เขากราบไหว้บูชา ถวายปัจจัย ๔ ถวายความอำนวยความสะดวกทุกอย่าง นั่นคือบารมีของพระพุทธเจ้าผู้ที่เป็นผู้นำต้องพากันเพิ่มความกตัญญูกตเวทีให้กับตนเอง อย่าพากันไม่รู้ไม่เข้าใจไม่สำนึก เราทำตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึกของตนเอง เป็นการถอนรากถอนโคน เป็นการเผาทำลายพระพุทธศาสนา ศาสนาเสื่อมไม่ได้มาจากศาสนาอื่นเลย แต่มาจากเจ้าอาวาสประธานสงฆ์ผู้ปกครองตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับสูง
ถ้าใครคิดดีๆ ก็จะเห็นด้วยปัญญา นอกจากไม่พิจารณาจึงไม่เห็น ถ้าพิจารณาจะได้เห็นกันทุกๆ คน ผู้ที่มีอำนาจคุมหมู่ชน ผู้ที่บวชมาก่อนนี่แหละ ถ้าไม่เอามรรคผลนิพพาน ไม่เอาพระธรรมวินัย เป็นผู้ที่ทำลายพระศาสนา ที่สงฆ์แตกแยกกันเป็นสังฆเภท ก็เนื่องมาจากผลประโยชน์ ที่ไม่ได้ถือเอาความถูกต้องไม่ได้ถือทางสายกลาง ที่แยกเป็นหินยาน มหายาน วัชรยาน บางสายบางนิกายแปลพระวินัยมาเข้าข้างตนเอง ไม่ได้ปรับปรุงตนเองเข้าหาพระวินัย ประเทศเราก็มีทั้งธรรมยุต มหานิกาย ธรรมยุตก็มักจะหลงตนเองบอกว่าตนเองเคร่งครัดกว่าดีกว่าฝ่ายมหานิกาย เพราะฉะนั้นเราลองย้อนมองดูว่าแต่เดิมทีพระพุทธศาสนาไทยเราก็ไม่ได้แบ่งแยกนิกายอะไร มีแค่นิกายเดียวคือเถรวาทแบบลังกาวงศ์ ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้าเท่านั้น หากใครยังยึดติด ยังถือพรรคถือพวก แบ่งแยกอยู่ในใจ แสดงว่าสภาพจิตใจไม่ได้พัฒนาไปถึงไหนเลย ยังยึดติดแต่รูปแบบของการแตกแยกอยู่
ศาสนาพุทธที่ถูกต้องไม่มีแบ่งแยกนิกายใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่พระธรรมวินัยที่เป็นศาสดาองค์แทนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น มีแต่มาแก้ไขที่ตัวของเรา ไม่มีนิกายไม่มีพรรคไม่มีพวก ไม่มีกลุ่ม ไม่มีแก๊ง การแตกแยกที่มีนิกายต่างๆ จึงเป็นความแตกแยก ความสมัครสมานสามัคคี ซึ่งนำพาหมู่มวลมนุษย์ให้เสียหาย ที่เอาตัวตนเป็นใหญ่ มันเป็นการถือเงินเป็นพระเจ้า ถือวัตถุเป็นพระเจ้า ถือความหลงเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เป็นคุณ เพราะเอาความหลงเป็นที่ตั้ง ไม่ได้พัฒนาวัตถุพัฒนาใจให้มีปัญญาให้ปราศจากซึ่งตัวซึ่งตนไปพร้อมๆกัน
สมัยนี้เป็นสมัยเจริญทุกคนต้องพากันมีสติปัญญาทุกคนต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลักเป็นใหญ่ พากันกลับมาหาธรรมมาหาวินัย ทุกคนต้องกลับมาสังคายนาตนเอง เพื่อจะได้แก้ไขสิ่งที่พระรุ่นเก่าๆ ที่พากันหลงผิด เราทุกคนก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าต้องพากันสังคายนาตนเอง เดินจงกรมก็พิจารณากายใจ ว่าตามใจตามอารมณ์หรือเปล่า นั่งสมาธิก็พิจารณากายใจว่ายังตามใจตามอารมณ์หรือเปล่า ยืนเดินนั่งนอนก็พิจารณาตนเอง เพื่อแก้ไขตนเองประพฤติปฏิบัติตนเองเราจะได้เป็นคนกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า เราเป็นผู้ที่ประเสริฐ เราเกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา ได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเพียงได้ยินได้ฟัง ก็เป็นคุณเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง ได้ปฏิบัติตามก็ยิ่งเป็นอานิสงส์ใหญ่ ไม่มีแน่นอน พากันพิจารณาตัวเอง พากันแก้ไขตัวเอง เพื่อประพฤติปฏิบัติตัวเอง เราจะได้เป็นคนกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ประเสริฐมาก แค่เราทุกคนได้ยินชื่อของพระพุทธเจ้า ก็มีอานิสงส์หาที่สุดหาประมาณมิได้
'การประพฤติการปฏิบัติธรรม' พระพุทธเจ้าท่านให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจการประพฤติการปฏิบัตินะ จะได้พากันปฏิบัติให้ถูกต้อง ประการแรกให้เริ่มต้น 'ที่จิตที่ใจ' เพราะ ใจ' นี้สำคัญ กายนั้นเป็นเพียงวัตถุเป็นอุปกรณ์ ที่จะให้เราทำการทำงานอำนวยความสะดวกให้แก่จิตใจเท่านั้น
การเวียนว่ายตายเกิดนี้... มันเป็นเรื่องของจิตใจ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราทุกๆ คน ปรับจิตใจให้เข้าถึงธรรมะ ธรรมะก็คือความบริสุทธิ์น่ะ ปราศจากอัตตาตัวตน ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ประการแรก เราทุกๆ คน ยังมีความคิดเห็นผิด เข้าใจผิด เราจึงพากันเอาพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้งเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติตาม ผู้นั้นย่อมเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ เข้าถึง 'พระนิพพาน' ด้วยกันทุกท่านทุกคน
พวกเราทั้งหลายถึงมาเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะที่พึ่งอื่นนั้น มันพึ่งได้ชั่วครั้งชั่วคราว ถือว่ายังไม่ใช่ที่พึ่งอันแท้จริง พระพุทธเจ้าท่านตรัสให้แก่พวกเราทั้งหลายว่า...สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นี้น่ะ มีกับพวกเราทุกๆ คน ไม่ว่าเราจะเป็นโยม เป็นฆราวาสหรือว่า...เราเป็นพระ เป็นเณร เป็นชี เพราะความดับทุกข์ของทุกคนนั้นอยู่ที่จิตใจสงบ จิตใจที่ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง
พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกคนเน้นกลับมาหา "ใจ" สมาทานเอาธรรมวินัย เอาศีล เอาข้อวัตรปฏิบัติ เพราะธรรมวินัย ข้อวัตรปฏิบัตินั้นเป็นสิ่งที่จะนำให้เราเป็นพระอริยเจ้าได้ คนเราทุกๆ คน ที่ยังไม่เข้าถึงพระนิพพานน่ะ หัวใจของเรานี้จะตกนรกทั้งเป็นนะ! ร่างกายยังไม่ตายก็ถูกเผาแล้ว ด้วยความอยากความต้องการ แรกๆ น่ะ จิตใจของเราบริสุทธิ์ แต่เมื่อมีความอยาก ความต้องการ จิตใจเราทุกคนเลยเศร้าหมอง
พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา ไม่ให้เราอยากไม่ให้เราต้องการน่ะ เราต้องเป็นผู้ให้ เราต้องเป็นผู้เสียสละ อย่างเราทุกคนนี้น่ะ ให้ตั้งคติไว้ในใจว่า "เราเกิดมานี้แหละเราจะเกิดมาเป็นผู้ให้ เกิดมาเป็นผู้เสียสละ จะเอาศีล ๕ เป็นที่ตั้งเป็นข้อวัตรปฏิบัติ นี้เป็นคุณธรรมของ 'พระโสดาบัน' จะเอาศีล ๘ เป็นที่ตั้งน่ะ นี้เป็นคุณธรรมของ 'พระอนาคามี' จะเอาศีล ๑๐ หรือศีล ๒๒๗ เป็นที่ตั้ง นี้เป็นคุณธรรมของ 'พระอรหันต์ขีณาสพ' พระพุทธเจ้าท่านให้เราตั้งใจให้เราสมาทานเอาไว้ในใจอย่างนี้นะ เพื่อจะได้มีหลักการ เพื่อจะได้มีจุดยืน
"วินัยจะมีหลายร้อยข้อ ศีลจะมีหลายข้อ...ย่นย่อลงมาที่ 'ใจ' คือความตั้งใจ คือความเป็นหนึ่ง ถ้าเรามี 'สติ' เราก็มีศีล มีสมาธิ ถ้าเรามีสัมปชัญญะ เราก็มีปัญญา" ถ้าเรามีสติ...เราก็มีศีล มีสมาธิ ถ้าเรามีสัมปชัญญะ...เราก็มีปัญญา" เรามีเจตนาที่จะหยุด ที่จะงดเว้น ถ้าสงสัยก็ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำน่ะ ไม่เป็นคนฉลาดแล้วก็แปลธรรมแปลวินัยเข้าหาตัวเอง ต้องปรับจิตใจของตัวเองเข้าหาธรรมะ ถ้าเราไม่อยากรักษาศีล ถ้าเราไม่อยากปฏิบัติธรรมนั้นน่ะแสดงว่า เราเป็น 'มิจฉาทิฏฐิ' มีความเห็นผิด ถือว่ายังเป็นผู้ไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพราะศีลทุกข้อวินัยทุกข้อนี้คือกฎเกณฑ์ที่จะนำเราไปสู่มรรคผลนิพพาน
คนเราทุกคนส่วนใหญ่น่ะอยากจะรวย อยากจะเป็นมหาเศรษฐี อยากจะมียศถาบรรดาศักดิ์ มีอำนาจวาสนาน่ะ เวลาเงินก็อยากจะได้เยอะๆๆๆ ได้เท่าไหร่ก็ยังไม่พอ แต่เวลารักษาศีลข้อเดียวก็ยังไม่อยากรักษา จิตใจอย่างนี้ก็ให้เราทุกคนรู้ไว้ว่า "ใจเรานี้น่ะไม่รักธรรมะ ไม่ชอบธรรมะ ถือว่ายังเป็น 'มิจฉาทิฏฐิ' อยู่"
ความเคยชินของเรามันมีมาก ความเห็นแก่ตัวของเรามันรุนแรง เหมือนกับน้ำมันไหลบ่าจากบนภูเขาสูง จิตใจของเราก็เหมือนกันน่ะ การสั่งสมกิเลสอาสวะมันเนื่องนอนมาอยู่ในดานน่ะ...มันมากน่ะ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราทุกกันมามีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ในปัจจุบัน เราเดินก็ให้ใจของเราอยู่กับการเดิน เรานั่งก็ให้จิตใจของเราอยู่กับการนั่ง นอนก็ให้จิตใจของเราอยู่กับการนอนน่ะ เราคิดก็ให้ใจของเราอยู่กับการคิด รู้ว่าใจมันคิดอะไร ถ้ามันคิดไม่ดีก็ไม่ต้องคิด ถ้ามันคิดดีแต่มันคิดมากเกินอย่างนี้ก็ไม่ให้มันคิด เพราะคิดมากเกินแล้วปัญญามันมาก สมาธิมันไม่เพียงพอก็ทำให้ฟุ้งซ่าน
การทำงานของเรานี้ไม่ว่าเราจะทำอะไรน่ะ ให้ใจของเราอยู่กับการกับงานอย่างเต็มที่เต็มร้อย ไม่ใช่ว่าเราทำงานอยู่ที่นี่ แต่ปล่อยให้ใจไปคิดเรื่องอื่น เวลาเราพูดนี้ให้ใจของเราอยู่กับการพูด เราจะได้ควบคุมอาการของจิตของเราที่มันมีความโลภ ความโกรธ ความหลง จะได้ตั้งอยู่ในธรรม
"คนเราถ้าใจไม่อยู่กับปัจจุบัน ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนี้ มันมีทุกข์ไม่มากก็น้อย ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่มีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ ใจที่ส่งออกน่ะ...ถือว่าใจเป็นบาป"
คนเรานี้นะมันต้องมีการฝึกใจ เพื่อให้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ความสุข ความดับทุกข์ มันถึงจะเกิดกับเราได้ ในการอบรมบ่มอินทรีย์ของเราด้วยนะ พยายามทำจิตทำใจของเราให้สบาย ไม่ต้องไปเคร่งเครียด "ให้เหมือนกับบุรุษที่ถือไข่อยู่ในกำมือ ถ้าปล่อยมาก ไข่ก็ร่วงลงแตก ถ้ากำแน่นเกินไข่มันก็จะแตก"
อย่างเรานั่งสมาธิน่ะ เราต้องการให้มันสงบ ความคิดอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นบาปนะ เมื่อเราอยากให้มันสงบน่ะ ทีนี้แหละความไม่อยากให้มันวุ่นวายมันก็ต้องมี ความอยากกับความไม่อยากมันเป็นความทุกข์ทั้งนั้นท่านถึงให้เราพยายามเจริญสติสัมปชัญญะของเราให้สมบูรณ์ ใจของเรามันจะได้เย็นลง
"ปัญหาต่างๆ ที่อยู่ในโลกนี้น่ะที่มันกำลังเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนั้นน่ะ มันเป็นของมีอยู่เป็นอยู่ประจำโลก ให้เราทั้งหลายพากันมารู้จักรู้แจ้ง มาเป็นผู้มี 'พุทโธ' ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน"
เพราะเราเป็นมนุษย์ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าน่ะ ไม่สมควรที่จะต้องทุกข์อะไร ปัญหาต่างๆ ที่เราทุกข์ ที่เราเครียดน่ะ เพราะใจของเรานี้เอาไปยึดเอาไปถือ เอาไปแบก เราจะให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามใจของเรานั้นน่ะมันเป็นไปไม่ได้ แม้แต่ตัวเรามันก็ไม่เป็นไปเหมือนกับเราต้องการน่ะ เราทุกคนไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ไม่อยากพลัดพราก แต่ทุกคนก็ต้องเป็นอย่างนั้นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นธรรมะ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่คนอื่น มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป บางคนก็เข้าใจว่าเมื่อทุกอย่างไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็ปล่อยวางหมดสิ ไม่ต้องทำอะไร เราไปคิดอย่างนั้นไม่ได้ไม่ถูกน่ะ
คนเรามันมีแต่จะเอาๆๆๆ น่ะ เมื่อมันคิดว่าไม่ใช่ของเรามันก็ไม่ทำ ไม่เสียสละน่ะ มันไม่ถูก คนเรานี้ยิ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็ยิ่งต้องเป็นคนขยัน เป็นที่รับผิดชอบ เป็นคนที่เสียสละ เพราะเราทุกคนนั้นน่ะไม่ใช่คนหมดกิเลส นี้เพียงแต่ทำความเห็นทำความเข้าใจเท่านั้น เราต้องพากันเข้าภาคปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัตินี้มันเป็นสิ่งที่ยากลำบากเป็นสิ่งที่ทวนกระแส...มันต้องอดต้องทน...ต้องขยัน...ต้องตั้งมั่นพร้อมด้วยทำจิตใจของเราให้สบายเป็นเปลาะๆ ทุกขณะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรจะตั้งอยู่ ไม่ว่าอะไรจะดับไป ทุกคนต้องมาแก้ที่จิตที่ใจ ไม่ต้องไปรอที่อนาคต ต้องให้ใจของเรามันดับทุกข์ ไม่มีทุกข์ในปัจจุบันนะ
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้เข้าถึงพระนิพพานทางจิตทางใจ ตั้งแต่ที่เรายังไม่ตายนี้แหละ เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ อินทรีย์บารมีของเราถึงจะเจริญ...ถึงจะแก่กล้า...เราถึงจะแก้ไขปัญหาได้ดีได้ถูกต้อง
คนเราทุกคนสำคัญอยู่ 'ที่จิตที่ใจ' สำคัญอยู่ที่ใจที่ไม่มีทุกข์ อยู่ที่จิตใจไม่มีปัญหาน่ะ ถ้าเราไปแสวงหาการแก้ปัญหาทางภายนอกน่ะ มันอาจจะแก้ได้บ้าง...ไม่ได้บ้าง มันยังไม่แน่นอนเท่ากับเรามาแก้ที่จิตที่ใจ คนเราต่อให้เรียนปริญญาเอกจบตั้งหลายใบ ไม่ใช่ว่าจะเป็นการดับทุกข์ได้แก้ปัญหาได้ ไม่เหมือนกับที่เรากลับมาแก้ไขจิต แก้ไขใจ
ตัวเราน่ะ การที่เรามาประพฤติมาปฏิบัตินี้แหละ ถือว่าเป็นงานใหญ่งานหลักของทุกๆ คน ที่จะแก้ไขปัญหาได้ดับทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราวิ่งหาครูบาอาจารย์ วิ่งหาวัดที่ปฏิบัติเคร่งครัด อาจารย์โน่นอาจารย์นี่ ให้เราเข้าใจว่า เราจะไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหน เราจะไปหาวัดดีๆ ที่ไหน มันก็ช่วยเหลือเราไม่ได้น่ะ เพราะว่าผู้ประพฤติปฏิบัตินั้น คือตัวเรา ไม่มีท่านผู้ใดที่จะมาประพฤติปฏิบัติให้เราได้ ให้ทุกท่านทุกคนยกระดับจิตตัวเองเข้าสู่การประพฤติปฏิบัติน่ะ เน้นมาที่ 'ตัวเรา' นี้แหละ
ถ้าเราอยู่ที่บ้านเราก็ปฏิบัติ ตัวเองอยู่ที่บ้าน ไปทำงานก็ประพฤติปฏิบัติอยู่ที่ทำงาน เพราะการประพฤติปฏิบัติมันเป็นเรื่องทางจิตทางใจ ไม่ใช่เรื่องรูปแบบภายนอก...อย่าไปหลงตัวเอง...อย่าไปลืมตัวเอง...อย่าประมาท มันมีเรื่องเพลิดเพลิน มันมีเรื่องที่จะให้เราประมาทมากมายเลยนะ! "ความเพลิดเพลินนี้แหละเป็นเหตุแห่งความหลง"
คนเรานี้มันมีความสุข สนุกสนาน สะดวกสบาย เอร็ดอร่อยเป็นเครื่องเพลิดเพลินน่ะ มันผัดวันประกันพรุ่ง ในหัวใจของทุกคนมันก็จะผัดไปเรื่อยแหละ แล้วทุกท่านทุกคนก็ต้องเสียใจภายหลัง
ให้ทุกท่านทุกคนทบทวนชีวิตจิตใจที่ผ่านมามันมีอะไรจริงแท้แน่นอน สิ่งที่ดีที่สุดมันก็ต้องจากเราไป สิ่งที่ไม่ดีมันก็ต้องจากเราไป
เราอยู่ว่างๆ ก็ทำการบ้านตัวเองบ้าง สมมติว่า...คุณพ่อคุณแม่เราท่านลาละสังขารจากเราไป จิตใจของเราจะเป็นอย่างไร เวลาบุตรธิดา สามีของเราตายไปเราจะคิดอย่างไร เวลาเราไม่สมหวัง ผิดหวัง พิกลพิการเราจะติดอย่างไร เวลาเราเป็นคนยากคนจน ไม่มีเงินมีสตางค์เป็นอย่างไร เวลาเราเจ็บป่วยไข้เราจะคิดอย่างไร เวลาเค้ามาด่า มาว่า มานินทาเรา เราจะคิดอย่างไร...? ปัญหาต่างๆ สิ่งเหล่านี้มันย่อมเกิดกับเราทุกๆ คน จะหลีกหนีไปไม่พ้น ไปไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านให้เรา...ฝึกปล่อย...ฝึกวางไว้ตั้งแต่เหตุการณ์มันยังไม่มาถึง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างต้องตั้งอยู่ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องดับไป สิ่งนั้นๆ ก็ย่อมมาถึงเราทุกคนน่ะ
"หาโอกาส หาเวลาทำจิตใจให้สงบ ทบทวนชีวิตจิตใจของเรา จะไม่ได้หลง จะไม่ได้เพลิดเพลินไป เป็นวันๆ จะได้ฝึกสมาธิให้สติสัมปชัญญะมันสมบูรณ์ จะได้เข้าถึง 'พุทโธ' ผู้รู้...ผู้ตื่น...ผู้เบิกบาน"
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ ถ้าเราปฏิบัติในพระธรรมคำสั่งสอนของศาสนาได้สัก 50% ขึ้นไปแสดงว่าอยู่ในขั้นดี ดีบ้าง ไม่ดีบ้างผสมกัน ถ้า 50% มันก็ถือว่าอยู่ระหว่างกลาง 60% ขึ้นไปก็ถือว่าดี ที่นี้ดูๆ แล้วผู้ที่มาบวชในศาสนาพุทธของเรามีตั้งแต่แบรนด์เนม มีตั้งแต่โกนหัว ห่มผ้าจีวร เป็นเจ้าศาสนพิธีเฉยๆ อย่างนี้มันก็ต้องเสื่อมแน่นอน เพราะเรายังไม่เข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ให้พวกที่ไม่เข้าใจพากันเข้าใจนะ ตัวเราเองต้องปรับปรุงตัวเองให้เต็มที่เต็มร้อย อย่าได้อนุโลม ปฏิโลม ไปตามความรู้สึกนึกคิด ต้องเอาหลักพระศาสนาเป็นแนวทางดำเนินชีวิต ปรับตัวเองเข้าหาเวลา เข้าหาธรรมะในชีวิตประจำวัน
ถ้าประชากรของประเทศถ้าขยันเหมือนทำงานให้พวกเถ้าแก่ที่ไปทำงานอยู่โรงงาน ตื่นขึ้นมาแต่เช้า ตั้งใจทำอย่างนี้ๆ ทุกวัน ปรับปรุงทุกๆ วัน แล้วมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ปรับทั้งธุรกิจหน้าที่การงาน ปรับทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ต้องเข้าถึงเศรษกิจพอเพียง เหมือนพระพุทธเจ้าสอน เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลเดชสอน ให้พากันเข้าใจ อย่าปล่อยให้ตัวเองเสียเวลา เพราะคนเรานี้ต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านไม่ได้ต่อสู้กับคนอื่นนะ ท่านต่อสู้กับความขี้เกียจขี้คร้าน ต่อสู้กับยาก ความลำบาก ความยากจนของประชาชน ท่านพาประชาชนแก้ไขตนเอง ไม่ได้ไปแก้ไขคนอื่นเค้า
พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นผู้บอกผู้สอน เราก็ต้องพึ่งตัวเองพึ่งการเสียสละ พึ่งการที่มีศีลกับการเสียสละนี้อันเดียวกัน ต้องตั้งใจตั้งเจตนา ถ้าเรามีฉันทะมีความพอใจ ความทุกข์มันจะไม่มี เพราะความทุกข์ของเรามันอยู่ที่ความเห็นผิด ความเข้าใจผิด เราจะไปแยกธรรมะออกจากธุรกิจหน้าที่การงานไม่ได้ มันคืออันเดียวกัน จนกว่าเราจะหมดลมหายใจ ทุกๆ แห่ง ทุกสถานที่ก็ย่อมเขียวชอุ่ม ไม่แห้งแล้ง น้ำไม่ท่วม เพราะเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง พากันปฏิบัติถูกต้อง เราปฏิบัติไป มันก็จะฉลาดไปในตัว เพราะความรู้ยังไม่พอต้องมีภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ความสมัครสมานสามัคคีกันนี้สำคัญนะ ทุกท่านทุกคนต้องมีความเห็นเหมือนๆ กัน “เราต้องเป็นผู้มีศีล เราต้องเป็นผู้ตั้งมั่น ต้องเป็นผู้เสียสละ เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นที่ตั้ง เอาธรรมเป็นการดำเนินชีวิต” คนภาคอีสานจะไม่ได้พลัดฐาน พลัดถิ่น ไปหากินในภาคกลาง หรือภาคตะวันออก หรือภาคใต้ คนภาคอื่นก็เหมือนกัน เพราะความสุขความดับทุกข์นั้น ย่อมมีอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง เราไม่ได้ความสุขทางกาย ก็ต้องเอาความสุขทางใจที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราจะได้เข้าถึงความเป็นพระคือผู้ที่เสียสละ เราต้องลดความเห็นแก่ตัว ที่บ้านของเราก็ต้องหยุดการเบียดเบียน หยุดดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ เล่นการพนัน ต้องมีความสุขในการทำงาน ขยันเสียสละรับผิดชอบ อันนี้คืองานของเรา ตั้งแต่เช้าจนนอนหลับ คือความสุขในการมีศีล มีความตั้งมั่นในการเสียสละ เราจะไม่ไปหาความสุขความดับทุกข์ในที่อื่น นอกจากใจของเรา นอกจากวาจา และก็การกระทำของเรา
ให้เรารู้จักความสุขความดับทุกข์นะ การตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ไม่เอาธรรมะเป็นหลัก ไม่เอาธรรมะเป็นใหญ่เค้าเรียกว่าคนไม่มีบ้าน เป็นคน homeless เป็นคนซัดเซพเนจร เราต้องมีบ้าน คือความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการปฏิบัติ เราจะได้พามีพระศาสนาในการดำเนินชีวิต เราไม่ต้องไปวิตกกังวลว่าศาสนาคริสต์จะมากลมกลืน ศาสนาอิสลามจะมากลมกลืน ศาสนาพราหมจะพาประชาชนทำแต่พิธีรีตอง เราไม่ต้องไปสนใจ ทุกท่านทุกคนต้องมาแก้ที่ตัวเอง เราจะไปปล่อยให้ตัวเองยากจนได้อย่างไร ไหนฝนดี ไปปล่อยให้น้ำท่วมประเทศไทยปี ปีไหนแห้งแล้ง เราจะปล่อยให้ประเทศไทยมันแห้งแล้ง อย่างนี้ไม่ได้ ทุกคนต้องมาพัฒนาตัวเอง ความขี้เกียจขี้คร้านนี้ไม่ต้องมามาก มาเป็นเจ้าเรือนเรา ควาามเสียสละนี้เป็นสิ่งที่สูงสุด เป็นสิ่งที่ดีที่สุด