แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๕๗ เคร่งครัดหนักแน่นในพระวินัย การพัฒนาใจจึงจะก้าวไปได้
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ชีวิตของทุกคนจะดีขึ้นมั้ย? ไม่ดีนะ ถ้าไม่ตามพระธรรมคำสั่งของพระพุทธเจ้า จะไปได้มั้ย ไปไม่ได้ ถ้าไม่ตามพระธรรมคำสั่งของพระพุทธเจ้า จะรวยจะเฮง จะเจริญมั้ย ไม่รวย ไม่เฮง ไม่เจริญ เพราะเรามีความคิดเห็นผิด เข้าใจผิด พากันปฏิบัติผิด พระพุทธศาสนาในเมืองไทยจะไปได้มั้ย? ไปไม่ได้ เพราะเรายังไม่ได้พากันประพฤติปฏิบัติในพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุผลนี้เราทุกท่านทุกคนถึงต้องมาเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ตามหลักเหตุหลักผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ แล้วพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ที่ท่านว่า เพราะสิ่งที่ถูกต้องมี สิ่งดีๆ ถึงจะเกิดขึ้น
พระพุทธเจ้าไปทางหนึ่ง เราพากันไปทางหนึ่ง มันไม่ได้ เริ่มมันก็ไม่ยากหรอก สิ่งที่มันยากก็เพราะเราทำตามใจของเรา ทำตามอารมณ์ของเรา มันเลยเป็นเรื่องยาก พวกฝรั่งทางยุโรป เค้าพัฒนาตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ เค้าก็รวย มีอยู่มีกิน เหลือกิน เหลือใช้ เป็นส่วนใหญ่ แต่เค้าก็ยังไม่เข้าถึงความสุข ความดับทุกข์ได้ เพราะว่าเค้าพัฒนาตั้งแต่เทคโนโลยี พัฒนาแต่หลักวิทยาศาสตร์ ตามหลักเหตุผล แต่ว่าใจของเค้าไม่มีความสุข ใจของเค้าไม่สงบ เพราะบนรากฐานนั้น มันตั้งอยู่ในกฏพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ถ้าดูตัวอย่างในประเทศไทยของเรานี้ก็ พวกพระฝรั่งมาเป็นลูกศิษย์อาจารย์ชาเยอะ เป็นลูกศิษย์หลวงตาบัว ลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณพุทธทาสภิกขุ แต่ก็ดูๆ แล้วก็ทำท่าจะดี แต่ดูๆ แล้วก็ยังดี 100% ไม่ได้ เพราะเอาธรรมวินัยภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ไปปฏิบัติยังไม่หมด เพราะว่ายังเอาตัวตนเป็นที่ตั้งอยู่ ยังละทิ้งสิกขาบทน้อยใหญ่อยู่เยอะ ยังเห็นแก้สิกขาบทที่สำคัญว่าไม่สำคัญ บางคนบางท่าน เช่น อยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง โดยที่ไม่มีบุคคลที่ ๓ อยู่ เช่น พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือว่าโยมผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะพวกฝรั่งเค้าถือสิทธิเสรีภาพ เรื่องความลับ เรื่องส่วนตัวนี้ก็ไม่ให้คนที่สาม เข้ามารับรู้ แต่ว่าตามพระธรรมวินัยไม่ได้ นี้เป็นส่วนที่เสีย ก็เพราะว่ายังเอาตัวตนเป็นใหญ่อยู่ ยังไม่เข้าถึงธรรมะ เข้าถึงพระวินัย ลูกศิษย์อาจารย์ชา พระใหญ่ๆ หลายๆ องค์ ถึงได้ลาสิกขาไป โดยที่ไม่ได้คิดว่าจะลาสิกขา ที่เกี่ยวข้องกับสตรีเพศ ลูกศิษย์ท่านพุทธทาสก็เหมือนกัน ลูกศิษย์ทางหลวงตามหาบัวก็เหมือนกัน ถ้าอ่อนพระวินัยในเรื่องนี้ เรื่องสตรี เรื่องสตางค์ เรื่องอยู่ เรื่องฉัน มันเป็นสิ่งที่สำคัญ ข้อนี้ผิดพลาดนะ ต้องเอาเคร่งครัดเหมือนหลวงปู่ชาเลย หลวงปู่ชานี้เคร่งครัด เกี่ยวกับผู้หญิง เกี่ยวกับสตรี เช่น ท่านรับแขก 20 คน 30 คน มีแต่พวกผู้หญิงทั้งหมดเลย ที่นั่งอยู่กับท่าน มีแต่สามเณร สามเณรลุกขึ้นไปล้างกระโถน ไปล้างอะไร ระยะห่าง 30-40 เมตร หลวงพ่อชาก็ลุกขึ้นเพื่อไปทำนู่นไปทำนี่เหมือนกัน เพื่อที่จะไม่พูดอยู่กับพวกผู้หญิงที่หลายคน ที่ไม่มีพระนั่งด้วย ไม่มีเณรนั่งด้วย เพื่อรักษาพระวินัย อย่างนี้ถึงจะถูกต้อง
เรื่องผู้หญิง พวกสตรี สตางค์พวกนี้มันต้องเคร่งครัดเนอะ ไม่ว่าต่างประเทศ ไม่ว่าภายในประเทศต้องเคร่งครัด ถ้าเราทำไม่ถูกต้องใหม่ๆเราก็จะอายละ แต่นานๆ ไปมันจะไม่อายนะ เหมือนความคิดเรา เราคิดเราบวชมาใหม่เราคิดเรื่องผู้หญิงเราอาย เราคิดแล้วใครเค้าก็ไม่รู้ด้วย เราก็เลยถือวิสาสะ คิดไปเรื่อยๆ เราเลยไม่ได้บวชเลย เราเลยมี sex ทางความคิด มี sex ทางอารมณ์ สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าให้เรามีสติ มีสัมปชัญญะ พวกพระเรา เณรเรา ถึงพากันอยู่ไม่ได้ เพราะว่าใจมันไม่ได้บวช มันบวชตั้งแต่ทางกาย แต่ใจมันมี sex ทางความคิด มีเพศสัมพันธุ์ทางจิตใจ เรื่องเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้มันเป็นต้นสิกขาบท มันเป็นต้นของพรหมจรรย์นะ
พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ เป็นเรื่องของมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่เรื่องกฎหมายบ้านเมือง ถ้าเป็นเรื่องกฎหมายบ้านเมือง มันมีการแต่งสำนวนแต่งอะไรได้ แต่ธรรมวินัยถ้าต้องอาบัติแล้วคือต้องแล้ว ถ้าเป็นอาบัติใหญ่เยียวยาไม่ได้ ต้องขาดจากความเป็นพระ ถ้าเป็นอาบัติใหญ่รองลงมาก็เข้ากรรม ต้องมาสมาทานต่อหน้าภิกษุสงฆ์เพื่อที่จะไม่ทำอีก เราจะไม่ให้ใครรู้ไม่ให้ใครเห็น ก็ไม่พ้นอาบัติ ทุกคนต้องพึงสำรวม พึงระวัง เพราะเพื่อประโยชน์แก่พระศาสนา เพื่อกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า เพื่อทรงไว้ซึ่งมรรคผลนิพพาน
เพราะเราจะมองเห็นที่พระภิกษุทำอย่างนั้น อยู่ที่สองต่อสองกับผู้หญิง อยู่ที่ลับหูลับตา อย่างนี้ไม่ใช่ถูกพระวินัยของพระพุทธเจ้า พระที่บวชใหม่ บวชปานกลาง บวชเก่า ก็ไม่มีใครยกเว้น เพราะเราจะเห็นเป็นพระทั่วๆ ไปทำอย่างนี้ ก็ถือว่าสิ่งเหล่านี้มันผิด ไม่ถูกต้อง ถ้าเราไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป เราก็เป็นพระหัวดื้อ ว่ายากสอนยาก เราไปคิดว่า เราเป็นพระที่บวชมานานแล้วไม่เป็นไร อินทรีย์บารีเราแก่กล้าไม่เป็นไร จิตใจของเราไม่เสื่อม ไปคิดอย่างนั้นก็ไม่ได้ เพราะว่ามันทำตามกัน เห็นพระผู้บวชก่อนทำยังไง พระผู้บวชหลังก็ทำอย่างนั้น พระผู้ใหญ่นี้แหละสำคัญ ความเสื่อมมันมาจากพระผู้ใหญ่ ไม่ตั้งมั่นไม่เข้มงวด ไม่เห็นความสำคัญ ธรรมกับวินัยต้องไปพร้อมๆ กัน เราจะเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจไม่ได้ เพราะคนเราไม่ใช่มีใจอย่างเดียวมีกายด้วย ไม่ใช่ปล่อยวางแล้วไม่ทานข้าว ทานอาหาร พักผ่อน มันไม่ใช่ มันต้องมีทั้งสมมติมีทั้งวิมุตติ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสังคม เกี่ยวข้องกับสตรีเพศ ต้องเอาพระอานนท์เป็นหลักเป็นที่ตั้ง ที่ท่านได้ทูลถามกับพระพุทธเจ้าไว้ เกี่ยวกับเรื่องปฏิบัติให้ถูกต้องกับสตรี
สาเหตุที่จะต้องอาบัติ พระอานนท์ได้ทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสตรีเพศ เพราะสาเหตุที่จะต้องอาบัติ พระอานนท์เป็นผู้ที่ฉลาด ขอวิธีปฏิบัติจากพระพุทธเจ้าเพื่อรู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสตรี พระพุทธเจ้าให้เกี่ยวข้องกับสตรีเพศให้ถูกต้อง ตามที่พระอานนท์ทูลถาม "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค! ในพรหมจรรย์นี้มีสุภาพสตรีเป็นอันมากเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ในฐานะต่างๆ เป็นมารดาบ้าง เป็นพี่หญิงน้องหญิงบ้าง เป็นเครือญาติบ้าง และเป็นผู้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยบ้าง ภิกษุจะพึงปฏิบัติต่อสตรีอย่างไร?"
"อานนท์! การที่ภิกษุจะไม่ดูไม่แลสตรีเพศเสียเลยนั้นเป็นการดี" "ถ้าจำเป็นต้องดูแล้วเห็นเล่า พระเจ้าข้า" พระอานนท์ทูลซัก
"ถ้าจำเป็นต้องดูต้องเห็น ก็อย่าพูดด้วย อย่าสนทนาด้วย นั้นเป็นการดี" พระศาสดาตรัสตอบ
"ถ้าจำเป็นต้องสนทนาด้วยเล่า พระเจ้าข้า จะปฏิบัติอย่างไร"
"ถ้าจำเป็นต้องสนทนาด้วย ก็จงมีสติไว้ ควบคุมสติให้ดี สำรวมอินทรีย์ และกายวาจาให้เรียบร้อย อย่าให้ความกำหนัดยินดี หรือความหลงใหลครอบงำจิตใจได้ อานนท์! เรากล่าวว่าสตรีที่บุรุษเอาใจเข้าไปเกาะเกี่ยวนั้น เป็นมลทินของพรหมจรรย์"
"แล้วสตรีที่บุรุษมิได้เอาใจเข้าไปเกี่ยวเกาะเล่า พระเจ้าข้า จะเป็นมลทินของพรหมจรรย์หรือไม่?"
"ไม่เป็นซิ อานนท์? เธอระลึกได้อยู่หรือเราเคยพูดไว้ว่า อารมณ์อันวิจิตร สิ่งสวยงามในโลกนี้มิใช่กาม แต่ความกำหนัดยินดีที่เกิดขึ้นเพราะความดำริต่างหากเล่าเป็นกามของคน เมื่อกระชากความพอใจออกเสียได้แล้ว สิ่งวิจิตรและรูปที่สวยงามก็คงอยู่อย่างเก้อๆ ทำพิษอะไรมิได้อีกต่อไป"
เพราะสตรีกับสตางค์มันคือสิ่งเดียวกัน ความประมาทมันอันเดียวกัน สตรี สตางค์คือความประมาท คนเราถ้าประมาทมันก็เสียหาย พระเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมซึ่งวินัย ประชาชนเขาไม่รู้หรอก พระต้องเคร่งครัด เพราะเป็นเรื่องของตัวเอง
ระบบความคิด ระบบอารมณ์นี้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเปรียบเหมือนไม้สด และก็ยังอยู่ในกลางน้ำ มันแช่อยู่ในน้ำ น้ำกับไฟมันก็รู้อยู่แล้ว เอาไฟไปจุดน้ำมันก็ไม่ลุกแล้ว เพราะน้ำนั้นมันไม่ได้เป็นน้ำมัน นี้มันน้ำธรรมดา ถ้าเราทำไม่ถูกต้อง มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะว่าเราเดินไปคนละทางกับพระพุทธเจ้า ผู้ที่มาบวชเป็นพระ เป็นเณรถึงต้องพากันแก้ไขตัวของเราเอง ศีลนี้คือเป็นยานที่จะพาเราออกจากวัฏฏะสงสาร สมาธิคือความตั้งมั่น เป็นยานให้เราออกจากวัฏฏะสงสาร ปัญญาคือ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เสียสละ ดีท๊อกซ์ความยึดมั่น ถือมั่น ออกจากจิต จากใจของเรา ทุกคนต้องทิ้งความยึดมั่นถือมั่น เรียกว่าดีท๊อกซ์ สักกายะทิฏฐิ คือตัวคือตน ถือว่าเราเป็นผู้ชาย ถือว่าเราเป็นผู้หญิง ถือว่าอันนี้ลูกเรา อันนี้หลานเรา ญาติวงศ์ตระกูลเรา มันต้องดีท๊อกซ์ออกจากใจ พิจารณาทุกอย่างสู่พระไตรลักษณ์ไป ว่าอันนี้มันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง อันนี้ก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แยกร่างกายออกเป็นชิ้น เป็นส่วนไป มันไม่มีเรา มีของๆเรา ต้องทำอย่างนี้ อันนี้เป็นงานของเราที่เราจะหยุดวัฏฏะสงสาร
พวกที่จะไปเผยแผ่เมืองนอก จะไปเผยแผ่มันจะได้ดีมีประโยชน์มั้ย โอ๋...อย่างนี้ไม่ดี ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะพวกที่จะไปเผยแผ่ก็ต้องจัดการกับตัวเอง มันต้องเหมือนกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี้สอนตัวเอง100% เข้าใจชัดเจนแล้วถึงบอกคนอื่น ถ้างั้นไม่ได้ เราไปเอาทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนไม่ได้ เราดูๆ แล้วมันไม่ได้หรอก เพราะว่ายังไม่ใช่พุทธ ยังไม่ใช่ศาสนาพุทธ ยังมีตัว มีตนอยู่ มันยังไม่เข้าใจเรื่องศาสนาอยู่ เราจะเคารพนับถือตัวเองได้ ก็เพราะตัวเอาเป็นพระอริยเจ้า คนอื่นจะเคารพนับถือเราได้เพราะเราเป็นพระอริยเจ้า เราดูแล้วประเทศไทยเรา พระที่บวชในประเทศไทย มันถึงเอาตัวไม่รอด มรรคผลพระนิพพานมันเลยว่างจากประเทศไทยเรา เพราะว่าทุกคนมันเอาแต่ใจตัวเอง เอาแต่อารมณ์ตัวเอง มันไม่ได้เอาพระธรรม เอาพระวินัย ศาสนาของเราทรงอยู่ได้ก็ทรงได้แต่เพียงแบรนด์เนม แบรนด์เนมปลงผม ห่มผ้าจีวร มีโบสถ์ มีศาลา แต่ไม่มีธรรมวินัย ที่พากันประพฤติปฏิบัติใจแต่ละบุคคล อย่างนี้แหละเสียหาย ไปไม่ได้หรอก เอาไม่รอดหรอก ญาติโยมประชาชนก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่เอาใหม่ ไม่ตั้งใจใหม่ ครอบครัวเรานั้นจนทั้งทรัพย์สินเงินทอง จนทั้งคุณธรรม เรามีกฏหมายบ้านเมืองนี้ มันก็ดีระดับหนึ่ง เท่ากับเราเอาหินก้อนใหญ่มาทับหญ้าไว้เฉยๆ เราดูตัวอย่างอย่างคอนเสิร์ตในเมืองไทยแสดงออกมาทางเด็ก เด็กหนุ่มสาว จนแสดงออกถึงคนแก่ เราดูงานทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ฟ้อนรำ ทำเพลง เด้งไป เด้งมา ทั้งลูกเค้า เมียเค้า ผัวเค้า นั้นมันแสดงออกถึงเอาหินก้อนใหญ่มาทับหญ้า มาเปิดโอกาสมาเป็นประเพณี มันเอาใหญ่เลย
อย่างประเทศไทยมีวัดป่าอย่างเดียว มันก็ไม่ชอบ มันก็อยากมีวัดบ้านไว้สำหรับไว้เต้นรำ ไว้จัดคอนเสริต เป็นเวทีหมอรำ ชกมวย ที่จริงวัดป่า วัดบ้านมันก็ต้องปฏิบัติให้เหมือนกัน วัดบ้านถ้าเรามุ่งมรรคผลนิพพาน มุ่งธรรมวินัย มันก็ปรับที่ใจเหมือนๆกัน มันจะไม่ต่างกัน ความวิเวก มันไม่ได้อยู่ที่สถานที่ 100% หรอก มันอยู่ที่ใครเอาพระธรรมวินัย เอามรรคผลพระนิพพาน ความวิเวกมันจะเกิดขึ้น เพราะเราพิจารณาทุกอย่างสู่พระไตรลักษณ์ เราพัฒนาใจเรื่องศีล ศีลว่าอันนี้คิดไม่ได้ อันนี้พูดไม่ได้ อันนี้ทำไม่ได้ เราไม่ได้ไปแก้ภายนอก แก้ใจของเรา วัดบ้าน วัดป่ามันก็สงบหมด เราดูตัวอย่าง อย่างสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านก็เป็นพระ ถือว่าอยู่ใน กทม. ท่านก็เป็นพระอริยเจ้าใน กทม. อย่างสมเด็จเจ้าคุณนรฯ ท่านก็อยู่ใน กทม. หรือว่าแม้ปัจจุบันนี้ ถ้าใครปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม มันสงบหมด เพราะว่าทุกท่านทุกคนแก้ที่ใจ
ต้นสิกขาบทต้นพรหมจรรย์ มันโยงไปหาสิกขาบทอื่น ปาราชิก ๔ คือแม่ สังฆาทิเสส คือลูกคนโต และก็มีอาบัติเล็กน้อยตามมาอีกมากมาย ก็ล้วนแต่แตกแขนงมาจากอาบัติต้นนั่นเอง การยินดีในการอยู่การกิน เขาเรียกว่า ยังมีความชอบในเพศสัมพันธ์ในรสชาติ ชอบกินไก่ย่างก็คือการมีเพศสัมพันธ์ในรสชาติ คนเรานี้ถ้ายังเห็นผู้หญิงแล้วยินดี แสดงว่ายังข่มกิเลส ละกิเลสไม่ได้ ถ้าเห็นไก่ย่างแล้วมันมีอารมณ์หิว แสดงว่ามีเพศสัมพันธ์ทางนี้อยู่
เราเป็นนักเผยแผ่ ต้องนอนแผ่แน่นอน เพื่อนเราถ้ามันเป็นโจรไม่ต้องให้ไปอยู่ด้วย วัดจะร้างก็ชั่งหัวมัน ถึงจะไม่ร้าง มีพระเยอะ มันก็ร้างอยู่แล้ว คือ ร้างจากมรรคผลพระนิพพาน ถ้าใครสึกไปก็ดีเหมือนกัน เขามาศึกษาเพื่อที่จะพัฒนาตัวเองเป็นพระอริยเจ้า เขาเข้าใจ สึกไปเขาก็ปฏิบัติได้ มันอยู่ที่ตั้งใจ ถ้าไม่ตั้งใจมันไม่ได้ ขนาดมาบวชแล้วไม่ตั้งใจ จะได้อะไร อย่างมากก็ได้เปรียญธรรม ได้พระครูกับเจ้าคุณเท่านั้น ไม่ได้ผลอันเลิศในพระพุทธศาสนาคือมรรคผลพระนิพพาน เป็นกาฝากของสังคม เราเป็นกาฝากผู้ทำลายพระศาสนา พระพุทธเจ้าให้พากันรักษาศีล 5 แต่ศีล 5 ยังรักษาไม่ได้คือข้อมุสา ยังไปโกหกพระพุทธเจ้า ไม่ได้ปฏิบัติอะไร ไปรับเงิน รับตังค์ ไปขุดดิน ฟันไม้ ของไม่ประเคนก็ฉัน อันนี้มันเป็นเครือข่ายของต้นสิกขาบท ปาราชิก ข้อที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ พวกนี้มันเป็นไปเพื่อที่จะเบรคไม่ให้เป็นปาราชิก อนิยตก็เบรคไม่ให้เป็นสังฆาทิเสส มันจะเป็นตัดน้ำเลี้ยง เป็นจุดสกัดนั่นเอง
ทุกท่านทุกคนจะแก้ที่ใจ ต้องตั้งใจ ตั้งเจตนา สมาทานเพราะเราจะใจอ่อนทำผิดไปเรื่อย ไม่ได้หรอก เรานั่งรถ ก็ต้องยังมีรัดเข็มขัดนิรภัย เค้าขึ้นเครื่องบินก็รัด safety belt เราก็ต้องมีธรรมะวินัยที่รัดกุมเรา เราจะไปยานพาหนะเราก็ต้องสร้างเหตุ สร้างปัจจัย ทุกคนทำได้ ทุกคนปฏิบัติได้ เราทุกคนปฏิบัติให้มันขลัง มันศัก มันสิทธิ เราถึงเวลานี้ต้องปรับหาเวลา ปรับหาเวลายังไม่พอ ต้องปรับหาธรรมวินัย ชีวิตของเราจะได้ไม่เน่าเหม็น ไม่เน่าเฟะ จะได้ไม่เป็นขยะ ถ้าเราไม่ตั้งใจดีๆ กิเลสของเรามันจะแก่กล้า อินทรีย์ของกิเลสมันจะแก่กล้าขึ้นนะ
พระผู้ใหญ่ พระผู้ปกครองก็ต้องยิ่งระวังตัวให้มากขึ้น เพราะว่าพระผู้น้อยมันหาโอกาส หาช่องโหว่อยู่ที่จะต้องทำตาม เหมือนพระผู้ใหญ่บางคนเห็นหน้ากับโยมผู้ใหญ่ ถามกันด้วยท่ามกลางมหาสมาคมเลยว่า เป็นไงฟุตบอลนัดนี้เค้าเตะกันที่ไหน ออกช่องไหนบ้าง โอ๋...สิ่งเหล่านี้นะ มันไม่สมควรที่จะไปพูดในพิธีมงคล ที่มีคนเป็นหลายร้อยคนหรอก สิ่งที่ไม่สมควร บางทีพระน่ะไปนั่งปลุกเสกอะไรอย่างนี้ โทรศัพท์มันดังขึ้นมา ก็ยังมารับโทรศัพท์อยู่ท่ามกลางปลุกเสก
ทุกท่านทุกคนก็ต้องเบรคตัวเอง เช่น พระไปอยู่เมืองนอก เมืองนอกมันก็ธรรมวินัยมันก็คนต่างประเทศเค้าก็ไม่รู้จัก ก็ถือโอกาสขับรถเอง พวกนักเผยแผ่นี้นะ แล้วเรื่องอาหารการฉันอย่างนี้ก็ไปทำอาหารเอง ไม่ทรงพระธรรม ทรงพระวินัยไว้ดีๆ ยังเอาตัวตนเป็นหลักอยู่ อย่างนี้มันจะไปเผยแผ่ได้อย่างไร ทำอาหารเสร็จแล้วก็ยังละอายอยู่บ้าง เลยบอกให้เค้ามาประเคน จะมาประเคนอะไร เพราะว่าตัวเองมันทำเอง มันเล่นละครอย่างนี้มันก็ไม่ถูก มันต้องใจเข้มแข็ง ต้องรักษาไว้ดีๆ พระวินัยน่ะ
พระฝรั่งทั้งหลายนี้กลับไปเผยแผ่ที่เมืองนอก กลับกลายเป็นพระฉันอาหาร ๒ เวลาไปโดยปริยาย เพราะคนอยู่ในเมืองศิวิไลซ์ หรือว่าเค้าติดสุขติดสบาย เค้ารับกิจนิมนต์ เค้าต้องนัดหมายเวลากัน 11.00 น. ใจอ่อน ก็เลยไปฉันอาหารว่าง เพราะรอ 11.00 น. มันสาย พระวัดป่าเลยกลายเป็นพระวัดบ้านไปโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะความใจอ่อน เพราะเราไปอนุโลม
การเผยแผ่มันเลยไม่ได้ผลนะ เสียหายนะ ถ้ารู้ว่าผิดก็ต้องตั้งใจใหม่นะ ถ้าใครรู้ว่าผิด มันตั้งใจใหม่นั้นไม่สาย มันเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม ถ้าเราไม่เข้มแข็งอย่างนี้ มันไปไม่ได้ เหมือนพระวัดป่า พระกรรมฐาน วันพระเค้าถือเนสัชชิกกัน ที่นี้เนสัชชิกมันเหนื่อย พวกพ่อออก แม่ออก สมัยโบราณเค้าก็มีนมกระป๋อง นมข้น และก็มีโอวันติล สมัยก่อนมีโอวันติล กาแฟก็ยังไม่มีหรอก ก็ชงให้พระคุณเจ้าฉัน พระคุณเจ้าเอาซักแก้วก็กระปรี้กระเปร่า ไม่กี่ครั้งก็ติดแล้ว วันไหนไม่มีนมข้น ไม่มีโอวันตินนี้ก็ต้องเลยเอาข้าวต้ม พระวัดป่าก็เลยกลายเป็นพระวัดบ้านไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะความใจอ่อนนะ จะใจอ่อนเหมือนพระทุกวันนี้ได้โทรศัพท์ติดอกติดใจ สื่อสารอะไรอย่างนี้ เลยพากันมีโทรศัพท์กันทุกคน เพราะใจอ่อน ไปรับเอาความวุ่นวายมาใส่ตัว อันนี้แหละจะพูดให้เห็นแง่ความเสื่อมของจิตใจของผู้ที่มาบวช เมื่อมันเสื่อมแล้วก็ไม่เอามรรคผลนิพพานแล้ว เอาตั้งแต่รถ เอาตั้งแต่ศาลา เอาแต่เจดีย์ บางวัดคนก็ยังไม่เลื่อมใส ก็ต้องออกรถ เพื่อความสะดวกความสบาย มันเสื่อมเพราะเราใจอ่อนนะ
ทุกคนต้องใจเข้มแข็งเหมือนหลวงปู่มั่น เหมือนหลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว ท่านเจ้าคุณพุทธทาส ท่านจิตใจเข้มแข็ง ท่านสัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นในธรรมวินัย ในมรรคลพระนิพพาน ทุกท่านทุกคนต้องพิจารณาความเสื่อมมันมีกับเราทุกๆ คนนะ เห็นมั้ย มันเสื่อม อย่างเป็นไข้ ไปหาหมอ หมอก็คือเค้าพัฒนาตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ เค้าก็บอกว่ายาตัวนี้มันกัดกระเพราะ มันต้องมีอาหารนะ อย่างน้อยท่านก็ดื่มน้ำปานะ ทีนี้ก็ไปเล่นข้าวต้มเละๆ ให้มันออกมาทางน้ำปานะ ได้กินได้ฉันครั้ง สองครั้ง ถึงไม่ป่วย แต่ก็เอาข้าวต้มตอนเย็น ในประเทศไทยอย่างนี้มีเยอะนะ เพราะว่ามันใจอ่อน ช่วยพากันดูกัน เพราะเราทุกคนไม่ใช่ใคร พี่น้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคนต้องสงสารกัน มันผิดมันพลาดไปแล้ว ก็ต้องตั้งตัวใหม่ เพราะว่าคนเรามันจะเอาแต่นอนอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องลุกขึ้นเดินก้าวไป มันถึงจะถึงจุดหมายปลายทาง ความขี้เกียจขี้คร้าน ความเห็นแก่ตัว มีกับเราทุกคน เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ
คนเราที่จะเคารพตัวเองได้ เพราะตัวเองเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราต้องเอาประโยชน์ของพระศาสนาเป็นที่ตั้ง เราอย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง พระเรานี้ ถ้าไม่เอาพระธรรม ไม่เอาพระวินัย ความเป็นพระก็ไม่มี คำว่าพระนี้ คือพระธรรม คือพระวินัย ถ้าไม่มีธรรมไม่มีวินัย ความเป็นพระจะมาจากไหน เปลือกก็ยังไม่มี กะพี้ก็ยังไม่มี จะเอาอันไหนมารวมกันเป็นแก่นได้ เราอยู่ที่บ้าน เป็นพระวัดบ้าน วัดป่า ทุกคนก็ต้องปฏิบัติได้ ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็ไม่ต้องมาบวช เพราะบวชแล้วก็มาทำให้ศาสนาเสื่อม ทำให้ศาสนาเสียหาย คนเรามีปัญญาก็ต้องประพฤติปฏิบัติ มันถึงจะเข้าถึงหลักเหตุ หลักผล เพราะว่าพระพุทธศาสนานี้คือวิทยาศาสตร์ ต้องเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ในการพัฒนาทั้งใจ พัฒนาทั้งเทคโนโลยีไปพร้อมๆกัน ด้วยการมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการเสียสละ ถึงจะเข้าถึงพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ไม่หลงงมงาย จะข้ามพ้นจากการหลอกลวง เราจะได้ไม่มีเนื้องอกในศาสนา
เราต้องมีสติมีปัญญา มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง รู้ว่าอันไหนควร อันไหนไม่ควร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเราทำไปนั้น เอากลับคืนมาไม่ได้ เราจะไม่ต้องมาเสียใจ สัมมาสมาธิเราต้องมี ความเข้มแข็งมีความตั้งมั่น เราต้องมีปัญญาด้วยการเสียสละ ว่าอันนี้พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ประเสริฐ ทุกท่านทุกคนต้องกตัญญูกตเวที
จุดยืนของทุกคนทุกท่านต้องนำความดีนี้ไปใช้ เพื่อบูชาพระคุณพ่อแม่ พระศาสนา ญาติวงศ์ตระกูล พยายามสร้างร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับตัวเอง จะได้เป็นที่พึ่งให้กับตนเองและผู้อื่น จะได้เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า การบวชของเราก็จะมีอานิสงส์ใหญ่ ให้ตั้งใจ ถึงจะเหนื่อยถึงจะยากก็อดทน โรงเรียนดีๆ ก็ต้องมีระเบียบวินัย ตามที่พระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติสมควร
บวชน้อย บวชมากไม่สำคัญ อยู่ที่ใจ ต้องฝึกรักษากาย วาจา ใจ ขอให้ปรับตัวเองเข้าหาธรรมวินัย อย่าไปถือสักกายทิฏฐิ ถือตัวถือตน ทำอะไรตามสบายว่าเป็นทางสายกลาง มันต้องฝืน ต้องอดทน ต้องเคารพนอบน้อมในศีล ในระเบียบ ในวินัย ถึงจะตายก็ยอม เพราะศาสนาพุทธเป็นของประเสริฐของสูง ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ มันก็เป็นเพียงปรัชญา เป็นธรรมดาเหมือนทั่วๆ ไป ไม่มีประโยชน์อะไร เรามีของมีค่า จึงไม่ทำให้มีค่าอะไร พยายามสำรวจตนเองว่าเรามีข้อบกพร่องในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอะไรบ้าง แล้วพยายามตั้งตัว แก้ตัวใหม่ พยายามมีความเชื่อมั่นในการทำความดีว่าต้องได้ดี เชื่อมั่นว่าธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ ถ้าจะดับก็ต้องดับเหตุก่อน
เราอยู่ในสังคมเราก็ปฏิบัติได้ เราอยู่ในหมู่คณะเยอะๆ เราก็ปฏิบัติได้ ที่ว่าเราปฏิบัติไม่ได้คือเราไม่ได้ปฏิบัติ พิจารณาว่ารูปไม่ใช่ตัวตน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ตัวตน พยายามทำไป เมื่อตัวตนไม่มีแล้ว ใครจะมาสุขมาทุกข์อยู่เล่า มีแต่อวิชชาความหลงที่มันเกิดดับอยู่นี้ เมื่อรู้จักสมาธิ ปัญญาเราก็เจริญ อินทรีย์ก็แก่กล้า ให้เราปฏิบัติให้มีความกล้าปฏิบัติ การละการปล่อยวางทำไปเรื่อยๆ จนกว่าอินทรีย์มันสมบูรณ์ ถ้าเราบังคับตนเองไม่ได้ นานไปยิ่งจะบังคับตัวเองไม่ได้นะ เพราะมันติดสุขติดสบาย เราต้องฝึกจริงๆ ความสุขที่ว่าสุข เราก็คิดปรุงแต่งเอาหรอก ความทุกข์ที่ว่าทุกข์เราก็ปรุงแต่งเอาหรอก แท้จริงแล้วไม่มีอะไร มีแต่ใจไปคิดปรุงแต่งเอาเองทั้งนั้น
สมัยหนึ่งพระอานนท์เข้าสู่ที่หลีกเร้น เพื่อหาความสงบโดยลำพังแตะตรึกตรองธรรม ท่านคิดว่ากลิ่นหอมแห่งไม้ที่เกิดจากแก่นก็ดี เกิดจากรากก็ดี เกิดจากดอกก็ดี ล้วนแต่หอมไปได้ตามลมเท่านั้น หาหอมทวนลมไม่ กลิ่นอะไรหนอที่สามารถหอมฟุ้งไปได้ทั้งตามลมและทวนลม เมื่อท่านไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ด้วยตนเอง จึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทูลถึงข้อสงสัยนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า "อานนท์! กลิ่นดอกไม้กลิ่นจันทร์ไม่สามารถหอมหวนทวนลมได้ แต่กลิ่นแห่งเกียรติคุณความดีงามของสัตบุรุษนั้นแล สามารถจะหอมไปได้ทั้งตามลมและทวนลม คนดีย่อมเกียรติคุณฟุ้งขจรไปได้ทั่วทุกทิศ กลิ่นจันทร์แดง กลิ่นอุบล กลิ่นดอกมะลิ จัดว่าเป็นดอกไม้กลิ่นหอม แต่ยังสู้กลิ่นศีลไม่ได้ กลิ่นศีลยอดเยี่ยมกว่ากลิ่นทั้งมวล อานนท์! ศีลนี้มีความไม่ต้องเดือดร้อนใจเป็นผล เป็นอานิสงส์ อานนท์เราเคยกล่าวกับพระภิกษุทั้งหลายไว้ว่า ถ้าภิกษุหวังให้เป็นที่รักที่เคารพนับถือ เป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจารีแล้ว ก็พึงเป็นผู้ทำตนให้สมบูรณ์ด้วยศีลเถิด" ดังนี้
จริงที่เดียว ที่พึ่งอันประเสริฐของกุลบุตรในศาสนานี้ก็คือ ศีล ซึ่งใครๆ ไม่อาจกล่าวพรรณนาอานิสงส์ให้หมดสิ้นได้ แม่น้ำใหญ่และน้ำใดๆ ก็ตามไม่อาจชำระมลทินของสัตว์ในโลกนี้ แต่บุคคลสามารถชำระความเร่าร้อนภายในของสัตว์ในโลกนี้ ลมหรือ? ฝนหรือ? จันทร์แดงหรือ? แสงจันทร์อันยองใยหรือ? เปล่าเลย? สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถให้ความเร่าร้อนภายในสงบลงได้ ศีลต่างหากเล่าสามารถช่วยให้บุคคลสงบเยือกเย็น กลิ่นอะไรเล่าจะหอมเสมอด้วยกลิ่นแห่งศีล ซึ่งสามารถฟุ้งไปได้ทั้งตามลมและทวนลม บันไดที่จะก้าวไปสู่ประตูสวรรค์และเข้าไปสู่นครคือนิพพาน เสมอด้วยบันไดคือศีลเป็นไม่มี พระราชาผู้ประดับด้วยมุกดามณีก็ยังไม่สง่างามเหมือนนักพรต ผู้ประดับด้วยอาภรณ์คือศีล ศีลนี้คอยกำจัดภัยคือการติเตียนตนเองออกเสีย แล้วก่อให้เกิดความเอิบอิ่มร่าเริง ประหารโทษต่างๆ เป็นต้น เค้าแห่งคุณความดีต่างชนิด
ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ หมดมลทิน จะทรงบาตรจีวรก็ดูน่าเลื่อมใส การบรรพชาของภิกษุเช่นนั้นเป็นสิ่งมีผล ผู้มีศีลบริสุทธิ์ย่อมมีใจผ่องแผ้วเพราะมองไม่เห็นโทษแห่งการทุศีล เหมือนพระอาทิตย์กำจัดความมืด ฉะนั้นภิกษุผู้สง่างามอยู่ป่าถือคณะเพราะความสมบูรณ์ด้วยศีลเหมือนพระจันทร์สว่างอยู่กลางฟ้ามีรัศมีโชติช่วง เพียงแต่กลิ่นกายของภิกษุผู้มีศีล ยังทำความปราโมชแก่ทวยเทพทั้งหลาย จะกล่าวไยถึงกลิ่นแห่งศีลเล่า สักการะแม้น้อย แต่ทายกทำแล้วในท่านผู้มีศีล ย่อมอำนวยผลไพศาลเพราะฉะนั้น ท่านจึงเป็นเหมือนภาชนะสำหรับรองรับสักการะของทายก จิตของผู้มีศีลย่อมแล่นไปสู่พระนิพพานอันเยือกเย็นเต็มที่