แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๕๖ ตั้งใจตั้งสมาทานหยุดตามใจตนเอง จะได้ไม่เป็นผู้กินแต่ของเก่า
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราจะหยุดตัวเองได้ เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ คือการสมาทาน ศีลก็คือตั้งใจปฏิบัติด้วยการสมาทาน จะได้เป็นสัมมาสมาธิ ต้องใช้เวลา เหมือนไก่ฟักไข่ก็ ๓ อาทิตย์ ฟักด้วยแม่ หรือว่าฟักด้วยไฟฟ้า ถึงคนเราจบ ป.ธ.9 หรือปริญญาเอกก็ไปไม่ได้ เพราะว่าไม่ตั้งใจไม่สมาทาน ไม่ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้มันเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ ที่เค้าไปนั่งสมาธิตอนเช้า ตอนเย็น มันเอาหินก้อนใหญ่ทับหญ้าเฉยๆ ไม่ใช่อริยมรรคมีองค์ ๘ มันไม่ใช่สัมมาสมาธิอะไร ปฏิบัติก็เพื่อจะเอา จะมี จะเป็น มันจะเอาอะไร เพราะเราก็เป็นโรคประสาทมากอยู่แล้ว เพราะทุกอย่างมันผ่านมาผ่านไป เราต้องบริโภคทุกอย่างด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง
คนเราต้องมีความสุขที่จะต้องเสียสละ เราจะได้หยุดก่อนลาก่อนวัฏฏะสงสาร พระพุทธเจ้าก็ปฏิบัติให้เราไม่ได้ เรื่องทานอาหาร ไปห้องน้ำ ห้องสุขา ทุกคนก็ต้องปฏิบัติเอง ปฏิบัติธรรมทำไมมันยาก โอ๊ย... ปฏิบัติธรรมมันง่าย ที่มันยากเพราะมันอยากจะซิกแซกกัน เล่นการเมืองทำไมมันยากแท้ โอ้ย...เพราะมันหาวิธีซิกแซกกลัวเค้าจับได้ ถ้าปฏิบัติซื่อๆ อย่างนี้แหละ พ่อแม่อย่างนี้เด็กมันก็เคารพนับถือแล้ว เราไม่เสียสละเค้าสงสารเรา เค้าไม่ได้นับถือเรา อยากจะเลิกปนมัตต์ มันก็เลิกไม่ได้เพราะว่าปนมัตต์มันอร่อย เราก็ไม่อยากสมาทานหยุด อยากเลิกเลิกเหล้าเราก็เลิกไม่ได้ เพราะเราไม่สมาทานหยุด สมาทานวันเดียวไม่ได้นะ ต้องอาศัยหลายวัน
คนเรานะ ร่างกายมี sex มันมี sex ทางจิตใจ เราต้องรู้จัก ทุกคนน่ะตระเกียกตระกายไม่อยากตายจากรูป จากเสียง จากกลิ่น จากรส ลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะสิ่งเหล่านั้นมันกดดันเรา พวกอวิชชาความหลงมันกดดันเรา เพราะว่าใจของเรามันเป็นบ้า ไม่อยากเสียสละ ไม่อยากปล่อย ไม่อยากวาง ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ไม่อยากจน มันไม่เสียสละ ไม่อยากจน แต่ว่าขี้เกียจ มันจะเป็นไปได้หรือ
การปฏิบัตินั้นง่าย ขอให้มีความสุข แต่เราไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ไม่รู้จักทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ความเห็นแก่ตัวเยอะทุกคนเลยจิตใจหยาบ จิตใจสกปรก มองไม่เห็น คนเราน่ะอยากจะมีปัญญา แต่ว่าไม่ไปหาพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อแต่ตัวเอง คนเราน่ะมันมีปัญญาไปไม่ได้ ถ้าไม่ไปหาพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระพุทธเจ้า เราดูนะพวกที่มาบวชนี่ไม่ได้มาหาหลวงพ่อ อย่างนี้นะมันก็ไม่มีปัญญา อย่าง ต้นมะละกอ ต้นมะม่วงปลูกฤดูหนาว มันปลูกไม่ได้ ถ้าอากาศหนาวเกินมันไปปลูกทุเรียนไม่ได้ ต้นโพธิ์ไปปลูกเมืองหนาว ปลูกยังไงก็อยู่อย่างนั้น ไม่เห็นมันเจริญงอกงามเลย 2-3 ปีก็อยู่อย่างนั้น ดีที่มันไม่ตาย แต่ไม่โต
ทุกคนมันต้องปรับเข้าหา เข้าหาเวลา เข้าหาธรรมะ เพราะอย่างคนรวยอย่างนี้ ก็ยากที่จะได้บรรลุธรรมเพราะว่ามันติดสุข เทวดายากที่จะได้รู้ธรรม มันติดสุข คนประชาชนทั้งหลายยากที่จะได้บรรลุธรรม เพราะเห็นเงินดีกว่านิพพาน มันไม่ยอมพัฒนาใจ ไม่พัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน จะเอาแต่วิทยาศาสตร์จะเอาแต่เงิน มันก็ไปตามกฏแห่งกรรม มันก็เป็นไปไม่ได้ มีวัดก็ไม่มีใครเลยได้บรรลุ เรียนหนังสือตั้งแต่นักธรรมตรี ถึง ป.ธ.9 ก็ไม่มีใครบรรลุ เพราะว่ายังไม่ได้ตั้งมั่นในพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ไม่ได้เข้าสู่ภาคปฏิบัติ ก็เรารู้เราเห็นประเทศไทยเสียหาย มีการเรียนการศึกษา มันไม่ได้เพื่อที่จะมาเสียสละตัวตน เพื่อจะมาเอา มามี มาเป็น ทุกคนมันเลยพากันนอนไม่หลับกัน เพราะมีแต่จะเอากัน มีแต่จะมี มีแต่จะเป็น และก็ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย มันเป็นไปได้หรือ พวกนั่งสมาธิตอนเช้า ตอนเย็น มันเป็นเพียงอาหารเสริมเฉยๆ คนเราน่ะตามสัมมาทิฏฐิมันยังไม่เพียงพอ อริยมรรคมีองค์ ๘ ในชีวิตประจำวันมันทำงานไม่สมบูรณ์ มันขาดแคลนอยู่เลยต้องทานอาหารเสริม สมาธิตอนเช้า ตอนเย็น ให้พากันเข้าใจอย่างนี้น่ะ
คนเราน่ะมันมีของเสีย ได้แก่ ความยึดมั่นถือมั่น เราต้องพากันดีท๊อกออก ถ้าอย่างนั้นเราก็บริโภคอาหารเก่า นางวิสาขา พูดกับพ่อผัว บอกพ่อผัวกินอาหารเก่า เรื่องราวมีอยู่ว่า
นางวิสาขา เมื่อมาอยู่ในตระกูลของมิคารเศรษฐี ก็วางตัวได้อย่างเหมาะสมกับที่เป็นลูกผู้ดีมีสกุล นางมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนทั่วไป ให้ความเคารพนับถือผู้อาวุโส ผู้อยู่ในวัยควรเรียกว่า พ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา นางก็เรียกเหมาะสมแก่วัยของผู้นั้นๆ นางจึงเป็นที่รักของคนทั้งปวง อยู่ในตระกูลสามีก็ปรนนิบัติพ่อสามี แม่สามี และสามีด้วยดีไม่บกพร่อง เป็นที่รักของสามีและพ่อแม่ของสามีทั่วหน้ากัน
วันหนึ่งก็เกิดเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันจนได้ แต่ก็ยังไม่ถึงกับใหญ่โตนัก คือสกุลมิคารเศรษฐีนั้นนับถือพวก “อเจลลกะ” (ชีเปลือย) มาหลายชั่วอายุคนแล้ว แต่วิสาขาเป็นอริยสาวกของพระพุทธศาสนา นี่แหละครับคือที่มาแห่งความขุ่นเคืองและลุกลามไปเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงในที่สุด
นักบวชสมัยพุทธกาลมีมากมายหลายลัทธิ ลัทธิที่ขึ้นหน้าขึ้นตามากก่อนที่พระพุทธศาสนาแพร่หลาย ก็คือลัทธิเชนของศาสดามหาวีระ (ตำราพุทธเรียกว่า นิครนธ์นาฏบุตร) มหาวีระหรือนิครนธ์นาฏบุตร บางตำราว่าเป็นขัตติยราชกุมารออกบวช ถือความเคร่งครัดมาก ขนาดไม่ยอมนุ่งห่มผ้า เพราะถือว่าเสื้อผ้าเป็นเครื่องแสดงถึงความยึดมั่นถือมั่น เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะหมดกิเลสจริงต้องไม่ยึดแม้กระทั่งเสื้อผ้า พูดง่ายๆ ว่าต้องเปลือยกายล่อนจ้อน พวกที่เปลือยกายเดินโทงๆ ทั่วไปจึงเรียกกันว่า “อเจลกะ” แปลว่าไม่นุ่งผ้า หรือชีเปลือย
แต่ก็มีชีเปลือยอีกพวกหนึ่งไม่สังกัดลัทธิเชนก็มี เพราะฉะนั้น เมื่อพูดถึงอเจลกะ (ชีเปลือย) จึงอาจหมายถึงพระในลัทธิเชนหรือชีเปลือยทั่วไปก็ได้ ชีเปลือยที่ตระกูลสามีของนางวิสาขานับถือกันมาหลายชั่วอายุคนนี้ คงเป็นพวกพระในลัทธิเชนดังกล่าวข้างต้น ท่านเศรษฐีนิมนต์พระเชนมาฉันที่คฤหาสน์ เมื่อพระมาถึงท่านก็สั่งให้คนไปเชิญลูกสะใภ้มา “ไหว้พระอรหันต์” นางวิสาขาได้ยินคำว่า “พระอรหันต์” ก็ดีใจ เพราะนางเป็นอริยสาวิการะดับพระโสดาบัน มีความเลื่อมใสมั่นคงในพระรัตนตรัย จึงรีบมาเพื่อนมัสการพระอรหันต์
แต่พอมาถึงก็เห็นประดา “อเจลกะ” เต็มไปหมด นางเกิดความขยะแขยงจึงกล่าว (ค่อนข้างแรง) ว่า นึกว่าคุณพ่อให้มาไหว้พระ กลับเรียกมาไหว้พวกไม่มียางอายผ้าผ่อนก็ไม่ยอมนุ่ง ว่าแล้วก็เดินหนีไป
นักบวชเปลือยเหล่านั้นโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ว่าท่านเศรษฐีทำไมเอาคนนอกศาสนาไม่เคารพพระสงฆ์เข้ามาเป็นสะใภ้ภายในบ้าน เท่ากับนำ “กาลกิณี” เข้าบ้าน ไม่เป็นสิริมงคลเสียเลย มีอย่างที่ไหนปล่อยให้มาด่าพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างนี้ ท่านเศรษฐีต้องจัดการไล่อีตัวกาลกิณีนี้ออกจากตระกูล หาไม่พวกอาตมาจะไม่มารับอาหารบิณฑบาตจากบ้านท่านเป็นอันขาด ถูกยื่นคำขาดอย่างนี้ ท่านเศรษฐีจึงว่า กราบขออภัยเถอะขอรับ นางยังเด็ก ยังไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ขอพระคุณเจ้าโปรดยกโทษให้นางด้วยเถอะ
“ไม่ได้ เศรษฐีต้องไล่นางไป เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก จะมาอ้างว่ายังเด็กยังเล็กไม่ได้ โตจนมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้ว พ่อแม่ไม่สั่งสอนหรืออย่างไร”
“แต่ว่านางเป็นธิดาของตระกูลใหญ่ การจะไล่นางออกง่ายๆ นั้นไม่ได้ขอรับ เพราะก่อนจะส่งตัวนางมา พ่อแม่ของนางก็มอบนางไว้ในความดูแลของพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญทั้งแปด ทุกอย่างต้องผ่านความเห็นชอบจากพราหมณ์เหล่านั้นก่อน” เศรษฐีอธิบาย
“ไม่รู้ล่ะ ท่านเศรษฐีต้องจัดการก็แล้วกัน” ว่าแล้วท่านพร้อมทั้งบริวารก็ลงจากเรือนไปด้วยจิตใจที่ขุ่นเคือง (ไหนว่าไม่นุ่งผ้าแล้วกิเลสจะไม่มี ที่แท้แค่นี้ยังแสดงอาการโกรธอยู่) เศรษฐีถึงจะไม่พอใจลูกสะใภ้ที่พูดเช่นนี้ แต่ก็คิดว่า เรื่องไม่ใหญ่โตถึงขั้นต้องส่งนางกลับตระกูลเดิม
แต่อยู่มาวันหนึ่ง เรื่องที่เศรษฐีเห็นว่าร้ายแรงก็เกิดขึ้น วันนั้น นางวิสาขาปรนนิบัติพ่อสามี ขณะที่นั่งรับประทานอาหารข้าวมธุปายาสอย่างดีอยู่ที่ระเบียงบ้าน พระเถระในพระพุทธศาสนารูปหนึ่ง เดินบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านเศรษฐีพอดี ท่านได้มายืนต่อหน้าเศรษฐี ต้องเข้าใจด้วยว่า สมัยก่อนโน้นพระมายืนหน้าบ้านได้ ถ้าชาวบ้านปรารถนาจะใส่บาตร ก็นำอาหารไปใส่ ถ้าไม่มีอะไรจะใส่ หรือยังไม่พร้อมที่จะใส่ ก็บอกท่านว่า “นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิด เจ้าข้า” ท่านก็จะไปยืนที่อื่น แต่พระสงฆ์ในเมืองไทย ถ้ารูปใดไปยืนรอให้คนใส่บาตร จะถูกตำหนิติเตียน เรื่องนี้มีข้อแตกต่างกันอยู่
เศรษฐีมองเห็นพระแล้ว แต่ทำเป็นไม่เห็น ก้มหน้าก้มตากินข้าวมธุปายาสเฉย ซึ่งนางวิสาขาก็รู้จึงค่อยๆ ถอยออกไปกระซิบกับพระคุณเจ้า ดังพอที่พ่อสามีจะพึงได้ยินว่า “นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิดเจ้าข้า คุณพ่อของดิฉันกำลังกินของเก่า”
เท่านั้นแหละครับ เศรษฐีลุกขึ้นเตะจานข้าวกระจายเลย พูดด้วยความโกรธจัดว่า พวกเอ็งไล่นางกาลกิณีคนนี้ออกไปจากตระกูลข้าเดี๋ยวนี้ หนอยแน่ะ มันกำแหงถึงขนาดหาว่าข้ากินขี้เชียวเรอะ
คราวนี้เกิดเรื่องใหญ่ ครอบครัวที่เคยสงบสุขมานาน ก็ปั่นป่วน ณ บัดดล พ่อสามีโกรธ แม่สามีก็โกรธ เจ้าประคุณสามีก็โกรธด้วย ที่ถูกหญิงสาวจากตระกูลอื่นมาด่าเสียๆ หายๆ แบบนี้
นางวิสาขาต้องเข้าไปเคลียร์กับคนเหล่านั้นว่าไม่ได้หมายความตามที่พวกเขาเข้าใจ แต่ใครมันจะฟังเล่า นางวิสาขาพูดว่า นางเองมิได้ถูกนำมาสู่ตระกูลนี้ ดุจนางกุมภทาสีที่เขานำมาจากท่าน้ำ นางเป็นบุตรของตระกูลใหญ่เช่นเดียวกัน ก่อนจะมาอยู่ในตระกูลนี้ บิดามารดาก็ได้มอบความรับผิดชอบไว้กับพราหมณ์ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งแปด เมื่อเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น ต้องให้ท่านทั้งแปดรับทราบด้วย
เศรษฐีจึงพูดว่า ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว จึงเรียกพราหมณ์ทั้งแปดมาตัดสินคดี และแล้วท่านทั้งแปดก็ถูกตามตัวมา เศรษฐีได้ฟ้องว่า นางวิสาขาลูกสะใภ้ของตน ด่าด้วยคำพูดหยาบคายว่า ตนกินขี้ ขอให้พวกท่านตัดสินเอาผิดนางด้วย
พราหมณ์ทั้งแปดถูกเชิญมาสอบสวนกรณีพิพาทระหว่างนางวิสาขา กับมิคารเศรษฐี พ่อสามี เศรษฐีได้กล่าวหานางวิสาขา ว่า ดูถูกดูหมิ่นตน หาว่าตนกินของเก่า ซึ่งหมายถึงกินอุจจาระ เป็นคำพูดสบประมาทที่ร้ายแรงมาก ยอมไม่ได้ ที่ด่าว่าพ่อสามีเสียหายเช่นนี้ต้องถูกขับไล่โดยถ่ายเดียว ไม่มีข้อยกเว้น
พราหมณ์ทั้งแปดหันมาถามนางวิสาขา ว่า เป็นเช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นจริงเช่นนั้น นางก็ต้องรับโทษทัณฑ์อย่างหนักตามที่เศรษฐีกล่าวแล้ว
นางตอบว่า “หาเป็นเช่นนั้นไม่ นางมิได้ดูหมิ่นว่าคุณพ่อสามีของนางกินอุจจาระแต่ประการใด คุณพ่อเข้าใจไปเอง”
“เข้าใจไปเองอย่างไร นางพูดกับพระใช่ไหม ว่า นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิด คุณพ่อดิฉันกำลังรับประทานของเก่า ถึงฉันจะแก่แล้วแต่หูฉันยังดี ได้ยินคำพูดเธอชัดถ้อยชัดคำ” เศรษฐีเถียง
“ดิฉันพูดเช่นนั้นจริง” นางกล่าว
“เห็นไหม ท่านทั้งหลาย นางยอมรับแล้วว่านางพูดจริง” เศรษฐีหันไปกล่าวต่อพราหมณ์ทั้งแปด
“หามิได้ ดิฉันกล่าวเช่นนั้นจริง แต่มิได้หมายความอย่างที่คุณพ่อเข้าใจ ดิฉันหมายถึงว่า คุณพ่อดิฉันเกิดมาในตระกูลมั่งคั่ง เสวยโภคทรัพย์มากมายในปัจจุบันนี้ เพราะอานิสงส์แห่งบุญเก่าที่ทำไว้แต่ปางก่อน แต่คุณพ่อของดิฉันมิได้สร้างบุญใหม่ในชาตินี้เลย ดิฉันหมายเอาสิ่งนี้ จึงกล่าวว่า คุณพ่อดิฉันกินของเก่า”
เมื่อนางวิสาขาแก้ดังนี้ พวกพราหมณ์จึงหันมาหาเศรษฐี กล่าวว่า “ที่นางพูดนั้นก็ถูกต้องแล้ว นางไม่มีความผิดเพราะเรื่องนี้”
เมื่อพ่อสามีแพ้แก่เหตุผลของลูกสะใภ้ หันมาพิจารณาตนด้วยจิตใจเป็นกลาง ก็รู้ว่าตนนั้น “กินของเก่า” จริงๆ จึงยอมขอขมาลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้ได้ทีก็พูดจาขึงขังว่า เมื่อนางพ้นผิดแล้วก็ขอกลับไปตระกูลของนางตามความประสงค์ของคุณพ่อสามีต่อไป ว่าแล้วก็สั่งให้คนขนของเตรียมเดินทาง เศรษฐียิ่งร้อนใจจึงอ้อนวอนว่าอย่าไปเลย พ่อก็ขอโทษแล้ว พ่อผิดจริง นางจึงต่อรองว่า “ถ้าจะให้ลูกอยู่ต่อไป ต้องอนุญาตให้ลูกนิมนต์พระสงฆ์ อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข มาฉันอาหารที่บ้านทุกวัน” เศรษฐีก็ยินยอม
วันต่อมา นางวิสาขาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมภิกษุสงฆ์มาเสวยภัตตาหารที่บ้าน เมื่อพระองค์เสด็จมาถึง นางจึงให้คนไปแจ้งแก่พ่อสามีว่าให้มา “อังคาส” พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์
“อังคาส” หมายถึงเลี้ยงพระ คือลูกสะใภ้เชิญให้พ่อสามีมาเลี้ยงพระด้วยกัน เศรษฐีก็ทำท่าจะมา แต่พวก “อเจลกะ” (นักบวชเปลือยกาย) ห้ามไว้ว่า ท่านเศรษฐีไม่ควรไปเสวนากับพระสมณโคดม
เศรษฐีจึงให้คนไปบอกลูกสะใภ้ว่า เชิญลูกอังคาสพระองค์เองเถอะ เมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมพระภิกษุสงฆ์เสวยเสร็จแล้วจะทรงแสดงพระธรรมเทศนา นางวิสาขาให้คนไปแจ้งพ่อสามีอีกว่า ให้มาฟังธรรม คราวนี้พวกอเจลกะจะห้ามอย่างไรเศรษฐีก็ไม่ฟัง คิดว่าเป็นการไม่สมควรที่จะขัดใจลูกสะใภ้ (เดี๋ยวนางจะโกรธจะกลับตระกูลของนางเสีย) พวกอเจลกะบอกว่าท่านเศรษฐีจะไปฟังก็ได้ แต่ให้ฟังอยู่นอกม่าน อย่าเห็นพระสมณโคดม ว่าแล้วก็สั่งคนไปกั้นม่าน จัดที่ให้เศรษฐีนั่งฟังธรรม
พระพุทธองค์ทรงดำริว่า ถึงเศรษฐีจะนั่งอยู่นอกจักรวาล ถึงจะถูกภูเขาหลายแสนลูกบังอยู่ ก็สามารถได้ยินเสียงของพระองค์ ว่าแล้วพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนา มุ่งสอนเศรษฐีโดยตรง เริ่มด้วยทรงแสดง “อนุปุพพีกถา” (พรรณนาเรื่องทาน ศีล สวรรค์ โทษของกาม อานิสงส์การออกจากกาม แล้วจบลงด้วยอริยสัจสี่ประการ)
ก็เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมอยู่ ชนผู้ยื่นอยู่ข้างหน้าก็ตาม ข้างหลังก็ตาม อยู่เลยร้อยจักรวาล พันจักรวาลก็ตาม อยู่ในภพอกนิษฐ์ก็ตาม ย่อมกล่าวกันว่า “พระศาสดา ย่อมทอดพระเนตรดูเราคนเดียว ทรงแสดงธรรมโปรดเราคนเดียว” แท้จริง พระศาสดาเป็นดุจทอดพระเนตรดูชนนั้นๆ และเป็นดุจตรัสกับคนนั้นๆ โดยเจาะจง
นัยว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย อุปมาดังพระจันทร์ ย่อมปรากฏเหมือนประทับยืนอยู่ตรงหน้าแห่งสัตว์ทั้งหลาย ผู้ยืนอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเหมือนพระจันทร์ลอยอยู่แล้วในกลางหาว ย่อมปรากฏแก่ปวงสัตว์ว่า“พระจันทร์อยู่บนศีรษะของเรา พระจันทร์อยู่บนศีรษะของเรา” ฉะนั้น ได้ยินว่า นี้เป็นผลแห่งทานที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงตัดพระเศียรที่ประดับแล้ว ทรงควักพระเนตรที่หยอดดีแล้ว ทรงชำแหละเนื้อหทัยแล้วทรงบริจาคโอรสเช่นกับพระชาลี ธิดาเช่นกับนางกัณหาชินา ปชาบดีเช่นกับนางมัทรี ให้แล้ว เพื่อเป็นทาสของผู้อื่น
เศรษฐีรู้สึกประหนึ่งว่า พระธรรมเทศนานี้ทรงมุ่งเทศน์ให้ตนฟังคนเดียว จึงตั้งอกตั้งใจส่งกระแสจิตพิจารณาไปตามความที่ทรงแสดง เมื่อจบพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระอริยบุคคลระดับต้น มีศรัทธามั่นคง ปราศจากความสงสัยในพระรัตนตรัย และเลิกให้การสนับสนุนพวกอเจลกะ กลายเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าในที่สุด
เศรษฐีได้ยกย่องนางวิสาขาบุตรสะใภ้ของตนเป็น “มิคารมาตา” (แปลว่า แม่ของมิคารเศรษฐี) เพราะนางเป็นประดุจแม่ผู้ให้กำเนิดในทางธรรมแก่ตน
เราทุกคนอย่าไปกินอาหารเก่า ต้องเสียสละ เสียสละให้มันเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม พวกที่มันเป็นมะเร็งกันทั่วประเทศนี้ เพราะว่าในเรื่องร่างกาย เพราะว่าคนทุกวันนี้เป็นโรคมะเร็งเยอะ เพราะว่ากินอาหารดีๆ และก็เพลิดเพลินในโทรศัพท์ ในคอมพิวเตอร์ ทำงานเพลิน มีความสุขในอย่างนี้และก็ทำให้อาหารเก่านี้กลับไปเลี้ยงร่างกาย เค้าเรียกว่าขี้ขึ้นสมอง นึกว่าตัวเองฉลาด ไปกินของเก่า
คนที่ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้จักความดับทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึก ทำตามความยึดมั่นถือมั่น คือ “เป็นผู้กินของเก่า” ของเก่า ก็หมายถึง อุจจาระ ปัสสาวะ เราทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึก คือผู้ที่บริโภคของเก่า ของเก่าก็คือ บาปกรรมที่เคยทำมา ที่มันเคยทำยังไง มันก็เอาเเต่ตัวเเต่ตน นั้นมันไม่ใช่พุทธะอะไร มันมีทิฏฐิมาก มานะมาก ตัวตนมาก ทำอย่างนี้เค้าเรียกว่าคนกินของเก่า เหมือนนางวิสาขา บอกพ่อสามีว่าบริโภคของเก่า ถ้าเราทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง เหมือนหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายอย่างนี้ ที่เป็นระบบครอบครัว ระบบตัวตน คือผู้บริโภคของเก่า
การปล่อยวางเท่ากับดีท๊อกซ์ของเสียที่เรากินไปเมื่อสองวันสามวัน อันนี้มันเป็นระบบวิทยาศาสตร์ที่เราต้องดีท๊อกซ์ออกทางภายนอก ทางภายในเราต้องเสียสละ ต้องปล่อยต้องวาง เรามันคอร์รัปชั่น คอร์รัปชั่นสิ่งที่ประเสริฐของเรา เรามันโง่งมงาย ตั้งเเต่ก่อนเราสงสารคนบ้าที่มันเดินตามข้างถนน มันเก็บขยะไปเรื่อย เเต่ถ้าเราไม่ได้กลับมามองตัวเอง ไปหลงกรรมเก่า หลงในรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ เราพาลูกพาหลานญาติวงศ์ตระกูลบริโภคของเก่า
ชีวิตของเราในชีวิตประจำวัน เราต้องรู้จักอริยสัจ ๔ รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ต้องมีความสุขในการเสียสละ เราจะได้หยุดก่อนวัฏฏะสงสาร ลาก่อนวัฏฏะสงสาร ถ้าเราปฏิบัติทั้งวันทั้งคืน เพื่อจะเอา เพื่อจะมี เพื่อจะเป็น อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง หลวงพ่อก็ดูพระหลายองค์ โยมหลายคน โรคประสาทมันก็หายไม่ได้ เพราะมันบริโภคของเก่า สิ่งปฏิกูล คือ ความยึดมั่นถือมั่น เวลานอนมันก็ไม่ได้นอน มันจะไปนอนตอนที่เค้าตื่นเเล้ว มันต้องเเก้ไขตัวเอง
เราทุกคนไม่ได้พากันภาวนาอะไรเลย ไม่ได้พิจารณาอนิจจังทุกขังอนัตตา เรียกว่าไม่รู้จักอริยสัจ ๔ อะไรเลย เราต้องรู้จักพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา สอนให้เข้าถึงสัจจะธรรมความจริง พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจ เพื่อให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน ทุกท่านทุกคนอย่าพากันบริโภคของเก่าเลย มันก็ตายเเล้วตายอีก เกิดเเล้วเกิดอีก มันไม่น่าดีใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน ตำเเหน่งที่เค้าเเต่งตั้งให้เป็นผู้หญิง เราอย่าไปหลงมัน ตำเเหน่งที่เเต่งตั้งให้เป็นผู้ชาย เราอย่าไปหลงมัน เราต้องเสียสละ เพราะต้องทำได้ ปฏิบัติได้ เราถึงจะบอกลูกบอกหลานเราได้ เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ถ้างั้นเราบวชไปก็ไม่รู้จะบวชไปเอาอะไร เพราะไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ขนาดโรคภายนอกทางภายนอกยังรักษาไม่หายเลย เป็นพระที่ตามใจตัวเองมันก็เป็นโรคประสาท มันตามใจตัวเอง มันซิกแซก เก่งอะไรเก่ง โยมที่มันตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันถึงต้องเป็นโรคประสาทอย่างน่าสงสารอยู่อย่างนี้ มันยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่อย่างนี้ เราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างนี้ เราจะมากินข้าวไปวันๆ อยู่ไปวันๆอย่างนี้อยู่ไม่ได้ เราจะมาหลงในขยะอย่างนี้ไม่ได้
เพราะศาสนาอย่างที่กล่าวมาเเล้วไม่ได้อยู่ในหนังสือ อยู่ในพระไตรปิฏก มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันมันจะเลื่อนไปเอง ถ้าเราไม่มีการปฏิบัติในปัจจุบัน อินทรีย์บารมีเรามันจะเเก่กล้าได้ยังไง อันนี้มันเป็นเรื่องที่เรากินของเก่าบริโภคของเก่าทางจิตใจ มันถึงกลายเป็นมะเร็งร้ายทางจิตใจที่รักษาไม่หาย ทุกท่านทุกคนไม่ต้องไปจัดการคนอื่นหรอก จัดการกับตัวเองให้มีความสุขเลย เพราะรักษาศีลเพื่อมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่เพื่อโลกียะ เพื่อเค้าสรรเสริญ มันต้องเน้นที่จิตที่ใจ
หลวงปู่ชาอุปมาหัวงูกับหางงูว่า “มนุษย์เราทั้งหลายไม่ต้องการทุกข์ ต้องการแต่สุข ความจริงสุขนั้นก็คือทุกข์อย่างละเอียดนั่นเอง ส่วนทุกข์ก็คือทุกข์อย่างหยาบ พูดอย่างง่ายๆ สุขและทุกข์นี้ก็เปรียบเหมือนงูตัวหนึ่ง ทางหัวมันเป็นทุกข์ ทางหางมันเป็นสุขเพราะถ้าลูบทางหัวมันมีพิษ ทางปากมันมีพิษ ไปใกล้ทางหัวมัน มันก็กัดเอาไปจับหางมันก็ดูเหมือนเป็นสุข แต่ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมากัดได้ เหมือนกัน เพราะทั้งหัวงูและหางงูมันก็อยู่ในงูตัวเดียวกัน ความดีใจความเสียใจ มันก็เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน คือ ตัณหาความลุ่มหลงนั่นเอง ฉะนั้น บางทีเมื่อมีสุขแล้วใจก็ยังไม่สบาย ไม่สงบ ทั้งที่ได้สิ่งที่พอใจแล้ว เช่น ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ได้มาแล้ว ก็ดีใจก็จริง แต่มันก็ยังไม่สงบจริงๆ เพราะยังมีความเคลือบแคลงใจว่ามันจะสูญเสียไป กลัวมันจะหายไป ความกลัวนี่แหละเป็นต้นเหตุให้มันไม่สงบ บางทีมันเกิดสูญเสียไปจริงๆ ก็ยิ่งเป็นทุกข์มาก นี่หมายความว่าถึงจะสุขก็จริง แต่ก็มีทุกข์ดองอยู่ในนั้นด้วย แต่เราไม่รู้จัก เหมือนกันกับว่าเราจับงูถึงว่าเราจับหางมันก็จริง ถ้าจับไม่วางมันก็หันกลบมากัดได้ ฉะนั้น หัวงูก็ดีหางงูก็ดีบาปก็ดีบุญก็ดี อันนี้อยู่ในวงวัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ความสุขความทุกข์ ความดีความชั่วก็ไม่ใช่หนทาง”
เราทุกคนต้องมีความสุขนะ มีความสุขในลมหายใจ หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย หายใจเข้ามีความสุข ออกมีความสุขน่ะ สามัญชนอย่างนี้ก็ใช้อย่างเดียวกัน พระอรหันต์ก็ใช้อย่างเดียวกันนี่แหละ ต้องกลับมาหาสติสัมปชัญญะ เพราะว่าลมหายใจมันมีได้ทั้งสมถะ มีได้ทั้งวิปัสสนา ถ้าเราหายใจเข้าสบาย ออกสบาย ก็ความสุขสงบแล้ว เราไม่ไปวุ่นวายทางความคิด
คนเรามันหาเรื่องเฉยๆ น่ะ คิดหลายครั้ง มันก็ได้ผัว คิดหลายครั้งก็ได้เมีย อย่างนี้ เราต้องรู้จัก ว่าสิ่งไหนมันดี เราก็ต้องอย่างนี้ อย่าง บวก ลบ คูณ หาร หรือว่าท่องภาษาอังกฤษ ภาษาไทยภาษาจีน อย่างนี้ อันไหนมันดี มันไม่อยากคิดนะ เขาเรียกว่าตายแล้วไปไหน ไปที่ชอบ ที่ชอบน่ะ มันชอบคิดไปในทางที่ไม่ดี อาหารที่เรากินน่ะ ถ้าอันไหนไม่แสลงต่อร่างกาย มันไม่อยากกินหรอก
ถ้าเราเจริญอานาปานสติ มันจะกลับมาหาปัจจุบัน มันจะตัดเรื่องอดีตเยอะ อย่างนี้นะ เมื่อมันวุ่นวายขนาดนี้ มันจะคิดอะไรออก หนี้มันจะเพิ่มอีกนะ หลวงพ่อนี่เกี่ยวข้องกับพระอรหันต์ หลายพระอรหันต์ ท่านมีแนวคิดอย่างนี้น่ะ เช่นว่าถามท่าน ท่านดำเนินชีวิตยังไงท่านบอกว่า "เสียสละ"มีความสุขในการเสียสละ เดี๋ยวนี้ผมลืม ผมจำอะไรไม่ได้นะ แต่ความสุขความดับทุกข์ มันอยู่ที่ปัจจุบัน จำอะไรไม่ได้ก็ช่างหัวมัน
ให้ทุกท่านทุกคนให้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ต้องรู้จักว่าพระนิพพานมันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน