แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่องชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๕๔ ทำอย่างไร ถึงจะให้ชีวิตที่ประเสริฐนี้ไม่ขาดทุน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้ โยมไบร์ท โยมบ็อบ โยมแบงค์ เป็นลูกของโยมวราภรณ์ ได้นิมนต์ องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม พร้อมด้วยคณะสงฆ์ มาทำบุญที่ออฟฟิศ ที่บ้าน ที่ทำงาน เพราะว่าทั้งโยมอดิศักดิ์ โยมวราภรณ์ โยมลูกชาย เขาเรียกว่าเป็นคนที่เป็นคนดี เป็นคนที่มีสัมมาทิฏฐิ ลูกก็อยู่ในธรรมะ โดยเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระอรหันต์เป็นหลัก เอาครูบาอาจารย์เป็นหลัก เอามรรคผลพระนิพพานเป็นที่ตั้ง เพราะชีวิตของเราทุกคนไม่เกิน ๑๐๐ ปี ทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป
ชีวิตของเราคือสภาวะธรรมที่เราจะนำเอามาเป็นบุญกุศล พัฒนาใจ พัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน เพื่อมรรคผลพระนิพพาน ผู้ที่เป็นเพื่อนของโยมวราภรณ์ ลูกๆ ของโยมวราภรณ์ก็เป็นคนดี ให้ทุกคนเข้าใจสภาวะธรรม เพราะคนเราไม่มีใคร ล่วงพ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ไม่อาจจะก๋า จะกร่างได้ ต้องน้อมใจสู่คุณธรรมความดี เพื่อนที่เกิดร่วมโลกต้องก้าวไปด้วยกัน ด้วยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนต้องหยุด อบายมุข อบายภูมิ วันหนึ่งคืนนึง ต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เลื่อนไป กาย วาจา จิต ให้มีสมาธิ มีปัญญา พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆกัน อย่างนี้ ทุกอย่างมันตั้งอยู่บนรากฐานของพระไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราจะได้เอาใจพัฒนา เราจะได้ทำงานให้มีความสุข เพราะความสุข ความดับทุกข์ มันกลมกลืนด้วยมรรคมีองค์ ๘
คำว่าพระศาสนาต้องรู้จัก พระศาสนาคือมรรค คือผล คือพระนิพพาน ไม่ใช่นิติบุคคล ต้องเข้าใจพระพุทธเจ้า เข้าใจพระธรรม เราจะได้เข้าใจเรื่องพระอรหันต์ แล้วเอาใจเป็นพระ ทุกคนต้องทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ รูปมันก็อร่อย เสียงมันก็อร่อย ทุกอย่างมันก็อร่อย เราต้องรู้จักว่าอันนี้เป็นเหยื่อของโลก ที่เราเวียนว่ายตายเกิดก็เพราะเราหลง เท่ากับเรารับจ้างมาเกิด โง่แล้วโง่อีก ตายแล้วตายอีก ต้องพากันรู้จัก เราจะได้พัฒนาไปในทางสายกลาง เราต้องอย่าตามไป มันทำให้เสียหาย ชีวิตของเราต้องหยุด อย่าให้มันกลายเป็นขยะ เพราะเราทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึกตัวเอง มันเป็นขยะ ตัวเองก็เสียหาย คนอื่นก็เสียหาย เราจะไปตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึกไม่ได้ เพราะเราต้องรู้จัก ถ้าเราไม่รู้จัก เรามันจะเป็นคนไม่มีปัญญา
เราทุกคนไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น เราต้องมาแก้ที่เรา คนอื่นเขาก็ต้องแก้เขา ให้เข้าใจอย่างนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะไปของมันเอง เราทุกคนเป็นเถ้าแก่เหมือนกันหมดทุกคน เกิดมาก็เฒ่า ก็แก่ แล้วก็ตาย พลัดพราก
ในสังสารวัฏนี้มีโรคกายโรคใจมากมาย กายก็เป็นรังของโรคอยู่แล้ว หากยังเพิ่มโรคใจด้วยการคิดไม่ดีเข้าไปอีก โรคก็ยิ่งหนักหนาสาหัส
ในทางการแพทย์ มีการค้นพบว่า ร่างกายของแต่ละคน ล้วนมีโรคฝังติดตัวกันมาแต่กำเนิด หลังจากคลอดแล้วโรคเหล่านี้ก็รอวันที่จะปะทุขึ้นมา มีทั้งโรคเกิดจากตับ จากไต จากอวัยวะภายในและอวัยวะภายนอก ยิ่งการแพทย์ก้าวหน้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งค้นพบว่าโรคร้ายเหล่านั้นมันฝังตัวอยู่ลึกในรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ ที่เรียกว่า ดีเอ็นเอ (DNA), อาร์เอ็นเอ (RNA) ถ้าเจ้าตัวไม่ระมัดระวัง โรคร้ายที่ฝังตัวอยู่ก็จะปะทุขึ้นมาได้ง่าย อาจทำให้ร่างกายพิการ หรือถึงแก่ชีวิตได้
ความเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงมีสัพพัญญุตญานรอบรู้ในสิ่งทั้งปวงรวมทั้งเรื่องทางการแพทย์ด้วย พระองค์ตรัสถึงสาเหตุสำคัญแห่งการอาพาธไว้ ๘ ประการ ดังที่ปรากฎอยู่ในอาพาธสูตร ดังนี้ (๑) อาพาธอันเกิดจาก "ดี" เป็นสาเหตุ (๒) อาพาธอันเกิดจาก "เสมหะ" เป็นสาเหตุ (๓) อาพาธอันเกิดจาก "ลม" เป็นสาเหตุ (๔) อาพาธอันเกิดจาก "ดี,เสมหะ,ลม ประชุมกัน" (๕) อาพาธอันเกิดจาก "ฤดูแปรปรวน" (๖) อาพาธอันเกิดจาก "การบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ" (๗) อาพาธอันเกิดจาก "การถูกทำร้าย" (๘) อาพาธอันเกิดจาก "วิบากกรรม"
สาเหตุแห่งการอาพาธทั้ง ๘ ประการที่กล่าวมานี้สามารถสรุปให้เหลือ ๒ ประการได้ดังนี้ คือสาเหตุทางกาย และสาเหตุทางใจ โดย ๗ ประการแรกถือเป็นสาเหตุทางกายส่วนข้อที่ ๘ คือ วิบากกรรมนั้นถือว่าเป็นสาเหตุทางใจ เพราะเป็นสาเหตุที่เกิดจากบาปที่อยู่ในใจส่งผล ให้เกิดการอาพาธด้วยโรคต่างๆ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบว่าโรคทางกายที่ว่าหนักหนาสาหัสแล้ว ยังไม่ร้ายกาจ ยังมีโรคอีกชนิดหนึ่งที่ฝังอยู่ในใจ แต่วิทยาการทั่วไปมองไม่เห็นเรียกว่า กิเลสๆ เป็นโรคร้ายฝังอยู่ในใจที่คอยบีบคั้นให้มนุษย์คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว แล้วผลของความชั่วทำไว้ก็ไม่หายไปไหน มันได้กลายเป็นมารร้ายย้อนกลับมา ตามจองล้างจองผลาญเราข้ามภพข้ามชาติ ให้เดือดร้อนอย่างแสนสาหัสในอนาคต เด็กเมื่อแรกเกิดดูเหมือนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่จริงๆ แล้วมีเชื้อกิเลสอยู่ในใจ รอเวลากำเริบเมื่อพบเหยื่อล่อ เหยื่อของโลกก็คือกามคุณ ๕ นี่คือวงจรของกฎแห่งกรรมที่มันมีอยู่ประจำโลก โดยมีกิเลสในใจแต่ละคนเป็นตัวบีบคั้นให้ผู้นั้นเข้าไปติดอยู่ในวงจร
จิตเดิมแท้ของเราทุกคนเป็นประภัสสร บริสุทธิ์ผ่องใสโดยธรรมชาติแต่กิเลสเป็นอาคันตุกะที่จรเข้ามาครอบงำจิต ทำให้จิตเศร้าหมอง กิเลสหรืออกุศลมูล อันได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ กิเลสทั้ง ๓ ตระกูลนี้ล้วน หมักดอง ห่อหุ้ม เอิบอาบ แช่อิ่ม บีบคั้น บังคับ กัดกร่อนใจของมนุษย์ให้คิดพูดทำแต่ในสิ่งที่ชั่วช้าต่างๆ จนกระทั่งผู้นั้นคุ้นเคยต่อความชั่วทั้งหลาย ในที่สุดก็กลายเป็นนิสัยไม่ดีติดตัว แต่ละคน ทำความชั่วซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเป็นอุปนิสัย เป็นเหตุให้ต้องจมอยู่ในห้วงทุกข์นับภพนับชาติไม่ถ้วน เมื่อมีเหตุปัจจัยประสมประสานกันแล้วก่อตัวขึ้นมาเป็นอุปนิสัยต่างๆ
สิ่งที่จะแก้ไขได้คือ "ธรรมะโอสถ" เป็นยาที่รักษาได้ หยุดการเวียนว่ายตายเกิดของเราได้ คนเราเกิดมาต้อง มีความเห็นถูก คิดถูก ปฏิบัติให้ถูก เราทุกคนนั้นไม่มีใครมาปฏิบัติให้เราได้ ให้ทุกคนยินดีนะ ที่เราเป็นผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าไปเกิดเป็นเปรต เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ชื่อว่าเป็นโชคที่ไม่ดี เราต้องพากันเห็นเทวทูตทั้ง ๔ เห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บ เห็นคนตาย เห็นสมณะ เห็นแล้วต้องให้มีปัญญา เราเห็นลูกเห็นหลานเกิดมายิ้มแย้มแจ่มใส ดีอกดีใจจะได้มีผู้สืบวงศ์ตระกูล คนเราเมื่อเกิดมาแล้วสิ่งที่จะได้รับ ก็คือความแก่ ความเจ็บ ความตายความพลัดพราก
เมื่อเรามีความเห็นผิดเข้าใจผิด เราต้องมารักษาด้วยธรรมโอสถ ทุกคนต้องมายินดีในความแก่เพราะเราทุกคนเกิดมา ก็ต้องแก่เราก็ต้องมีความสุขในความแก่ คนแก่ที่เรามองเห็นอายุ ๖๐ ปี ๗๐ ปี ๘๐ ปี จนถึงร้อยปี เราต้องมีความยินดีในความแก่อย่างนั้น เราต้องมีปัญญาอย่างนี้แหละ คนเราไม่อยากแก่ ก็ต้องเป็นทุกข์ ๒ อย่าง ทุกข์ทางกายยังไม่พอ ยังต้องเป็นทุกข์ทางใจอีก ทุกคนต้องยอมรับอย่าไปปฏิเสธความแก่ ความไม่แข็งแรง ความไม่คล่องแคล่วว่องไว ความเซ่อๆเบลอๆของเรา เราต้องยินดีในความเจ็บไข้ไม่สบาย เพราะคนเราเกิดมามันต้องมีโรคประจำทางกายในตัว ถึง ๙๖ อย่าง แต่ในปัจจุบันมันมากมายกว่านั้นจนนับไม่ถ้วนที่เกี่ยวข้องกับไวรัส ไวรัสก็กลายพันธุ์พัฒนาสายพันธุ์ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ
ทุกคนต้องยินดียอมรับในความเจ็บไข้ไม่สบาย ถ้าเราไม่มีความเจ็บไข้ไม่สบาย มันคงจะหลงไปมากกว่านี้ พวกที่ไปเกิดเป็นเทวดาส่วนใหญ่ จึงจะพากันติดสุขติดสบาย ไม่สามารถจะบรรลุธรรมได้ นอกจากจะเป็นสมาธิและเป็นพระอริยบุคคลอยู่แล้ว
คนเรามันไม่อยากเจ็บไม่อยากป่วย ยังไม่นั่งสมาธิ ก็ท้อใจไว้ก่อนแล้ว เริ่มปวดแข้งปวดขา จะถือศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ข้อ ก็กลัวความเหน็ดความเหนื่อย กลัวความเจ็บไข้ไม่สบาย สิ่งที่แล้วไปแล้ว ก็ให้แล้วไป เมื่อทุกท่านทุกคนได้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ยินดีในความป่วยไข้ไม่สบาย ใจจะได้ไม่ปรุงแต่ง ใจจะได้ไม่ไปวุ่นวาย เพราะความเจ็บความตายไม่มีใครที่จะหนีพ้นได้สักคนเดียว พระพุทธเจ้าก็ยังทรงต้องแก่ ยังทรงพระประชวร และยังเสด็จดับขันธ ปรินิพพาน ยังต้องแก่เจ็บตายพลัดพราก ให้ทุกท่านทุกคนเพิ่มความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องยอม รับแต่โดยดี เหมือนพระพุทธเจ้าพาเราให้เข้าใจและได้ปฏิบัติธรรม อันเป็นพระสัทธรรม เป็นสัจธรรมของจริงของแท้
พระพุทธองค์ทรงให้เราพิจารณา สิ่งที่ต้องพิจารณาอภิณหปัจจเวกขณ์ คือ ข้อปฏิบัติที่ควรพิจารณาทุกๆ วัน มีอยู่ ๕ ประการ ได้แก่
๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นเครื่องบรรเทาความประมาท ความมัวเมา ความลุ่มหลงในวัย ไม่ให้ประมาทในการดำรงชีวิตในแต่ละวัยก่อนความแก่จะมาถึง
๒. เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้ ความเจ็บไข้ได้ป่วยย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกคน และความเจ็บมีทั้งรักษาได้และรักษาไม่ได้ปะปนกันไปสักวันหนึ่งเราจะต้องเจ็บแน่นอน ดังนั้นพึงพิจารณาให้ได้ทุกๆ วัน
๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ความตายไม่มีนิมิตหมายจะตายเมื่อไรไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ ๆ ก่อนตายเราควรทำอะไรให้กับชีวิตที่มีอยู่ เพราะความตายเราหนีไม่พ้นแน่นอน
๔. เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เป็นการย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทั้งสิ่งชอบใจและไม่ชอบใจ ต่างต้องมีอันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด เป็นการเตรียมใจรับกับ ภาพที่เป็นจริงที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตามเพื่อป้องกันความเศร้าโศกเสียใจ ให้คลายความยึดมั่นถือมั่นเสีย
๕. เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใดไว้ เราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว เราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
การพิจารณาทั้ง ๕ ประการนี้ พึงพิจารณาอยู่เนืองนิตย์ จะได้ไม่ประมาทในการเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้พบพระพุทธศาสนา เราจะได้เอาธรรมโอสถมารักษาใจของเรา ใจของเราจึงจะหายจากโรค โดยเฉพาะโรคกิเลส โรคที่พาเราเวียนว่ายตายเกิด สักวันเราก็ต้องตาย พ่อแม่ญาติพี่น้องเราก็ต้องตาย คนที่เรารักคนที่เราเกลียดก็ต้องตาย คนที่ชอบไม่ชอบก็ต้องตาย แต่เพราะอวิชชาความหลงจึงทำให้เราไม่เข้าใจ ชีวิตในวันหนึ่งๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เปรียบเสมือนหยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้าเมื่อต้องแสงอาทิตย์ในยามเช้าก็เหือดแห้งหายไปโดยฉับพลัน ชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปสู่ความเสื่อมสลายคล้ายฟองน้ำ เมื่อเวลาฝนตกหนักมีฝนหนาเม็ด เกิดเป็นฟองน้ำขึ้น แล้วก็แตกสลายไปในชั่วพริบตาเดียว ช่วงเวลาของชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก เราไม่ควรประมาท พึงเร่งทำความเพียร เพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของชีวิต เช่นเดียวกับพระอรหันตขีณาสพทั้งหลาย
เราอย่าให้อิทธิพลของความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก มากดดันพวกเรา เพราะปัญหาต่างๆ เหล่านี้อยู่ที่ตัวเราทุกคน บางทีเราก็คิดไปมาก ไปบ่นให้ผู้ที่ใกล้ชิดที่เกี่ยวข้องว่า เขาไม่ดูแลเอาใจใส่บ้าง หมอพยาบาลไม่เอาใจใส่บ้าง ทั้งที่ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเลย ปัญหาอยู่ที่เรามีความเห็นผิด เข้าใจผิด ที่เราไหลไปตามความปรุงแต่ง ตามอวิชชาความหลงที่เป็นตัณหานำพาเรามาเกิด ถ้าเราจะโทษก็ต้องโทษตัวเรา เพราะเราเกิดมามันก็ต้องเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านจึงไม่กลัวความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก ถึงเราจะมีเงินเป็นหมื่นล้าน แสนล้าน เป็นล้านล้าน ก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ต้องมาแก้ใจเราให้มีความสุข ให้มารู้จัก ไม่ต้องไปปรุงแต่ง ไม่ต้องไปวุ่นวาย นี่แหละคือธรรมโอสถที่ต้องรักษาด้วยธรรมะ ด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องที่ใจของเราในปัจจุบัน
ทุกคนยังไม่ตาย ยังไม่หมดลมหายใจ มีโอกาสมีเวลาต้องพากันประพฤติปฏิบัติ ที่เป็นการประพฤติพรหมจรรย์ เราอย่าไปโง่หลาย ที่ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ไม่อยากพลัดพราก ให้พากันรู้จักอวิชชาให้รู้จักความหลงที่มันปรุงแต่งจิตใจเราเป็นสังขาร เราก็ทำไปเรื่อยไปตามอวิชชาตามความหลงความปรุงแต่ง ให้พวกเราพากันเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้แหละ มีความสุขในท่ามกลางความทุกข์ความยากลำบาก ความร้อนความหนาวกลางวันกลางคืน ท่ามกลางความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก เพราะว่าเป็นสนามรบที่เรา ต้องใช้สติปัญญาให้มารู้จักความดับทุกข์ที่แท้จริง ด้วยการไม่เข้าไปปรุงแต่ง
ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ ต้องเรียนรู้ต้องรู้จัก ไม่ใช่ไปวุ่นวาย เราก็ต้องยอมรับ บางอย่างแก้ไขได้บางอย่างแก้ไขไม่ได้เราต้องมารักษาด้วยธรรมะโอสถด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้ามารักษาด้วยอัตตาตัวตน ก็ยิ่งคิดยิ่งปรุงแต่ง ยิ่งต่อความยาวสาวความยืด ยิ่งต่อเติมความทุกข์ไม่รู้จบ
คนแก่ ๆ ทั้งหลาย ต้องมีความสุขในความแก่ของตน ในโรคภัย ในความเจ็บไข้ไม่สบายของตน ต้องยินดีในความตายของตน พากันปลง พากันปล่อย พากันวาง ให้ใจเป็นสมณะ สมณะ คือ ผู้ที่จิตใจสงบ ไม่วุ่นวาย ไม่ปรุงแต่ง ไม่อยากให้มันแก่ ไม่อยากให้มันเจ็บ ไม่อยากให้มันตาย อย่างนี้คือ ยังไม่ใช่สมณะ ยังเป็นผู้ที่วุ่นวาย เป็นผู้ที่ขัดข้อง เป็นผู้ที่หลงอยู่ในโลก เราจะได้เป็นผู้ใหญ่ใจดี เป็นผู้เฒ่าใจดี เราจะได้หอมทวนลม สิ่งภายนอกเราเสียสละอะไรได้ เราก็เสียสละไป สิ่งภายในเราก็เสียสละด้วยมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ยอมรับสภาวธรรมตามความเป็นจริง เราจะได้มีความสุข เราจะได้คิดในใจของเราว่า โอ! ทำไมพระพุทธเจ้าถึงประเสริฐแท้ ทรงสอนให้มนุษย์เข้าถึงความประเสริฐความดับทุกข์ได้จริงๆ
อานาปานสติทุกคนต้องมีนะ เพราะต้องฝึกไว้ มันจะได้มีความสุข กับลมหายใจเข้าลมหายใจออก ทุกท่านทุกคนต้องยกจิตยกใจ อย่าไปเถลไถล ไปตามความคิดตามความปรุงแต่ง ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาที่เราได้เห็นคนนั้นคนนี้ ที่เราได้เรียนรู้ไม่มีใครไม่ตายหรอก พระพุทธเจ้าถึงทรงบอกว่า ถ้าใครตามความคิดตามความปรุงแต่ง การแก่เจ็บตายพลัดพราก มันไม่มีที่จบหรอก ความสงบระงับสังขารทั้งหลายจึงเป็นความสุขอย่างยิ่ง พระอรหันต์ทั้งหลายท่านจะมีความสุข เราจะเอาความสุขอย่างโลกๆไม่ได้นะ คำว่า “โลก” โลกก็คือความแก่ความเจ็บความตาย พลัดพราก จะมีความสุขได้อย่างไร คนเราเกิดมามีร่างกายก็ต้องมีความทุกข์ มีภาระในการแบก ในการบริหารขันธ์ ด้วยเหตุนี้ เราจึงพากันพอแล้วความสุขแบบโลกๆ ทั้งโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งความแก่เจ็บตายนี่แหละ ประชาชนคนทั้งโลกพยายามพัฒนาความสุขแบบโลกๆ นั่นแหละคือการพัฒนาให้ตนเองเวียนว่ายตายเกิด เราต้องรู้จักเสียบ้างนะ อย่าไปหลงโลก หลงความปรุงแต่ง หลงสังขาร
เราน่ะพากันเดินสุดเหวี่ยงเลยนะ มักจะพูดกันว่า เวลาปฏิบัติธรรมอย่าไปยุ่งเรื่องทางโลก การปฏิบัติธรรมจะไปยุ่งแต่เรื่องทางโลกไม่ได้ คือไม่ให้อิทธิพลของรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญมาครอบงำจิตใจของเรา คนเราต้องมากลับจิตกลับใจกลับกายกลับตัวกลับหางกลับหัวกลับชั่วให้เป็นดี ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ เราจะได้ละลายมิจฉาทิฏฐิ ที่อยู่ในจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าจึงทรงให้พวกเราเดินตามทางสายกลาง คืออริยมรรคมีองค์ ๘
ถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิตมีชีวิตที่มีความสุขกายสบายใจ "เราก็ต้องรู้จักกำจัดขยะของชีวิต"
ขึ้นชื่อว่า "ขยะ" ถ้าเราไม่ได้มีอาชีพเก็บขยะคงไม่สนใจที่จะเก็บไว้ " ขยะความคิด ขยะอารมณ์ ขยะหัวใจ ขยะจิตใจ เศษขยะ ไฟล์ขยะในโทรศัพท์ ไฟล์ขยะในคอมพิวเตอร์ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องการจะกด delete ทั้งนั้น พอเก็บไว้ก็จะเต็มโต๊ะ รกห้อง รกบ้าน ความจำในโทรศัพท์มือถือเต็มก็ใช้งานไม่ได้ บ้านรกโต๊ะรก ห้องรก "ก็ทำให้หาของที่ต้องการใช้ไม่เจอเสียเวลา เสียสุขภาพกาย เสียสุขภาพจิต"
"ขยะชีวิตของเราก็เหมือนกัน" ขยะทางความคิด ทางอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดี เราต้องรู้จัก delete เสียบ้างชีวิตจะได้เบาสบายพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งต่างๆ พร้อมที่จะลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างเต็มที่
"ขยะในชีวิตของเรา" อธิบายง่ายๆ ก็คือ "ผู้คนหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราสิ่งที่เราเห็นหรือฟังแล้วส่งผลกระทบกับความรู้สึกของเราไปในทิศทางที่ลบ ทำให้เราคิดลบ มองโลกในแง่ร้าย กลัว โกรธกังวล เศร้า เสียใจไม่มั่นใจในตัวเอง" เหตุการณ์หรือผู้คนที่นำพาเราไปสู่ "ความคิดลบ" สิ่งเหล่านี้คือขยะในชีวิตของเรา
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกๆ คนรู้จักการทิ้งขยะชีวิตด้วยกันทั้งนั้น "ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ปิดในเรื่องที่ไม่จำเป็นที่จะต้องพูด ต้องฟัง ต้องดู"
"ดูไปก็ไม่เกิดผลดีไม่เกิดประโยชน์กับชีวิตของเรา ฟังไปก็มีแต่จะทำให้เราคิดลบ โกรธ เศร้าใจ เสียใจ พูดไปก็มีแต่เอาเรื่องเดือดร้อนเข้ามาหาตัวเราเอง"
คนที่ประสบความสำเร็จพวกเขาเหล่านี้ "รู้จักวิธีเลือกที่จะพูด ที่จะฟังและที่จะดู" เพื่อให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้นขยะชีวิตน้อยลง
เมื่อขยะชีวิตน้อยลงก็จะมีสมอง มีความคิด มีปัญญาเหลือเฟือที่จะคิด เพื่อที่จะลงมือทำแต่ในเรื่องที่ดี เรื่องที่มีประโยชน์ เรื่องที่จะทำให้ตัวพวกเขาเหล่านั้นเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ
ประโยชน์ของการทิ้งขยะชีวิตคือ "จะช่วยให้เราไม่เหนื่อยมากเกินความจำเป็น" ช่วยให้เวลาที่เราหลับพักผ่อนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เต็มที่มากขึ้น "เพราะหลับสนิทไม่ฝัน ไม่มีอะไรมากวนใจ กวนสมอง"
มีคนบอกว่าเกิดมาต้องหากำไรให้ชีวิต โดยเอาความสุขใส่ตัวให้มากที่สุด ต้องดื่มต้องกินของอร่อยๆ ต้องไปเที่ยวรอบโลก ต้องมีแฟนเยอะๆ ต้องหาประสบการณ์แปลกแหวกแนว ต้องใช้ของดีมีคุณภาพ สรรหาของราคาแพงๆ ไว้ประดับบารมี ถ้าได้อย่างนี้ถึงจะเรียกว่ามีกำไรชีวิต...
หากคุณคิดว่าตัวเองมีค่า เพราะมี “เงิน” วันไหนเงินหมด คุณค่าคุณก็หมด
หากคุณคิดว่าตัวเองมีค่า เพราะ “หน้าตา” ดี วันไหนคุณแก่ลงจนหน้าตาไม่ดี คุณค่าคุณก็หมด
แต่ตราบใดที่คุณรู้ว่าตัวเองมีค่า เพราะเป็น “คนดีจริงๆ” ตราบใดที่คุณยังมีความดี คุณก็จะ “มีคุณค่า” ได้ตลอดไป…
แต่ลองมานึกดูเถิด หากเราได้สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแต่ชีวิตหลังความตายเราต้องไปใช้ชีวิตใหม่ในอบายภูมิอย่างทุกข์ทรมาน ต้องตกนรกอย่างยาวนาน อย่างนี้ยังจะเรียกว่า เกิดมาได้กำไรชีวิตไหม ในเมื่อชาติที่ไปเกิดใหม่กลับมีสภาวะตกต่ำทรมานแสนสาหัสไปกว่าเดิม หากเรามาศึกษาความรู้ในทางพระพุทธศาสนาจะพบว่า ผู้ที่เกิดมาแล้วได้กำไรชีวิตไปจริงๆ ก็คือ ผู้ที่เข้าถึงความสุขที่แท้จริงของชีวิต ได้พบความสุขสงบจากการหยุดปัญหา หมดปัญหา หยุดการเวียนว่ายตายเกิด อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าได้กำไรชีวิต
ฉะนั้น จงให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมเถิด อย่ามัวปล่อยเวลาไปกับเรื่องไร้สาระอีกเลย เพราะช่วงเวลาแห่งความแข็งแรงของชีวิตมีจำกัด ดังนั้นเราต้องหยุดใจให้ได้ก่อนสิ่งอื่นทั้งหมด เพื่อให้เราเกิดมาได้กำไรชีวิตไปจริงๆ
เพราะคนเรามักจะไปตามสัญชาตญาณ ผัสสะมากระทบตรงไหนก็ไปตามสิ่งนั้น พระพุทธเจ้าถึงให้เรารู้จักอริยสัจสี่ รู้จักอนิจจังว่าทุกสิ่งมันไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จะตามไปไม่ได้ มันเป็นที่ไม่ปลอดภัย เราต้องเป็นผู้เดินตามรอยพระพุทธเจ้าถึงจะเป็นผู้ที่ชนะมาร
ถ้าเราเอาศีลเอาธรรม เอาความถูกต้อง ทุกคนเค้าก็ยอมรับได้ เค้าก็เหมาะสมที่จะเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นเจ้านาย เป็นอะไรอย่างนี้แหละ ทุกคนน่ะจะเคารพคนอื่นได้เพราะคนอื่นมีศีล เราจะเคารพตัวเองได้เพราะตัวเองมีศีล อย่างเราเห็นทุกวันเราไปบ่นให้พวกเด็กๆ สมัยใหม่ ว่ามันไม่ฟังพ่อไม่ฟังแม่ พ่อแม่ไม่มีศีลไม่มีธรรม ใครเค้าจะเคารพพ่อเคารพแม่จากใจ เป็นแต่เคารพเพราะพ่อแม่เฉยๆ ว่า พ่อแม่เป็นผู้มีอุปการคุณเลี้ยงดูเค้ามา ส่งเสียเค้ามา เค้าได้ดีขนาดนี้ก็เพราะพ่อแม่ เค้าก็แค่สงสาร ถ้าเราไม่มีศีล ๕ ใครเค้าจะมานับถือ ให้พากันเข้าใจนะ ให้พากันตั้งใจใหม่ ปรับตัวเองใหม่ อย่าให้ความเคยชินเป็นถนนซูปเปอร์ไฮเวย์ไปในทางที่ไม่ดี เป็นสิ่งชำนิชำนาญสำหรับสามัญชน เราต้องยังเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นหลัก
เราปฏิบัติตามหลักเหตุหลักผล ตามหลักวิทยาศาตร์ เราก็ย่อมมีอยู่มีกินเหลือกินเหลือใช้ เป็นคนรวย พระพุทธเจ้าท่านให้เราเจริญภาวนา เพื่อจะได้พัฒนาใจ ถ้าอย่างนั้นเราจะรวยอย่างคนไม่มีปัญญา ยิ่งรวยยิ่งเเก่ก็ยิ่งหลง เหมือนที่เราเห็นพวกฝรั่งเค้าก้าวไปไกลกว่าเรา ชีวิตเค้าจะอยู่กับความรวย ถือเงินเป็นพระเจ้า เคารพนับถือเรื่องกาม ในเรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องเหล้า เรื่องเบียร์ อันนี้เป็นสิ่งที่เสียหาย อันนี้เป็นสิ่งที่ล้มเหลวสำหรับผู้ที่ทำตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ ได้วัตถุ ได้บ้านได้รถ ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ จะพากันมางมงายอย่างนี้ไม่เอา มนุษย์เกิดมาเมื่อยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าย่อมมีโอกาสตกไปสู่อบายภูมิ ต้องพากันสมาทานในพระรัตนตรัย ในเรื่องศีล เรื่องเจริญภาวนาวิปัสสนาขึ้น รถดีๆ ย่อมมีเบรกดี มีคนขับดีๆ การปฏิบัติอานาปานสติลมหายใจเข้าหายใจออก เราจะหยุดความคิดความปรุงแต่งได้ เราต้องมาเจริญอานาปานสติหายใจเข้า หายใจออกสบาย หายใจเข้าหายใจออกก็มีความสุข ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกที่ประกอบด้วยสติและสมาธิ เป็นการหยุดกรรมตัดกรรม มันจะลบเรื่องอดีตออกจากใจเรา อานาปานสติ คือการทำงานกับลมหายใจเข้าออก ทุกคนต้องเก่งต้องชำนาญ แตกฉาน คล่องแคล่ว มีความสุขในการทำในการประพฤติปฏิบัติ พลังจิตพลังใจเราถึงจะมีมา นี่เป็นงานเพื่อสร้างพลังจิตพลังใจในปัจจุบัน
หลวงปู่มั่นสอนว่า “ความไม่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน ความยิ่งใหญ่คือความไม่ยั่งยืน ชีวิตที่ยิ่งใหญ่คือชีวิตที่อยู่ด้วย ทาน ศีล เมตตาและกตัญญู ชีวิตที่มีความดีอาจมิใช่ความยิ่งใหญ่แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น”
ไม่มีมิตรสหายใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความรู้"
ไม่มีศัตรูใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความเจ็บไข้ได้ป่วย"
ไม่มีความรักใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความรักของพ่อแม่"
ไม่มีอำนาจใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."กฏแห่งกรรม"
ไม่มีคุณงามความดีใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความกตัญญูกตเวทิตา"
ไม่มีความสุขใดใด จะยิ่งไปกว่า..."ความสงบ" (นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ
ขออนุโมทนากับคุณโยมอดิศักดิ์ คุณโยมวราภรณ์ กับลูกชายทั้ง ๓ ที่เกิดมาเป็นผู้สว่างไสว ในพระรัตนตรัย ผ่านอุปสรรคต่างๆ นานา มามาก และต้องต่อยอดตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงความสุขความกับทุกข์คือพระนิพพาน