แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๕๓ คนเรามันหลงในเหยื่อของโลก จึงต้องรู้จักพิจารณาแยกกายใจสู่พระไตรลักษณ์
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระพุทธเจ้าท่านทรงอุบัติมาในโลกนี้ ให้คนรู้ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิด คือ ผู้ที่ไม่รู้จักทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทุกคนตกอยู่ในความหลง เรียกว่าตกอยู่ในความมืด เรียกว่าไสยศาสตร์ ทุกคนเกิดมาเพราะความหลง เกิดมาเพราะใจนี้เป็นใจไสยศาสตร์ ทุกคนต้องรู้จักตัวเองว่าตัวเองหลง ตัวเองยังไม่ถูกต้อง ตัวเองต้องรู้จัก เพราะตัวผู้รู้ของเรา มันเอาไปใช้ในทางที่ผิด
ไสยศาสตร์ แปลว่า ศาสตร์ของคนหลับ ไม่รู้ ไม่มีปัญญา งมงายไปตามธรรมเนียมประเพณี บนบานศาลกล่าวอะไรไปตามธรรมเนียมประเพณี มันเป็นไสยศาสตร์ อย่างนี้ช่วยไม่ได้ดอกถ้าไม่ทำหน้าที่ มันต้องทำหน้าที่ พระเจ้าจึงจะเกิดขึ้นได้และช่วยได้
"ไสยศาสตร์" มันจำเป็นสำหรับ..คนปัญญาอ่อน
"สิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์นี่ มันจำเป็นสำหรับ..คนปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์เป็นศาสนาของคนปัญญาอ่อน คุณอย่าปัญญาอ่อนสิ อย่าเป็นผู้ปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์จะหมดอำนาจหมดกำลัง ถ้าคุณยังเป็นปัญญาอ่อนอยู่มันก็ยังต้องการไสยศาสตร์อย่างที่หลีกไม่ได้ช่วยไม่ได้...
มันเป็นต้นตอแห่งปัญหาของโลกทั้งโลกเลย มันเป็นปัจจัยที่หล่อเลี้ยง "อวิชชา" ไว้มากเหลือเกิน ไสยศาสตร์เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงอวิชชาไว้ให้ยังคงมีกำลังรุนแรงอยู่ตลอดเวลา
ปัญหาทางไสยศาสตร์ โลกมันถูกครอบงำอยู่ด้วยปัญหาอย่างนี้ มันจึงลืมตาไม่ขึ้น แม้ว่าจะมีการศึกษา เจริญก้าวหน้าเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นบัณฑิตเป็นอะไรกันเต็มที่แล้ว ไอ้ความรู้สึกทางไสยศาสตร์มันก็ยังอยู่ ต่อให้ไปเรียนจากเมืองนอกมีปริญญาเป็นหางมาถึงเมืองไทย ก็ยังไม่ละทิ้งไอ้ไสยศาสตร์ได้ คือ ความกลัวโดยไม่มีเหตุผล ความอยากโดยไม่รู้จักประมาณ ความเชื่อว่ามีสิ่งหนึ่งซึ่งเราไม่รู้ได้ไม่เห็นหน้าได้ไม่รู้จักได้ เป็นสิ่งที่มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง แม้จะไปเรียนวิทยาศาสตร์จบปริญญาวิทยาศาสตร์มามันก็ไม่ละทิ้งความรู้สึกอันนี้ได้ เพราะมันฝังอยู่ลึก
อาตมารู้จักด็อกเตอร์อังดรัวต์คนหนึ่ง จบมาจากประเทศฝรั่งเศส สิ่งแรกที่มาถึงประเทศไทยที่เขาจะทำคือไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหนดี เขาบอกว่าช่วยแนะให้ที จะไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหนดี กลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ สิ่งที่เขาจะทำ ก็แปลว่าไอ้การศึกษาที่เมืองนอกมันไม่ช่วยแก้ไอ้ความรู้สึกแบบไสยศาสตร์ได้ นักวิทยาศาสตร์มันก็ยังงมงายในด้านจิตใจ แม้มันจะสว่างไสวในด้านวัตถุ มันยังงมงายด้านจิตใจ ฉะนั้น ความหวังที่จะได้อะไรจากสิ่งที่มองไม่เห็นตัว หรือความงมงายนั้น มันก็ยังเหลืออยู่เท่าเดิม
ทำไมเราจึงปัญญาอ่อน เพราะว่าไอ้ศรัทธางมงายมันมาแย่งเอาไป แย่งรากฐานเอาไปหมด ศรัทธาที่งมงายมันมาแย่งรากฐานเอาไปหมด รากฐานของปัญญาแล้ว ปัญญามันจึงทรุดลงเป็นปัญญาอ่อน ปัญญาอ่อนอย่างนี้หมายความว่าปัญญาทางจิตทางวิญญาณ ไม่ใช่ปัญญาอ่อนทางวัตถุ เด็กๆ ทุพพลภาพ เด็กหรือสัตว์พิการสมองพิการปัญญาอ่อนอย่างนั้นไม่เกี่ยวกันกับเรื่องนี้
ปัญญาอ่อนในเรื่องนี้หมายถึงว่ามันอ่อนไปด้วยความรู้ ความถูกต้องของพระธรรม มันปัญญาอ่อนอย่างนี้ ไอ้เด็กปัญญาอ่อนที่เก็บไว้ตามโรงพยาบาลนั่นไม่เป็นไร นั่นมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นความไม่สมประกอบของไอ้ระบบกาย แต่คนที่มีร่างกายดี กลับมีปัญญาอ่อนเพราะรู้ผิดนี่ คือสิ่งที่เป็นปัญหา ที่ทำให้โลกนี้จมอยู่ในความมืดไม่ลืมตา เราเรียกกันว่าไสยศาสตร์ ปัญญาอ่อนเท่าไหร่ มันก็ยิ่งต้องการไสยศาสตร์มากเท่านั้นแหละ
ใครปัญญาอ่อนเท่าไหร่ เขาจะยิ่งชอบยิ่งต้องการไสยศาสตร์มากเท่านั้น น่าเห็นใจ จะแก้ไขกันอย่างไร มันก็ต้องเพิ่มปัญญา อย่าให้อ่อน ให้เป็นปัญญาแข็ง ถ้าถูกด่าว่าปัญญาอ่อนอย่าโกรธเลย ถ้าเขาหาว่าเราปัญญาอ่อนบ้างก็อย่าโกรธเลย เพราะมันอ่อนอยู่จริงๆ รีบทำให้มันกล้าแข็งเสียเถิด"
พุทธศาสตร์ แปลว่า ศาสตร์ของคนตื่น เราเป็นพุทธบริษัทนะ จะต้องถือพุทธศาสตร์ รู้ธรรมะอย่างถูกต้องทำได้ถูกต้องไปหมด
สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง สัมมาสังกัปโป ปรารถนาถูกต้อง
สัมมาวาจา พูดจาถูกต้อง สัมมากัมมันโต ทำการงานถูกต้อง
สัมมาอาชีโว ดำรงชีวิตถูกต้อง สัมมาวายาโม พากเพียรถูกต้อง
สัมมาสติ กำหนดสติถูกต้อง ถ้าไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ไม่มีธรรมดอก ต่อให้โบสถ์ โบสถ์ไหนก็ตาม มันไม่ทำหน้าที่ มันมีแต่นั่งสั่นเซียมซี จุดธูปจุดเทียน พูดอ้อนวอนขอร้อง มันไม่ทำหน้าที่อะไร อย่างนี้ในโบสถ์นั้นไม่มีธรรมะเลย ธรรมะไปอยู่กลางทุ่งนาไถนาโครมๆ นั่นกลับมีธรรมะ เพราะว่ามันทำหน้าที่ ฉะนั้นในโบสถ์ก็ต้องทำหน้าที่ ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้วในโบสถ์จึงจะมีธรรมะ ในวัดจึงจะมีธรรมะ แล้วมันก็รอด ไม่มีพระเจ้าที่ไหนมาช่วยได้ดอก ให้จุดธูปจุดเทียน บูชาอ้อนวอน ขอร้องสักเท่าไรก็ตาม ถ้าไม่ทำหน้าที่มันไม่รอดดอก มันตาย พระเจ้าไม่ช่วยคนไม่ทำหน้าที่ นั้นคือความจริงที่สุดธรรมะนั่นแหละช่วย
สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ ตั้งใจมั่นถูกต้อง ให้หน้าที่ของเราถูกต้องๆ ถูกต้องไปทุกหน้าที่ เมื่อทำหน้าที่อะไรขอให้รู้ว่าเป็นธรรมะคือหน้าที่ มีความพอใจมีสติสัมปชัญญะ มีสมธิ มีปัญญา เพราะว่าเอื้อมมือไปเกาที่คัน
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว รู้แจ้งเห็นจริง รู้ในสามแดนโลกธาตุ มนุษย์เราจะเข้าถึงความดับทุกข์ได้ เพราะเราทุกคนหลงงมงาย หลงในร่างกายของตัวเอง หลงในรูปของตัวเอง หลงในเวทนาของตัวเอง ทุกคนมีความหลงงมงาย หลงในตัวตนยังไม่พอ ยังไปหลงในไสยศาสตร์ภายนอกอีก คนเราเมื่อหลงแล้วก็ต้องมีความอยาก ความต้องการ เขาเรียกว่า เมื่อหลง ก็ต้องหลงในความอร่อย หลงในโลก หลงในเหยื่อของโลก คนเรามันเจ็บปวดนะ หลงว่าเราเป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิง พระพุทธเจ้าถึงตรัสเรื่องอริยสัจ ๔ ให้พิจารณาร่างกายแยกออกมาเป็นชิ้น พิจารณาพระไตรลักษณ์ในชีวิตประจำวัน คนเรา มันหลง เราต้องมาประพฤติปฏิบัติ พิจารณาแยกชิ้นส่วนของร่างกายสู่พระไตรลักษณ์ พิจารณาเวทนาสู่พระไตรลักษณ์ พิจารณาสัญญา สังขาร วิญญาณสู่พระไตรลักษณ์ ทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหรอก มันเป็นกรรมเวรเก่าที่เรามีความหลง ประกอบกันเป็นพลังงานมีการเวียนว่ายตายเกิด
ทุกคนมันน่าสมเพช เวทนา อวิชชา ความหลงนี้มันเอาเราเป็นลูกน้อง บริวาร เมื่อมันหลง มันมืด เราก็ต้องเข้าสู่เหตุ เข้าสู่ปัจจัย เพราะปัจจุบันมันจะเลื่อนไปเอง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้ถึงมี เราจะได้สร้างคุณธรรม สร้างอริยทรัพย์ เราจะได้รู้ความดับทุกข์ที่แท้จริง มันไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่กายที่ใจของเราในชีวิตประจำวัน ตัวเองหลงยังไม่พอ พาลูก พาหลาน ทุกข์ยากลำบาก เวียนว่ายตายเกิด ต้องมีภาระมากมาย เราทำไปปฏิบัติไปมันจะเลื่อนไปเอง เพราะมันเป็นอริยมรรค เราจะได้เข้าถึงพระพุทธศาสนาแท้ๆ ไม่ใช่เหมือนที่เรารู้เราเห็นในปัจจุบัน หรือ ในอดีตที่ผ่านมาที่เราได้เกี่ยวข้อง เพราะมรรคผล นิพพาน ยังไม่หมดสมัย ยังไม่ล้าสมัย มันเป็นปัจจุบันธรรม ที่คำนวณแล้วว่า ประชากรของโลกมีเท่านั้น เท่านี้ ถ้าคำนวณไปแล้วมันแทบจะมองไม่เห็น เพราะเราทำตามอวิชชา ตามความหลง ต้องกลับมาหาเรา ไม่ต้องไปแก้ที่ใคร แก้ที่เรานี้แหละ เราทุกคนต้องพากันมาแก้ที่ตัวเอง เราจะได้มีศีลเสมอกัน มีสมาธิ ความตั้งมั่นเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน เราจะได้จบด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง
ส่วนใหญ่น่ะเราไม่รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ เราเลยไม่ทันกาล ไม่ทันเวลา เพราะเรามันไม่รู้ความหมายในการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าถึงให้เราเอาทั้งสมถะ ทั้งวิปัสสนา คือมีสติสัมปชัญญะ เอาทั้งตัวปัญญาว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่แน่ เป็นของไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ ถ้าเราจัดการกับตัวเองไม่ได้ในปัจจุบัน ถือว่าเราไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไม่เข้าถึงสภาวะธรรม เราเข้าถึงแต่สภาวะที่มันเป็นอวิชชา เพราะของอร่อย รูปมันก็อร่อย เสียงมันก็อร่อย รสมันก็อร่อย โผฏฐัพพะมันก็อร่อย เราก็เลยติดในความอร่อย เราไม่ยอมพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ เพราะความกำหนัดยินดีความย้อมใจ มันมีปัญหา มีอิทธิพลต่อเรา
เราก็ขอโอกาสของตัวเองไปเรื่อย ไม่จัดการกับสิ่งที่ควรจัดการ ถึงแม้เราจะพากันไปเดินจงกรม นั่งสมาธิ อันนั้นมันเป็นการฝึกซ้อมเฉยๆ แต่ตัวจริงมันอยู่ที่ปัจจุบันนะ ปัจจุบันนี้ต้องจัดการ ยังไม่พอ เราต้องพิจารณาพระไตรลักษณ์ แยกชิ้น แยกส่วน แยกรูป แยกนาม เพื่อสติสัมปชัญญะของเราจะได้เข้มแข็ง เราอย่าไปใจอ่อน เราก็เห็นภัยเห็นโทษในวัฏฏะสงสาร ถึงจะสวยที่สุดก็ต้องจากไป ถึงจะสะดวกสบายที่สุดก็ต้องจากไป เราต้องใจเข้มแข็ง สัมมาสมาธิ เราต้องตั้งมั่น นักปฏิบัติก็ถึงเป็นการยืดเยื้อ เพราะว่าเราไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติตัวเอง
เราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ ให้มันติดต่อกันหลายวัน หลายสัปดาห์ ความก้าวหน้าถึงจะเป็นไปได้ เราถึงสามารถถึงจะเป็นพระอริยเจ้าได้ การปฏิบัติมันอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง เพราะรูป ที่เค้าแต่งมาถ้าจะพูดโดยแจ่มแจ้งก็คือ เค้าแต่งมาเพื่อประเล้าประโลมให้คนหลง เสียงที่เค้าแต่งมาทั้งดนตรี ทั้งตั้งใจพูด หรือว่าดนตรีไทย ดนตรีจีน ดนตรีฝรั่ง เสียงเพศตรงกันข้ามพวกนี้ ก็คือสิ่งที่ประเล้าประโลมเรา หลอกล่อ ยั่วยวนเรา “อิตฺถีสทฺโท วิย หิ อญฺโญ สทฺโท ปุริสานํ สกลสรีรํ ผริตฺวา ฐาตุง สมตฺโถ นาม นตฺถิ. เตนาห ภควา "นาหํ ภิกฺขเว อญฺญํ เอกสทฺทมฺปิ สมนุปสฺสามิ, โย เอวํ ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฏฺฐติ; ยถยิทํ ภิกฺขเว อิตฺถีสทฺโทติ. จริงอยู่ ไม่มีเสียงอื่น ชื่อว่าสามารถแผ่ไปทั่วสรีระของบุรุษทั้งหลายตั้งอยู่ เหมือนเสียงหญิง, เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นเสียงอื่นแม้สักอย่าง อันจะยึดจิตของบุรุษตั้งอยู่ เหมือนเสียงหญิง นะภิกษุทั้งหลาย.” ที่เค้าแต่งเค้าลงทุนเพื่อจะเป็นดารา เป็นดารานักร้อง ดารานักแสดง เราก็ดูสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อประเล้าประโลม เราไม่เข้าใจ เราคิดว่า เค้าต้องแก้ผ้า เปลือยผ้า ถึงจะเป็นประเล้าประโลม โอ๋...อันนั้นมันหยาบ หยาบเกิน ถ้าปัจจุบันเราไม่ดี เราก็เลยไม่รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ
ทุกคนต้องประพฤติปฏิบัติ ต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง อย่าไปใจอ่อน เพราะคนเราเจอรูปก็ทำให้เราใจอ่อน ฟังเสียงก็ทำให้เราใจอ่อน เราต้องผ่านมันไป เราประพฤติปฏิบัติไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็ชำนิชำนาญ เพราะผิดมันก็ต้องเป็นครู ถูกมันก็ต้องเป็นครู ต้องทำให้ชำนิชำนาญ เรียกว่าเป็นวสี เพราะมันจะเป็นสัญญาขันธ์ คนเราถ้าคิด เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ถ้าเราทำติดต่อกันหลายอาทิตย์มันจะเป็นสัญญาขันธ์ในสิ่งที่ดี ถ้าเราทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันก็จะเป็นความหลง เป็นสัญญาขันธ์ในทางหลง คนทางโลกทางวัฏสงสาร เค้าหาแต่เงิน หาแต่สตางค์ หาแต่ลาภแต่ยศ อย่างนี้ไม่ได้ มันเป็นอารมณ์ของสวรรค์ พวกกินอร่อย ฟังอร่อย ในความสวยความงาม พวกนี้มีแต่เมาความหลงของตัวเอง มัวแต่เมาความคิดของตัวเองเค้าเรียกว่า เล้าโลม เพราะว่ามันเป็นการหลง หลงอารมณ์ของตัวเอง หลงโลก หลงวัฏสงสาร คือผู้ที่ตั้งอยู่ในความเพลิน ความประมาท ยังยิ้มกระย่องกระเเย่ง ผ่องใส อวดคุย โอหัง เพราะเราต้องมีปัญญามากกว่า เราอย่าไปหลง ส่วนใหญ่ครั้งพุทธกาล พระท่านพิจารณาร่างกาย พระหรือประชาชน พิจารณาร่างกายก็เป็นพระอริยะเจ้ากันตั้งเยอะ เพราะว่าเป็นสิ่งที่พิจารณาได้ง่าย ถ้าเวทนามันก็ยากขึ้นอีก ถ้ากายมันมองเห็นง่าย ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มันก็จะไปของมันเอง ทุกคนจะไปอยู่แห่งหนตำบลใด ให้พากันประพฤติปฏิบัติ ทุกคนล้วนดำเนินไปสู่ความเปลี่ยนแปลง ดำเนินไปสู่ความเกิดแก่เจ็บตาย พลัดพราก
ครั้งหนึ่งมีพระฝรั่งบวชใหม่คิดถึงแฟนที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน เมื่อโดยสารรถไปกับหลวงพ่อชา ท่านก็แนะนำพระฝรั่งรูปนั้นว่า ให้เขียนจดหมายไปหาเธอ ขอให้ส่งของส่วนตัวบางอย่างมาให้ เพื่อหยิบของชิ้นนี้ขึ้นมาชื่นชมทุกครั้งที่คิดถึง พระฝรั่งประหลาดใจมาก เพราะไม่คิดว่าเป็นพระแล้วจะทำได้ นึกในใจว่าท่านคงเข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของคนหนุ่ม แต่แล้วสิ่งที่ท่านพูดต่อมาก็ทำให้เขาแทบหงายหลังตึง หลวงพ่อบอกว่า "คุณควรขอให้เธอส่งขี้ใส่ขวดมาให้ แล้วเมื่อไรที่คุณคิดถึงเธอ คุณจะได้หยิบขวดขี้ของเธอออกมาสูดดม"
ไม่มีใครยินดีในอุจจาระ ยินดีในปัสสาวะ ยินดีในเสลด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำเลือด อะไร เพราะมันมีอวิชชา มีความหลง เหมือนกับจัดงานบำเพ็ญกุศลผู้ตาย ทุกงานๆ ต้องประดับดอกไม้ ส่วนใหญ่เพื่อจะพรางไว้ซึ่ง ความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก ทุกคนๆ ก็ตกแต่งร่างกายอย่างนั้น เพื่อปกปิดสัจธรรมความจริงไว้
ทำไปทำมาจนทุกคนก็พากันหลง เราต้องคิดดูดีๆ บางทีความหลงคือ เชื้อโรคอันหนึ่ง ที่เป็นไวรัส ให้เราทุกคนตายจากคุณธรรม คุณงามความดี อาหารอร่อยๆ เป็นไวรัสเเห่งความหลง เสียงเพราะๆ เป็นไวรัสที่ทำลาย เป็นความหลงที่ทำลายเรา เราต้องรู้จัก เพราะมันมาในแง่ดี มาในแง่สวยงาม ในแง่ที่มันเป็นเพียงอารมณ์ของสวรรค์
นี่คืองานของทุกๆ คนไม่ว่างานของผู้ที่มาบวช หรือว่าผู้ที่อยู่ที่บ้านครองเรือน ก็คืองานทำพระนิพพานให้แจ้งด้วยภาวนาวิปัสสนา เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะคนเรานี้จะเกิดนานเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหมดกิเลสสิ้นอาสวะได้ คนอายุ 80-90 ปีก็ไม่หมดกิเลสไม่สิ้นอาสวะ ถึงแม้ร่างกายจะแก่เฒ่าแล้ว กิเลสนั้นก็ไม่สามารถที่จะหมดไปกิเลสก็คือความหลงไม่สามารถที่จะหมดไป จึงให้ทุกท่านทุกคนหน่ะ พากันภาวนาร่างกาย ภาวนาให้มันเป็นส่วนเป็นส่วนจะเห็นชัดเจน ถ้าไม่อย่างนั้นหน่ะ ราคะ โมหะ โทสะ มันไม่หมดคนที่ปฏิบัติธรรมที่ยังไม่รู้หลักประพฤติปฏิบัติชัดเจน ท้อใจว่า ทำไมเราอายุ 80 ปีแล้ว ราคะทางจิตใจมันยังไม่หมด มันหมดไม่ได้ เพราะมันยังไม่รู้แจ้งในร่างกาย มันยังเห็นกายเป็นของสวยของงาม
ร่างกายของมนุษย์นั้น ถ้าเราใช้ปัญญาที่บริสุทธิ์พิจารณาให้ดีจะเห็นว่า เป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นมาด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ จะหยาบหรือประณีต ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะใจของผู้เป็นเจ้าของ ถ้ามีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ดีงาม ผิวพรรณวรรณะก็จะดี ถ้าใครมักโกรธหยาบกระด้าง ผิวพรรณวรรณะจะหยาบกร้าน ร่างกายที่เสื่อมโทรมเน่าเปื่อยได้ง่ายนี้ เป็นโครงกระดูกที่ฉาบด้วยเลือดและเนื้อ ที่นับวันมีแต่จะเสื่อมไปสู่ความแก่ และความตาย แต่ถึงกระนั้น คนส่วนมากก็ยังหลงใหลในกายที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงนี้ ดังเช่นเรื่องของหญิงผู้หลงใหลในความงามของตัว ซึ่งต่อมาได้เห็นสัจธรรมความไม่เที่ยง และในที่สุดก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เรื่องมีอยู่ว่า
พระเขมาเถรีเป็นธิดาแห่งตระกูลกษัตริย์ เกิดที่เมืองสาคละ แคว้นมัททะ มีรูปร่างสวยงาม ผิวพรรณผุดผ่องดังทอง เมื่อเจริญวัยแล้วได้เป็นมเหสีพระองค์หนึ่งในจำนวนหลายพระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แห่งเมืองราชคฤห์ แคว้น มคธ ว่ากันว่าเป็นมเหสีคนโปรดของพระเจ้าพิมพิสารด้วย
พระนางเขมาเป็นผู้ที่ภาคภูมิใจในความสวยงามของตนมาก มากจนกระทั่งหลงว่าไม่มีใครงามเกินตนไปได้ พระราชสวามีนั้นเป็นคนเคร่งศาสนา หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดแสดงธรรมให้พระองค์ฟัง พระองค์ก็ได้ปฏิญญาตนเป็นพุทธมามกะผู้เคร่งครัด ถึงกับสละสวนไผ่อันรื่นรมย์นอกเมืองราชคฤห์ให้เป็นวิหาร (วัด) ที่ประทับของพระพุทธเจ้า และพระสงฆ์ นามว่า "วัดพระเวฬุวัน" เมื่อยามว่างจากราชกรณียกิจ ก็จะเสด็จไปเฝ้าฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเสมอ
พระราชสวามีทรงชักชวนพระนางเขมาไปฟังธรรมทุกครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธทุกครั้งเช่นกัน พระนางเขมาได้ทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้ามักจะตรัสตำหนิความสวยความ งามอยู่เสมอ มักจะตรัสว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของไม่เที่ยงแท้และแน่นอน เกิดมาแล้วก็ย่อมแปรผันและเสื่อมสลายไปในที่สุด ซึ่งพระนางทรงรับฟังไม่ได้เพราะเท่ากับมานั่ง "ฟังด่า" พระนางคิดอย่าง นั้น จึงไม่ยินดีไปฟังธรรมที่พระเวฬุวัน
พระราชสวามีได้ปรึกษากับกวีเอกแห่งราชสำนัก ถึงอุบายที่จะจูงใจให้พระมเหสีคนโปรดไปฟังธรรมโดยสมัครใจ แผนการก็เริ่มขึ้นอย่างเงียบเชียบ เป็นขั้นเป็นตอน ในที่สุดทุกอย่างก็เป็นไปตามพระราชประสงค์ พระ นางเขมาออกปากเองว่าอยากไปพระเวฬุวัน
เรื่องของเรื่องก็คือ กวีเอกแห่งราชสำนัก ได้แต่งเพลงบรร ยายถึงความน่ารื่นรมย์แห่งพระเวฬุวันว่าสวยงาม น่าเที่ยวชมน่าอภิรมย์ใจเพียงใด แต่งได้อย่างกินใจและท่วงทำนองการขับเพลงก็ไพเราะรื่นหูเสียนี่กระไร จนวันหนึ่ง พระนางเขมากราบทูลพระราชสวามีว่า อยากไปดูพระเวฬุวัน
พระเจ้าพิมพิสารจึงเสด็จไปพระเวฬุวันพร้อมกับพระมเหสี วันนั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาให้ทั้งสอง พระองค์ฟัง
ทรงเนรมิตภาพนางอัปสรสวยงามมากนางหนึ่ง ยืนถวายงานพัดพระพุทธองค์ขณะแสดงธรรม ไม่มีใครมองเห็น นอกจากพระนางเขมาพระองค์เดียว พระนางจ้องภาพนั้นไม่กะพริบพระเนตร ทรงรำพึงว่า โอนางช่างสวยงามจริงๆ สวยกว่าตัวพระนางอีก ขณะที่พระนางจ้องดูอยู่นั้น นางอัปสรก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปจากเด็กสาวสวยวัยรุ่น เป็นสาวใหญ่ เป็นหญิงวัยกลางคน เป็นหญิงแก่ แก่หง่อมหนังเหี่ยว ฟันเหยิน ผมหงอก หลังโกง จนกระทั่งล้มลงนอนตายอยู่ใกล้ๆ พระพุทธองค์ จิตใจของพระนางเขมาเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับ จากการยึดติดในความสวยงาม จนกระทั่งเกิดความสะอิดสะเอียนในความน่าเกลียดของร่างกาย พระพุทธเจ้าทรงทราบถึงความเปลี่ยนแปลงภายในใจของพระนาง จึงตรัสเตือนสติว่า
"อาตุรํ อสุจึ ปูตึ ปสฺส เขเม สมุสฺสยํ อุคฺฆรนฺตํ ปคฺฆรนฺตํ พาลานํ อภินนฺทิตํ.
อสุภาย จิตฺตํ ภาเวหิ เอกคฺคํ สุสมาหิตํ สติ กายคตา ตฺยตฺถุ นิพฺพิทา พหุลา ภว.
ยถา อิทํ ตถา เอตํ ยถา เอตํ ตถา อิทํ อชฺฌตฺตญฺจ พหิทฺธา จ กาเย ฉนฺทํ วิราชย.
อนิมิตฺตญฺจ ภาเวหิ มานานุสยมุชฺชห ตโต มานาภิสมยา อุปสนฺตา จริสฺสสิ.
เย ราครตฺตานุปตนฺติ โสตํ สยํ กตํ มกฺกฏโกว ชาลํ
เอตมฺปิ เฉตฺวาน ปริพฺพชนฺติ อนเปกฺขิโน กามสุขํ ปหาย.
ดูก่อนเขมา จงดูร่างกายอันกระสับกระส่ายไม่สะอาด เน่าเปื่อย ไหลเข้าไหลออกที่พวกพาลชนยินดีกันนัก จงอบรมจิตให้เป็นสมาธิมีอารมณ์เดียวด้วยอสุภารมณ์เถิด จงมีกายคตาสติ มีความเบื่อหน่ายมากๆ ไว้เถิด รูปหญิงนี้ฉันใด รูปของเธอนั้นก็ฉันนั้น รูปของเธอฉันใด รูปหญิงนี้ก็เป็นฉันนั้น
เธอจงคลายความพอใจในกายทั้งภายในภายนอกเสียเถิด จงอบรม อนิมิตตวิโมกข์ จงละมานานุสัยเสีย เธอจักเป็นผู้สงบ จาริกไปเพราะละมานานุสัยนั้นได้.
ชนเหล่าใดถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมตกไปตามกระแสตัณหา เหมือนแมงมุมตกไปที่ใยอันตัวทำไว้ ฉะนั้น ชนผู้มีปัญญาทั้งหลายตัดกระแสตัณหานั้นแล้ว เป็นผู้หมดความห่วงใย ละเว้นทุกข์ทั้งปวงไป"
พระนางเข้าใจถึงความจริงของสรรพสิ่งดังหนึ่งตื่นจากนิทรา ทรงส่งใจไปตามกระแสพระธรรมเทศนา และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
คฤหัสถ์ผู้บรรลุพระอรหัตแล้วไม่ควรอยู่ครองเรือน พึงบวชในวันนั้น หาไม่เพศฆราวาสจะไม่สามารถ "ธาร" (ทรง) ภาวะแห่งพระอรหันต์ได้ จะต้องนิพพานในวันนั้นหรือไม่ก็ต้องบวช จึงจะดำรงชีวิตต่อไปได้ พระนางจึงทูลขอพระบรมราชานุญาตจากพระราชสวามีบวชเป็นภิกษุณี ซึ่งก็ได้รับพระราชทานอนุญาต
นางบวชเป็นภิกษุณีแล้วได้รับยกย่องในเอตทัคคะ (ความเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่น) ในทางผู้มีปัญญามาก พระเขมาเถรีใช้ปัญญาอันแตกฉานของพระองค์เป็นเครื่องมือในการให้คำปรึกษาแก่ภิกษุณีอื่นๆ และในการประกาศพระพุทธศาสนาให้แพร่หลายกว้างขวางต่อไป กิตติศัพท์ความเป็นผู้มีความสามารถถ่ายทอดธรรมแก่ประชาชนได้ระบือไปไกล
ผู้ที่บวชมาในพระพุทธศาสนา ที่จะเป็นพระอริยเจ้า ต้องรู้แจ้งในกาย เพราะพระพุทธเจ้าถึงบอกให้ผู้ที่จะเป็นพระอุปัชฌาย์เป็นครูบาอาจารย์ให้สอนพระกรรมฐาน คือ พิจารณาร่างกาย เพราะว่ามันจะได้เป็นพื้นเป็นฐาน ถ้าเราไปเอาเวทนา เอาจิต เอาหมวดธรรม ถ้าไม่รู้แจ้งในกายนี้ ก็ไม่ได้เป็นภาคบังคับ ต้องพิจารณากายให้ชัดเจนแจ่มแจ้งในร่างกายของเราคืออาการ 32 จะได้เข้าสู่ภาคปฏิบัติ ตั้งจิตตั้งใจอันนี้เป็นงานของผู้ที่จะเป็นพระอริยเจ้า พระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไม่ว่าผู้ที่เป็นนักบวชหรือว่าเป็นประชาชนคนชาวพุทธ ก็ต้องรู้แจ้งในกายจะได้ละสักกายทิฏฐิ ละซึ่งตัวซึ่งตน เพราะคนเราติดในร่างกาย ปัญหาใหญ่ของพระที่ไม่ก้าวหน้าก็มีอยู่ 2 อย่าง เรื่องผู้หญิงเกี่ยวกับเรื่องเงินเรื่องสตางค์ความเสื่อมมันอยู่กับเรื่องผู้หญิงเรื่องเงินเรื่องสตางค์ ถ้าเป็นนักบวชหญิงก็เกี่ยวกับบุรุษเพศกับเรื่องเงินเหมือนกัน เพราะการท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสารนี้ คือมันไม่รู้แจ้งในสัจจะธรรมตามความเป็นจริง เพื่อเราจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ให้ทุกท่านทุกคนสนใจนะ เพราะเรานี้ท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสาร สังสารวัฏ เพราะความไม่รู้จริง
อย่าไปคิดว่าตัวเองรู้แล้วๆ มันยังไม่รู้หรอก ถ้ารู้จริงรู้แจ้ง ก็ได้เป็นพระอริยเจ้า ได้เป็นพระอรหันไปแล้ว เพราะทุกคนยังตั้งอยู่ในความประมาท หลักการในการภาวนาวิปัสสนา ให้เห็นเป็นชิ้นเป็นส่วน เพราะว่าที่มันเป็นรูปเป็นร่าง เราก็พิจารณาร่างกายของตัวเอง พิจารณาร่างกายองคนอื่นก็ให้เปื่อยเน่าปฏิกูลก่อน เราจะได้เห็นสภาวธรรมที่แท้จริงว่ามันเป็นส่วนที่มาประชุมกันเป็นร่างกาย ทุกอย่างล้วนแต่ปฏิกูล มันไม่สวยไม่งามอะไร แย่เลย เท่านี้ก็ต้องมีภาระเพิ่ม ดูแลความสะอาดรักษาความสะอาด เป็นภาระต้องใช้เงินใช้สตางค์เยอะแยะ ที่ต้องดูแลธาตุขันธ์ที่มันสกปรก เป็นการจัดฉากเฉยๆ เพื่อปกปิดสิ่งที่โสโครกปฏิกูล
เราต้องภาวนาวิปัสสนาให้เป็น สติปัฏฐาน ฐานแห่งสติที่เกิดในปัจจุบัน เค้าเรียกว่า อิริยาบถทั้ง ๔ เราจะเอามาทำงาน เอามาใช้งาน คนเราน่ะ มันขึ้นอยู่ที่ใจของเรามันคิดไม่เป็น มันภาวนาไม่เป็นกรรมฐานเรื่องพิจารณากายนี้ มันถึงจะสำคัญ คนเราไปเอาเรื่องใจ เรื่องอะไรมันก็ไม่ได้หรอก ถ้าไม่แก้เรื่องกาย คนเราอย่างน้ำมูกนี้ดีไหม มีใครต้องการน้ำมูก น้ำเสลดอย่างนี้ใครต้องการ คนเราทุกคนเมื่อหมดลมหายใจ มันระเบิดสิ่งที่เน่า สิ่งที่เป็นปฏิกูล ตามวินาที ตามชั่วโมง พระเราต้องภาวนาอย่างนี้นะ ประชาชนต้องภาวนาเหมือนกัน เพราะเราจะไปแก้ที่ปลายเหตุไปกินยาคุมกำเนิด ทำหมัน ทำอย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง ต้องมีสัมมาทิฏฐิ ต้องเห็นโทษเห็นภัยในวัฏสงสาร เราเกิดมาเพื่อพระนิพพาน
กายที่เธอมองเห็นว่างาม สุดท้ายความเสื่อมทรามจะมาพรากไป
ร่วงโรยลงในสายธาร ยามกาลเวลาหมุนไป ชีวิตต้องแตกสลายไม่มีเที่ยงแท้
ผมเส้นงามถึงคราวร่วงไป แขนขาที่เคยว่องไวกลับไร้เรี่ยวแรง
โรคภัยเฝ้าคอยคุกคาม ติดตามไปในทุกแห่ง เกิด แก่ เจ็บ ตาย สำแดงเป็นธรรมดา
หากเธอมองทุกการเกิดมาที่มีอย่างลึกซึ้ง เราทั้งหลายต่างถูกรัดรึงด้วยกามและตัณหา
ดั่งแมงมุมที่วางสายใย กลับติดใยที่ตนสร้างมา เกิดวนอยู่ในโลกาไม่หลุดพ้นไป
ห้วงแห่งภพจบลงที่ใจ เห็นภัยที่เกิดมา ในสังขารที่เคยแบกมากำลังเสื่อมสลาย
เปิดดวงตาเห็นความสัตย์จริง จากความจริงของเมืองแห่งกาย ตราบที่ลมหายใจสุดท้ายจะคืนสู่ดิน
เปิดดวงตาเห็นความสัตย์จริง จากความจริงของเมืองแห่งกาย ที่เคลื่อนไหวในลมหายใจ ที่มีแต่ปัญญา