แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๕๐ มนุษย์เดินขาเดียวมันไม่สะดวกนะ สมมุติกับวิมุตติหลุดพ้นต้องไปด้วยกัน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ประเทศไทยเราถ้าปีไหนฝนดีน้ำก็ท่วม ถ้าปีไหนฝนไม่ดีก็เเห้งเเล้ง ก็เป็นอย่างนี้มาหลายปี ผู้บริหารให้พากันรู้พากันเข้าใจ เพราะเราก็ได้คำนวณลำแม่น้ำของเรา ลำห้วยของเราว่า ลำน้ำมันรับน้ำได้กี่ลูกบาตรเมตร เวลาฝนดีเปรสชั่น ฝนมาติดต่อกันเป็นระยะมันรับได้เท่าไหร่ก็พอรู้กัน เเต่ไม่เเก้ปัญหา ตั้งเเต่เชียงใหม่จนถึงทะเลก็ไม่มีที่จะขุดคลองลอกคลองเเม่น้ำบางเเห่งหน้าเเล้งก็ตื้นเขิน เกือบจะเดินข้ามได้ ต่อให้เป็นเกาะเป็นสันดอน นักวิทยาศาสตร์นักคำนวณพากันเรียนจบมา น่าจะพากันคิด การพัฒนาประเทศที่ถูกต้อง ต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์ หลักเหตุหลักผล พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เราจะได้พากันเเก้ปัญหา เรื่องน้ำท่วม เรื่องภัยเเล้ง ทุกอย่างเราเเก้ปัญหาได้ เราไม่ควรที่จะปล่อยให้ประเทศเราเป็นอย่างนี้ เพราะมั่วเเต่ไปเเก้ที่ปลายเหตุ ประเทศเรามีความผิดพลาด ถือเงินเป็นพระเจ้าอย่างเดียว ไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เพราะเราไปตามหลัง ของประเทศเค้าเจริญทางวัตถุ เจริญทางวิทยาศาสตร์ การเจริญทางวัตถุเจริญทางวิทยาศาสตร์มันดีแล้วถูกต้องเเล้ว เเต่เราต้องพัฒนาทางใจ ผู้ที่เราจะเอาเเบบได้ดีที่สุดก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ท่านให้เราพัฒนาหลักเหตุหลักผลหลักวิทยาศาสตร์ เเล้วก็พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ ทั้งกายทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ชีวิตของเราจะไม่สุดโต่ง
พระพุทธเจ้านั้นท่านไม่ให้เราพากันเน้นทางวัตถุ ให้เน้นในเรื่องการปฏิบัติศีล รักษาศีล ทำข้อวัตรปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ฝึกใจ เงินทองพระพุทธเจ้าเปรียบเสมือน 'งูพิษ' มันทำให้ทุกคนในโลกนี้ทะเลาะกัน สามีภรรยาทะเลาะกัน เพราะเรื่องเงิน เรื่องทรัพย์สมบัติ พ่อแม่ลูกหลานทะเลาะกันเรื่องทรัพย์เรื่องมรดก พระเจ้าพระสงฆ์ทะเลาะกันกับญาติโยม ทะเลาะกันกับหมู่พระ เพราะเรื่องเงิน เรื่องสตางค์ เรื่องวัตถุ
ครั้งหนึ่งเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นชาวนาผู้หนึ่งเข้าไปในภายในข่าย คือพระญาณของพระองค์ แล้วทรงใคร่ครวญอยู่ว่า "เหตุอะไรหนอแล? จักมี" ได้ทรงเห็นเหตุนี้ว่า "ชาวนาคนนี้จักไปเพื่อไถนาแต่เช้าตรู่, แม้พวกเจ้าของภัณฑะไปตามรอยเท้าของโจรทั้งหลายแล้ว เห็นถุงที่บรรจุทรัพย์พันหนึ่งในนาของชาวนานั้น แล้วก็จักจับชาวนานั่น, เว้นเราเสีย คนอื่นชื่อว่าผู้เป็นพยานของชาวนานั้นจักไม่มี, แม้อุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรคของชาวนานั้นก็มีอยู่, เราไปในที่นั้น ย่อมควร." จึงได้เสด็จไปยังที่นาของชาวนาผู้หนึ่ง พร้อมกับพระอานนท์...
ณ ที่แห่งนั้น ชาวนาได้ตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำนาเหมือนเช่นเคย เมื่อไปถึงที่นาก็ลงมือทำนา ครั้นได้แลเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาพร้อมกับพระอานนท์ จึงได้เข้าไปกราบท่าน... พระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสคำใดๆ แก่ชาวนา เพียงรับการกราบไหว้ของชาวนาแล้วเสด็จเลยไปในที่พอแก่ชาวนาจะได้ยินพระสุรเสียงของท่านได้
พระพุทธองค์ทรงรับสั่งแก่พระอานนท์อย่างนี้ว่า อานนท์ เธอเห็นไหมอสรพิษ ? พระอานนท์ก็ได้กราบทูลว่า เห็นพระเจ้าข้า อสรพิษร้าย... แล้วพระพุทธองค์ก็ได้เสด็จจากไป ชาวนานั้น ได้ยินพระดำรัสของพระพุทธเจ้าและพระอานนท์ ก็สำคัญว่ามีงูเห่าอยู่ในที่นาของตน จึงได้หยิบปฏักมา หมายจะตีงูเห่าให้ตาย
ครั้นเดินมาถึงที่ที่พระผู้มีพระภาคได้ยืนประทับเมื่อครู่ ก็ไม่แลเห็นอสรพิษแต่อย่างใด.. กลับพบเห็นถุงเงินตกหล่นอยู่ที่คันนา เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่า มีเงินอยู่ในห่อถึง ๑๐๐๐ กหาปณะ ก็เข้าใจว่าคงจะมีใครทำตกไว้ ความยินดีพอใจก็เกิดขึ้นแก่ชาวนาโดยมิทันปรารภพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคกับ พระอานนท์แม้แต่น้อย จึงได้หยิบห่อเงินนั้นเดินไปที่ท้ายคันนาแล้วขุดหลุมฝังเงินไว้ แล้วก็ไปทำนาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิดถึงเงิน ๑๐๐๐ กหาปณะนั้นอยู่
ที่มาของเงินถุงนั้นก็มีอยู่ว่า....คืนก่อนวันเกิดเหตุ โจรกลุ่มหนึ่งได้พากันมุดอุโมงค์ท่อน้ำ เพื่อแอบเข้าไปยังหมู่บ้าน แล้วได้เข้าไปปล้นเงินในบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่ง ได้กวาดเอาทรัพย์สินเงินทองไปเป็นจำนวนมาก แล้วได้จากไปในยามดึกนั่นเอง ครั้นลอดออกพ้นจากอุโมงค์ท่อน้ำ แล้วก็พากันหลบหนีมาจนถึงที่นาของชาวนานั้น โจรผู้หนึ่งขณะปล้นทรัพย์ของเศรษฐี ก็เกิดยักยอกเงินจำนวน ๑๐๐๐ กหาปณะ ใส่ห่อไว้ เหน็บซ่อนไว้ที่เอว ในขณะที่มีการแบ่งเงิน ทรัพย์สินของพวกโจรทั้งหลาย ปรากฏว่า ถุงเงินที่โจรผู้นั้นแอบยักยอกไว้เกิดหล่นลงไปที่พื้นดินโดยไม่มีใครมองเห็น เพราะเป็นเวลาคืนเดือนมืด...
และนี่เป็นที่มา ของเงินที่ชาวนาแอบซ่อนเอาไว้ในคราวที่พบตอนเช้าตรู่
ในเวลาสาย พวกชาวบ้านได้ออกตามรอยเท้ากลุ่มโจรที่ผ่านอุโมงค์ค์น้ำ ตามมาจนถึงที่นาของชาวนา จากนั้นก็เห็นรอยเท้าใหม่ของชาวนาก็ติดตามไปจนถึงบริเวณที่ชาวนาขุดหลุมฝัง ห่อเงินไว้ ได้ขุดขึ้นมาแล้วพบห่อเงิน ก็สำคัญว่า ชาวนานั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มโจร
จึงได้กรูกันเข้ามาทำร้ายชาวนาแล้วมัดมือไพล่หลังนำส่งพระราชาให้ลงโทษ พระราชาตัดสินประหารชีวิตชาวนา ราชบุรุษจึงได้นำชาวนาที่ถูกมัดมือไพล่หลังนั้นนำตัวไปเพื่อประหารชีวิต ระหว่าง ทาง ชาวนาได้สำนึกผิดและระลึกถึงคำของพระผู้มีพระภาคขึ้นมา จึงสะท้อนใจว่าตัวไม่เฉลียวใจในคำว่าอสรพิษเลย...จึงคร่ำครวญร้องไห้ แล้วกล่าวขึ้นมาว่า... “อานนท์ เธอเห็นไหม...อสรพิษ...?” “เห็นพระเจ้าข้า อสรพิษร้าย...”
ชาวนากล่าวไปมาอยู่อย่างนี้ พวกราชบุรุษได้ยินจึงถามชาวนาว่า ใยจึงกล่าวอ้างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นนั้น ชาวนาจึงเล่าเรื่องราวให้ราชบุรุษฟัง ราชบุรุษจึงได้กราบทูลขอพระราชาให้สอบสวนใหม่ ชนทั้งหลายจึงพากันไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นได้กราบพระผู้มีพระภาค แล้วยืนในที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ได้เอ่ยถามเรื่องของชาวนาแก่พระองค์ พระองค์ทรงตรัสรับรองว่าเป็นจริงแล้วได้กล่าวธรรมกถาว่า “น ตํ กมฺมํ กตํ สาธุ ยํ กตฺวา อนุตปฺปติ ยสฺส อสฺสุมุโข โรทํ วิปากํ ปฏิเสวติ. บุคคล กระทำกรรมใดแล้ว ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง เป็นผู้มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตาร้องไห้ เสวยผลของกรรมอยู่ กรรมนั้น อันบุคคลทำแล้วไม่ดีเลย ไม่ควรทำ”
หลังจาก ได้ฟังธรรมกถาของพระผู้มีพระภาค ชาวนาผู้นั้นก็ได้บรรลุธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากพระราชา
คาถาธรรมบทดังกล่าว ท่านแสดงถึงความร้ายกาจของเงินประดุจอสรพิษ คืองูเห่า แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าพวกเศรษฐีที่ท่านมีทรัพย์เงินทองมากมายที่ตั้งอยู่ในสัมมาอาชีวะอาทิ เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา เป็นต้นนั้น เป็นผู้เลี้ยงงูเห่าไว้... ไม่ปรากฏว่าท่านได้กล่าวเช่นนั้น
ท่านหมายถึงว่า ธรรมชาติของเงินนั้นมีความร้ายกาจประดุจงูเห่า ถ้าผู้ใช้ใช้ด้วยความประมาท หรือเกี่ยวข้องกับเงินโดยไม่ระวัง ไม่เป็นอย่างถูกต้องชอบธรรมแล้ว ก็จะถูกงูเห่ากัดตายได้ เงินนั้นใครๆ ก็ชอบ พวกเราทุกคนก็ชอบทั้งนั้น เพราะเราเข้าใจว่า เงินนั้นสามารถซื้อความสุขได้ เงินนั้นมีอำนาจมาก ดังคำเปรียบเทียบเสียดสีในภาษิตของจีนมีอยู่ว่า...“เงินจ้างผีโม่แป้งได้” หมายถึงสามารถทำอะไรๆ ได้ เพราะเงิน เรียกว่าเงินบันดาล หรือมีภาษิตที่เสียดสีอำนาจของเงินดอลล่าร์ว่า “เงินหยวนพูดภาษาจีน เงินเยนพูดภาษาญี่ปุ่น เงินบาทพูดภาษาไทย ส่วนเงินดอลล่าร์พูดได้ทุกภาษา” อย่างนี้เป็นต้น
เงินนั้นมี อำนาจเพราะเป็นที่ปรารถนาของทุกคน แต่ขอให้พิจารณาว่าเงินนั้น ซื้อทุกสิ่งได้จริงหรือ ?
เงินซื้อบริวารได้ แต่ซื้อความซื่อสัตย์จงรักภักดีไม่ได้
เงินซื้อ ตำแหน่งได้ แต่ซื้อศรัทธา ความเคารพรัก นับถืออย่างจริงใจของผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ได้ เงินซื้ออาหารได้ แต่ซื้อสุขภาพที่ดีไม่ได้
คนเรากิน ได้เพียง ๑ อิ่ม แม้มีเงินสักเท่าใด บุคคลก็หาได้กิน ๒ อิ่ม ๓ อิ่มไม่ ในเวลาเดียวกัน เงินนั้นแม้จำเป็น แต่ต้องขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ผู้หาด้วยว่า มีปัญญาไหม หามาด้วยความสุจริตไหม ? บางคนตายจากอัตภาพนี้แล้วไปเป็นเปรตด้วยเหตุแห่งทรัพย์มากมาย หรือไปเกิดเป็นงูเฝ้าสมบัติก็มีมาก
ท่านแสดงว่า บุคคลหาแสวงหาทรัพย์ด้วยความโลภเกินพอดี นั้นเป็น วิสมโลภะ (ความโลภเกินขอบเขต) บุคคลใดหาเงินมาด้วยความไม่บริสุทธิ์ ก็ชื่อว่ามีอสรพิษร้าย ระวังมันกัดเอาถึงตาย บางคนหาเงินมาได้แม้ชอบธรรม แต่ใช้ไปในทางที่ผิดเหมือนลูกเศรษฐี ๔ ตระกูลที่ได้มรดกมากมาย นำเงินไปเที่ยวเล่นเสเพลจนกระทั้งไปทำบาปต้องไปตกนรก แม้ขณะนี้ยังอยู่ในโลหกุมภีนรก (ทุ..สะ..นะ..โส)
เราเอาพระศาสนาเเยกออกจากการปกครอง ข้าราชการเราก็เป็นคนไม่มีศีล นักการเมืองก็ไม่มีศีล พวกมีศีลมันใช้ได้เมื่อไหร่ พวกไม่มีธรรมมันใช่ได้เมื่อไหร่ เพราะว่าเป็นคนสุดโต่ง คือผู้ที่ไม่พัฒนาใจ ไม่พัฒนาวิทยาศาสตร์ เอาความรวย เอาความเก่ง ความฉลาด จากความทุกข์ความยากลำบากจากสัตว์อื่น จากคนอื่น
ศาสนากับวิทยาศาสตร์นี้มันทิ้งกันไม่ได้ มันต้องพัฒนาใจ เเละพัฒนาวัตถุ คือพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน ส่วนวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ อยู่ในฝั่งโลกีย์คือร่างกายของเราทุกคนที่ไม่เกินร้อยกว่าปีที่ต้องจากโลกนี้ไป ศาสนา มันเป็นวิทยาศาตร์ เป็นความดับทุกข์ เป็นธรรม เป็นความยุติธรรม ทุกๆ ศาสนาดีหมด เเต่ต้องเอาศาสนาไปใช้ให้ถูกต้อง อย่าเอาศาสนาไปใช้ในทางไสยศาสตร์ อย่าไปทางขลังค์ศักดิ์สิทธิ์ มันเพี้ยน ถ้าเราไม่พัฒนา ทางวิทยาศาสตร์ ไปพัฒนาทางใจไปพร้อมๆ กัน มันมีปัญหาเเน่ เพราะว่ามันสุดโต่ง มันสุดเหวี่ยง หวานจัด เค็มจัด มันจัด หลงในความอร่อยหูตาจมูกลิ้นกายใจ ที่ใจของเราไม่เกิดปัญญาก็เพราะเราไม่พัฒนาอย่างนี้ อย่างนี้ผิด ประชาชนในประเทศ คนในโลก ต้องพากันเข้าใจนะ เราเป็นมนุษย์ต้องสองขาเดินมันถึงสะดวก มนุษย์เดินขาเดียวมันไม่สะดวกนะ สมมุติกับวิมุตติหลุดพ้นมันต้องเกี่ยวข้องกัน
สิ่งทั้งหลายในโลกล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติ ที่เราสมมุติกันขึ้นมาเองทั้งสิ้น สมมุติแล้วก็หลงสมมุติของตัวเอง เลยไม่มีใครวาง มันเป็นทิฐิ มันเป็นมานะ ความยึดมั่นถือมั่น อันความยึดมั่นถือมั่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะจบได้ มันจบลงไม่ได้เสียที เป็นเรื่องวัฏสงสารที่ไหลไปไม่ขาด ไม่มีทางสิ้นสุด ทีนี้เมื่อเรารู้จักสมมุติแล้ว ก็รู้จักวิมุตติ ครั้นรู้จักวิมุตติก็รู้จักสมมุติ ก็จะรู้จักธรรมะอันหมดสิ้นได้
พระพุทธองค์ของเราท่านสอนสมมุติ แล้วทรงสอนให้รู้จักแก้สมมุติ อย่าไปยึดมั่นถือมั่น อย่าไปหลงสมมุติ ท่านว่ามันเป็นทุกข์ เรื่องสมมุติ เรื่องบัญญัตินี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าคนไหนปล่อย คนไหนวางได้ มันก็หมดทุกข์ มันก็เป็นวิมุตติ ที่ชื่อว่าวิมุตติ ก็สมมุตินี้แหละเรียกขึ้นมา
สมมุตินี้ก็มีประโยชน์ คือ ประโยชน์ที่สมมุติขึ้นมาให้เราใช้กัน เช่นชื่อคน ภาษา จะได้พูดกันรู้เรื่อง จะได้ปฏิบัติ หรือนำไปใช้ให้ถูกต้อง เมื่อสมมุติขึ้นมาแล้ว มันก็เป็น แต่ว่าจะเปลี่ยนให้เป็นวิมุตติ
อย่างสกนธ์ร่างกายของเรานี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ของเราหรอก มันเป็นของสมมุติ จริงๆ แล้วจะหาตัวตนเราเขาแท้มันไม่มี มีแต่ธรรมธาตุอันหนึ่งเท่านั้นแหละ มันเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ทุกอย่างมันก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีเรื่องอะไรเป็นจริงเป็นจังของมัน แต่ว่าสมควรที่เราจะใช้มัน
เรื่องสมมุติกับวิมุตติมันก็เกี่ยวข้องกันอย่างนี้เรื่อยไป ฉะนั้นถ้าหากว่าจะใช้สมมุติอันนี้อยู่ อย่าไปวางอกวางใจว่ามันเป็นของจริง จริงโดยสมมุติเท่านั้น ถ้าไปยึดมั่นถือมั่น มันก็เกิดทุกข์ขึ้นมา เพราะเราไม่รู้เรื่องอันนี้ตามความเป็นจริง เรื่องมันจะถูกจะผิดก็เหมือนกัน บางคนเห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด เรื่องผิด เรื่องถูกไม่รู้ว่าเป็นของใคร ต่างคนต่างสมมุติขึ้นมาว่าถูก ว่าผิดอย่างนี้แหละ เรื่องทุกเรื่องก็ควรให้รู้
รวมแล้วส่วนสมมุติก็ดี ส่วนวิมุตติก็ดี ล้วนแต่เป็นธรรมะ แต่ว่ามันเป็นของยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่มันเป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน เราจะรับรองแน่นอนว่า อันนี้ เป็นอันนี้ จริงๆ อย่างนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงวางไว้ว่า “มันไม่แน่” ถึงจะชอบใจมากแค่ไหนมันก็ไม่แน่นอน ถึงจะไม่ชอบใจมากแค่ไหนก็ให้มันรู้ว่า มันก็ไม่แน่นอนมัน ก็ไม่แน่นอนอย่างนั้นจริงๆ แล้วปฏิบัติจนเป็นธรรมะ ได้ธรรมะ
ทุกสิ่งสารพัดอย่าง มันเกิดจากสมมุติขึ้นมา ก็ให้รู้จักสมมุติ ให้รู้จักบัญญัติ ถ้ารู้จักสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ก็รู้จักเรื่อง "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" มันเป็นอารมณ์ตรงต่อพระนิพพานเลยอันนี้
ในหลักพระพุทธศาสนานี้ไม่มีอะไร มีแต่เรื่องทุกข์เกิด กับทุกข์ดับ เรื่องทุกข์จะเกิด ทุกข์จะดับเท่านั้น ท่านจัดเป็นสัจธรรม ถ้าไม่รู้มันก็เป็นทุกข์ เราก็ต้องพิจารณาดูเรื่องที่ผ่านมา เรื่องปัจจุบัน เรื่องอนาคต ที่มันจะเป็นไป เช่น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เป็นห่วงเป็นใยกัน ก็เป็นห่วงเป็นใยกันเหมือนกัน แต่ถ้าหากพิจารณารู้เท่าทันตามความเป็นจริงแล้ว ทุกข์ทั้งหลายก็จะบรรเทา เบาบางลงไป เพราะไม่ได้กอดทุกข์ไว้
สมมุติกับวิมุตติหลุดพ้นมันต้องเกี่ยวข้องกัน เราจะได้รวยอย่างมีปัญญา ดำรงชีพด้วยการมีปัญญา คือสัมมาทิฏฐิ เพราะความสุขของเราอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน พ่อเเม่เป็นผู้ส่งบอล ส่งไม้ผลัดให้ลูก เพราะเด็กๆ ย่อมไม่รู้จัก เราต้องก้าวไปด้วยปัจจุบัน ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ให้เลื่อนไปเรื่อย ให้เข้าใจ ทุกคนเป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกันหมด ไม่ว่าเราจะเป็นคนประเทศไหน ชาติอะไรเป็นพี่เป็นน้องกันหมด ต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยมีพรหมวิหาร อย่างนั้นไม่ได้ คนจะจนจะรวย ความสุขความดับทุกข์มันมีกับเราทุกๆ คน ถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ไม่เกี่ยวกับจะจนจะรวย ให้พากันเข้าใจ เราทุกคนต้องไปพากันพัฒนาใจ ทำใจให้มันมีปัญญา เพราะเราตั้งอยู่กับความไม่เที่ยงไม่เเน่ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คนเราไม่อยากเเก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ไม่อยากพลัดพราก เป็นคนบ้า เป็นคนไม่ปกติ ทุกคนต้องยอมรับ ในความเเก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก สิ่งเหล่านี้เราต้องพิจารณาให้เกิดสติเกิดปัญญา ที่เราจะได้ไม่หลง เราจะไปทำอะไรตามใจตามอารมณ์ มันสุดเหวี่ยง เราดูสิ คนบ้า ถ้าเอาอาหารมาไว้เยอะๆ สิบอย่างยี่สิบอย่าง คนบ้ามันจะเลือกกินตั้งเเต่สิ่งที่ดีๆ อันที่ดีๆ ให้เข้าใจอย่างนี้ เพราะคนบ้ามันสุดเหวี่ยง มันมีความเห็นเเก่ตัวจัด จนเป็นบ้า
เราไปเเก้ภายนอกมันไม่จบหรอก เราจะมีทหารหลายล้านคน มีตำรวจหลายล้านคน มีอัยการผู้พิพากษาหลายล้านคน มีมหาวิทยาลัยหลายล้านก็เเเก้ปัญหาไม่ได้ เพราะอันนี้มันปลายเหตุ ต้นเหตุคือเราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องมีความสุขในการปฏิบัติธรรม คือเอาธรรมเป็นหลัก ไม่เบียดเบียนใครไม่โลภ ไม่เอาของใคร ไม่หลงในกาม ไม่โกหกหลอกลวง ไม่โกงกินคอร์รัปชั่น ไม่หลงงมงาย ไม่กินเหล้ากินเบียร์ ไม่เล่นการพนัน ความสุขมันจะอยู่กับปัจจุบันอย่างนี้
ทุกท่านทุกคนพระพุทธเจ้าท่านให้พากันมาเเก้ที่ตัวเอง คนอื่นเค้าเเก้คนอื่น ใครก็ต้องเเก้ที่คนนั้น เรามีความเห็นอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ให้เหมือนๆ กันมันจะง่าย ที่ประเทศเรามันมียาม้าเต็มไปหมด มีเหล้ามีเบียร์เต็มไปหมด มีฝิ่นมีเฮโรอีนมีกัญชา มีปืนมีระเบิดเต็มไปหมด เพราะเราทำไม่ถูก ให้เข้าใจ ให้ทุกคนตั้งมั่นในความถูกต้อง เข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องไปตามหลักทุกๆ ศาสนา เช่น ปักษ์ใต้ มีอิสลามเป็นส่วนใหญ่ คนที่เป็นชาวพุทธที่ไปอยู่อย่าพากันไปขายเหล้าขายเบียร์ อย่าพากันไปทานหมู ขายหมู เราต้องรู้จัก อย่างชาวพุทธเค้าก็ไม่ให้กินเหล้า กินเบียร์ ไม่ให้เล่นการพนัน ทุกหมู่บ้านไม่ทำตามความถูกต้อง ร้านค้าเล็กๆ น้อยๆ ขายเบียร์ ตามร้านค้าร้านอาหาร มันทำไม่ถูก รัฐบาลไม่จัดการให้ถูกต้อง เเล้วก็จะไปเเก้เเต่ปัญหา เรื่องจราจร สงกรานต์ปีหนึ่งก็ตาย ปีใหม่ก็ตายไปมากกว่าร้อยหลายร้อย เพราะคนมันกินเหล้ากินเบียร์ เราไปทำไม่ถูก พวกบริหารประเทศต้องรู้จัก คนเราเเต่ละครอบครัวต้องดูตัวเอง มันจะได้ง่ายขึ้น อะไรมันจะง่ายขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้น มันไม่ได้
พวกที่เป็นข้าราชการต้องหยุด พวกที่ทำงานไม่มีความสุข ไม่มีความสุขในการทำงาน พวกทำงานเช้าชามเย็นชาม มันไม่เสียสละ ยังไปกินของหวงของ นักการเมืองอย่างนี้ กินถึงชาติถึงวงศ์ตระกูล ต้องพากันมาเสียสละ ต้องจัดการตัวเองให้มีศีลมีธรรม ข้าราชทุกคนต้องมีศีล ๕ เพราะว่าอันนี้มันเรื่องส่วนรวม เรื่องประโยชน์ส่วนรวม ข้าราชการต้องมีศีล ๕ ถ้าไม่มีศีล ๕ มันจะเป็นข้าราชการได้ยังไง มันจะไปสอนใคร พวกที่เป็นคุณครู ตัวเองก็สอนไม่ได้ พวกตำรวจทหารมันจะเป็นโจรประจำบ้านประจำประเทศไม่ได้ ไม่ดี เราอย่าพากันเป็นเปรตเป็นผีประจำประเทศชาติ
โจรใหญ่ให้ทุกคนพากันรู้จักนะ โจรใหญ่ที่เเท้จริงก็คือตัวเรานี้เเหละ โจรใหญ่ก็คือข้าราชการ ตำรวจทหารนักการเมือง นี้คือโจรใหญ่ ถ้าเเก้ก็ต้องเเก้จากเรา เเก้ที่ตำรวจทหารข้าราชนักการเมือง อันนี้การเเก้ที่ถูกต้อง ถ้าตัวเราไม่เอาธรรมเป็นหลักไม่เอาธรรมเป็นใหญ่ ไม่เอาธรรมเป็นที่ตั้ง ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง นี้เเหละคือโจรที่ตัวเรา เราไม่เอามาทำงานส่วนรวม ไม่มาเสียสละ เราจะกลายเป็นโจร ก็เพราะว่าอย่างเราเป็นข้าราชการ ถ้าทำหรือไม่ทำมันก็เงินเดือนเท่าเก่า ไม่มีความสุขในการทำงาน การฉ้อราษฏร์บังหลวงก็ย่อมมีอยู่ทั่วไป โจรใหญ่ก็อยู่ที่ผู้ที่เป็นนักบวช ข้าราชการนักการเมืองทหารตำรวจผู้ที่มาบวช ต้องเเก้ไขพวกนี้ เบื้องตนต้องเเก้ที่พวกนี้ก่อน
ฝ่ายปกครอง ต้องเอาภาคประพฤติภาคปฏิบัติทางกฏหมายทางพระวินัยมาใช้ให้ได้ อย่าไปถือตน อย่าไปถือพวก ความถูกต้องมันไม่มีพรรคไม่มีพวก มันคือความถูกต้อง ต้องเอาความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความยุติธรรม อย่างน้ำมันท่วม ถ้าบ้านใครอยู่ใกล้ๆ เเม่น้ำ ถูกเวรคืนทำให้ได้มาตรฐาน ขุดลึกไปร้อยเเมตร สองร้อยเมตรก็ได้ หรือว่ามันรับไม่พอ ก็ทำห้วยเเม่น้ำสองปีกข้าง ห่างกันพอสมควร ทำเเม่น้ำใหม่ขึ้นมาเพื่อให้เเม่น้ำมันยุบลงไป มีสายน้ำที่ตัดหากันได้ ทุกอย่างมันเเก้ปัญหาได้หมด ถ้าเราใช้หลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ อย่างทุ่งที่ลุ่มเราไปขุดคลองลึกๆ ให้น้ำที่มันท่วมอยู่จนยุบออกไปสู่ทะเลก็ได้ มันก็ไม่มีปัญหา ถ้าไม่มีน้ำ ต้องการน้ำเก็บไว้ มันก็ได้ ประเทศเราจะได้อุดมสมบูรณ์ มัวเเต่เห่าเเต่หอนไม่ดี พวกเห่าหอน ให้เป็นพวกไก่มันขันหมามันเห่าก็พอเเล้ว
เราเป็นนักปฏิบัติต้องเน้นสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติสู่ความเป็นมนุษย์สมกับเป็นผู้ที่ประเสริฐ ที่เค้าให้เรียนหนังสือ ไม่ใช่เพื่อให้มาโกงมากินมาคอร์รัปชั่นนะ เรียนมาเพื่อมาเสียสละ มาประพฤติมาปฏิบัติ มามีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ใจของเรามันจะสุดเหวี่ยงไปเรื่อย มันจะตามอวิชชาตามความหลงไปเรื่อย เราไม่ต้องเอาความทุกข์ยากความลำบากจากคนที่เรียนน้อย เราอย่าเอาความสุขความสบายจากคนที่เรียนหนังสือน้อย อย่าเอาความสุขจากสัตว์บก สัตว์น้ำที่เราบริโภคเค้าเป็นอาหาร โปรตีนทางเกษตรก็พัฒนาได้ ต้องเข้าใจ มันต้องมีความสุขในการทำงาน เเล้วก็มีความสุขในการพักผ่อน มนุษย์ควรจะนอนวันละหกชั่วโมงถึงเเปดชั่วโมง ต้องใช้เวลาจัดการตัวเอง ใช้เวลาตั้งหลายเดือน
เรามีพระศาสนา ในประเทศเราต้องมีศาสนา ต้องมีบ้านมีวัดมีโรงเรียน อย่างปักษ์ใต้ มีบ้าน มีสุเหร่า มีโรงเรียน อย่างที่ไหนมีศาสนาคริสต์ มีบ้าน มีโบสถ์ มีโรงเรียน ต้องเข้าสู่ระบบอย่างนี้ ให้มีความสุขกัน ให้รักกันสมัครสมานสามัคคีกัน ประเทศเราต้องไม่มีสังฆเภท พระก็ต้องมีพระจริงๆ ไม่ใช่มีภิกษุมีสามเณร เเบรนด์เนมเฉยๆ ทุกๆ คนต้องจัดการอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เพื่อเราทุกคนจะได้พากันมีความสุข เพื่อให้ได้มาตรฐานของเราทุกคน มันเเก้ไม่ยาก เพราะว่าทุกคนไม่ได้ไปเเก้ที่คนอื่น เเต่นี่ทุกคนมีเเต่จะไปเเก้คนอื่น ตัวเองจะเป็นไปได้เมื่อไหร่ คิดไปเเล้วหัวเเตกหัวระเบิดเป็นเจ็ดเสี่ยง มันก็เเก้ไม่ได้ ให้เข้าใจ
เราทุกคนจะได้รู้หลักรู้อะไรชัดเจน เราอยู่ที่ภูมิภาคไหนก็ต้องพัฒนาที่บ้านเรา ที่ทุ่งไร่ทุ่งนาที่สวนของเรา เเต่ก่อนมันยากจน เพราะว่ามันไม่มีน้ำ ทำขุดสระลงไป ทำห้วยทำฝายลงไป เหมือนในหลวงมหาภูมิพลบอก เเต่ก่อนประเทศไทยเราเเห้งเเล้ง ไม่มีเขื่อนไม่มีอะไร ถ้าปีไหนแล้งก็แล้ง ปีไหนฝนก็ฝน เพราะว่าไม่เอาวิทยาศาสตร์มาช่วย เราไม่ต้องไปหากินไกลๆ หรอก พัฒนาบ้านเรา เหมือนพวกที่ไปเรียนไปศึกษามาตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ทำงานเป็นเวลา ถ้าไม่โกงกินคอร์รัปชั่นไปตามระบบมันก็มีอยู่มีกินมีใช้ เหลือกินเหลือใช้ ประเทศเราก็จะไม่น้ำท่วมอย่างนี้ ไม่แห้งแล้ง อย่างนี้ มันน่าสมเพชเวทนา เพราะปัญญาเรามีแต่ปัญญาที่จะไปแก้คนอื่นอย่างนี้ มันก็น่าสมเพชเวทนา มหาวิทยาลัยมีเพื่อให้คนมีปัญญา นักค้นคว้านี้ให้เหตุให้ผล ไม่สมควรที่จะน้ำท่วมอย่างนี้ ไม่ให้มันเเห้งเเล้งอย่างนี้ ฝนเทียมก็ยังทำได้ ในหลวงมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงค้นคว้าไว้ให้เรา เราก็ต้องมาต่อยอด
เราต้องหันมาทางพระพุทธเจ้า ทางพระอริยสงฆ์ หันมาทางผู้รู้ ในการเรียนการศึกษานี้ ก็เป็นแนวทางที่จะเข้าหาผู้รู้ ความขี้เกียจ ขี้คร้าน การทำตามใจตนเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกนี้ มันเป็นขบวนการเป็นคุณสมบัติของคนพาล...
บัณฑิตที่แท้จริงได้แก่พระพุทธเจ้า ได้แก่พระอรหันต์ พระอริยเจ้า ผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องตามอริมรรคมีองค์แปด ส่วนบัณฑิตภายในใจของเราก็คือ เราต้อง... เราก็น้อมเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติเพื่อสร้างบัณฑิตภายในกาย วาจา ภายใจของเรา
บัณฑิต นี้ก็สร้างขึ้นได้ ปฏิบัติขึ้นได้ เหมือนกับเราแต่ก่อนนี้ ตอนเป็นเด็กๆ เราก็ต้องเรียนอนุบาล เรียนประถม เรียนมัธยมไปตามลำดับ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะสัมมาทิฏฐิเป็นสิ่งเราต้องเข้าใจ สัมมาสมาธิเป็นสิ่งที่เราจะตั้งมั่น สัมมาปัญญาเป็นสิ่งที่เราต้องมีความเห็นถูกต้องและก็พัฒนาตนเองเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นบัณฑิตในทางพระพุทธศาสนา ไม่ใช่บัณฑิตเหมือนเราไปเรียนปริญญาตรี โท เอก อย่างนี้ อันนั้นมันเป็นเพียงบัณฑิตทางโลก เขาเรียกว่าบัณฑิตไอคิว บัณฑิตที่แท้จริงนี้มันต้องพัฒนาทั้งไอคิว อีคิว อาร์คิวไปพร้อม ๆ กัน
เพราะคนเราเกิดมายังไม่มีความรู้ ความเข้าใจ เราเลยต้องอาศัยพ่อ อาศัยแม่ แต่พ่อแม่ก็ยังไม่ได้เป็นบัณฑิตในทางพระพุทธศาสนา เป็นบัณฑิตเพียงทางโลก ยังไม่ได้พัฒนาจิตใจไปพร้อมๆ กัน การดำรงชีพจึงเป็นไปเพื่อการทำร้ายตัวเอง เพื่อทำร้ายคนอื่น ถ้าเราเข้าใจธรรมะแล้ว ธรรมะกับการงานต้องไปด้วยก้น ไม่ใช่หยุดการงานมาปฏิบัติธรรม การงานคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการทำงาน เรียกว่าอริยมรรคมีองค์แปด การพัฒนาจิตใจของเรา มันต้องพัฒนาให้ติดต่อต่อเนื่อง มันได้จะได้ดับเย็นเป็นพระนิพพาน