แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๔๘ ความมักน้อยสันโดษพอเพียง เป็นยอดแห่งทรัพย์ของทุกท่านทุกคน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ประชาชนทุกคนต้องพากันเข้าใจ ชีวิตของเราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติให้มันถูกต้อง ทุกท่านทุกคนนั้น ชีวิตนั้นย่อมไปตามกฎแห่งกรรม ไปตามหลักเหตุผล ไปตามหลักวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งพัฒนาใจของเราไปพร้อมๆ กัน ถ้าไม่เช่นนั้น ชีวิตของเราต้องตกสู่อบายมุข อบายภูมิ อย่างแน่นอน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้ถึงมี ต่อไปก็ย่อมมี มองดูแล้วชีวิตของชาวพุทธนี้ยังไม่เข้าใจในหลักเหตุผล หลักวิทยาศาสตร์ เราก็ย่อมได้รับความยากลำบาก ทางเศรษฐกิจและทางจิตใจ
เมื่อหลายปีก่อนมานี้ไปแยกทางฝ่ายฆราวาสกับฝ่ายนักบวชออกจากกัน มุ่งแต่ทางทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตนเรียกว่ามุ่งทางโลก การเรียนการศึกษาก็ตัดเรื่องศีล เรื่องธรรมออกทุกประเทศเลย บางประเทศก็ไม่เอาศาสนา เอาแต่วิทยาศาสตร์ เราดูแล้วมันเป็นสิ่งที่ผิดพลาด แล้วก็พากันไปแก้ไขที่ปลายเหตุ ครอบครัวทุกครอบครัวต้องพากันหยุดอบายมุข เห็นความสำคัญในความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความยุติธรรม ทุกครอบครัวก็ต้องเคร่งครัดในพระศาสนาที่ถูกต้อง ไม่ว่าเรานับถือศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู สิกข์ ให้ถูกต้อง อย่าไปถือศาสนาไปทางงมงาย เรื่องขลัง เรื่องศักดิ์สิทธ์ เรื่องขลังมันขลังจริง ให้เราตั้งมั่นในความถูกต้อง ในความเป็นธรรม ความยุติธรรม อย่างนี้ถึงเรียกว่าขลัง ไม่เป็นไสยศาสตร์ ไม่หลง งมงาย ศาสนาอย่าให้มันมีอยู่ในหนังสือ อย่าให้มันมีอยู่ในตำหรับ ตำรา ต้องอยู่ในใจ และต้องมีการประพฤติปฏิบัติ ทุกๆ คนต้องรู้จักว่าเราเกิดมาไม่อาจที่จะตามความอยาก ความหลงได้ ต้องเอาธรรมะเป็นใหญ่ มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ
พ่อแม่เป็นผู้ที่สำคัญ ผู้นำเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกท่านทุกคนต้องเข้าสู่ระบบ ในครอบครัวชาวพุทธต้องตั้งมั่นในศีล ศีลนั้นคือธรรม ธรรมนั้นคือศีล กฎหมายบ้านเมืองก็ต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นที่ตั้ง เช่น ออกกฎหมายเพื่อเปิดบ่อนคาสิโน เพื่อกินเหล้า กินเบียร์ เล่นการพนัน ก็ถือว่ากฎหมายนั้นไม่ถูกต้อง ไปตามความเห็นแก่ตัว เราอย่าเอาความถูกใจเหนือความถูกต้อง เราต้องเอาธรรมเป็นหลัก ชาวพุทธของเรา แต่ละครอบครัวไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิก็ยังไม่เป็น สวดมนต์ที่ไม่ใช่บทอะไรลึกซึ้ง แค่เพียงผิวเผินก็ยังไม่ได้ เราอย่าไปฝากศาสนาไว้กับพระภิกษุ สามเณร ทุกคนต้องรู้จักว่าศาสนานั้น ไม่ใช่อยู่กับพวกนักบวช ไม่ใช่อยู่ที่โบสถ์ วิหาร เจดีย์ อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง การเรียนการศึกษาเรื่องพระศาสนาก็ต้องเข้าใจ และเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ แต่อย่าให้ศาสนาไปทางหลง งมงาย อย่าให้ศาสนาเป็นทางออกของคนจน
ให้ทุกคนคิดถึงเรื่องพระศาสนา ก็ให้รู้ว่านี้คือการพัฒนาทางจิตทางใจ พวกที่ยังมาบวชไม่ได้ก็ต้องพากันรักษาศีล ระดับศีล ๕ ต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ บ้านเราเมืองเราทุกร้านค้า ตามร้านอาหาร หรือ ร้านโชห่วยก็พากันขายเหล้า ขายเบียร์อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง พากันไปขาย ที่มีห้างขายปืนนี้ก็ไม่ถูกต้อง เราอย่าถือเอาประชาธิปไตยเพื่อสนองความหลง ความไม่ถูกต้อง แก่ประชากรของประเทศ เราดูตัวอย่างแบบอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงให้พากันพัฒนาใจและพัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาอาชีพ มีความสุขในปัจจุบันกัน ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องพากันเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็ต้องพากันตั้งใจสมาทานเพื่อจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เอาใหม่ตั้งใจใหม่ ต้องใช้เวลา ๓ อาทิตย์ขึ้นไป เพื่อจะหยุดตัวเอง เพราะร่างกายของเรามันก็เสียหาย ใจของเราก็เสียหาย ผู้ที่ติดก็ต้องเข้าสู่ภาคบำบัด บำบัดก็คือ เลิก หยุด เราไม่จำเป็นต้องไปที่นู้น ที่นี้ เพราะที่ต่างๆ มันก็คับแคบ ไม่มีที่จะบำบัดกันแล้ว
ทุกๆ คนก็พากันแก้ที่ตัวเองทุกคน อย่าให้คนอื่นมาบังคับ มาบอกเรา เราก็ถือว่าเป็นภาระเป็นหน้าที่ของตัวเราเอง เราอย่าพึ่งไปโทษคนนู้น คนนี้ ไม่ต้องไปโทษรัฐบาลหรอก รู้จักพากันประหยัด เพราะเราใช้เงิน ใช้สตางค์ เท่าที่จำเป็น ใช้ของเท่าที่จำเป็น อย่าไปใช้ของฟุ่มเฟือย เราจะปล่อยให้ตัวเองเป็นโรคประสาท โรคเครียดไม่ได้ เราต้องมีความสุขในการคิดดีๆ พุดดีๆ มีความสุขในสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามีอยู่ พระพุทธเจ้าไม่ให้เราปรับสิ่งของเงินทองเข้าหาใจ ต้องปรับใจเข้าหาสิ่งของ เรียกว่า “มักน้อยสันโดษ” ใจของเราอย่าให้มันเป็นเปรต ชีวิตของเราจะได้เสียสละ
คนจำนวนมากเข้าใจสันโดษผิด คิดว่าสันโดษคือการไม่ทำอะไร หรือการพอใจอยู่คนเดียว แต่ความจริงการไม่ทำอะไรนั้น ภาษาบาลีเรียกว่า โกสัชชะ คือเกียจคร้าน ไม่เรียกว่า สันโดษ
การพอใจอยู่คนเดียวนั้น ภาษาบาลีเรียกว่า ปวิวิตตะ ไม่เรียกว่า สันโดษ
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเรื่องสันโดษนั้น ไม่ได้สอนให้คนเกียจคร้าน ท้อถอย ไม่ทำการงาน หรือทำงานเรื่อยๆ เฉื่อยแฉะ เป็นภัยต่อความเจริญความก้าวหน้าอย่างที่เข้าใจกัน ตรงกันข้าม มงคลข้อนี้ชี้ให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า ถ้าแต่ละคนรู้จักสถานภาพของตนเอง สำนึกในฐานะ ความสามารถ และความมีคุณธรรมของตนอยู่เสมอแล้ว ความมีสันโดษจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ จะทำให้ทุกคนพอใจกับของของตน พอใจกับของที่ตนได้มา และพอใจกับของที่สมควรแก่ตน จะไม่มีการเบียดเบียน แก่งแย่งชิงดี อิจฉาริษยา ให้ร้ายป้ายสี ฉ้อโกงกัน ฯลฯ
การแก่งแย่งชิงดีกันจนถึงทำลายกัน ใส่ร้ายป้ายสีกัน การ ทุจริตและมิจฉาชีพต่างๆ ที่ระบาดในสังคมทุกวันนี้ก็เพราะใจของคนเหล่านั้นไม่มีสันโดษ มุ่งจะเอาแต่ได้ ไม่คำนึงถึงผิดชอบชั่วดี ความเห็นแก่ตัวของผู้มีอำนาจการกอบโกยฉวยโอกาสของพ่อค้านักธุรกิจ โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของคนส่วนมาก ความเร่าร้อนใจเพราะโลภจัด ได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ จนกลายเป็นมัวเมาในวัตถุ ทะเยอทะยานจนเกินกำลังความสามารถของตน ได้มาโดยสุจริตไม่ทันใจ ก็ลงมือประกอบการทุจริตต่างๆ เพื่อสนองความอยากอันเผาลนจิตใจอยู่ ดำเนินชีวิตไปอย่างไร้เหตุผล ก็เพราะขาดสันโดษนั่นเอง
การพัฒนาสังคมจำเป็นต้องมีทั้งสันโดษและความเพียร เพราะความเพียรพยายามที่ไม่มีสันโดษควบคุมย่อมเกินพอดี และนำไปสู่ทางที่ผิดได้ง่าย ล่อแหลมต่ออันตรายเหมือนรถไม่มีเบรคหรือเบรคแตก ย่อมวิ่งเลยขีดที่ต้องการไป ตกหลุมตกบ่อลงเหวข้างทางได้ง่าย บังคับให้หยุดไม่ได้ตามความปรารถนา
ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า “สันโดษเป็นคุณธรรมอันประเสริฐ เป็นไปเพื่อความเจริญสุขทั้งแก่ตนเอง ครอบครัว และสังคมประเทศชาติ หัวใจของผู้มีความสันโดษเท่านั้น จึงจะเหมาะแก่การปลูกฝังคุณธรรมอื่นๆ และคนมีสันโดษเท่านั้นจึงจะทำความดีได้ยั่งยืนไม่จืดจาง และทำดีด้วยความสุจริตใจ ที่สังคมพัฒนาไปได้ช้าเพราะคนขาดสันโดษต่างหาก หาใช่เพราะคนมีสันโดษไม่”
คนทั่วไปไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักประมาณในสิ่งต่อไปนี้
๑. อำนาจวาสนา เช่น เป็นผู้อำนวยการกองก็ไม่พอ อยากเป็นอธิบดี หรือเป็นผู้แทนราษฎรก็ไม่พอ อยากเป็นรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ความสามารถไม่ถึง
๒. ทรัพย์สมบัติ เช่น มีบ้านหลังเล็กก็ไม่พอ อยากจะได้บ้านหลังใหญ่ มีเงินล้านก็ไม่พอ อยากจะได้เงินสิบล้าน
๓. อาหาร เช่น มีอาหารธรรมดารับประทานก็ไม่พอ ยังอยากจะไปรับประทานอาหารแพงๆ ตามภัตตาคารหรูๆ เกินฐานะ เกินความจำเป็น
๔. กามคุณ เช่น มีสามีหรือภรรยาแล้วก็ไม่พอ อยากจะมีใหม่อีก
วิธีสร้างความสุข สร้างความเจริญก้าวหน้า ต้องเริ่มด้วยการรู้จักพอใจกับสิ่งที่ตัวมีอยู่ และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ไม่ไขว่คว้าทะเยอทะยานจนเกินเหตุ เช่น เป็นหัวหน้าแผนก ถ้าอยากให้มีความสุขความก้าวหน้า ก็ให้พอใจในตำแหน่งของตนแล้วตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ความสุขก็เกิด ความเจริญก้าวหน้าก็จะมีมาเอง เป็นสามีหรือภรรยาอยากมีความสุขก็ให้พอใจในคู่ครองของตน แล้วทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ความสงบสุขในครอบครัวก็จะมีมาเอง ไม่ใช่เที่ยววิ่งวุ่นมีบ้านเล็กบ้านน้อย ยิ่งมีก็ยิ่งทุกข์ หาความสุขไม่ได้สักที
โบราณท่านผูกเรื่องสอนใจไว้ว่า มีสุนัขอดโซตัวหนึ่งเดินพลัดหลงทางเข้ามาในบ้าน เจ้าของบ้านสงสารหาน้ำข้าวให้กิน พอกินน้ำข้าวได้ ๗ วัน วันที่ ๘ จะกินข้าว พอเจ้าของบ้านหาข้าวให้กิน กินข้าวได้ ๗ วัน วันที่ ๘ จะกินกับ พอเจ้าของบ้านหากับให้กิน กินกับได้ ๗ วัน วันที่ ๘ จะขึ้นโต๊ะกินร่วมกับเจ้าของบ้าน จึงถูกไล่เผ่นออกจากบ้านเพราะมันเป็นโรคไม่รู้จักพอ โรคชนิดนี้เกิดขึ้นได้ทั้งในคนและสัตว์ ทั้งในหญิงและชาย ทั้งในคนจนและคนรวย ทั้งในคนมีความรู้และคนไม่มีความรู้
สันโดษเป็นต้นทางแห่งความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร ? ความสุขในโลกนี้อาจแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ
๑. สามิสสุข เป็นความสุขที่ต้องอาศัยวัตถุหรือสิ่งภายนอก มาตอบสนองความต้องการทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดอยากต่างๆ จัดเป็นความสุขขั้นหยาบ เพราะมีทุกข์เจือปนมากตลอดเวลา มีอาการคือ ต้องแส่หาดิ้นรนกระวนกระวาย เป็นอาการนำหน้า เนื่องจากของทั้งหลายหาได้ยาก มีจำกัด เมื่อได้มาก็ต้องระวัง รักษา ยึดติด คับแคบ อึดอัด หวงแหนผูกพัน กลัวสูญหาย ถ้าไม่ได้มา ถูกขัดขวางก็ขัดใจ คิดทำลาย คิดอาฆาต พยาบาท จองเวร
๒. นิรามิสสุข เป็นความสุขภายในที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งภายนอกมาสนองความอยาก เป็นความสุขขณะที่ใจมีลักษณะ สะอาด ไม่มีกิเลสปน สงบ ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย เสรี เป็นอิสระ โปร่งเบา ไม่คับแคบ สว่างไสว ประกอบด้วยปัญญา เห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง สมบูรณ์ ไม่มีความรู้สึกขาดแคลน ไม่รู้สึกบกพร่อง ไม่ว้าเหว่ มีแต่ความแช่มชื่นเบิกบานอิ่มเอิบอยู่ภายใน
นิรามิสสุขจึงเป็นความสุขที่แท้จริง เป็นภาวะสุขที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ ตามมา ซ้ำยังช่วยขจัดปัญหาต่างๆ ด้วย ผู้ที่จะมีนิรามิสสุขได้จะต้องมีสภาพใจที่สงบไม่ดิ้นรน คือมีความสันโดษเสียก่อน ยิ่งสันโดษต่อสามิสสุขมากเท่าไร ก็ยิ่งได้นิรามิสสุขมากขึ้นเท่านั้น
การหาเลี้ยงชีพอย่างมีสันโดษ ในการดำรงชีพ พระพุทธศาสนามุ่งให้ทุกคนหาปัจจัย ๔ หล่อเลี้ยงร่างกาย พอเพียงเพื่อให้สังขารนี้สามารถดำรงอยู่ได้ตามอัตภาพ จากนั้นก็ใช้ร่างกายนี้สร้างความดีต่างๆ ให้เต็มที่ทุกรูปแบบทุกโอกาส มิได้มุ่งหมายให้คนเราดิ้นรนไขว่คว้าทะเยอทะยานจนเกินเหตุ เพื่อให้มีวัตถุต่างๆ พรั่งพร้อมบริบูรณ์ไว้บำรุงบำเรอตน เพราะฉะนั้นความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ มิใช่วัดด้วยการมีทรัพย์สินเต็มท้องพระคลังหรือเต็มล้นอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แต่อยู่ที่ไม่มีคนอดอยากยากไร้ และอยู่ที่คุณภาพชีวิตของประชาชนต่างหาก
หลักปฏิบัติเกี่ยวกับทรัพย์สิน
๑. การแสวงหา ต้องหามาโดยชอบธรรม ไม่ข่มเหงรังแกใคร ไม่ทำผิดกฎหมาย ผิดประเพณี ผิดศีล ผิดธรรม
๒. การใช้ ไม่เป็นคนตระหนี่และก็ไม่ฟุ่มเฟือย ให้รู้จักใช้ทรัพย์เลี้ยงตนและคนเกี่ยวข้องให้เป็นสุข รู้จักทำทาน เผื่อแผ่ แบ่งปัน ใช้ทรัพย์ทำสิ่งที่ดีงาม เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
๓. ทัศนคติเกี่ยวกับทรัพย์สิน ไม่ถือว่าทรัพย์สินเงินทองเป็นพระเจ้า แต่ให้ถือว่าเป็นเพียงอุปกรณ์อย่างหนึ่งในการดำเนินชีวิตเท่านั้น
ประเภทของคนจน คนจนในโลกนี้มีอยู่ ๒ ประเภท ได้แก่
๑. จนเพราะไม่มี คือคนที่ขัดสนทรัพย์ มีทรัพย์น้อย จัดว่าเป็นคน “จนชั่วคราว” ถ้าหากทำมาหากินถูกช่องทาง ย่อมมีโอกาสรวยได้
๒. จนเพราะไม่พอ คือคนที่มีทรัพย์มากแต่ไม่รู้จักพอ จัดว่าเป็นคน “จนถาวร” เป็นเศรษฐีอนาถา ต้องจนจนตาย
สันโดษ คือการรู้จักพอ จึงเป็นคุณธรรมที่มหัศจรรย์ สามารถทำให้คนเลิกเบียดเบียนกัน เลิกฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เลิกสะเพร่า เลิกสงคราม ทำให้คนอิ่มใจได้แม้มีทรัพย์ มียศ มีตำแหน่งน้อย และทำให้คนรวยเป็นเศรษฐีได้โดยสมบูรณ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “สนฺตุฏฺฐีปรมํ ธนํ ความสันโดษเป็นยอดทรัพย์”
ชีวิตของเราจะได้เสียสละ เอาใหม่ตั้งใจใหม่ สมาทานใหม่ ผู้ที่อยู่ทางบ้านก็พัฒนาตัวเองเป็นพระที่บ้าน พระมันอยู่ที่ใจของเราทุกๆ คน ผู้ที่อยู่ที่บ้านก็พัฒนาใจ ถ้าเราเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ใจของเราเป็นพระได้ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอนาคามี ไม่สามารถเป็นพระอรหันต์ได้เพราะยังห่วงกิจการ ห่วงญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลอยู่ สติสัมปชัญญะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ถือว่าดีแล้ว ในครอบครัวเรา ในวงศ์ตระกูลเรา เราต้องมีความสมัครสมานสามัคคีกัน ทุกท่านทุกคน พระพุทธเจ้าห้ามเราทะเลาะวิวาทกัน เพราะเราจะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ คนในครอบครัวเราอินทรีย์บารมีก็ยังไม่สมบูรณ์ บางคนสมองก็ดี บางคนสมองไม่ดี ถ้าเราเน้นที่ปัจจุบัน มันก็ดี คนเราถ้าขยันซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวที มันก็จะเลื่อนไปเรื่อยๆ
พวกพระคุณเจ้าทั้งหลายที่อยู่วัดบ้านไม่เอามรรค ไม่เอาผล ไม่เอาพระนิพพาน มันไม่ถูกต้อง เมื่อทุกคนให้โอกาสท่าน ท่านก็ต้องกลับไปแก้ไขตัวเองนะ กลับมาหาความเป็นพระนะ พระก็คือพระธรรมพระวินัย คือมรรคผลนิพพานนะ พระนั้นไม่ใช่มีแบรนด์เนมใส่จีวร โกนหัวนะ เขาทำแบรนด์เนมเพื่อจะให้พวกท่านทั้งหลายเป็นพระ ต้องกลับมาหาข้อวัตรกิจวัตร ทำวัตร สวดมนต์ นั่งสมาธิ เราจะเป็นพระในพระพุทธศาสนาเพื่อให้มันเป็นที่อยู่ ที่ซ่องสุมของพวกโจร พวกเป็นกาฝากในศาสนาไม่ได้ ที่มันไม่เข้าใจก็ต้องพากันเข้าใจ เพราะว่าหมู่บ้านทุกหมู่บ้านเขาจำเป็นต้องมีวัด มนุษย์เค้าต้องมีบ้านอยู่ มีวัด มีโรงเรียน วัดของพระภิกษุนั้นคือผู้ที่มุ่งมรรคผลนิพพานอย่างเดียว ไม่ใช่เป็นที่อยู่ของพวกโกนหัวห่มผ้าเหลือง แล้วไม่ปฏิบัติ ต้องพากันเข้าใจ โลกเขาเจริญไปแล้ว เดี๋ยวนี้เขาพัฒนาไปไกล เขาพัฒนาวิทยาศาสตร์ พวกนักบวชทั้งหลายในประเทศไทยของเรา หรือหลายๆ ประเทศต้องปรับ กลับลำให้เร็ว
พวกที่เป็นเจ้าอาวาสนี้สำคัญ พวกที่เป็นประธานสงฆ์นี้สำคัญ พวกที่เป็นเจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัดนี้สำคัญ มันไม่ยาก เพราะทุกคนเพียงแต่ไปแก้ไขตัวเอง ไม่ได้ไปแก้ไขคนอื่นอยู่แล้ว คนอื่นที่จะไปเคารพนับถือกันได้ เพราะว่าเขาเอาธรรม เอาพระวินัย เอามรรคผลพระนิพพาน ประชาชนเขาจะได้มีความสุขในการทำมาหากิน ทำบุญตักบาตร พระทุกวัดไม่ได้มีวัดไว้สำหรับจัดคอนเสิร์ต จัดลิเก จัดละคร หมอลำ หนังตะลุง ชกมวยเพื่อหาเงินหาตังค์ จะได้ไม่พากันขายพระ ขายเหรียญ เรียนหมอดู หมอเดาหลอกประชาชน ประชาชนเขาก็หลงอยู่แล้ว โง่อยู่แล้ว ส่วนใหญ่เขาไม่รู้จักศาสนา พระผู้ที่ถือแบรนด์เนมเป็นพระ พากันมาหลอกเขา อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง ในเมื่อไม่ถูกต้องก็ต้องเปลี่ยนใหม่ น่าจะเปลี่ยนให้เร็วที่สุด เราจะทำไปหลับตาไป เหมือนหมีกินผึ้งไม่ได้ เหมือนที่มีรังผึ้งใหญ่อยู่ในป่า เวลาหมีกินผึ้งมันหลับตาไป ประชาชนเขาไปหาผึ้งป่าเห็นหมีมันกินผึ้งขึ้นต้นไม้ไปสะกิดมันมันนึกว่าเพื่อนมา มันก็เอาน้ำหวานส่งให้ ส่งให้ คนโบราณเขาว่าหลับตาเหมือนหมีกินผึ้ง
วัดทุกวัดต้องสะอาด วัดทุกวัดต้องอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะมีวัดไว้ทำไม มีวัดไว้เพื่อสวดผี ถ้าใจเราไม่ได้เป็นพระ เราเป็นภิกษุ ใจเรายังเป็นโจร เราจะส่งบุญส่งกุศลให้ใครเขาได้ แม้แต่ตัวเราก็ยังเอาตัวไม่รอด ประชาชนเขายังไม่รู้ เพราะว่าพระมีหน้าที่หลอกเขาไปเรื่อย ไปทำบุญมงคลอะไรต่างๆ เขานึกว่าเราเป็นพระ เราต้องเข้าใจ เราอย่าไปคิดว่า โอ้...อย่างนี้จะมีใครมาบวช ถ้าบวชไม่เอาพระนิพพานก็อย่าพากันมาบวช ถ้าจะสึกไปแล้วจะไปทำอะไร ไม่อยากสึกก็ต้องเอามรรคผลพระนิพพาน มันไม่ยากเพราะมันเรื่องเฉพาะตัว ถ้าเราบวชแล้วเราตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเองหน่ะ มันมาเพิ่มทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน มันก๋า มันกร่าง มันไม่ถูกต้อง มาทะเลาะกับประชาชน มาทะเลาะกับมัคคทายก แล้วก็คุยมีคำพูดว่า คณะสงฆ์ต้องทำงานอะไร ทำงานกิจของสงฆ์ก็คือรักษาพระธรรมวินัยไว้ให้ดี นั่งสมาธิ เดินจงกรม เขาเรียกว่าทำกิจสงฆ์
คนรุ่นใหม่ คนสมัยใหม่ต้องฝึกทำใจให้มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการเสียสละ อย่าเอาแต่บันเทิงอย่างนี้ มันไม่ได้ มันไม่ได้ให้อาหารใจ มีแต่ทำลายจิตใจ ทำลายคุณธรรม ต้องรู้จักว่าความสุข เด็กๆ มีความสุขในการเรียนหนังสือ ในการทำงาน พ่อแม่ก็อย่าพากันโง่มาก รักลูก หลงลูก แต่ว่าไม่ได้เป็นตัวเองแบบพิมพ์ให้กับลูก ไม่ฝึกงานลูกตั้งแต่เด็กๆ ถ้ามันใหญ่มันโต มันบอกไม่ได้ สอนไม่ได้ เมื่อไม่มีความสามารถในการเลี้ยงดูลูกให้ดี เราก็อย่าไปมีสามี เราก็อย่าไปมีภรรยา อย่างนี้มันทำความเสียหายให้ส่วนรวม เมื่อตัวเองอยากจะมีสามีภรรยา ก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่มัวแต่ไปด่ารัฐบาลไปด่าสารพัด เราต้องพัฒนาตัวเองเข้าสู่เศรษฐกิจพอเพียง เราอย่าไปหาเงินอย่างมักง่าย คิดแต่จะหาเงินจากคนอื่น เราต้องคิดขยัน คิดทำเพื่อจะเลี้ยงตัวเองและเพื่อช่วยเหลือคนอื่น
ความสุขของเรามันจะเกิดจากที่เรามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องในปัจจุบันไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ใหม่ๆ มันยังไม่เข้าเส้น เข้าทาง มันก็ลำบากธรรมดา เหมือนทหารใหม่มันก็ลำบาก เหมือนนักเรียน เข้าโรงเรียนมันไม่รู้ว่ามันลำบาก แต่การปฏิบัติของเรา ต้องปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ความรู้มันต้องปฏิบัติด้วยไปพร้อมๆ กัน เราจะได้จัดการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มันไม่ถูก จะไปแก้แต่คนอื่น จะไปเรียนหนังสือ แก้คนอื่น จะมีปืน มีระเบิด เอาไว้แก้คนอื่นไม่ได้ เอาไว้แก้ตัวเอง สิ่งที่ไม่ดีมันจะได้หยุดไป มันอาศัยความสมัครสมานสามัคคีกัน ทุกคน ทุกครอบครัวทั้งประเทศ พร้อมเพียงกันเขาเรียกว่ามีความเห็นเหมือนกัน มีความสามารถเหมือนกัน
เราประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ เราก็จะมีความสุข ความสงบ ความร่มเย็น ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันจะดับทุกข์ ให้แก่เราทุกคน มันจะไปอย่างนี้ ให้ศึกษาธรรมะ เข้าใจธรรมะ เราจะได้ไม่สงสัยว่าตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ ใจของเรามันจะได้เป็นศีล เป็นธรรม เป็นมรรคผล นิพพานไปในปัจจุบันของมันไปเรื่อย เราจะได้ไม่มีโอกาสไม่มีเวลาฟุ้งซ่าน คนเราต้องทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ ถึงจะมีความสุข เราจะไม่ได้พลัดถิ่นไปหากินทางไกล ผู้อยู่ภาคอีสานก็พัฒนาครอบครัวทางภาคอีสาน ผู้อยู่ภาคเหนือก็พัฒนาตัวเอง ครอบครัวในภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง แต่ทุกคนก็ต้องเอาธรรมะไปประพฤติปฏิบัติในครอบครัว เพราะทุกคนนั้นเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติกันหมด ไม่มีใครไม่เป็นญาติ เราฟุ้งซ่านไปเรื่อยไม่ได้ เราอย่าไปโทษใคร เพราะว่ามันอยู่ที่เรายังมีความเห็นไม่ถูกต้อง ยังเข้าใจไม่ถูกต้อง เพราะคนเราอย่างถ้ามีที่ไม่กี่ไร่เขาพัฒนา นาเพื่อเป็นที่ทำมาหากินมันก็ไปได้อยู่แล้ว ความสุขมันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้ เราทำไปเรื่อยๆ ไม่หยุด แล้วเราก็ประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย ประหยัดในการใช้น้ำ ประหยัดในการใช้ไฟ ดูแลวัสดุที่เราใช้ในครอบครัวบ้านเราก็ให้มันสะอาด ห้องน้ำ ห้องครัวก็ให้สะอาด มีหน้าต่างให้ถ่ายเทอากาศ ถ้าใจสกปรก บ้านก็สกปรกมันไม่ไหว
เราจะปล่อยให้ประเทศแห้งแล้ง ปล่อยให้ประเทศน้ำท่วม ปล่อยให้ครอบครัวขี้เกียจ ขี้คร้าน ปล่อยให้ครอบครัวเมาเบียร์ เจ้าชู้ เล่นการพนัน อย่างนี้มันเสียหาย มันไม่ได้อยู่ที่ใครหรอก มันอยู่ที่พ่อที่แม่มันไม่ดี คนรุ่นใหม่ คนสมัยใหม่ก็ต้องพากันคิด วัสดุ ทรัพยากรของเรา เราขายออกไปต่างประเทศ แล้วเราก็กลับเอามาใช้อีก พวกข้าว พวกมันสัมปะหลัง เราขายให้เขาราคาถูก เขามาขายแปรรูปให้เราแพง แสดงว่าเรายังไม่ฉลาด เรายังไม่รู้จักเศรษฐกิจพอเพียง เพราะใจมันไม่สงบ ใจมันฟุ้งซ่าน
ข้าราชการก็ต้องมีความสุขในการทำงาน เพราะงานก็คือความสุข งานก็คือเราจะช่วยเหลือญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลของเรา ไม่ตั้งใจทำงานเขาเรียกว่าคอรัปชั่น ยิ่งไปเอาเงินที่เขามาสนับสนุนไปกินไปเซ็นอย่างนี้เขาเรียกว่าโกงกินคอรัปชั่นๆ ทุกๆ หน่วยงาน เพราะทุกคนก็ต้องเสียภาษีให้บ้านเมืองตัวเองแต่ว่ามันทำใจไม่ได้เพราะข้าราชการ เราต้องพากันเปลี่ยนความคิดใหม่ เปลี่ยนประพฤติกรรมใหม่ เราอย่าไปตั้งตระกูลมาเพื่อโกงกินคอรัปชั่น
เรารู้เฉยๆ ไม่ได้ เราต้องสมาทานเราต้องตั้งใจ และเข้าสู่ภาคปฏิบัติ ต้องใช้เวลาหลายวันหลายเดือน ชีวิตของเราถึงจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ขนาดเขาติดเขา ติดคุกกี่ครั้ง ออกมาว่าจะเข็ดไหม พวกหัวหน้าครอบครัวเราจะเอาแต่กินเหล้าขาว เหล้าแดง ในตอนค่ำนั้นไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่ควรจะให้เด็กๆมันรู้ ถ้าอันไหนมันไม่ดี เด็กมันจะจำไป
พระพุทธเจ้าบอกเราทุกคนว่า อย่าไปคบค้าสมาคมกับคนไม่ดี คนไม่ดีก็คือพวกขี้เกียจ ขี้คร้าน พวกกินเหล้า กินเบียร์ เล่นการพนัน เจ้าชู้ สรวลเสเฮฮาอย่างนี้เขาเรียกว่าคนไม่ดี พวกนี้ก็เหมือนกับไวรัส โควิดเราไปใกล้มันก็ต้องคิด เพราะมันยังยินดีอยู่มันถึงไปใกล้เขา เพราะว่า โจรก็มีแก๊งของความเป็นโจร นักการพนันก็มีแก๊งนักการพนัน ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายในปัจจุบันก็คือ การติดยาเสพติดในหมู่วัยรุ่น ทั้งที่เยาวชนทั้งหลายต่างได้ยินได้ฟังเรื่องโทษภัยของยาเสพติดชนิดต่างๆ จากโรงเรียน สถาบันการศึกษา ตลอดจนจากสื่อประเภทต่างๆ มากมาย แต่เหตุใดเหล่าวัยรุ่นจำนวนมาก จึงยอมตกเป็นทาสของยาเสพติด ทั้งๆ ที่ยาเสพติดเหล่านั้นไม่ได้มีการวางขายโดยทั่วไป ต้องลักลอบจำหน่ายกันเฉพาะแห่ง เฉพาะกลุ่มบุคคลเท่านั้น
คำตอบก็คือ "การคบเพื่อนเลว หรือคบคนพาล ชักนำไปสู่ความหายนะเช่นนั้น" เหล่าวัยรุ่นที่คบคนพาลดังกล่าวแล้ว แม้ไม่ทราบว่าตนจะต้องเสวยวิบากกรรมอย่างไรในภพชาติต่อไป แต่สภาพชีวิตที่พวกเขาและครอบครัวของเขาต้องเผชิญในปัจจุบันชาติ ก็คือความทุกข์ แสนสาหัส พอที่จะเรียกได้ว่า "ตกนรก" ทีเดียว
คนพาล จึงเป็นคนที่มีใจขุ่นมัวเป็นปกติ เป็นผลให้มีความเห็นผิด ยึดถือค่านิยมผิดๆ และมีวินิจฉัยเสีย คือไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรควร อะไรไม่ควร เช่น บัณฑิตเห็นว่า “เหล้า” เป็นของไม่ดี ทำให้ขาดสติ นำความเสื่อมมาให้นานัปการ แต่คนพาลกลับเห็นว่า “เหล้า” เป็นของประเสริฐ เป็นเครื่องกระชับมิตร หรือบัณฑิตเห็นว่า “การเล่นไพ่” เป็นอบายมุข เป็นปากทาง หรือเป็นสัญลักษณ์แห่งความฉิบหาย แต่คนพาลกลับเห็นว่า “การเล่นไพ่” เป็นสิ่งดีทำให้เพลิดเพลิน เป็นการฝึกสมองซ้อมวิชาคำนวณ ดังนี้เป็นต้น
การไม่คบคนพาล คือการไม่ยอมมีพฤติกรรมสัมพันธ์ใดๆ ดังกล่าว ข้างต้นกับคนพาล ถ้าเรายังคบคนพาลอยู่ ไม่ว่าจะในระดับไหนก็ตาม รีบถอนตัวเสียโดยด่วน อย่าประมาท รีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม มิฉะนั้นจะพลาด ติดเชื้อพาลโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นพาลตามไปด้วย
โบราณท่านให้คติเตือนไว้ว่า ห่างสุนัขให้ห่างศอก ห่างวอกให้ห่างวา ห่างพาลาให้ห่างหมื่นโยชน์แสนโยชน์
การเลือกคบคนเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิต เพราะมีผลทำให้อนาคตของเรารุ่งโรจน์หรือตกต่ำได้ พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า การไม่คบหาสมาคมกับคนพาลเป็นมงคลของชีวิต เพราะคนพาลมักคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีเป็นปกติ ชอบชักนำไปในทางที่ผิด ผู้ที่เข้าใกล้จึงมักมีความเห็นผิดตามไปด้วย ดังนั้น ผู้ที่ปรารถนาความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต จึงจำเป็นต้องหลีกให้ห่างไกลจากคนพาล
บัณฑิตในกาลก่อนเคยกล่าวไว้ว่า "แม้ชมพูทวีปจะไร้ซึ่งคนดี อย่าพึงคบกับคนพาลเลย จงห่างไกลเหมือนคนหลีกหนีอสรพิษร้าย เพราะคนพาลย่อมนำแต่ความวิบัติมาให้ อกุศลทั้งมวลเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยคนพาล การคบกับคนพาลจึงมีแต่นำทุกข์มาให้โดยส่วนเดียว"
คนพาลนี้ เราอย่าไปทำตามเขา เราต้องรู้จักพัฒนาตนเอง เพื่อให้ใจเราได้พัฒนา ได้พบพระพุทธเจ้า ได้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า คือความรู้ ความใจในภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ เรียกว่าอริยมรรคมีองค์แปด
ยาน ที่จะพาเราออกจากวัฏฏสงสารนี้ก็คือ ศีล คือสมาธิ คือปัญญา ความหลง ความเพลิดเพลินนี้ทำให้เราเนิ่นช้า ทำให้เราเสียเวลาไปในแต่ละวันๆ เราต้องรู้จักว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี ต้องเน้นเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติอย่างนี้