แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง กฐินที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย คือได้มาสามัคคีเสียสละ เพื่อเป็นพุทธบูชา
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
กฐิน เป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวร ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้แก่พระภิกษุสงฆ์ ๕ รูปขึ้นไป ซึ่งอยู่ในวัดเดียวกัน และเป็นผู้จำพรรษาครบถ้วนไตรมาส (๓ เดือน) ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ โดยไม่ขาดพรรษา ทั้งนี้ การถวายผ้ากฐินนั้น จัดเป็นสังฆทาน คือถวายแก่คณะสงฆ์โดยไม่เจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เพื่อให้คณะสงฆ์นำผ้าไปอปโลกน์ ยกให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งตามที่คณะสงฆ์ลงมติ (ญัตติทุติยกรรมวาจา) กฐินไม่ได้หมายถึงเงินหรือทอง ตามที่เข้าใจกันเป็นส่วนมากในปัจจุบัน อนึ่ง กฐินยังจัดเป็นกาลทาน หมายถึง มีกำหนดระยะเวลาถวาย จะถวายตลอดไปเหมือนผ้าชนิดอื่นมิได้ ตามพระธรรมวินัย มีกำหนดเวลาถวายที่จำกัดเพียง ๑ เดือนหลังจากออกพรรษาแล้ว กล่าวคือ ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ระยะเวลานี้เรียกว่า กฐินกาล คือระยะเวลาทอดกฐิน หรือเขตกฐิน (ถ้าพ้นเขตกฐินแล้ว ก็ไม่เป็นกฐิน ไม่ได้อานิสงส์กฐิน จะได้แต่เป็นอานิสงส์ของสังฆทาน หรือผ้าป่าบังสกุล) โดยแต่ละวัดสามารถรับกฐินได้เพียงปีละครั้งเดียวเท่านั้น
ความเป็นมาของกฐิน คือคราเมื่อภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐ ๓๐ รูป ได้เดินทางเพื่อมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี แต่ยังไม่ทันถึงเมืองสาวัตถี ก็ถึงวันเข้าพรรษาเสียก่อน พระสงฆ์ทั้ง ๓๐ รูป จึงต้องจำพรรษา ณ เมืองสาเกตในระหว่างทาง พอออกพรรษาแล้ว ภิกษุเหล่านั้นจึงได้ออกเดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดาด้วยความยากลำบาก เพราะฝนยังตกชุกอยู่ เมื่อเดินทางถึงวัดพระเชตวัน พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามถึงความเป็นอยู่และการเดินทาง พระพุทธองค์ทรงทราบความลำบากของพระภิกษุเหล่านั้น และเห็นว่า กฐินตฺถาโร จ นาเมส สพฺพพุทฺเธหิ อนุญฺญาโต การกรานกฐินนี้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ได้ทรงอนุญาตมา ดังนั้น จึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุผู้ที่อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนแล้ว รับผ้ากฐินของผู้มีจิตศรัทธาถวายได้
กฐินเป็นพระพุทธานุญาตพิเศษกว่าเรื่องอื่นๆ เช่น การถวายผ้าอาบน้ำฝน หรือการถวายน้ำปานะ เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงประทานอนุญาต เมื่อมีผู้ศรัทธามาทูลขอพระพุทธานุญาต เรื่องถวายผ้าอาบน้ำฝน ถวายน้ำปานะ แต่เรื่องกฐินไม่มีผู้ใดมาทูลขอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระบรมพุทธานุญาตด้วยพระองค์เอง พุทธประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ทรงพุทธานุญาตให้พระภิกษุกรานกฐินนั้น คือ เพื่อให้พระภิกษุได้พักผ่อน พอพื้นดินแห้งสมควรแก่การเดินทาง ๑ อนุเคราะห์ภิกษุผู้ทรงคุณที่มีจีวรชำรุด ให้ได้เปลี่ยนผ้าครอง ๑ เพื่อให้เกิดความสามัคคีในหมู่สงฆ์ ได้ช่วยกันตัดเย็บจีวรเป็นผ้ากฐิน ๑
คำว่า กฐิน ยังหมายถึง ไม้สะดึง คือกรอบไม้แบบชนิดหนึ่งสำหรับขึงผ้าให้ตึง เพื่อเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้เป็นเครื่องมือเย็บจีวร ซึ่งมีลักษณะเป็นวงกลม เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ในสมัยก่อนการเย็บจีวรต้องใช้ไม้สะดึงขึงให้ตึงก่อนแล้วจึงเย็บ เพราะช่างยังไม่มีความชำนาญเหมือนสมัยปัจจุบันนี้ และเครื่องมือในการเย็บก็ยังไม่เพียงพอเหมือนจักรเย็บผ้าในปัจจุบัน การทำจีวรในสมัยโบราณจะเป็นผ้ากฐิน หรือแม้แต่จีวรอันมิใช่ผ้ากฐิน ถ้าภิกษุทำเองก็เป็นงานใหญ่ทีเดียว
การทำผ้าโดยอาศัยแม่แบบเช่นนี้ คือ ทาบผ้าลงไปกับแม่แบบ ตัด เย็บ ย้อม ตากให้แห้ง ควรแก่การใช้ได้ให้เสร็จภายในวันเดียว เมื่อทำจีวรเสร็จแล้ว รูปที่ได้รับไปก็อธิษฐานเป็นผ้าครอง แล้วนำมาเข้าที่ประชุมอีกครั้ง บอกความสำเร็จของการกรานกฐิน คือ บอกแจ้งการที่ได้ทำผ้าที่สงฆ์มอบให้นั้นเสร็จเป็นจีวร ให้ตนสามารถใช้ได้แล้ว จากนั้นที่ประชุมสงฆ์ก็จะอนุโมทนาคือแสดงความเห็นชอบยินดีด้วย เมื่อแสดงความเห็นชอบด้วยแล้ว พระภิกษุทุกรูปที่เข้าร่วมประชุมนั้นก็จะได้อานิสงส์ คืออานิสงส์การจำพรรษา ๕ อย่าง ขยายเวลาออกไปสี่เดือนจนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ การทำผ้ากฐินนี้เป็นความสามัคคีของพระสงฆ์ เป็นการร่วมแรงร่วมใจกันทำกิจที่เกิดขึ้น เมื่อทำเสร็จหรือพ้นกำหนดกาลแล้ว แม่แบบหรือกฐินนั้น ก็รื้อเก็บไว้ใช้ในการทำผ้าเช่นนั้นอีกในปีต่อๆ ไป การรื้อแบบไว้เรียกว่าเดาะ ฉะนั้น คำว่ากฐินเดาะ หรือเดาะกฐิน จึงหมายถึงการรื้อไม้แม่แบบเพื่อเก็บไว้ใช้ในโอกาสต่อไป
การประชุมทำผ้ากฐินในครั้งพุทธกาล มีเรื่องเล่าไว้ในอรรถกถาธรรมบท ภาค ๔ ว่า ครั้งเมื่อพระอนุรุทธเถระ ได้ผ้าบังสุกุลมา จะทำจีวรเปลี่ยนผ้าครองสำรับเก่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ เสด็จเป็นประธานในวันนั้นพร้อมพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป พร้อมพระอสีติมหาสาวกร่วมประชุมช่วยทำ พระมหากัสสปะเถระนั่งอยู่ต้นผ้า พระสารีบุตรเถระนั่งอยู่ท่ามกลาง พระอานนทเถระนั่งอยู่ปลายผ้า พระภิกษุสงฆ์ช่วยกันกรอด้าย พระบรมศาสดาทรงสนเข็ม พระมหาโมคคัลลานเถระเป็นผู้อุดหนุนกิจการทั้งปวง โดยนัยนี้ การเย็บจีวรแม้โดยธรรมดา ก็เป็นการต้องช่วยกันทำหลายท่านหลายองค์ แสดงถึงพลังความสามัคคีของพระภิกษุสงฆ์ อันเป็นพระพุทธประสงค์ในการทำผ้ากฐิน
การถวายกฐินนั้นมีข้อจำกัดหลายอย่าง ซึ่งทำให้การถวายกฐินมีความความพิเศษแตกต่างจากทานอย่างอื่นดังนี้
จำกัดประเภททาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอย่างอื่นไม่ได้
จำกัดเวลา คือกฐินเป็นกาลทานอย่างหนึ่ง (ตามพระบรมพุทธานุญาต) ดังนั้นจึงจำกัดเวลาว่าต้องถวายภายในระยะเวลา ๑ เดือน นับแต่วันออกพรรษา เป็นต้นไป
จำกัดงาน คือ พระภิกษุที่กรานกฐินต้องตัด เย็บ ย้อม และครองให้เสร็จภายในวันที่กรานกฐิน
จำกัดไทยธรรม คือ ผ้าที่ถวายต้องถูกต้องตามลักษณะที่พระวินัยกำหนดไว้
จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุผู้รับกฐิน ต้องเป็นผู้ที่จำพรรษาในวัดนั้นโดยไม่ขาดพรรษาตั้งแต่ ๑ รูปขึ้นไป และจะใช้ ๕ รูปขึ้นไปในการกรานกฐินในโบสถ์เท่านั้น
จำกัดคราว คือ วัดๆ หนึ่งรับกฐินได้เพียงปีละ ๑ ครั้งเท่านั้น
นี้คือความเป็นมาของการทอดกฐินตามพระบรมพุทธานุญาต อันเป็นอริยประเพณีที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้.
พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มหาบุรุษท่านหนึ่งที่เป็นผู้เสียสละมากที่สุดได้บำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติ ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นองค์บรมครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ให้กำเนิดเกิดมีพระพุทธศาสนา ให้มีพระสัทธรรมอันนำไปสู่ความดับทุกข์ ถึงมรรคผลนิพพานได้ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันมีพระนามว่า พระพุทธศรีศากยมุนีโคดม เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปป์นี้ โดยภัทรกัปป์นี้มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๕ พระองค์ คือ ๑. พระพุทธเจ้ากกุสันธะ ๒. พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ ๓. พระพุทธเจ้ากัสสปะ ๔. พระพุทธเจ้าศรีศากยมุนีโคดม และ ๕. พระพุทธเจ้าศรีอาริยเมตไตรย์ (อนาคตกาล)
พระพุทธเจ้านี้ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เเต่เป็นผู้ปฏิบัติ เพื่อรู้เเจ้งเห็นจริง พระพุทธศาสนาถึงไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คือพุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เรียกว่าเป็นผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เเล้วก็ปฏิบัติถูกต้อง ทั้งกายทั้งใจ เป็นผู้พัฒนาทั้งใจ พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ไปพร้อมกัน เรียกว่าทางสายกลาง ถึงเรียกว่าศาสนา กาลเวลาได้ผ่านไป ๒๕๖๕ ปี นับตั้งเเต่หลังพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ศาสนาพุทธได้ประดิษฐานอยู่ในหลายๆ ประเทศ
ประเทศไทยเรานี้ ตั้งเเต่สร้างเมืองสร้างชาติ พระพุทธศาสนาอยู่คู่ประเทศไทย การปกครองก็เอาธรรมะเป็นหลัก เอาความถูกต้อง เอาความเป็นธรรม เอาความยุติธรรม การดำเนินชีวิตของเราทุกคน ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นการดำเนินชีวิต เเม้เเต่จะเรียกว่าประชาธิปไตย ก็ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เพื่อความมั่นคงของพวกเราทุกคน คือ ชาติ ศาสนา เเละพระมหากษัตริย์ ประเทศเรามีโครงสร้างอย่างนี้ มีข้าราชการ มีนักการเมือง เพื่อจะได้ก้าวสู่ธรรมะ ที่ย่อยเป็นการปกครองต่างๆ ที่มันมีปัญหา เพราะเราทำผิด ไม่ได้เอาธรรมเป็นหลัก บ้านเมืองเราถึงมีข้าราชกิน ก็ไม่ใช่ข้าราชการ เป็นข้าราชกินไป มีนักการเมือง ก็ไม่ใช่นักการเมือง มีเเต่นักกินเมือง มีประชาชน ก็เอาเเต่ใจตัวเอง เอาเเต่อารมณ์ตัวเอง ไม่ได้เอาธรรมะเป็นหลัก บ้านเมืองมันถึงเป็นอย่างนี้ เมื่อเราทำไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ผลที่ออกมาก็เลยเป็นเหมือนที่เรารู้เราเห็นนี้เเหละ ถ้าเราทำไม่ถูกต้อง ถึงจะมีข้าราชการมันก็ไปไม่ได้ มีทหารมีตำรวจหลายเเสนหลายล้าน ก็เเก้ปัญหาไม่ได้ จะมีมหาวิทยาลัยหลายสิบหลายร้อยหลายพันแห่ง ก็เเก้ปัญหาไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เอาความเป็นธรรมความยุติธรรม ประเทศไทยเรามีวัดสี่หมื่นกว่าวัด เเต่ทุกคนตั้งวัดก็เพื่อที่จะตามใจตามอารมณ์ มันมีปัญหา วัดมันจะเกิดเป็นขยะของประเทศ หรือ ของโลก ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจ เเต่ก่อนเราก็ไปสงสารคนโน้นคนนี้ไม่เลี้ยงพ่อเลี้ยงเเม่ สุดท้ายมันก็กลับมาหาเรา
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ ทุกท่านทุกคนต้องมามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เเล้วก็มาปฏิบัติถูกต้อง มาทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ตามหลักธรรม ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ความสุขความดับทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่อยู่ที่กายอยู่ที่ใจของเราในปัจจุบัน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นมันถึงมี มันจะเลื่อนไปเรื่อย จึงต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์ เเล้วต้องพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เราถึงสละเสียซึ่งตัวซึ่งตน ที่ว่าอารมณ์หรือเจ้าอารมณ์ ที่ทุกคนเอาเเต่ตัวเอาเเต่ตน ทุกคนรวมตัวรวมตน เราจะเอาประชาธิปไตยเเบบตัวตนไม่ได้นะ การสร้างประเทศก็เพื่อมีศีลเสมอกัน เพื่อมีสมาธิเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน เพราะความสมัครสมานสามัคคีนี้ มันถึงจะก้าวหน้าไปได้
พระพุทธเจ้าเเม้จะบำเพ็ญบารมีหลายล้านชาติ ก็ต้องอาศัยความสมัครสมานสามัคคีของพุทธบริษัท ถ้าเราไม่สมัครสมานสามัคคี ประเทศเราก็เป็นประเทศสังฆเภท พระก็เป็นพระสังฆเภท ข้าราชการก็เป็นข้าราชการสังฆเภท นักการเมืองก็เป็นนักการเมืองสังฆเภท มันสร้างความเสียหาย สร้างความไม่ถูกต้อง ความเห็นผิดเข้าใจผิดอย่างนี้ มันเป็นพลังงานที่นำเราเวียนว่ายตายเกิด มันไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ ทุกคนก็จะพากันไปเเก้ไขเเต่คนอื่น ทุกท่านทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ต้องมาเเก้ที่ตัวเอง เข้าสู่ความประพฤติ สมาทานสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่เป็นธรรม ความยุติธรรม จะได้เป็นสมาธิ เป็นสมาธิธรรมชาติเลย จะได้เข้าถึงปัญญาที่หยุดเวียนว่ายตายเกิด ที่จะหยุดอบายมุขอบายภูมิได้
ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูก เราไปเเก้ที่ปลายเหตุ เราไปมีเเต่กฏหมายมีเเต่ปืน มีเเต่ระเบิด อะไรเเบบนี้ไม่ใช่ เเก้ปัญหาอย่างนั้นมันไม่ถูก มันต้องเเก้ที่ตัวเราทุกคน นั้นก็คือเป็นพี่เป็นน้องเป็นเเม่ จะว่าเป็นส่วนเดียวกันนี้คือความเป็นมนุษย์ การที่เราทะเลาะเบาะเเว้งกันอย่างนี้มันไม่ได้ ทำให้ครอบครัวเราเสียหาย เพราะเราทำไม่ถูกต้อง ประเทศไทยเราก็เต็มไปด้วยขยะ ขยะนี้ก็คือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ตนและประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็ทำให้ตัวเองตกอบายมุขอบายภูมิ คนอื่นก็นำลูกนำหลานนำครอบครัวสู่อบายมุขอบายภูมิ
การทอดกฐินเป็นความสมัครสมานสามัคคีกัน ความสมัครสมานสามัคคีที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง การทอดกฐินไม่ใช่จะเอาเงินเอาสตางค์ เป็นความสมัครสมานสามัคคีกัน เราจะให้ทุกคนเเสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อส่วนรวม พระก็พากันเป็นพระ คือเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย พระนั้น ไม่ใช่ผู้โกนหัวห่มผ้าเหลืองนะ พระคือพระธรรม คือพระวินัย ที่เราโกนหัวห่มผ้าเหลือง อันนั้น คือเเบรนด์เนมที่จะเป็นพระธรรมพระวินัย เราต้องรู้จักศาสนา เพราะศาสนาเป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก ทำไมสุดยอดอย่างนี้ๆ มรรคผลนิพพาน ไม่หมดสมัย ไม่ล้าสมัย มันอยู่ที่ปัจจุบัน เมื่อปัจจุบันเรามามีความเห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด มันถึงเสียหายอย่างนี้เเหละ วัดภายนอกก็สกปรก ใจก็สกปรก ประเทศไทยเราทำไม่ถูก คิดว่าเอาโบสถ์ เอาวิหาร เอาเจดีย์ เอาพระพุทธรูป เป็นศาสนานั้นเป็นแค่ศาสนวัตถุ
แต่ตัวศาสนาคือความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพราะทุกคนถ้าเราทำตามความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ทุกคนก็อยากสนับสนุน ทุกคนอยากทำบุญตักบาตร เราจะไม่ได้ไปขายเหรียญ ขายผ้ายันต์ อะไรที่มันเป็นของที่ไม่ถูกศาสนา บ้านเราจะได้ไม่มีวัดไว้สำหรับเป็นสนามจัดงานของลิเก สนามของหมอลำ เเสดงภาพยนตร์ หรือชกมวย อันนั้นเป็นอบายมุขอบายภูมิ ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ประชาชนทั้งหลาย เค้าก็ย่อมยินดี เพราะการได้เห็นพระได้บุญเยอะ การได้ทำบุญก็ได้บุญเยอะ ทุกวันนี้ คนบวชก็น้อยลงๆ ประชาชนเค้ารับไม่ได้ ไม่ได้เอาธรรม เอาพระวินัย เอาเเต่ตัวเอาเเต่ตน พระเราไปขับรถขับเรือ เข้าเเมคโครโลตัส อยากถูกหวย ถูกเบอร์ ต่างคนก็ต่างบอกกันไม่ได้ เราจำเป็นที่จะต้องใช้ส่วนประชาชนที่เป็นตำรวจทหารมาช่วยกันดูเเล เพราะเราจะปล่อยไปทั่วทั้งสังคมสงฆ์ไม่ได้ มันปล่อยวางไม่ถูก เพราะพระปกครองเอาเเต่บอกกันเฉยๆ มันไม่มีปืน ไม่มีระเบิด ไม่มีกรงขัง ให้เข้าใจการพัฒนาประเทศเรา เค้าต้องพัฒนาใจด้วย เพื่อให้ใจของเรามีคุณธรรม เเล้วพัฒนาเทคโลโนยีด้วย ไม่ต่างกันไม่ด้อยกว่ากัน ทุกคนก็ยอมได้ ถ้าทุกคนทำตามความถูกต้อง ความเห็นถูกต้อง ประชาชนเค้าก็อยากเสียภาษีให้ส่วนข้าราชการ เพราะว่าพวกนี้ไม่โกงกินไม่คอร์รัปชั่น ทุกอย่างมันไม่มีปัญหาหรอก
ขอให้ทุกคนมีความสมัครสมานสามัคคีกัน อย่าไปว่าเเก้ไม่ได้ มันเเก้ได้ เพราะว่ามันเเก้ส่วนบุคคล ใครคนใดก็ต้องเเก้คนนั้น คนเราจะเคารพนับถือกันได้ เพราะคนนั้นมีศีลมีธรรมมีมรรคผลนิพพาน ถ้าอย่างนั้น เป็นพ่อเป็นเเม่เป็นลูก ก็เคารพนับถือไม่ได้ เพียงเเต่สงสารกันเฉยๆ อย่างท่านเเม่ทัพภาคที่ ๒ นี้ดีมาก ถูกต้องมาก ที่จะพัฒนาทหารของกองทัพภาคที่ ๒ ทุกๆ จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้พัฒนาใจ เเล้วก็พัฒนาระเบียบวินัยไปพร้อมๆ กัน อย่างนี้ถูก เพราะในส่วนทหารของเราก็มีอนุศาสนาจารย์ผู้ที่จบจากมหาจุฬาฯ จบจากมหามกุฏฯ เป็น ป.ธ.๗ ป.ธ.๘ ป.ธ.๙ ทุกหน่วยงาน ก่อนที่จะสอนคนอื่นก็ต้องเเก้ตัวเองก่อน ทุกคนกว่าเราจะสอนลูกสอนหลานได้ ก็ต้องเเก้ที่ตัวเองก่อน ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้
ความสมัครสมานสามัคคีที่เรามาร่วมรวมกันนี้ ถึงมีบุญใหญ่มีอานิสงส์มาก เราไม่ต้องพูดเรื่องเงินเรื่องสตางค์ เรื่องได้บุญมาก เราไม่ต้องมาพูดหรอก ทุกคนรู้เเก่ใจอยู่เเล้ว การจัดงานกฐินนี้หน่ะ เป็นการเอาพระธรรม เอาพระวินัย เป็นการเอามรรคผลนิพพาน พระพุทธเจ้าให้เราเอามรรคผลพระนิพพาน ต่อยอด สืบทอดพระศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ให้พากันเข้าใจผิดคิดว่า ทอดกฐินเพื่อเพื่อเงินปัจจัย นั่นไม่ใช่ เพราะการประพฤติการปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน ทุกคนต้องเปลี่ยนเเปลงที่ปัจจุบันหมด เดี๋ยวนี้การสื่อสารมันก็ทั่วถึงกันหมด ถือว่ามันง่ายขึ้น ที่เรามีความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นระยะ เรื่องยาเสพติด เรื่องปืน เรื่องอะไรอย่างนี้ มันต้องมาเเก้ที่เรา เเก้ที่ครอบครัวเรา ถ้าไม่อย่างนั้น ประเทศไทยเราก็จะเป็นเเต่ผู้ที่เดินเอกสาร มันไม่ได้เป็นนักปฏิบัติ การศึกษานี้มันถึงคู่กับชีวิต ที่เราเกิดมา ตังเเต่อนุบาลไปจนถึง ดร. ตั้งเเต่นักธรรมตรีไปถึง ป.ธ.๙ มันต้องเอามาใช้ในปัจจุบัน
คนเราต้องสอนตัวเองเตือนตนเอง สอนให้มองตนเอง พิจารณาตนเองก่อนเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อน ไม่ใช่คอยจับ ผิดผู้อื่น ซึ่งตามปกติของคนแล้วมัก จะมองเห็นความผิดพลาดของบุคคลอื่น แต่ลืมมองของตนเอง ทำให้สูญ เสียเวลา และโอกาสในการปรับปรุง พัฒนาตนเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัว เราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ ตรัสให้เตือนตนเองว่า "อตฺตนา โจทยตฺตานํ = จงเตือนตน ด้วยตนเอง"
จงเตือนตนของตน ให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ ใครจะเหมือน
ตนเตือนตน เตือนไม่ได้ ใครจะเตือน ตนแชเชือน ใครจะเตือน ให้ป่วยการ
มองตนเหมือนพระเนตรที่มองต่ำของพระพุทธรูป คือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือมัวหลงอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมาตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก เพราะนั่นคือบ้านแท้จริง”
ให้พากันตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ไหว้พระ นั่งสมาธิ ท่องพุทโธ ทำใจให้สงบ เราต้องรู้จัก คนเรามันมีเซ็กซ์หรือว่ามีเพศสัมพันธ์ ๒ อย่าง มีเซ็กซ์มีเพศสัมพันธ์ทางกาย มีเซ็กซ์มีเพศสัมพันธ์ทางใจ เราต้องรู้จักเเก้ไขตัวเองได้ วันหนึ่งคืนหนึ่งมี ๒๔ ชม. เราต้องมีความสุข มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มีความสุขในการเสียสละในการทำงาน ในวันหนึ่ง ๒๔ ชม. หมู่มวลมนุษย์ต้องพากันนอน ๖ ชม. อย่างมากก็ ๘ ชม. ถ้าเด็กก็ไม่เกิน ๑๒ ชม. เราอย่าไปคอร์รัปชั่นเวลานอนกัน เรื่องโทรศัพท์เรื่องบันเทิงทั้งหลายทั้งปวง ทำให้เราตั้งอยู่ในความประมาทเพลิดเพลิน สุขภาพร่างกายมันเเย่ พวกอบายมุขพวกกินเหล้ากินเบียร์ ยาเสพติด เล่นการพนัน วันหนึ่งคืนหนึ่งใจก็อยู่เเต่หวยกับเบอร์ล็อตเตอรี่ เราไม่มีความสุขในปัจจุบัน เพราะไม่รู้จักเครื่องอยู่
“คนเราทุกคนต้องมีเครื่องอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสญาติโยม ให้ลองสังเกตคนในสังคมทั่วไป เขาไม่อาจปล่อยจิตให้อยู่ลำพังได้นาน บ้างก็จะออกไปห้างสรรพสินค้า จิตก็จะไปจับอยู่ที่การช็อปปิ้งบ้าง ผู้ชายอาจจะไปนั่งกินเหล้ากับเพื่อน จิตจะได้เกาะอยู่กับวงสนทนาบ้าง บางคนก็ใช้การดูทีวี บางคนก็ใช้การเล่นโทรศัพท์มือถือ บางคนก็ใช้การฟังเพลง บางคนก็ใช้การท่องเที่ยว ฯลฯ ต่างๆ นานา
อย่างสุนัขใช้การนอนกลางวัน เป็นเครื่องอยู่ ฯลฯ ไปถึงผู้คนทั่วไป บางคน อาศัยการเตรียมอาหารเพื่อใส่บาตรทุกเช้า เป็นเครื่องอยู่ ลูกคนรวยใช้การสะสมเครื่องบินเล็ก บังคับวิทยุ เป็นเครื่องอยู่ คุณย่าคุณยาย อาศัยการดูแลรับส่งหลานอย่างใกล้ชิดเป็นเครื่องอยู่ แม่ค้าตามตลาด อาศัยหวยรัฐบาล เป็นเครื่องอยู่ เดือนละ ๒ หนก็ยังดี คนไฮโซบางคนอาศัยการบริจาคงานการกุศล ได้ออกทีวีเป็นที่รู้จักกว้างขวาง เชิดหน้าชูตา เป็นเครื่องอยู่ สาวกลัทธิเมาบุญ อาศัยความงมงายได้เห็นมโนนินิต ยึดติดตามอุปาทานหมู่ ตู่เสมือนได้นิพพาน จึงบริจาคทานเต็มตัว การสะสมบุญตุนเสบียง เป็นเครื่องอยู่ของพวกเขา และอื่นๆ อีกมากมายที่ต่างมี "เครื่องอยู่" เป็นของตัวเอง เท่าที่สาธยายมา ก็เห็นแต่ "เครื่องอยู่" ในทางโลกอันสวนทางพระนิพพานเสียเป็นส่วนมาก คือยังไม่มีหลักธรรมที่ชัดเจน จิตยังเคว้งคว้าง หาเครื่องอยู่ที่ถูกต้องไม่ได้ คล้ายจิตเป็นอนาถา ธรรมชาติของจิตมันว่องไว จึงต้องหาอะไรเกาะยึดอยู่เสมอ และคนส่วนมากยังปลีกวิเวก ทำจิตสงบกันไม่เป็น จึงหาเครื่องอยู่อันประเสริฐยังไม่ได้ แล้วอะไรล่ะ คือธรรมเป็นเครื่องอยู่ (วิหารธรรม) ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ?
พุทธดำรัสตอบ... “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกปริพพาชกผู้ถือลัทธิอื่นจะพึงถามเธอทั้งหลายว่า...พระสมณโคดมอยู่จำพรรษาด้วยวิหารธรรมข้อไหนเป็นส่วนมาก เธอทั้งหลายพึงตอบอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคอยู่จำพรรษาด้วยสมาธิ อันประกอบด้วยอานาปานสติมาก... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรามีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออก ยาวก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น ย่อมรู้ชัดว่า เราจักกำหนดรู้กองลมหายใจทั้งปวงหายใจออก... ย่อมรู้ชัดว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความสละคืนหายใจออก ย่อมรู้ชัดว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความสละคืนหายใจเข้า...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อันภิกษุเหล่านั้นเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน และเพื่อสติสัมปชัญญะ.” (อิจฉานังคลสูตร)
ว่าโดยง่ายคือใช้สุญญตาวิหารเป็นเครื่องอยู่นั่นเอง... ใช้ได้ดีทั้งพระหรือฆราวาสก็ตาม อย่าคิดว่า พุทธพจน์ที่พระองค์ตรัสไว้ จะเป็นแนวทางเฉพาะแก่พระภิกษุสงฆ์เท่านั้น แท้ที่จริง เครื่องอยู่ชนิดนี้เหมาะสมกับทั้งพุทธบริษัท ๔ (ภิกษุ, ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา) โดยเสมอกันนั่นแหละ พระพุทธเจ้ายังปรารภไว้ด้วยว่า ยิ่งกับคฤหัสถ์ ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกกิเลสรุมเร้า ยิ่งจำเป็นจะต้องมีสุญญตาวิหารเป็นเครื่องอยู่มากกว่าพระเสียอีก... เปรียบประดุจเตาหลอมเหล็กกล้าอันร้อนแรง ยังมีสุญญตา (ความว่าง) อยู่ใจกลางเตาหลอมนั้น เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงนั่นเอง คำว่า “สุญญตาวิหาร” ก็แปลว่า การเข้าอยู่ในสุญญตา. สุญญตา แปลว่า ภาวะของจิตที่ว่างจากกิเลส; โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ว่างจากความรู้สึกว่า... เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา เป็นเขา, ภาวะที่ไม่มีความรู้สึกว่า เป็นตัวตน หรือของตนนั้น เรียกว่า... สุญญตา. ถ้าจิตเข้าไปอยู่ในภาวะอย่างนั้น เรียกว่า อยู่ในสุญญตาวิหาร. เราควรจะเข้าใจคำว่า “ว่าง” กันเสียให้สมควรก่อน. คำว่า “ว่าง” ในทางโลกหมายความว่าไม่มีอะไรเลย. แม้คำว่า จิตว่างในทางธรรม ก็มิได้หมายความว่า… จิตไม่ได้คิดได้นึกอะไรเลย; จิตยังรู้สึกอยู่ตามเดิมทุกประการ, เพียงแต่ว่า จิตไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวตน หรือของตน เท่านั้น. มันมีความรู้สึกนึกในหน้าที่การงาน หรือในวิชาความรู้ในสิ่งต่างๆ ได้; ว่างอย่างเดียวแต่ความรู้สึกที่เป็นตัวเป็นตนเท่านั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสว่า : ดูก่อนอานนท์, ในกาลก่อนก็ดี ในกาลบัดนี้ก็ดี ตถาคตอยู่มากด้วยสุญญตาวิหาร. นี้เป็นประโยคแรกที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสในสูตรนี้ ว่า... เดี๋ยวนี้ก็ดี ที่แล้วๆ มาก็ดี ตถาคตใช้เวลาส่วนมาก ให้ล่วงไปด้วยสุญญตาวิหาร; หมายความว่า... อยู่ด้วยความรู้สึกของจิตที่มิได้กำหนดสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยความเป็นตัวตน, หรืออยู่ด้วยมีความหมายอันประกอบไปด้วยคุณค่า อย่างใดอย่างหนึ่ง.
อานาปานสติเป็นอุบายชั้นเลิศของการอยู่ในสุญญตาวิหาร... เพราะลมหายใจ ติดตัวเราไปอยู่ในทุกขณะ ทุกสถานที่ เราอาจจะลืมโทรศัพท์มือถือ หรือเอกสารสำคัญ ก่อนออกจากบ้าน แต่เราไม่เคยลืมที่จะเอาลมหายใจไปด้วยเสมอ อานาปานสติ ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ของสติ ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา เข้าสู่ความว่างได้ทั้งในยามหลับตาหรือลืมตา ทั้งในอิริยาบถที่นิ่งเฉย (เช่นขณะนั่งสมาธิ) หรือ ในอิริยาบถที่กำลังเคลื่อนไหว เครื่องอยู่ชนิดนี้มีกันทุกคน เพียงแต่ต้องอาศัยการฝึกฝนและพัฒนาอย่างเป็นระบบและมีสัมมาทิฏฐิเท่านั้น ใครใช้เป็นแล้ว จะไม่เหงา เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย แม้จะอยู่วิเวกโดยลำพังก็ตาม (คนเมืองให้ลองสังเกตดู พวกท่านอาจกำลังเหงาสุดขั้วหัวใจ แม้ขณะอยู่ท่ามกลางผู้คน เพื่อนฝูง และเสียงดนตรีคลอเคล้า ก็ได้?) เครื่องอยู่ชนิดนี้ยังไม่ต้องอิงอาศัยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ไม่ว่าจะเป็น ทีวี วิทยุ สมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ก็ตาม ไม่ต้องอาศัยผู้คน ญาติมิตร ทั้งไม่ต้องใช้สตางค์แม้แต่บาทเดียว เป็นไปตามพุทธพจน์จริงๆ “นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง สุขอื่นนอกเหนือจากความสงบไม่มี” และเครื่องอยู่ชนิดนี้แหละ ที่พัฒนาหัวจิตหัวใจของคนเรา ให้ยกระดับดีกรีที่สูงขึ้น ละเอียด ปราณีตยิ่งๆ ขึ้น จนเริ่มสังเกตเห็นด้วยตัวท่านเองแล้วว่า... ความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มันค่อย ผ่อนคลาย จืดจาง เบาบางลงเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งสิ้นทุกข์ อย่างไม่เหลือวิสัยเลยทีเดียว
การจัดงานกฐินในปีนี้เป็นช่วงโควิดขาลง แต่ก็ต้องรักษาโควิดกันด้วย โควิดก็อ่อนกำลังลง เท่ากับเป็นหวัดอย่างเบาๆ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทหารตำรวจ ที่ช่วยดูเเลกัน คนมามากสมัครสมานสามัคคีอย่างนี้ดีมาก
ทุกคนถามว่า ศาสนาของเราจะดีขึ้นอีกได้ไหม? ดีขึ้นเเน่นอน ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ถ้าทุกคนเสียสละ ข้อสำคัญมันอยู่ที่ผู้นำ ถ้าผู้นำเเก้ไขตัวเองสิ่งภายนอกมันก็ง่าย ถ้าผู้นำเป็นตาลยอดด้วนไม่ยอมเเก้ไข เค้าเรียกว่าพันธุ์เป็นหมันเเล้ว เอามาปลูกมาก็ไม่ออกลูก สำคัญอยู่ที่ผู้นำ เราไปทำตามใจตัวเองไปทำตามอารมณ์ไม่ได้ มหานรกจะเกิดขึ้นเเก่เรา มหาอเวจีจะเกิดขึ้นเเก่เรา ประเทศไทยจะทะเลาะวิวาท เเตกความสามัคคีกัน คนจิตใจหยาบสกปรก เมื่อเราไม่พัฒนาตัวเอง โลกนี้ก็จะพินาศ ประเทศไทยของเราก็จะพินาศ เราจะไปคิดรวยอย่างโง่ๆ ไม่ได้ เป็นข้าราชการนักการเมืองอย่างโง่ๆ ไม่ได้ เราต้องกตัญญูกตเวทีต่อประเทศชาติ บ้านเมืองของเรา ต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ของเรา โลกเค้าพัฒนาเรื่องวัตถุ เรื่องเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์น่ะ "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นก็ถึงมี" เราก็มาพัฒนา 'อริยมรรค' พัฒนา 'ข้อวัตรปฏิบัติ' ให้มีในตัวในตน พยายามเชื่อมั่นในตัวเองให้มาก ชีวิตนี้จะไม่ได้งมงาย ไม่ได้เพ้อฝันไปหลงความสุข ที่จะทำให้เราตกนรกไปจนไม่รู้จักที่จบที่สิ้น เราประพฤติปฏิบัติไปก็ย่อมเข้าถึงความสงบ ความดับทุกข์ไปเรื่อยๆ ให้พากันตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ในสิ่งที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติที่ถูกต้อง ทุกท่านทุกคนจะได้เข้าถึงความประเสริฐที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อประสบความสำเร็จคือเดินตามอริยมรรคสู่มรรคผลพระนิพพาน
หลวงปู่มั่นสอนว่า “ความไม่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน ความยิ่งใหญ่คือความไม่ยั่งยืน ชีวิตที่ยิ่งใหญ่คือชีวิตที่อยู่ด้วย ทาน ศีล เมตตาและกตัญญู ชีวิตที่มีความดีอาจมิใช่ความยิ่งใหญ่แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น”
ไม่มีมิตรสหายใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความรู้"
ไม่มีศัตรูใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความเจ็บไข้ได้ป่วย"
ไม่มีความรักใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความรักของพ่อแม่"
ไม่มีอำนาจใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."กฏแห่งกรรม"
ไม่มีคุณงามความดีใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความกตัญญูกตเวทิตา"
ไม่มีความสุขใดใด จะยิ่งไปกว่า..."ความสงบ" (นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ)
ขออนุโมทนากับข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชนทุกหมู่เหล่าตลอดจนถึงคณะศรัทธาสาธุชนที่มีน้ำใจ เสียสละเวลา เสียสละแรงกาย เสียสละทรัพย์สินเงินทอง มาช่วยกันเตรียมงานจัดงานทอดกฐินสามัคคีในปีนี้ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี