แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๕
ความสมัครสมานสามัคคี พระพุทธเจ้าเห็นความสมัครสมานสามัคคีกันเป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ท่านทรงเป็นประธานพาพระภิกษุทำกฐิน พระพุทธศาสนาต้องมีอยู่ในใจของเราทุกคน ทุกครัวเรือนเพราะว่าทุกท่านทุกคนต้องรู้จักคำว่าศาสนา ศาสนาคือธรรมะ คือความถูกต้อง ความยุติธรรม ความเป็นธรรม ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง เป็นผู้ที่มีความสุขอยู่กับงานในชีวิตประจำวัน ไม่ทำบาปทั้งปวง ไม่กินเหล้า ไม่กินเบียร์ ไม่เล่นการพนัน ทุกคนจะไม่ถือศาสนานี้ไม่ได้ ศาสนาทุกศาสนาก็คือสิ่งเดียวกัน ไม่ว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ก็ธรรมะ เราไม่อาจจะแยกกันได้ ทุกคนก็ล้วนแต่เป็นญาติพี่น้อง เกิดแก่เจ็บตาย พลัดพราก ที่มาใช้ร่างกายอยู่ไม่เกินร้อยปี ทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป
ชีวิตของเราพระพุทธเจ้าให้พวกเราพากันมาปฏิบัติในปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นการปฏิบัติ เอาความถูกต้อง ตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ แล้วก็พัฒนาใจพร้อมกันไป ความสุขความดับทุกข์มันจะมีอยู่กับพวกเราทุกคนในปัจจุบัน วัดนี้คือข้อวัตร ข้อปฏิบัติ วัดนี้ไม่ใช่โบสถ์ ไม่ใช่วิหาร ไม่ใช่เจดีย์ ไม่ใช่พระพุทธรูป วัดนี้คือพระธรรมคำสั่งสอน ที่ทุกคนต้องประพฤติปฏิบัติ ทุกคนต้องมีวัด มีข้อวัตร มีข้อปฏิบัติ พระพุทธเจ้าเพียงแต่เราได้ยินชื่อก็เป็นบุญเป็นกุศล พระนี้ที่เราเห็นก็เป็นบุญ เป็นกุศล สิ่งที่เราเห็นทางตา ได้ฟังทางหู ส่วนมากก็ยังไม่ได้เป็นพระ เป็นเพียงภิกษุ ถ้าทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึกตัวเอง ยึดมั่นถือมั่น บุคคลนั้นก็ได้แค่สวมแบรนด์เนม ปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวพักตร์ ท่านผู้นั้นก็หาได้เป็นพระ เป็นธรรมวินัย เป็นมรรคผลพระนิพพานไม่ วัดนี้ถึงเป็นสถานที่ของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเพื่อมุ่งมรรคผลพระนิพพาน ถ้าเราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า เราอยู่ทางบ้าน เรามีความสุข เราก็สามารถเป็นพระได้ พระนี้นับเอาตั้งแต่พระโสดาบันไปถึงพระอรหันต์ ประชาชนก็เป็นพระได้ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ยังไม่ได้ เพราะยังห่วงลูกห่วงหลานห่วงธุรกิจอยู่ ให้เข้าใจอย่างนี้
ในประเทศไทยเรานี้ ไม่เข้าใจวัด ไม่เข้าใจพระศาสนา ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจพระ นึกว่าโกนหัวห่มผ้าเหลืองเป็นพระ มันยังไม่ใช่ และยังไม่เข้าใจวัด วัดต่างๆถึงผิดพลาดโดยการมีมหรสพ มีลิเก มีหมอลำ มีหนังตะลุง มีภาพยนต์ มีการจัดคอนเสิร์ต มีการชกมวยการกุศล อย่างนี้มันไม่ถูกต้องเพราะการหาเงิน หาสตางค์จากสิ่งเหล่านั้นถือว่ามันผิด พระพุทธเจ้าให้เรามีวัด พากันประพฤติพากันปฏิบัติให้ถูกต้อง บ้านเมืองของเราจะได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข โยมพากันเข้าใจนะ ถ้าไม่เข้าใจ จะรักษาพระศาสนาไว้ไม่ได้ จะเอาลูกเอาหลานมาบวชก็ต้องบอกลูกบอกหลานว่า การมาบวชตามพระพุทธเจ้าเหมือนดาบสองคม ดังพระบาลีที่ว่า “กุโส ยถา ทุคฺคหิโต หตฺถเมวานุกนฺตติ สามญฺญํ ทุปฺปรามฏฺฐํ นิรยายูปกฑฺฒติ = หญ้าคาที่บุคคลจับไม่ดี ย่อมบาดมือ ฉันใด ความเป็นสมณะที่ลูบคลำไม่ดี คือประพฤติไม่ดี ย่อมฉุดคร่าลงในนรก ฉันนั้น” เพราะเพศสมณะเป็นของสูง ถ้าทำไม่ดีก็เหมือนเราตกจากที่สูงมันก็ตาย พิกลพิการ สู้เราไม่บวชดีกว่า ถ้าเราไม่เอามรรคผลนิพพาน วัดวาของเราในครั้งพุทธกาลเมื่อพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่มี ไม่มีใครบวชเพื่อเอาศาสนาหากิน แต่บวชเอาพระนิพพาน ไม่มีใครบวชเพื่อจะลาสิกขา บวชแล้วต้องตัดทางโลกหมด ถึงพากันเป็นพระเป็นสมณะแท้ๆ
การจัดงานกฐินถึงไม่มีตัวเลขทางปัจจัยว่าได้เท่าไหร่ เพราะอันนี้ไม่ใช่หลักสำคัญ หลักสำคัญก็คือวัดต้องมีพระธรรม มีพระวินัย มีข้อวัตร มีข้อปฏิบัติ ประชาชนก็พากันสร้างวัดในตัวของประชาชน สร้างวัดในที่ทำงาน วัดคือข้อวัตร ข้อปฏิบัติ การทำงานกับการปฏิบัติธรรมมันคืออันหนึ่งอันเดียวกัน งานทอดกฐินคนก็เยอะ งานสมัครสมานสามัคคีกันก็ต้องคนเยอะ เพราะอันนี้คืองานส่วนรวม บางคนก็ยังไม่เข้าใจ อยากจะมีชีวิตเป็นส่วนตัว ไม่ชอบคนเยอะ ถ้าคนน้อยก็ไม่ได้สมัครสมานสามัคคีกัน เพราะการสมัครสมานสามัคคีกันคือสิ่งที่สำคัญ พระศาสนานี้ให้เอาพระธรรม เอาพระวินัย หลังพุทธกาลก็มีย่อหย่อนอ่อนแอต้องทำสังคายนากันหลายครั้ง ย่อหย่อนอ่อนแอพระทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเองพระพุทธศาสนาถึงต้องสูญเสียไปจากประเทศอินเดีย เขาเผามหาวิทยาลัยนาลันทาเพราะพระไม่เอาธรรม ไม่เอาพระวินัย เอาแต่ความสะดวก ความสบาย เข้าแต่ข้าราชการที่มีอำนาจ เข้าแต่คนรวย หากินไปทางไม่ถูกต้อง ประชาชนต้องพากันเข้าใจ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่ได้ร้อนแรงและรุ่งเรืองด้วยรัศมีเพราะโทษมลทิน ๔ ประการ คือ หมอก ควัน ธุลี และอสุรินทราหู กำบังฉันใด ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ จะไม่มีตบะรุ่งเรืองด้วยศีล เพราะโทษมลทิน ๔ ประการปิดบังไว้ คือ ดื่มสุราเมรัย เสพเมถุนธรรม ยินดีรับเงินและทองอันเป็นเหมือนภิกษุนั้นยินดีบริโภคซึ่งกามคุณ และภิกษุเลี้ยงชีพในทางมิชอบด้วยเวชชกรรม กุลทูสกะ (ประจบเอาใจคฤหัสถ์ด้วยอาการอันผิดวินัย) อเนสนา (การหาลี้ยงชีพในทางที่ไม่สมควรภิกษุ) และวิญญัติ (ขอสิ่งของต่อคฤหัสถ์ผู้ที่ไม่ญาติ ผู้ไม่ใช่คนปวารณา) พร้อมด้วยกล่าวอวดอุตตริมนุษย์ธรรม อันไม่มีจริง"
อุปปถกริยา คือ การกระทำนอกรีตนอกรอยของพระภิกษุสามเณรมี ๓ ประเภท ได้แก่ ๑. อนาจาร คือ การประพฤติที่ไม่ดีไม่งาม ไม่เหมาะสม แก่ภาวะของความเป็นบรรพชิต ซึ่งมี 3 อย่าง คือ การเล่นเหมือนเด็ก การร้อยดอกไม้ การเรียนดิรัจฉานวิชา เช่น การทำนายฝัน การทายหวย การทำเสน่ห์ ดูลายมือ เป็นต้น
๒. บาปสมาจาร คือ ความประพฤติเหลวไหล เลวทราม เช่น ชอบประจบคฤหัสถ์ด้วยอาการอันไม่เหมาะสม
๓. อเนสนา คือ การหาเลี้ยงชีพในทางที่ไม่เหมาะสมกับความเป็นภิกษุ ผิดสมณวิสัย เช่น การหลอกลวงเขาด้วยการอวดอุตริมนุสธรรม ทำวิญญัติ คือออกปากขอต่อคนที่ไม่ควรขอ ใช้เงินลงทุนหาผลประโยชน์ ต่อลาภด้วยลาภ คือให้แต่น้อยเพื่อหวังตอบแทนมาก เป็นหมอเวทมนต์ เสกเป่า เป็นต้น
พระพุทธเจ้ายังตรัสบอกว่า ให้พวกเราพากันประพฤติพรหมจรรย์เพื่อมรรคผลพระนิพพาน อย่าได้กังวลในเรื่องที่อยู่อาศัย ในเรื่องขบฉันเลย ใจของพระต้องเสียสละใจจะได้เป็นธรรมเป็นคุณธรรม ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ชื่อว่าไม่ใช่สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จะกลายเป็นศาสนาเนื้องอก เหมือนร่างกายของคนเราที่เป็นมะเร็ง ก็เพราะว่ามาจากเนื้อร้าย เนื้องอก เนื้องอกในพระพุทธศาสนามีมากมาย ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งทุกวันนี้ เรื่องไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ เรื่องการทำนายทายทัก การทำตนเป็นผู้วิเศษ ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ทำตะกรุด ทำผ้ายันต์ ทำธุรกิจพุทธพาณิชย์ต่างๆ แบบนี้นี่ ทำมาก็เพื่อว่าเอามาหลอกคนโง่ๆ เพื่อหากิน เหตุผลก็มาจากว่า พระกลุ่มนั้นไม่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม พอเอาดีทางการปฏิบัติไม่ได้ ก็เลยหันไปหาทำธุรกิจ ทำพุทธพาณิชย์ เพราะมันหาลาภ หาปัจจัยหาเงิน หาทองง่าย หลอกคนง่าย ดังนั้นแล้ว ศาสนาเนื้องอกเหล่านี้ มีมาตั้งแต่โบราณจนกระทั่งทุกวันนี้ ยิ่งเป็นหนักเข้าไปใหญ่ การกระทำเช่นนี้พุทธเจ้าบอกว่าเป็นเดรัจฉานวิชา วิชาที่มันขวาง ขวางต่อการบรรลุมรรคผลพระนิพพาน
เรื่องทำพระขายพระพุทธรูปทำเหรียญทำอะไรขายเป็นพระหมอดูมันผิดพระวินัย บางทีผู้ที่บวชมาใหม่นึกว่าอันนี้เป็นศาสนาพุทธ พระเรานี่ไม่มีธรรมวินัยเลย ไม่มีข้อวัตรข้อปฏิบัติอะไรเลย พระนี่ทำความผิดพระธรรมพระวินัยเยอะมาก ระดับมหาเถระ ระดับเถระ จนมาถึงพระหนุ่มเณรน้อยเพราะว่ายังเป็นมิจฉาอาชีวะพระอยู่ เช่น เป็นหมอดูหมอเดา หมอโหราศาสตร์ทำเครื่องรางของขลัง ถือว่าผิดพระธรรมพระวินัย 100% จนทำให้ผู้ที่บวชมาแล้ว นึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นศาสนาพุทธ วัดต่างๆ ถึงพากันทำออกมา ที่มีการปลุกเสก ที่จริงหน่ะ พระพุทธเจ้าท่านขลังท่านศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว ไม่ต้องพากันไปปลุกเสกท่านหรอก ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าพระอรหันต์ท่านขลังท่านศักดิ์สิทธ์อยู่แล้ว คำว่า ขลังศักดิ์สิทธิ์ ก็หมายถึงพระธรรมพระวินัย เอาพระนิพพานเป็นหลักเป็นที่ตั้ง
เราไปในวัดในสถานที่สำคัญๆ ต่างๆ ก็มักจะเห็นมีแต่ขายพระขายเหรียญ ไปทางขลังศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่นับถือศาสนาไม่ได้ เอาพระนิพพาน เอาแต่ขลังศักดิ์สิทธิ์อะไรอย่างนี้ มันผิดจุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า ให้ทุกคนไม่ว่าเป็นนักบวชหรือประชาชน ให้พากันเข้าใจพระธรรมะวินัย เข้าใจมรรคผลพระนิพพาน ถ้างั้นไม่ได้ เสียหาย ประชาชนก็พากันให้เข้าใจ บางทีพูดไปแต่ทางขลังศักดิ์สิทธิ์ แร่ธาตุที่นู้นแร่ธาตุที่นี้ เอาดินประเทศนู้น ดินประเทศนี้ มาขลังศักดิ์สิทธิ์อย่างนู้นอย่างนี้ มันไม่ใช่พระพุทธศาสนา มันเป็นพุทธพาณิชแล้วก็พูดโฆษณามากมาย พูดโหมกระแสเพื่อจะให้คนเกิดศรัทธา อย่างงี้แหละ มันไม่ถูกต้อง ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ที่ออกพระสมเด็จมา ไม่ใช่เพื่อขลังศักดิ์สิทธิ์ กันปืนกันระเบิด แต่จุดประสงค์เพื่อให้ทุกคนตั้งมั่นในพระรัตนตรัย เพราะว่าไม่มีอะไรที่ประเสริฐเท่ากับพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เอาพระธรรมเอาพระวินัย แต่กาลเวลาผ่านมาๆ โอ๋.... มันเสียหายมากไปเนาะ เพราะเอาไปเป็นธุรกิจซื้อขายเป็นพุทธพาณิช เลยไปทางไสยศาสตร์ไปแล้วเดี๋ยวนี้
ความย่อหย่อนอ่อนแอของสามัญชนที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ศาสนาพราหมณ์กลืนกินศาสนาพุทธ ทำไมศาสนาพุทธถึงเสื่อมที่อินเดีย เพราะการเรียนการศึกษา ประมาทในการประพฤติปฏิบัติ ทำแค่ ศาสนพิธี เอาแต่พิธีพราหมณ์ ไม่เข้าถึงภาคปฏิบัติ ปฏิบัติแบบนิกายตันตระ พระภิกษุกินเหล้ากินสุรามีลูกมีภรรยา ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ช่วงที่ชาวมุสลิมมาโจมตีมหาวิทยาลัยนาลันทา ประชาชนเลยไม่ได้มาช่วยเพราะไม่ได้ศรัทธา
เหตุทั้งหลายที่ทำให้พุทธศาสนาต้องสูญสิ้นไปจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ชัดเจนเมื่อ พ.ศ. ๑๗๐๐
๑. เหตุอันแรกที่เราเห็นได้ พูดง่ายๆ ว่า ชาวพุทธเราใจกว้าง แต่ศาสนาอื่นเขาไม่ใจกว้างด้วย นี่ก็เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาสูญสิ้นไป เพราะว่าเมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นนั้น ก็สอนแต่เพียงหลักธรรมเป็นกลางให้คนประพฤติดี ทำความดี จะนับถือหรือไม่นับถือก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าเป็นคนดีแล้วก็ไปสู่คติที่ดีหมด ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นชาวพุทธจึงจะไปสวรรค์ได้ หรือว่าชาวพุทธที่มานับถือแล้วทำตัวไม่ดีก็ไปนรกเหมือนกัน อะไรทำนองนี้
เมื่อชาวพุทธได้เป็นใหญ่ อย่างเช่นพระเจ้าอโศกมหาราชครองแผ่นดินก็อุปถัมภ์ทุกศาสนาเหมือนกันหมด แต่ผู้ที่ได้รับอุปถัมภ์เขาไม่ได้ใจกว้างตามด้วย เพราะฉะนั้นพวกอำมาตย์พราหมณ์ของราชวงศ์อโศกเอง ก็เป็นผู้กำจัดราชวงศ์อโศก จะเป็นว่าอำมาตย์ที่ชื่อปุษยมิตรก็ได้ปลงพระชนม์พระเจ้าแผ่นดินที่เป็นหลานของพระเจ้าอโศก แล้วตั้งราชวงศ์ใหม่ที่กำจัดชาวพุทธ แต่ก็กำจัดได้ไม่เสร็จสิ้น มีมาเรื่อย จนกระทั่งถึงพระเจ้าหรรษวรรธนะครองราชย์ อำมาตย์ฮินดูก็กำจัดพระองค์เสียอีก ก็เป็นมาอย่างนี้ จนในที่สุดมุสลิมก็เข้ามาบุกกำจัดเรียบไปเลย เมื่อ พ.ศ. ๑๗๐๐ นี้ก็เป็นเหตุอันหนึ่งที่เห็นได้ง่าย ยังมีเหตุอื่นอีก ชาวพุทธเองก็เป็นเหตุด้วย อย่าไปว่าแต่คนอื่นเขา
ใจกว้างจนลืมหลัก เสียหลักจนถูกกลืน ในด้านหนึ่ง ความใจกว้างของชาวพุทธนั้น บางทีก็กว้างเลยเถิดไป จนกลายเป็นใจกว้างลืมหลักหรือใจกว้างอย่างไม่มีหลัก ไม่ยืนหลักของตัวไว้ กว้างไปกว้างมาเลยกลายเป็นกลมกลืนกับเขา จนศาสนาของตัวเองหายไปเลย ที่หายไปให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ ไปกลมกลืนกับศาสนาฮินดู ตอนที่มุสลิมยังไม่เข้ามา ศาสนาพุทธเราก็อ่อนมากแล้ว เพราะไปกลมกลืนกับศาสนาฮินดูมาก ปล่อยให้ความเชื่อถือของฮินดูเข้ามาปะปน
อย่างในถ้ำอชันตา เป็นที่แสดงประวัติพระพุทธศาสนาได้อย่างดี จะเห็นได้ตั้งแต่เจริญจนถึงเสื่อม ตอนต้นจะเห็นว่าเดิมก็บริสุทธิ์ดี เป็นพุทธศาสนาเถรวาท ต่อมาก็กลายเป็นมหายาน มีคติความเชื่อของทางฮินดูเข้ามาปะปนมากขึ้น ผลที่สุดพุทธหมด จะเห็นได้ที่เอลโลร่า ผลสุดท้ายเหลือแต่ถ้ำฮินดู ถ้ำพุทธถูกกลืนหมด เพราะฉะนั้นก็เป็นคติสอนใจอันหนึ่งที่ว่าใจกว้างจนลืมหลัก ไม่ยืนยันรักษาหลักของตัวเองไว้ กลมกลืนจนกระทั่งตัวเองสูญหายไป
ในความใจกว้างและกลมกลืนนั้น มีเรื่องหนึ่งที่น่าจะกล่าวไว้ คือลักษณะการกลมกลืนกับศาสนาฮินดู ศาสนาฮินดูนั้นมีลักษณะสำคัญคือ การเชื่อเรื่องฤทธิ์เรื่องปาฏิหารย์ มีแต่เรื่องเทพเจ้าองค์นั้นมีฤทธิ์อย่างนั้น ดลบันดาลอย่างนั้น สาปกันอย่างนั้น เอาฤทธิ์มาใช้ทำลายกันต่างๆ โดยมากเป็นเรื่องของโลภะโทสะโมหะ พุทธศาสนาในยุคหลังก็ทำให้คนไปหวังพึ่งเรื่องฤทธิ์ เรื่องเทพเจ้าอะไรต่ออะไรมากขึ้น จนลืมหลักของตัวเอง
๒. ในทางพระพุทธศาสนานั้น จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าก็มีฤทธิ์เหมือนกัน เป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งในบรรดาปาฏิหาริย์ ๓ แต่ต้องยืนยันหลักไว้เสมอว่า ปาฏิหาริย์ที่สำคัญที่สุดคืออนุศาสนีปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ที่เป็นหลักคำสอน ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ที่เป็นการแสดงฤทธิ์ต่างๆ ในทางพุทธศาสนาให้ถือการกระทำของเราเป็นหลัก ส่วนฤทธิ์หรือเทพเจ้านั้น จะมาเป็นตัวประกอบหรือช่วยเสริมการ กระทำของเรา จะต้องเอาการกระทำของตัวเองเป็นหลักเสียก่อน ถ้าหากว่าเราไม่เอาการกระทำหรือกรรมเป็นหลัก เราก็จะไปหวังพึ่งการดลบันดาลของเทพเจ้า หวังพึ่งฤทธิ์ของผู้อื่นมา ทำให้ ไม่ต้องกระทำด้วยตนเอง ก็งอมืองอเท้า มันก็มีแต่ความเสื่อมไป
จุดที่เสื่อมก็คือตอนที่ชาวพุทธลืมหลักกรรม ไม่เอาการกระทำของตัวเองเป็นหลัก ไปหวังพึ่งเทพเจ้า ไปหวังพึ่งฤทธิ์พึ่งปาฏิหาริย์ ตราบใดที่เรายืนหลักได้ คือเอากรรมเอาการกระทำเป็นหลัก แล้วถ้าจะไปนับถือฤทธิ์ปาฏิหาริย์บ้าง ฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้น ก็มาประกอบมาเสริมการกระทำก็ยังพอยอม แต่ถ้าใครใจแข็งพอก็ไม่ต้องพึ่งฤทธิ์ ไม่ต้องพึ่งปาฏิหาริย์อะไรทั้งสิ้น เพราะพุทธศาสนานั้น ถ้าเราเอากรรมหรือการ กระทำเป็นหลักแล้ว ก็จะยืนหยัดอยู่ได้เสมอ
๓. อีกอย่างหนึ่งที่ควรระวัง คือพอมีภัยหรือเรื่องกระทบกระเทือนส่วนรวม ชาวพุทธไม่น้อยมีลักษณะที่วางเฉย ไม่เอาเรื่อง แล้วเห็นลักษณะนี้เป็นดีไป เห็นว่าใครไม่เอาเรื่องเอาราว มีอะไรเกิดขึ้นก็เฉยๆ ไม่เอาเรื่อง กลายเป็นดีไม่มีกิเลส เห็นอย่างนี้ไปก็มี ในทางตรงข้ามถ้าไปยุ่งก็แสดงว่ามีกิเลส อันนี้อาจจะพลาดจากคติพุทธศาสนาไปเสียแล้ว และจะกลายเป็นเหยื่อเขา ในทางพุทธศาสนานั้น ผู้ไม่มีกิเลสท่านยุ่งกับเรื่องที่กระทบกระเทือนกิจการส่วนรวม แต่การยุ่งของท่านมีลักษณะที่ไม่เป็นไปด้วยกิเลส คือทำด้วยใจที่บริสุทธิ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้ทำเป็นคติไว้แล้ว ตั้งแต่สมัยพุทธกาล
กิจการส่วนรวมเป็นเรื่องที่จะต้องร่วมกันพิจารณาเอาใจใส่ นี้เป็นคติทางพุทธศาสนา แต่ในบางยุคบางสมัยเราไปถือว่าไม่เอาธุระ จะมีเรื่องราวกระทบกระเทือน มีภัยเกิดขึ้นกับส่วนรวมก็ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวอะไรต่างๆ แล้วเป็นว่าไม่มีกิเลสไปก็มี อย่างนี้เป็นทางหนึ่งของความเสื่อมในพระพุทธศาสนา คติที่ถูกต้องนั้นสอดคล้องกับหลักความจริงที่ว่า พระอรหันต์หรือท่านผู้หมดกิเลสนั้น เป็นผู้บรรลุประโยชน์ตนสมบูรณ์แล้ว หมดกิจที่จะต้องทำเพื่อตัวเองแล้ว จึงมุ่งแต่จะบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น ขวนขวายในกิจของส่วนรวมอย่างเต็มที่
๔. อีกอย่างหนึ่งคือ การฝากศาสนาไว้กับพระ ชาวพุทธเป็นจำนวนมากทีเดียวชอบฝากพระศาสนาไว้กับพระอย่างเดียว แทนที่จะถือตามคติของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระศาสนานั้นอยู่ด้วยบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่ใช่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่จะต้องช่วยกัน
ทีนี้ พวกเรามักจะมองว่าพระศาสนาเป็นเรื่องของพระ บางทีเมื่อมีพระประพฤติไม่ดี ชาวบ้านบางคนบอกว่าไม่อยากนับถือแล้วพุทธศาสนาอย่างนี้ก็มี แทนที่จะเห็นว่าพระพุทธศาสนาเป็นของเรา พระองค์นี้ประพฤติไม่ดีเราต้องช่วยกันแก้ ต้องเอาออกไป แทนที่จะคิดอย่างนั้น กลับกลายเป็นว่าเรายกศาสนาให้พระองค์นั้น เหมือนโจรผู้ร้ายเข้ามาปล้นบ้านของเรา แทนที่จะรักษาสมบัติของเรา กลับยกสมบัตินั้นให้โจรไปเสีย พระองค์ที่ไม่ดีก็เลยดีใจกลายเป็นเจ้าของศาสนา เรายกให้แล้วบอกไม่เอาแล้วศาสนานี้ เป็นอย่างนี้ก็มี นี่เป็นทัศนคติที่ผิด ชาวพุทธเราทั่วไปไม่น้อยมีความคิดแบบนี้ ทำเหมือนกับว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของพระ เราก็ไม่ต้องรู้ด้วย
ยิ่งกว่านั้น ชาวพุทธมักไม่มีข้อปฏิบัติประจำตัวของตัวเองอย่างในศาสนาอื่น ยกตัวอย่างชาวมุสลิม เขาต้องมีละหมาดวันละ ๕ ครั้ง เป็นข้อปฏิบัติที่แสดงว่าเป็นศาสนิกของศาสนานั้นๆ แต่ชาวพุทธคฤหัสถ์ของเราไม่ค่อยมีข้อปฏิบัติของตัวเองที่ชัดออกมาว่า ถ้าเป็นชาวพุทธจะต้องปฏิบัติตัว ต้องรักษาข้อปฏิบัติอะไรบ้าง ดังนี้ เมื่อไม่มีพระเป็นหลักศาสนาก็หมด ตอนนั้นมุสลิมมาฆ่าพระหมด ชาวพุทธที่เป็นคฤหัสถ์ไม่มีหลักเลยถูกฮินดูกลืนหมด เพราะฉะนั้น ที่ว่าสูญสิ้นนั้น คือหนึ่ง ถูกเขาปราบทำลาย สอง ถูกเขากลืนไปง่ายๆ นี่เป็นเพราะฝากพระศาสนาไว้กับพระอย่างเดียว
อีกข้อหนึ่งที่โน้มไปในทางที่ทำให้เกิดการกลมกลืนได้ง่ายก็คือ ตอนที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองอยู่แล้ว และราชวงศ์ฮินดูขึ้นครองราชย์มีอำนาจเข้มแข็งเป็นผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนา ชาวพุทธก็ใจอ่อนเพราะความใจกว้างอยู่แล้ว ก็เอาใจผู้ปกครอง อย่างนั้นก็ได้ยังไงก็ได้ ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นหายไปเลย กลมกลืนกันไปหมด แต่ไปรวมอยู่ข้างในศาสนาฮินดู พระพุทธเจ้ากลายเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์
อีกข้อหนึ่งก็คือพระ พอได้รับการอุปถัมภ์มากมีความสุขสบาย บางส่วนก็มีความประพฤติย่อหย่อน และอาจจะเหินห่างจากประชาชนทั่วๆ ไป เพราะว่าได้รับความอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์เป็นต้น อย่างที่มหาวิทยาลัยนาลันทาที่ว่ารุ่งเรืองนั้น มีความเสื่อมอยู่ในตัวด้วย พระเจ้าแผ่นดินยกหมู่บ้านที่อยู่รอบบริเวณนั้น เก็บภาษีถวายบำรุงมหาวิทยาลัยนาลันทา พระสงฆ์ก็เลยไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชน อาศัยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าแผ่นดินอยู่สบาย เรียนหนังสือไปเป็นนักปรัชญาอะไรต่ออะไรถกเถียงกันไป ห่างประชาชนนานๆ เข้า พุทธศาสนาก็หมดความหมายไปจากประชาชน
ต่อจากนั้นก็มาถึงคติการสร้างสิ่งใหญ่โต ให้สังเกตว่าเมื่อมีการสร้างสิ่งใหญ่โต มากๆ ไม่ช้าศาสนามักจะค่อยๆ เสื่อม บางทีพระอาจจะมัววุ่นวายหรือเพลินกับงานพวกนี้ จนลืมทำหน้าที่หลักของตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณารายละเอียดว่าเป็นเพราะเรื่องอะไร แต่อย่างน้อยข้อพิจารณาสำคัญ คือจะต้องแยกว่าเป็นการก่อสร้างเพื่อใช้งานที่ยิ่งใหญ่ หรือเป็นการสร้างเพียงเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่
จะอย่างไรก็ตาม ในการสร้างสิ่งใหญ่โตจะต้องคำนึงถึงเสมอว่า จะต้องมีคนไว้ใช้สิ่งก่อสร้างนั้น เอาไว้รักษาบ้าง เอาไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์บ้าง เพราะสร้างขึ้นมาทำไม ถ้าไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ทีนี้คนที่จะใช้ก็ต้องเป็นคนที่มีธรรม เป็นผู้ปฏิบัติตามธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่โตก็ต้องสร้างคนไปด้วย สร้างคนดีที่จะมาใช้รักษาสิ่งที่สร้างนั้น
การลืมสร้างคนนี้ อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมโทรมลงไป เพราะฉะนั้นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตนั้น เมื่อเหลือหลงมาก็กลายเป็นเหยื่อของผู้อื่นต่อไป หนึ่ง ก็กลายเป็นสิ่งมีค่าที่เขาอยากครอบครอง สอง เขาก็เอาไปใช้ในศาสนาของเขา ถ้าไม่ใช้เขาก็เอามาลบหลู่ให้เป็นที่กระทบกระเทือนใจแก่พวกเรา อย่างที่ได้ไปเห็นกันหลายๆ แห่ง..”
ที่ศาสนาพุทธเสื่อม ไม่ได้เสื่อมเพราะศาสนาพราหมณ์ ไม่ได้เสื่อมเพราะศาสนาอิสลามมารุกราน เสื่อมเพราะพระในพุทธศาสนามีความประพฤติย่อหย่อน เพราะตัวศาสนาพุทธเองจะเสื่อมไปไม่ได้ เพราะเป็นของจริงของแท้เหมือนทองคำ 100% เหมือนเพชร 100% มันจะเสื่อมไม่ได้ แต่ที่พลาดไป เพราะไม่ได้เอาธรรมะมาปฏิบัติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งหมด ไปเอาแต่กลุ่มที่มีความเห็นไปในทางเดียวกัน การสังคายนาในภาคการปฏิบัติมันไม่ได้เกิดขึ้น อันนี้เป็นการที่ก้าวผิด มันเลยทำให้สงฆ์แตกแยกกัน
ประชาชนส่วนใหญ่เกิดมาก็เห็นแต่เนื้องอก ไม่เข้าใจ เลยทำให้ศาสนาพุทธที่อยู่สูงส่ง พากันดึงลงมาทำให้ต่ำต้อยด้อยค่า ด้วยการเอามาเป็นเครื่องมือในการทำมาหากินอย่างไร้ยางอาย ไร้หิริโอตตัปปะ ไร้ความละอายชั่วกลัวต่อบาป คนที่มาบวชก็มาบวชแต่ทางกาย แต่ใจไม่ได้บวช ใจก็ยังเป็นโจร เป็นมหาโจร เป็นเปรต เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน มาตรฐานของผู้ที่มาบวชส่วนใหญ่ ก็มาจากเกรดต่ำ เช่น ระบบสมองสติปัญญาเป็นคนไม่ฉลาด ติดเหล้า ติดยาเสพติด ติดการพนัน เป็นคนไม่รับผิดชอบ ขี้เกียจขี้คร้าน พอบวชแล้วก็เอานิสัยเดิมๆ อยู่ ไม่ได้มาบวชเพื่อมรรค ผล นิพพาน แต่ว่าบวชเพื่อเอาศาสนาทำมาหาเลี้ยงชีพ กินๆ นอนๆ ไปวันๆ เท่านั้น แถมยังประกอบมิจฉาชีพ อันเป็นมิจฉาอาชีวะ เป็นเดรัจฉานวิชาดังที่ว่ามา เราจึงจะเอาเป็นมาตรฐานไม่ได้ เราจะเอาพระส่วนใหญ่ที่ทำแบบนี้ ที่ทำกันมากๆ ทำกันจนเป็นประชาธิปไตยไปแล้ว จะเอามาเป็นแบบอย่างตัวอย่างไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ เอาแต่ตัวตน เอาประโยชน์ตน ประโยชน์พวกพ้องเป็นที่ตั้ง ทำเหมือนกันหมด ไม่เอาพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ทำกันแบบนี้จนเป็นประชาธิปไตยของอลัชชีไปแล้ว เป็นผู้ไม่ละอายชั่ว ไม่เกรงกลัวต่อบาป ความไม่ละอายชั่วกลัวบาปจึงเป็นสิ่งที่ปิดกั้นมรรค ผล พระนิพพาน จึงพากันเป็นสภาคาบัติกันหมด คือทำผิดเหมือนๆ กัน ต่อให้แสดงอาบัติอย่างไรก็แสดงไม่ตก เพราะผิดเหมือนๆ กัน
เราอย่าไปเชื่อตัวเองนะ ในสิ่งที่มันไม่ดี ไม่ถูก อย่าไปเชื่อคนอื่น "ถึงคราวแล้ว ถึงโอกาสแล้ว" พระพุทธเจ้าท่านให้เราพึ่งธรรมวินัย ถ้ามันตาย...ก็ให้มันตาย เพราะเราได้ปฏิบัติเพื่อรักษาศีล รักษาพระธรรมวินัย เป็นผู้จรรโลงพระพุทธศาสนาที่แท้จริง "การทำจิตใจอย่างนี้เขาเรียกว่า พระธุดงค์ เณรธุดงค์ ญาติโยมธุดงค์" "เราอย่าเป็น 'พระทะลุดง' ทะลุดงโน้น ทะลุดงนี้ มันออกไปแต่ข้างนอก ไม่ได้ปฏิบัติเรื่องจิตเรื่องใจ"
สิ่งนี้มี สิ่งโน้นมันจึงมี หมายถึง เรามีตัวมีตนก็เลยมีวัฎฎสงสาร มีมานะทิฏฐิ เป็นอาการของจิตที่มีตัวตน ที่เป็นภพเป็นชาติ มันแสดงความหยาบคาย มันหน้าด้าน ไม่มียางอาย ครูบาอาจารย์ห้ามก็ไม่อยู่
พระพุทธเจ้าห้ามก็ไม่อยู่ เราจะไปปฏิบัติอย่างนั้นไม่ได้... หวังว่าทุกท่านทุกคนจะรับเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับเรื่องเพศตรงกันข้าม เกี่ยวกับการคลุกคลี เกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือ เกี่ยวกับเดรัจฉานวิชา การทำให้จิตใจตนเองเสื่อม ทำให้ศาสนาเสื่อม
เราทุกคนมีโอกาสพิเศษที่สังคมเขาสมมุติให้เราเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ บ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อ ทุกอย่างอำนวยความสะดวก สบายหมด พวกเราและท่านจะมาทำผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าไม่ได้ "เราต้องเน้นมาหาใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เจตนาที่ไม่มีความผิด ทั้งทางใจ ทางคำพูด ทางการกระทำ"
"เราทำไม่หยุด ปฏิบัติไม่หยุด มรรคผลนิพพานก็เกิดขึ้นกับเราได้โดยไม่ต้องสงสัย" ที่ทำไปสงสัยไป แสดงว่าใจเราไม่แน่วแน่ ถ้าจิตใจเราไม่แน่วแน่ในพระธรรมวินัย 'ยังเป็นผู้ไม่สุจริต' ก็จะต้องประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้กราบไหว้ตัวเองได้ ไม่ใช่ให้คนอื่นมากราบไหว้ 'พวกนั้นมันบาป'
เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ให้แข่งเรื่องมีลาภมาก มีบารมีมาก ท่านให้เน้นที่จิตที่ใจเพื่อดับกิเลส ดับตัวตน...
เราต้องยืนหยัดหนักแน่นตั้งมั่นในพระพุทธเจ้า เอาปฏิปทาของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ ให้ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า อย่าพากันถือนิสัยของตัวเอง ตัวเองมันเป็นปุถุชนจะไปถือนิสัยมันทำไม มันพึ่งโผล่มาจากนรกขุมไหน ไปถือนิสัยมันทำไม หมายถึงตัวเองนี้นะ เราต้องเข้าใจ เพราะเราทุกคนต้องพากันแก้ไขตัวเอง คือนำตัวเองเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เอาพระธรรมเป็นสรณะ เอาพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นสรณะ ก็คือตัวเรานี้แหละ เราต้องใจเข้มแข็งต้องมีปัญญา
จิตใจของตนต้องดี ต้องเบิกบาน ต้องมีความสุข เราจะได้เป็นไท เป็นอิสระจากอวิชชา ความหลง เราต้องกลับมาหาศีล หาธรรม หาคุณธรรม อย่าไปกลัวตาย อย่าไปกลัวอดตาย มันจะตายที่ไหน เพราะเราต้องเป็นคนเสียสละ เราถึงจะมีปัญญา เราทุกคนต้องเสียสละ ไม่ตามใจตัวเอง ไม่ตามความคิดตัวเอง ถึงจะมีสัมมาสมาธิ ปัญญาของเราถึงจะเกิดได้ ศีล สมาธิ ปัญญาถึงได้ไปพร้อมๆ กัน เป็นอริยมรรคมีองค์แปดที่สมบูรณ์ ชีวิตของเราจึงจะได้มีความสุขความดับทุกข์คือพระนิพพานได้