แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๔๔ อย่าพูดให้แตกสามัคคี เพราะคนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเขาเอาปากไว้ที่ใจ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกนึกคิด ที่เรามีความหลง จิตใจของเรามันหยาบ จิตใจของเรามันสกปรก เมื่อจิตใจมันหยาบ มันสกปรก จะไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ไม่คำนึงถึงความเป็นธรรม ความยุติธรรม เราจะไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ เราจะเป็นคนกล่าวตู่พุทธวจนะ จิตใจของเราจะเป็นคนเถียงพ่อเถียงเเม่ เป็นคนก้าวร้าว เพราะความไม่ละอายต่อบาป ความเกรงกลัวต่อบาป มันจะทวีขึ้น เรียกว่าเราจะเป็นคนรวยนรก รวยมหานรก เราจะไม่ได้ดื่มด่ำธรรมะโอสถเลย
พุทธเจ้าสอนเราบอกเรา ให้เราพัฒนาหลัก พัฒนาตัวเรา ให้เข้าสู่หลักเหตุหลักผลหลักวิทยาศาตร์ไปพร้อมๆ กัน เราจะได้ดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ถ้าเราจะรู้จักโจรที่เเท้จริง รู้จักมหาโจรที่เเท้จริง เราจะให้โจร ให้เเก็งค์มาอยู่ในใจของเราได้ยังไง เพราะปัญหาต่างๆ พระพุทธเจ้าให้เราเเก้อย่างนี้ เพราะเราจะมาถือเเบรนด์เนม ว่าเราเป็นพุทธอย่างนี้ มันก็ไม่ได้เข้าสู่ภาคปฏิบัติให้ชีวิตของเราดำเนินสู่ศีลสมาธิปัญญาในปัจจุบัน ถ้าไม่อย่างนั้น เราก็เสียงบประมาณในการใช้ทรัพยากร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้น อาหารทุกอย่างมันเป็นยา อย่างอาหารที่ทานในชีวิตประจำวัน เค้าเรียกว่ายาวกาลิก ถ้าทานตอนบ่าย และพวกศีล 8 หรือว่าพระภิกษุอาพาธเรียกว่า ยามกาลิก ถ้าของที่เก็บได้ ๗ วัน เรียกว่า สัตตาหกาลิก เเล้วก็ยาที่เก็บได้ตลอด คือ ยาวชีวิก ทุกอย่างมันเป็นยาหมด และ ยาปนมตฺต ที่แปลว่า (ภัต) สักว่ายังอัตภาพให้เป็นไป หมายความว่า อาหารที่พอทำให้ชีวิตรอดไปได้ ไม่มากมายจนเกิน แม้การฉันของพระ ก็ให้เป็นยาปนมัต คือพอให้ชีวิตดำเนินก้าวไปเท่านั้น
ยาปนมัต ส่องนัยแห่งความหมายว่า ของขบฉันน้อยๆ พอให้ธำรงรักษาชีวิตไว้ได้ ไม่มากมายอะไรนัก แต่ ยาปนมัต ในความหมายเดิมค่อยๆ ลดหดหายจนคลาดเคลื่อนไปเรียกขอขบฉันบางอย่างที่ปรุงขึ้นจากพืชที่ให้ผลทางยาจำพวกสมุนไพร เป็นต้น ว่า ยาปนมัต จนหนักเข้า ยาปนมัต ก็ถูกออกเสียงเพี้ยนเป็น ยาปรมัต, ยาปรมัตถ์ หรือตัดสั้นเหลือแค่ ปรมัตถ์ ซึ่งคำว่า ปรมัตถ์ เป็นศัพท์ทางธรรมะที่มีความหมายเฉพาะอยู่แล้ว เมื่อถูกนำมาใช้ในความหมายนี้ จึงยากจะเข้าใจความหมายเดิม ฉะนั้น คำว่า ปรมัตถ์ ในความหมายของบางท่าน จึงหมายถึง สมุนไพรที่ปรุงขึ้นเพื่อฉันเป็นยา นี้เป็นตัวอย่างของคำบาลีที่มีความหมายเพี้ยนมาไกลจากต้นแหล่งเดิมมากมาย
ชีวิตของเรานี้ก็เพียงเเต่เอามาปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏเเห่งกรรมตามหลักเหตุหลักผล เพื่อเราจะได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ เเละ พัฒนาใจไปพร้อมๆกัน พระพุทธเจ้าบอกหลักการเเล้ว ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความสั่งสมกองกิเลส ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเลย สั่งสมกิเลสตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตามความรู้สึก ที่กล่าวข้างต้น นี้เเหละคือ มหานรก คือมหานรกอเวจี มันจะหยาบกระด้างกระเดื่องต่อพระพุทธเจ้า จนไปถึงขั้นตาลยอดด้วน
เป็นไปเพื่ออยากใหญ่ จะใหญ่ไปทำอะไร ไม่มีใครไม่เเก่ ไม่เจ็บไม่ตาย ไม่พลัดพราก ไม่มีใครที่เป็นตัวเป็นตน ล้วนเเต่เป็นพระไตรลักษณ์ทั้งนั้น มันต้องรู้จักพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ตามพระธรรม รู้จักพระอริยสงฆ์ คือ ระบบกระบวนการศีล เสียสละละซึ่งตัวซึ่งตน ต้องเข้าสู่ไลน์การประพฤติการปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนต้องพากันปฏิบัติเป็นทีม เรียกว่า พุทธบริษัททั้ง ๔ ถึงมีสถานที่อยู่เป็นที่เป็นทาง ที่เราพากันเรียกว่า วัด วัด นี้คือศูนย์รวมของชาวพุทธ คือข้อวัตรข้อปฏิบัติ คือพระศาสนา คือมรรค คือผล คือพระนิพพาน มันจะเข้าสู่ระบบอย่างนี้ อันนี้มันเป็นความประเสริฐ เป็นความสุขของหมู่มวลมนุษย์ที่มนุษย์เราควรที่จะได้รับ เราจะไปตามใจตามอารมณ์ตัวเอง เราก็ไม่ได้ดื่มธรรมะโอสถเลย ดื่มเเต่สิ่งที่มันเป็นพิษเป็นภัยต่อใจ ต่อมรรคผลพระนิพพาน
เราเป็นพระ ก็คือเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ไม่ใช่เป็นเเต่เพียงภิกษุ ถ้าเราไม่เอาพระธรรมพระวินัย เราก็พากันโจร เป็นมหาโจร ความกตัญญูกตเวทีของเราเอาไปไว้ไหน ทำไมเราบริโภคปัจจัยทั้ง ๔ แล้ว เราไม่ปฏิบัติศีลทุกข้อ พระวินัยทุกข้อ ข้อวัตรกิจวัตร นี้เเหละคือเราไม่รู้จักอริยสัจ ๔ คนเราถ้าไม่กตัญญูกตเวที ก็คือว่าเป็นบุคคลที่ไม่ดี ใช้ไม่ได้ คนที่ไม่รักษาพระวินัย คือผู้ที่ทำลายพระศาสนา นั้นเเหละคือโจรตัวจริง นี้เเหละคือ ลูกหลานพระเทวทัต คือ เอาโลกธรรมเป็นใหญ่ โลกธรรมเป็นที่ตั้ง
ความคิดของเราก็เหมือนกัน บางอย่างก็เป็นยาพิษ บางอย่างก็เป็นธรรมโอสถ... สิ่งไหนมันเป็นไปไม่ได้ เราก็อย่าไปคิดมัน เสียเวลา เสียสมองเปล่าๆ เช่น เราคิดไม่อยากให้มันแก่ คิดไม่อยากให้มันเจ็บ คิดไม่อยากให้มันตายอย่างนี้ "เราคิดแล้วมันก็ไม่เป็นไปตามความคิด เราคิดแล้วมัน ไม่ได้อะไร แล้วเราจะไปคิดไปทำไม...?" เราคิดอยากให้เรารวยมันก็ไม่ได้ เราก็ได้ตามอัตภาพตามการงาน เราคิดอยากได้วันละพันมันก็ไม่ได้ อยากได้มากก็ต้องเพิ่มกิจการงานขึ้นอีก ไม่ใช่คิดไปให้ตัวเองเป็นทุกข์ ถ้าเราคิดไม่เป็นมันก็ทำร้ายตัวเอง หาความทุกข์ให้กับตัวเอง อยู่ดีๆ ก็หาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง ลักษณะในการคิด พระพุทธเจ้าท่านให้เราคิดอย่างนี้
การงาน ก็ให้ทำการงานที่ชอบ เป็นการงานที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ปกติคนเราในชีวิตประจำวัน มันก็ทำแต่สิ่งที่เก่าๆ ซ้ำๆ ซากๆ มันต้องนอน ต้องมีที่อยู่ที่นอน มันต้องจัดที่นอน ดูแลที่อยู่ที่นอน ดูแลห้องน้ำห้องสุขา ทำอย่างนี้ทุกวัน พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีความสุขในการทำการทำงานอย่างนี้
เวลาเราทำอะไรทุกอย่าง ก็ให้ใจของเราอยู่กับเนื้อกับตัว ให้ใจของเราอยู่กับการกระทำสิ่งนั้น เราทำช้า ทำเร็ว ก็ให้ใจเรามีสติ...แล้วแต่เวลามันจะเร่งรัด ให้เราเอาสติ เอาสมาธิ เอาการกระทำของเราเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรม ลงรายละเอียดให้กับตัวเองให้มากขึ้น เราทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่อเสียสละ... เราทำอะไรอย่าไปหวังผลตอบแทน อย่าไปหวังคำว่าขอบคุณ มันมีความทุกข์ ถ้าเราหวังผลมันมีความทุกข์ ถ้าเราหวังคำว่า 'ขอบคุณ' ให้เราทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่อเสียสละ จิตใจของเราจะได้สงบ จิตใจของเราจะได้เย็นอยู่กับการทำงาน
คนส่วนใหญ่ไม่รู้นะว่าการทำงาน คือการปฏิบัติธรรม การทำงาน คือการทำความดี การทำงาน คือการเสียสละ การทำงาน คือการฝึกตัวเอง ฝึกสติ เราอย่าไปคิดว่าการปฏิบัติธรรม คือการเดินจงกรม นั่งสมาธิ นั่นมันแค่ขั้นตอนหนึ่ง แต่ชีวิตของคนเรามันมีหน้าที่ที่มองเห็นเป็นหลักใหญ่ๆ ตั้ง ๘ อย่าง ยังมีคนเข้าใจผิดเยอะว่าไม่มีเวลารักษาศีล ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมเลย... นี้ก็เพราะว่าเราไม่เข้าใจเรื่องพระศาสนา ไม่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติธรรม
ในทุกหนทุกแห่งในโลกนี้นั่นคือการปฏิบัติธรรม... เราปฏิบัติธรรมในที่ทำงาน เราปฏิบัติธรรมในที่บ้านของเรานั่นแหละ... เขาอย่าไปมีข้อแม้ว่าอยู่ในที่ทำงานปฏิบัติไม่ได้ มันมีแต่เรื่องวุ่นวาย ท่านว่า ถ้ามันไม่มีสิ่งวุ่นวายต่างๆ เหล่านี้แล้ว เราจะรักษาศีลไปทำไม เราจะมีโอกาสทำใจของเราให้มันสงบหรือ เราจะมีโอกาสทำใจของเราให้มันเย็นหรือ?
ในบ้านในสังคมมันต้องมีทั้งคนดีคนไม่ดี เราจะได้มาปรับที่ใจ ปรับที่การกระทำ ปรับที่คำพูดของเรา เราจะไปรอให้ปัญหาต่างๆ ให้มันหมด มันก็ไม่หมด เพราะมันเป็นโลก เป็นวัฏฎสงสาร พอเรื่องเก่าจบเรื่องใหม่ก็มาอีกเหมือนกับตัวเรานี้แหละ วันนี้ก็ทานอาหาร วันต่อไปก็ต้องทานอีก มันไม่จบ... เราอย่าไปทุกข์ไปร้อนกับสิ่งต่างๆ ว่าสิ่งนี้มันก็ไม่ดี สิ่งนั้นมันก็ไม่ดี เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นกฎของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรายึดเราถือ สิ่งต่างๆ ที่เข้ามาทางตาทางหู ถ้าเราเอามาแบกมายึดมาถือมันก็ทุกข์มาก ทุกข์จากขันธ์ ๕ มันก็ทุกข์มากอยู่แล้ว ทุกข์ทางกายทุกข์ทางใจของเรามันก็มากอยู่แล้ว เราก็ยังเอาทุกข์ของคนอื่นมาแบกอีก ที่เรามีปัญหา ที่เรามีความทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเรายังไม่รู้จัก เราเที่ยวไปแบกเอาทุกข์ของเขา ไปคิดแทนเขา เราเข้าไปมีส่วนร่วมหมด อย่างนี้เขาเรียกว่า 'เป็นผู้เกิดมาแบกโลก'
เรื่องเมตตานี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกเราทุกคนต้องเจริญเมตตามากๆ เพราะทุกคนที่อยู่ในครอบครัว อยู่ในที่ทำงาน อยู่ในสังคม เขาก็มีทุกข์ทั้งทางกาย ทุกข์ทั้งการดำรงชีวิตอยู่ เขาจะผิดบ้าง เราก็ต้องรู้จักสงสารเขา ให้ความเมตตาให้กำลังใจกัน อย่าไปช้ำเติมกัน เรานี่คิดผิดนะ...! เราเผาตัวเองยังไม่พอ เรายังไปเผาคนอื่นอีก อย่างนี้แสดงว่าเราตกหม้อนรกตั้งแต่ยังไม่ตายนะ ถ้าตายแล้วก็ต้องตกหม้อใหม่อีก เรื่องสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวใกล้ตัวอย่าไปมองข้าม
เรื่องคำพูดนี้สำคัญมาก มีประโยชน์มาก ถ้าพูดดีก็เจริญ เจริญทั้งด้านจิตใจ เจริญทั้งหน้าที่การงาน ส่วนใหญ่แล้วเราได้รับอิทธิพลจากพ่อจากแม่ จากเพื่อนฝูง จากสังคมต่างๆ ในเรื่องการพูด พระพุทธเจ้าท่านให้เราระวังตัวเองในเรื่องความคิดกับเรื่องคำพูด ปัญหาต่างๆ ที่เรามองเห็น ที่มันเกิดการขัดเคือง เกิดการแตกแยก เกิดความไม่สามัคคีนั้นมันเกิดมาจากคำพูด ยกตัวอย่างเช่น โคนันทวิศาล สมัยหนึ่งพระโพธิสัตว์เกิดเป็นโค นามว่าโคนันทวิศาล เป็นโคมีรูปร่างสวยงาม มีพละกำลังมาก มีพราหมณ์คนหนึ่งได้เลี้ยงและรักโคนั้นเหมือนลูกชาย โคนั้นคิดจะตอบแทนบุญคุณการเลี้ยงดูของพราหมณ์ ในวันหนึ่งจึงได้พูดกับพราหมณ์ว่า "พ่อ...จงไปท้าพนันกับโควินทกเศรษฐีว่า โคของเราสามารถลากเกวียนหนึ่งร้อยเล่มที่ผูกติดกันให้เคลื่อนไหวได้ พนันด้วยเงินหนึ่งพัน กหาปณะเถิด" พราหมณ์ใด้ไปที่บ้านเศรษฐีและตกลงกันตามนั้น นัดเดิมพันกันในวันรุ่งขึ้น
ในวันเดิมพัน พราหมณ์ได้เทียมโคนันทวิศาลเข้าที่เกวียนเล่มแรก เพื่อลากเกวียนหนึ่งร้อยเล่มที่ผูกติดกันซึ่งบรรทุกทราย กรวด และหินเต็มลำ แล้วขึ้นไปนั่งบนเกวียน เงื้อปฏักขึ้นพร้อมกับตวาดว่า..."ไอ้โคโกง ไอ้โคโง่ เจ้าจงลากเกวียนไปเดี๋ยวนี้" ฝ่ายโคนันทวิศาลเมื่อได้ยินพราหมณ์พูดเช่นนั้นก็คิดน้อยใจว่า "พราหมณ์เรียกเราผู้ไม่โกง ว่าโกง เรียกเราผู้ไม่โง่ ว่าโง่" โคนันทวิศาลจึงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว ดังนั้นพราหมณ์จึงแพ้พนันเงินหนึ่งพันกหาปณะ ปลดโคแล้วก็เข้าไปนอนเศร้าโศกเสียใจอยู่ในบ้าน ส่วนโคนันทวิศาลเห็นพราหมณ์เศร้าโศกเสียใจเช่นนั้น จึงเข้าไปปลอบและกล่าวว่า "พ่อ...ฉันอยู่ในเรือนของท่านตลอดมา เคยทำภาชนะอะไรแตกไหม เคยเหยียบใครๆ เคยถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะในที่อันไม่ควรหรือไม่ เพราะเหตุใดท่านจึงเรียกเราว่าโคโกงโคโง่ ครั้งนี้ถือเป็นความผิดของท่านเอง ไม่ใช่ความผิดของฉัน บัดนี้... ขอให้ท่านไปเดิมพันใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยเงินสองพันกหาปณะ ขออย่างเดียว ท่านอย่าได้เรียกฉันว่าโคโกงโคโง่ ท่านจะได้ทรัพย์ตามที่ท่านปรารถนา ฉันจะไม่ทำให้ท่านเศร้าเสียใจ"
ดังนั้น พราหมณ์จึงได้ทำตามที่โคนันทวิศาลบอก ในวันเดิมพัน พราหมณ์จึงพูดหวานว่า..."นันทวิศาลลูกรัก เจ้าจงลากเกวียนทั้งร้อยเล่มนี้ไปเถิด" โคนันทวิศาลได้ลากเกวียนร้อยเล่มที่ผูกติดกัน ด้วยการออกแรงลากเพียงครั้งเดียวเท่านั้น...ทำให้เกวียนเล่มสุดท้ายไปตั้งอยู่ที่เกวียนเล่มแรกอยู่ ทำให้พราหมณ์ชนะพนันด้วยเงินสองพันกหาปณะ พระพุทธองค์เมื่อนำอดีตนิทานมาสาธกแล้วตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า คำหยาบ ไม่เป็นที่ชอบใจของใครๆ แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน" แล้วได้ตรัสพระคาถาว่า "มนุญฺญเมว ภาเสยฺย นามนุญฺญํ กุทาจนํ มนุญฺญํ ภาสมานสฺส ครุภารํ อุททฺธริ ธนญฺจ นํ อลาเภสิ เตน จตฺตมโน อหูติ ฯ บุคคลพึงกล่าวแต่คำที่ไพเราะเท่านั้น ไม่พึงกล่าวคำที่ไม่ไพเราะในกาลไหนๆ เมื่อพราหมณ์กล่าวคำไพเราะ โคนันทิวิสาลได้ลากเอาภาระอันหนักไปได้ ทำพราหมณ์ผู้นั้นให้ได้ทรัพย์ด้วย ตนเองก็เป็นผู้ปลื้มใจเพราะการช่วยเหลือนั้นด้วย"
อย่าว่าแต่สัตว์ แม้กระทั่งน้ำที่ไม่มีชีวิตก็ยังสัมผัสได้ ผลวิจัยยืนยันชัด! ผลึกน้ำ สภาพแวดล้อม (ดีหรือเลว) สิ่งมีชีวิต มีความสัมพันธ์กัน อย่างคาดไม่ถึง โลกนี้ประกอบไปด้วยน้ำ 70% ร่างกายมนุษย์ก็มีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 70% (ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ) ความน่าประหลาดใจดังกล่าว ทำให้นักวิจัยชาวญี่ปุ่นเดินทางไปทั่วโลกเพื่อศึกษาเรื่องผลึกน้ำที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาได้ตามสภาพแวดล้อม ซึ่งดร.มาซารุ อิโมโตะ ประธานมูลนิธิ “อิโมโตะเพื่อสันติภาพ” ผู้ศึกษาค้นคว้า ความสัมพันธ์ของน้ำ และผลึกน้ำที่เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม ก่อนจะค้นพบว่า ไม่เพียงแต่รูปร่างหน้าตาของผลึกน้ำจะแตกต่างกัน แต่ยังส่งผลต่อ ‘อารมณ์’ อีกด้วย
เมื่อปี คศ. 1989 ดร.มาซารุ อิโมโต นักวิจัยชาวญี่ปุ่น ได้ทำการวิจัยศึกษาเกี่ยวกับผลีกของน้ำ ได้ค้นพบว่า จิตของมนุษย์และสภาพแวดล้อมรอบตัวนั้น มีผลต่อการก่อตัวของผลึกน้ำ เขาบอกอีกว่าจากการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นเวลาประมาณ 17 ปี ก็ได้ภาพของผลึกน้ำประมาณหนึ่งหมื่นภาพ พร้อมๆ กับการค้นพบอันน่ามหัศจรรย์เหลือเชื่อว่าน้ำจากที่ต่างๆ มีผลึกที่ไม่เหมือนกัน น้ำจากธรรมชาติมีผลึกที่สวยงาม ในขณะที่น้ำที่มีการปนเปื้อนสารเคมีและสิ่งสกปรกต่างๆ จะมีผลึกที่น่ากลัว
นอกจากนั้น ดร.มาซารุ ยังได้ทำการทดลองการเปลี่ยนไปของผลึกน้ำต่อสภาพแวดล้อมอื่นๆ ด้วย อย่างเช่น การเปิด บทสวดมนต์ เพลงคลาสสิก การเปิดเพลงร็อค และเพลงแนวอื่น ๆ จากนั้นก็ใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูผลึกน้ำ ปรากฏว่า น้ำที่ได้ฟังบทสวดมนต์ เพลงบรรเลงคลาสสิกที่ไพเราะจะมีผลึกน้ำที่สวยงาม ส่วนน้ำที่ฟังเพลงร็อค Heavy Metal ผลึกน้ำจะไม่สวยงาม ไม่เป็นรูปทรง
ดร.มาซารุ บอกว่า ไม่ใช่เฉพาะเพลงหรือคำพูดเท่านั้นแม้แต่ตัวอักษรน้ำก็สามารถรับรู้ได้ โดยทดลองเขียนคำพูดดีๆ ติดไว้ที่ข้างหลอดทดลองเปรียบเทียบกับคำพูดหยาบคาย โดยหันกระดาษด้านที่เขียนแนบปิดกับหลอดทดลองไว้ ก็พบว่า ผลึกของน้ำที่เขียนคำพูดดีๆ จะมีลักษณะสวยงาม เป็นระเบียบ ตรงข้ามกับผลึกที่ได้จากหลอดทดลองที่เขียน คำหยาบคายติดไว้ ซึ่งจะมีลักษณะน่าเกลียดน่ากลัว “นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรับรู้ว่าคำไพเราะกับคำหยาบคาย ยังมีผลต่อผลึกของน้ำถึงขนาดนี้ แล้วคำพูดดีๆ ที่ประกอบด้วยความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดี จะมีผลต่อจิตใจของมนุษย์มากมายเพียงใดและในทางตรงข้าม คำหยาบคาย ส่อเสียด ประชดประชัน คำที่แสดงความโกรธ เกลียด ก็คงมีผลต่อใจคนไม่แพ้กัน เพียงแต่เป็นผลที่ตรงกันข้าม”
และนอกจากการทดลองกับน้ำแล้ว ดร. มาซารุ อิโมโตะ ยังได้นำข้าวสุกมาทดลองด้วย วิธีคือการนำข้าวใส่ขวดแก้ว 2 ขวดในปริมาณที่เท่า ๆ กัน ขวดแรกจะแปะฉลากด้วยขอความว่า "ขอบคุณ" ขวดที่สองจะแปะข้อความว่า "ไอ้เลว" และได้พูดใส่ข้าวตามฉลากทั้งสองขวด เป็นเวลา 1 เดือน ผลคือ ขวดที่แปะคำว่า "ขอบคุณ" จะมีสภาพปกติไม่บูดไม่เน่าเสีย มีกลิ่นหอมๆ ส่วนขวดที่ติดคำว่า "ไอ้เลว" จะมีเชื้อราและเน่าเสีย
หลักจากการเผยแพร่ข่าวสารการทดลองนี้ ได้มีผู้คนทำการทดลองตาม ได้ผลการทดลองออกมาคล้ายๆ กัน แต่มีตัวอย่างการทดลองหนึ่ง เขาได้ทดลองโดยเพิ่มตัวอย่างข้าวอีกขวดหนึ่ง แต่ขวดนี้ไม่มีการสนใจใยดีใดๆ เลย ไม่ด่าและไม่ชมไม่ติดฉลาด ผลปรากฏว่า ขวดที่ไม่ได้รับความสนใจเลย กลับอยู่ในสภาพที่เน่าเสียมากยิ่งกว่าขวดที่โดนด่าเสียอีก อาจกล่าวได้ว่า พฤติกรรมที่ไม่แยแส ไม่สนใจใยดี เมินเฉย ส่งผลเสียมากยิ่งกว่าการโดนด่า
จากผลการทดลองนี้ แสดงให้เราเห็นได้ว่า ความรู้สึกของเราที่ปล่อยออกมาเป็นคำพูดเพื่อกระทบกับสิ่งต่างๆ สามารถส่งผลดีและผลเสียได้ตามความรู้สึกของเรา แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น จะเป็นสัตว์หรือเป็นพืชก็ตาม จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม ทำให้นึกย้อนไปถึงคำสอนของคนโบราณสมัยก่อนว่า ให้เรานั้น ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ อาหารน้ำ และสรรพสิ่งต่างๆ ที่มีคุณประโยชน์ต่อเรา ท่านแนะให้เรากล่าวคำขอบคุณ เมื่อเราได้รับประโยชน์มา เพื่อความรู้สึกที่ขอบคุณนั้น จะส่งผ่านไปถึงข้าวปลาอาหาร และสิ่งแวดล้อมต่างๆ และส่งผลสะท้อนย้อนคืนเป็นความผาสุขกลับมาหาเรา ทำให้เรามีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย
ทุกอย่างล้วนเป็นพลังงานความสั่นสะเทือน ไม่เพียงแต่วัตถุที่มองเห็นด้วยตาเท่านั้น แม้แต่คำพูด ความคิด จิตใจ ความรู้สึก ล้วนเป็นพลังงานที่มีคลื่นและสามารถส่งกระแสไปยังผู้ส่งสารเอง และไปยังสิ่งต่างๆ รอบตัว
ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงสอนให้ทำดีทั้ง กาย วาจา ใจ เพราะเพียงแค่เรามีความคิดเกิดขึ้นมา ก็เป็นส่งกระแสคลื่นพลังงานไปแล้ว และเป็นคำตอบว่าเหตุใด การทำความดี ละเว้นความชั่ว ยังไม่พอ แต่เรายังต้องหมั่นทำจิตใจให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ ในร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70% ลองคิดดูว่าหากเราคิดไม่ดีทุกๆ วัน คุณภาพของน้ำในตัวเราจะเป็นอย่างไร หากน้ำในตัวเป็นน้ำที่ไม่มีคุณภาพ โรคร้ายๆ ก็จะตามมา (มีหลายๆ งานวิจัยพิสูจน์แล้วว่าโรคร้ายนานาชนิดเกิดมาจากความเครียดและจิตที่เศร้าหมอง)
เราควรหลีกเลี่ยงการคบหาสมาคมกับคนที่มักพูดจาไม่ดี มองโลกในแง่ร้าย คิดลบ เพราะเขาเหล่านั้นจะส่งกระแสที่มัวหมองมายังเราเช่นกัน หรืออีกอย่างที่ต้องระวังก็คือ การรับสารทางลบที่มาจากข่าวสารรอบตัว เช่น ข่าวฆ่ากันตาย ข่าวความแตกแยก หรือละครที่มีแต่ฉากตบตีทะเลาะวิวาท ฯลฯ เพราะหากเรารับสารแบบนี้มากๆ จิตใจเราจะพลอยแต่จะหม่นหมองไปด้วย
คำชื่นชม คำอวยพร ความห่วงใยเอาใจใส่ ความรัก ความปรารถดีสามารถส่งต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้เช่นกัน การสวดมนต์ และการแผ่เมตตา เป็นการส่งความรักความปรารถนาดีในรูปของพลังงานได้ดียิ่ง
เมื่อเรามีคลื่นพลังงานที่ดีก็จะดึงดูดสิ่งที่ดี คนที่ดี และเหตุการณ์ที่ดีเข้ามาในชีวิต ในทางตรงข้าม คนที่มักส่งคลื่นพลังงานไม่ดีผ่านทางความคิดและการกระทำก็มักจะเจอเรื่องร้ายๆ อยู่เสมอ นั่นเป็นเพราะเรากำลังส่งกระแสคลื่นพลังงานไปยัง คน สิ่งของ และเหตุการณ์ที่มีพลังงานระดับเดียวกัน เหมือนกับการจูนคลื่นหาสัญญาณวิทยุ มากลั่นใจเราให้ใส สะอาด บริสุทธิ์ เพื่อเราจะมีสุขภาพดี มีความสุข และยังสามารถส่งกระแสคลื่นความสุขไปยังผู้คนรอบตัว
บางคนอาจสงสัยว่า การพูดเพราะ พูดดี จะสามารถทำให้เกิดพลัง หรือกำลังเพิ่มขึ้นได้จริงหรือ ก็จะขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น หากมีเพื่อนมาทักว่า วันนี้เราแต่งตัวสวย หน้าตาสดใส เพียงแค่นี้ ก็เชื่อว่า เราจะเกิดความรู้สึกมั่นใจ มีกำลังใจ ไปติดต่อกับใคร ก็จะอารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใสไปทั้งวัน ทำให้งานราบรื่น แต่ถ้าวันไหนถูกทักว่า เสื้อตัวนี้ใส่แล้วเชย หรือวันนี้ทำไมดูหน้าแก่ เชื่อเลยว่า เราจะเกิดความรู้สึกห่อเหี่ยว กังวลใจไปทั้งวัน จะเห็นได้ว่าแค่คำพูดธรรมดาๆ ที่ยังมิใช่คำหยาบ แต่เป็นคำที่ไม่น่าพึงพอใจ ก็ยังทำให้คนฟังเกิดความรู้สึกด้านลบได้ ดังนั้น เรื่องในเรื่องโคนันทวิสาลนี้ จึงเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังชอบฟังคำพูดที่ไพเราะเสนาะหู คนเราจึงควรเลือกพูดดี พูดไพเราะ หรืออย่างน้อยก็ควรเป็นถ้อยคำสุภาพ ไม่พูดคำที่ระคายหูต่อผู้อื่น เพราะนอกจากจะทำให้ตัวผู้พูดดูไม่ดีเองแล้ว ยังลดทอนกำลังใจของผู้ฟัง และเป็นการสร้างศัตรูให้กับผู้พูดอีกด้วย
อย่างเรานี้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นคุณพ่อคุณแม่ เวลาใช้คำพูดกับลูก ใช้คำพูดกับผู้บังคับบัญชาก็ขาดความเคารพ ขาดความยำเกรง พูดตรงไปตรงมา พูดขวานผ่าซาก น้ำเสียงก็ไม่ไพเราะ บางครั้งก็พูดดีอยู่ แต่พูดมากเกินไป พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้พูดมากเกิน... ถ้าใครพูดมากก็ไม่ต้องบริกรรมพุทโธๆ ให้บริกรรมว่า "หายใจเข้าก็อย่าพูดมาก หายใจออกก็อย่าพูดมาก"
เราต้องพัฒนาตนเองเรื่องคำพูด เด็กมันจำจากพ่อจากแม่ เพราะยิ่งพ่อแมใช้คำศัพท์ที่กลุ่มผู้ดีเขาฟังไม่ได้ เด็กมันติดนะ ศัพท์ต่างๆ นี้เราต้องมาตัดแปลงเพื่อใช้ประโยชน์กับบุคคลที่อยู่รอบข้างเรา เราทุกคนส่วนใหญ่มันพกระเบิดแต่ไม่รู้ว่าตัวเองพก บางคนพกตั้งหลายลูก ระเบิดมันอยู่ที่ปาก จึงเรียกว่า 'ปากระเบิด' เช่น เราพูดไม่ดี พูดไม่เพราะ คนที่พูดแบบนี้เป็นลักษณะของเปรต ของยักษ์ ของมารของอสุรกายที่มันมาอยู่ในตัวของเรา
ความรู้เรื่องการพูดนี้ก็สำคัญ... คนที่พูดดีมีประโยชน์ ถ้าเราพูดดีนี้ ผู้บังคับบัญชาก็เคารพรักนับถือ เพื่อนฝูงก็รัก ลูกน้องบริวารก็รัก ที่เราเรียนจบ ดร. มา ถ้าเราพูดไม่ดี ไม่ถูกต้อง เราก็ปกครองใครไม่ได้ ปกครองได้ก็ไม่กี่คน เพราะถึงแม้เราจะมีความรู้มากแต่ในใจเขารับไม่ได้ คนบางคนเป็นคนที่เก่ง เป็นคนฉลาด มีความสามารถ พูดจาฉะฉานแต่ว่าอาภัพ เพราะเป็นคนที่ไม่ระมัดระวังเรื่องคำพูด คบค้าสมาคมกับใครๆ ไม่กี่ปีเขาก็พากันตีตัวออกห่าง มันเพราะอะไร..? ก็เพราะคำพูดนะถ้าพูดด้วยความเมตตาออกจากใจ พูดด้วยความปรารถนาดี ผู้ฟังก็ฟังออก มันรับได้ "คำพูดมันเหมือนกัน อันหนึ่งมันออกจากปาก อันหนึ่งมันมาจากใจแล้วถึงออกจากปาก ...." “คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเขาเอาปากไว้ที่ใจ”
พระพุทธเจ้าท่านให้พัฒนาเรื่องคำพูด สิ่งที่แล้วก็แล้วไป เช่นเราเป็นเจ้านาย เราก็ชอบหลงตัวเอง ใครพูดใครแตะต้องก็ไม่ได้ ให้เราเอาอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านพูดดี พูดเพราะพูดอ่อนน้อมถ่อมตน สมกับที่ทุกคนต้องกราบไหว้ คำพูดใดพูดเพื่อที่จะให้เกิดความสามัคคี เราก็เอาความสามัคคีเป็นหลัก ถ้าอันไหนมันจะแตกแยก ให้เราหยุดให้เรานิ่ง ถึงแม้ใครจะมาพูดหาเสียงหาคะแนน เราฟังแล้วก็แล้วไป คนเรามันต้องการความรัก ต้องการเครดิต เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น เราไปอยู่ที่ไหนต้องมีบุคคลประเภทนี้อยู่ทุกหนทุกแห่ง พระพุทธเจ้าท่านให้เราจิตใจหนักแน่น จิตใจไม่หวั่นไหว อย่าเป็นคนหูเบา ถ้าหูเบาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ได้ เป็นคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ เรื่องใหญ่ก็ให้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องเล็กก็ให้เป็นเรื่องเล็ก เพราะสิ่งต่างๆ ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เรื่องความสามัคคีต้องมีในครอบครัวของเรา ต้องมีในที่ทำงานของเรา ครอบครัวที่มันล่มสลายก็เพราะพ่อแม่ชอบทุ่มเถียงกัน อย่างนี้ เขาเรียกว่า 'เผาครอบครัว' ถ้าเป็นโรงเรียน เป็นที่ทำงาน ก็ให้พากันรู้ไว้ว่า พากันเผาบ้านเผาเมือง' พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้ไว้ว่ามันเป็นบาบใหญ่ เป็น 'มหาบาป' ถึงแม้คิดไว้ในใจมันก็เป็นบาปอยู่แล้ว
เรามองดูแต่ละประเทศที่มันมีสงคราม ที่มันมีปัญหา อย่างประเทศเราทุกวันนี้ที่มันเดินขบวนกันบ่อยๆ นั้น มันกำลังเดินทางเข้าสู่อนันตริยกรรม มันเป็นกรรมหนัก ถ้าเราจะเอาความผิด ความถูก ความดี ความชั่ว มันไม่จบเรื่องวิทยาศาสตร์มันเป็นเรื่องทะเลาะกัน ต้องเอาความเมตตากัน สงสารกันระเบียบก็ดี วินัยก็ดี มันเป็นการจัดสรรหมู่มวลมนุษย์ให้เกิดความสงบสุข คนมีกิเลสมาก มีความโลภมาก มันต้องมีระเบียบวินัย แต่บางคนก็หาช่องโหว่ในระเบียบวินัยมาทะเลาะกัน
เรื่องความสามัคคีนี้สำคัญ บางทีพ่อบ้านแม่บ้านมองหน้ากันไม่ได้ มันต้องกลับไปแก้ตัวใหม่ หรืออย่างในที่ทำงาน คนอื่นเขาทะเลาะกัน เราก็ต้องรู้จักเฉยๆ ไว้ เพราะไม่อย่างนั้นมันไม่จบ "ปัญญามันใกล้เคียงกัน...!"
ปัจจุบันน่ะ เราแทนที่จะเป็นคนบึ้งตึงอยู่ เราก็เข้ากับเพื่อนก็ได้ เข้ากับเจ้านายก็ได้ เข้ากับลูกน้องก็ได้ อะไรอย่างนี้แหละ ข้างบนก็ไม่ติด ตรงกลางก็ไม่ติด ข้างล่างก็ไม่ติด มันครบสูตรเลย แทนที่อยู่ใกล้กัน จะรักกัน กลับเห็นคนนั้นนิสัยไม่ดี ก็เครียดขึ้นมาเลย ตัวเองนี่แย่ ที่ไม่ลบอดีตเป็นเลขศูนย์
ความสามัคคีทำให้องค์กรเราเจริญ ทำให้ประเทศชาติเราเจริญ เหมือนกับนิ้วมือหลายนิ้วนี้ช่วยกันทำประโยชน์ได้ ที่เรามาประพฤติปฏิบัติธรรมนี้เพื่อจะปรับปรุงตัวเรานะ เมื่อเรา กลับไปบ้านกลับไปที่ทำงานเราก็ต้องเอาใหม่ เราจะได้ละบาปและบำเพ็ญบุญใหม่...
ความสมัครสมานสามัคคีทุกท่านทุกคนให้มีจิตใต้สำนึก ไม่ว่าคนจะสุขภาพดี สุขภาพไม่ดี พระพุทธเจ้าไม่ให้เราพากันมาอาศัยพระศาสนาหาอยู่ หารับประทาน หาฉัน ต้องมามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติถึงมันต้องเข้าสู่ไลน์ การประพฤติการปฏิบัติ ถึงรักษามุ่งมรรคผลนิพพานเหมือนกันหมด ทุกท่านทุกคนต้องปรับใจเข้ากับเวลา เราจะว่าเราเอามรรคผลนิพพานได้ยังไง มองดูเเล้วสิ่งภายนอกก็ยังสกปรกอยู่ สิ่งภายในมันสกปรกมากกว่านั้นอีก มันทิ้งไปหมดเเล้ว วัดไหนก็มีเเต่สกปรก วัดไหนก็มีเเต่ขี้นกพิราบ วัดไหนก็มีเเต่ขยะ เราก็ยอมรับตัวเองไม่ได้ก็รู้อยู่เเล้ว ประชาชนผู้ให้ความอุปภัมถ์อุปัฏฐากเค้าก็ยอมรับไม่ได้
เพราะชีวิตของเรา ถ้าไม่ตามพระพุทธเจ้า คือชีวิตที่เป็นขยะ ที่เน่าเหม็นที่สกปรก เราต้องพากันดื่มธรรมะโอสถ เพราะชีวิตของเราต้องมีความสุขในการรักษาศีล มีความสุขในการทำข้อวัตรกิจวัตร เราอย่าไปปล่อยให้กิเลสที่มันอยู่ในใจของเราลอยนวล รู้จักที่ทุกคนพากันตั้งเเก๊งค์ไว้ในใจ เเก๊งค์ใหญ่ด้วยนะ ดูเเล้วพระวัดป่าคงจะกลายเป็นพระวัดบ้าน พระวัดบ้านกลายเป็นฆราวาส ฆราวาสก็กลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะมันตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติศาสตร์กษัตริย์ ส่วนรวมเราเเย่เลย เพราะมันเป็นโครงสร้างภาพรวมที่มีความเห็นผิดเข้าใจผิด ทุกท่านทุกคนต้องกลับมาจัดการกลับตัวเองให้หมด ชีวิตไม่มีคำว่า สาย ถ้าเราเดินตามพระพุทธเจ้า ตามหลักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราจะได้รู้จักพระพุทธเจ้าที่เเท้จริง