แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ปกติในชีวิตประจำวันของเรานี้ มันไม่มีอะไรหรอก พระพุทธเจ้าถึงให้เราอยู่กับอานาปานสติ ใจของเราจะได้มีบ้าน หลวงปู่มั่นสอนให้ท่องพุทโธ ให้เอาชื่อของพระพุทธเจ้า หายใจท่องพุท ให้ใจออกท่องโธ หรือว่า บริกรรม พุทโธๆ เพื่อเราจะได้มีเครื่องอยู่ เพื่อจะได้เป็นสติปัฏฐาน เราต้องรู้จักเซฟสมองของตัวเอง ไม่จำเป็นเราก็ไม่คิด มีความสงบ เค้าเรียกสมถะ
ใจของเราต้องอยู่กับความสงบ เพราะความสงบนั้น เป็นพื้นฐานของใจของเรา สิ่งที่วุ่นวาย เป็นสิ่งที่จรไปจรมา เหมือนกระเเสไฟฟ้าที่ส่งกันมาเป็นคลื่น ธรรมชาติเเท้มันเป็นของความสงบ รูปเสียงกลิ่นรสร้อนหนาวสุขทุกข์ เป็นสิ่งที่จรไปจรมา พระพุทธเจ้าให้เรารู้อริยสัจ ๔ อย่าไปตามสิ่งต่างๆ ไป ให้กลับมาหาใจของเราคือความสงบ สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น เราก็ให้บริกรรมว่าอันนี้มันเป็นปรากฏการณ์มาเกิดขึ้น มันจรมา เเล้วก็จากไป มันเป็นอนิจจัง มันเป็นของไม่เที่ยงเเท้เเน่นอน ชีวิตของเราล้วนต้องอยู่กับความเปลี่ยนเเปลง ทุกท่านทุกคนต้องรู้จักเครื่องอยู่ เครื่องอยู่ก็คือความสงบ คือ พุทโธ หรือว่าอานาปานสติ ที่เราได้ยินคนโบราณเค้าพูดกันมา กสิณๆ กสิณ เช่น เรามองดูต้นไม้ ต้นไม้สีเขียวชอุ่มสวยงามสดชื่อเบิกบาน ให้มองไม่คิดอะไร เพราะต้นไม้มันก็สงบอยู่ ที่มันไหวติงไปมา เพราะว่ามันมีลม ลักษณะกสิณก็คือความสงบอย่างนี้เเหละ หรือว่ามองดูน้ำ ที่ห้วยที่ทะเลที่อะไร ที่มันเป็นน้ำ ถ้าเราไม่คิดในใจมันก็จะสงบ พอถึงที่น้ำกระเพื่อม ลมก็จรไปจรมา หรือมองท้องฟ้า ที่โล่งๆ ว่างเปล่า ใจของเราก็จะสงบเย็น เพราะว่าสิ่งที่ว่าตัวเราของเรามันก็เป็นธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟมาประชุมกัน อายุของเราไม่เกินร้อยปีก็ต้องจากโลกนี้ไป ชีวิตของเราอยู่ได้เพราะอาหารเพราะพักผ่อน เพราะทุกอย่างนั้นมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ที่เราเวียนว่ายตายเกิด ก็เพราะพลังงานของอวิชชาของความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ที่เราหลงตามความคิดตามอารมณ์ไป พระพุทธเจ้าถึงให้เรามีพุทธะ ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ชีวิตของเราจะได้สงบ จะได้เย็น
เมื่อท่านเว่ยหล่างเห็นว่าถึงเวลาเผยแพร่ธรรมะจึงเดินทางมาถึงวัดฝ่าซิ่งแห่งนครกว่างตง ในขณะนั้นพระธรรมาจารย์อิ้นจงซึ่งเป็นเจ้าอาวาสกำลังเทศนาว่าด้วยมหาปรินิรวาณสูตรและธงริ้วกำลังโบกสะบัดพริ้วๆ พระภิกษุสองรูปก็โต้เถียงกันว่า "ผมว่าธงกำลังสั่นไหว" "หลวงพี่เข้าใจผิด แท้ที่จริงลมมันไหวต่างหาก"
พระทั้งสองรูปต่างโต้เถียงไม่ยอมแพ้แก่กันและไม่มีทีท่าว่าจะตกลงกันได้ เพราะต่างยึดถือความเห็นของตนเองเป็นใหญ่และถูกต้อง
ท่านเว่ยหล่างจึงเสนอข้อตัดสินว่า "ผมว่าท่านทั้งสองเข้าใจผิดแล้ว สิ่งที่สั่นไหวนั้นไม่ใช่ธงและลม แท้ที่จริงเป็นจิตของท่านทั้งสองต่างหาก"
ประชุมในขณะนั้นต่างตื่นตะลึงต่อถ้อยคำของท่านเว่ยหล่าง เจ้าอาวาสอิ้นจงจึงอาราธนาให้ขึ้นนั่งบนอาสนะอันสูง แล้วซักถามปัญหาสำคัญๆ ในพระสูตรต่างๆ เมื่อได้รับคำตอบอันชัดแจ้งซึ่งมีค่าสูงกว่าความรู้ที่ได้จากตำรา พระธรรมาจารย์อิ้นจงจึงกล่าวว่า "ท่านต้องเป็นบุคคลที่มิใช่ธรรมดา อาตมาได้ฟังข่าวมานานแล้วว่า บุคคลผู้ซึ่งได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์ และธรรมะจากพระสังฆปริณายกองค์ที่ห้า บัดนี้ได้เดินทางลงมาทางทิศใต้เห็นทีท่านจะเป็นบุคคลผู้นั้นแน่แล้ว"
ท่านเว่ยหล่างแสดงกริยาตอบรับโดยอ่อนน้อม เจ้าอาวาสอิ้นจงจึงทำความเคารพและขอให้นำเอาผ้าและบาตรที่ได้รับมอบออกมาให้ที่ประชุมดูพร้อมทั้งซักถามว่า "เมื่อครั้งที่พระสังฆปริณายกองค์ที่ห้ามอบธรรมะอันเร้นลับสำหรับพระสังฆปริณายกให้แก่ท่านนั้น ท่านได้รับคำสั่งสอนอย่างใดบ้าง"
"นอกจากการชี้ให้เห็นแจ้งชัดในธรรมญาณแล้ว ท่านมิได้ให้คำสอนอะไรเลย ท่านมิได้เอ่ยแม้คำว่าฌาณและวิมุติ" ท่านเว่ยหล่างตอบ
"เอ๊ะ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น" อาจารย์อิ้นจงสงสัย
"เพราะมันจะทำให้เกิดความหมายว่า มีหนทางขึ้นทั้งสองหนทาง ในทางพุทธธรรมจะมีสองทางไม่ได้ มันมีแต่ทางเดียวเท่านั้น"
"ที่ว่ามีแต่ทางเดียวนั้นคืออะไร อาจารย์อิ้นจงถาม
"ก็ในมหาปรินิรวาณสูตรที่ท่านเทศนาอยู่นั่นเองก็ชี้ให้เห็นอยู่แล้วว่าธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะของทุกคน นั่นแหละคือทางเดียว ตัวอย่างตอนหนึ่งของพระสูตรนั้นมีว่าพระเจ้าเกากุ้ยเต๋อ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระภิกษุผู้ล่วงปาราชิก ๔ อย่าง หรือทำอนันตริยกรรม ๕ อย่าง และพวกมิจฉาทิฏฐินอกศาสนาก็ดี คนเหล่านี้จะได้ชื่อว่าถอนรากเง่าแห่งความมืดและทำลายธรรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะของตนเสียแล้วโดยสิ้นเชิงหรือไม่ พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบว่า รากเง่าแห่งความดีนั้นมีอยู่สองชนิดคือ ถาวรตลอดอนันตกาล กับไม่ถาวร แต่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้นจะเป็นของถาวรตลอดอนันตกาลก็ไม่ใช่จะว่าไม่ถาวร ก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นรากเง่าแห่งความดีของเขาจึงไม่ถูกถอนขึ้นโดยสิ้นเชิง" ท่านเว่ยหล่างได้อธิบายสืบต่อไปว่า
"บัดนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าพุทธธรรมมิได้มีสองทาง แต่ที่ว่ามีทางฝ่ายดีและฝ่ายชั่วนั้นจริงอยู่ แต่เหตุเพราะธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะเป็นของไม่ดี ไม่ชั่ว เพราะฉะนั้นพุทธธรรมจึงไม่มีถึงสองทางตามความคิดของปุถุชนย่อมเข้าใจว่าส่วนย่อยๆ ของขันธ์และธาตุทั้งหลายย่อมแบ่งออกเป็นสองทาง แต่ผู้ที่บรรลุธรรมแล้วย่อมเข้าใจได้ว่าสิ่งเหล่านั้นตามธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะไม่เป็นของคู่เลย"
พระพุทธเจ้าถึงให้เรามีพุทธะ ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ชีวิตของเราจะได้สงบ จะได้เย็น ทุกท่านทุกคนไม่ต้องไปหาความสุขความดับทุกข์ที่ไหน เพราะความสุขความดับทุกข์อยู่ที่กายที่ใจของเรา อยู่ที่ปัจจุบันนี้เเหละ ให้เข้าใจอย่างนี้ ทุกคนเมื่อใจมันสงบ ใจมันเย็น มันก็จะขี้เกียจ ทุกท่านทุกคนถึงต้องพากันมาเสียสละ ต้องพาตัวเองเข้าหาเวลา เวลานี้เราทำอะไร เวลานี้เราทำอะไร เราต้องปรับเข้าหาเวลากิจวัตร เพื่อเราจะได้ฝึกใจของเรา เราอย่าไปวุ่นวาย อย่าไปตามความคิด ตามอารมณ์ไป เดี๋ยวเราจะเป็นโรคจิต โรคประสาท โรควุ่นวาย ถ้าเราอยู่นิ่งๆ เราก็ไม่ได้เคลื่อนไหวบ้าง เเล้วก็หายใจเบา หรือว่า นานๆ ทีหายใจครั้งนึง การใช้พลังงานมันก็น้อย
ชีวิตของพระเป็นชีวิตที่สงบ ฉันอาหารวันหนึ่งครั้งเดียวก็เพียงพอ เพราะใจมันรองรับว่า ได้ฉันวันหนึ่งก็เพียงพอ ไม่คิดว่าจะได้ทานอีกหลายครั้งเหมือนกับประชาชนผู้รักษาศีล ๕ เมื่อเรายังไม่ถึงพระนิพพาน เราต้องพากันรักษาศีลเยอะ สมาทานศีลเยอะ ศีลนี้เป็นธรรมะ เราไม่มีปัญญาเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกเรา ว่าทำอย่างนี้ไม่ได้ ทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็ให้เราไม่ไปทำ ไม่ให้เราไปคิด การดำเนินชีวิตที่ประเสริฐต้องพากันสมาทานศีล เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ ตั้งเเต่ระดับศีล ๕ จนไปถึงศีล๒๒๗ ในพระปาฏิโมกข์ ในพระวินัยปิฎก ศีลกับธรรมมันอันเดียวกัน
การปฏิบัติธรรม เค้าต้องปฏิบัติใจปัจจุบัน เราปลูกต้นไม้ เราปลูกที่ปัจจุบัน เรารดน้ำต้นไม้ที่ปัจจุบัน เราดูเเลต้นไม้ที่ปัจจุบัน เเล้วมันจะเลื่อนของเค้าไปเอง เพราะมันเป็นการเปลี่ยนเเปลงไปตามกฏของธรรมชาติ นักปฏิบัติทั้งหลายให้พากันเข้าใจ อย่าไปคิดเอาเเต่สมาธิ อย่าไปคิดเอาเเต่ปัญญา ศีลสมาธิ ปัญญา มันคืออันเดียวกัน พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ถ้าเราคิดเอาเเต่สมาธิ มันก็เป็นหินทับหญ้า ถ้าเราเอาเเต่ปัญญา มันก็ไม่มีภาคประพฤติภาคปฏิบัติ นี้มันยังเป็นเเค่ในหนังสือ ในพระไตรปิฏก มันยังเป็นสิ่งภายนอกอยู่ ยังไม่ใช่เรื่องกายวาจาใจ ศีลสมาธิปัญญาถึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คำสอนในพระไตรปิฎกจึงเป็นเพียงความรู้ มิใช่ปัญญาอันแท้จริงที่ทำให้ตัดกิเลสทั้งปวงได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนมีอยู่สองเรื่อง คือ
พระโปฐิละ อันเป็นฉายาที่ได้มาจากการเป็นผู้เชี่ยวชาญในคำสอนของพระพุทธองค์นำมาสั่งสอนผู้คนจนมีลูกศิษย์มากมาย แต่พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า "คุณใบลานเปล่า" และในที่สุดต้องไปหาศิษย์ซึ่งเป็นเณรอายุ ๗ ขวบ ผู้บรรลุธรรมแล้ว เพื่อสอนปฏิบัติให้บรรลุธรรมด้วย
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ พระอานนท์ พุทธอุปัฏฐากซึ่งพระพุทธองค์ทรงยกย่องว่าเป็นผู้มีความจำดีเลิศ แต่ในสมัยที่พระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่พระอานนท์มิได้บรรลุธรรมใดๆ เลย เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จเข้าสู่ปรินิพพานแล้วในเวลาสามเดือน ได้เพียรพยายามปฏิบัติจนบรรลุได้ ก่อนที่จะมีการประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก
ในสมัยหนึ่ง มีพระมหาเถระชื่อ พระมหาสิวะ เป็นพระที่มีชื่อเสียงทางด้านปริยัติธรรมมาก ท่านมีปัญญาแตกฉานในพระไตรปิฎก จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอาจารย์ใหญ่ สั่งสอน ธรรมะให้กับพระภิกษุสามเณรถึง ๑๘ คณะใหญ่ เป็นจำนวนถึง ๓๐,๐๐๐ รูปด้วยกัน เมื่อพระภิกษุสามเณรศึกษาปริยัติธรรมจากท่านแล้ว ก็กราบลาไปปฏิบัติกัมมัฏฐาน ทำสมถวิปัสสนา จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์กันมากมาย
มีศิษย์ของท่านองค์หนึ่ง เมื่อได้บรรลุอรหัตผลแล้ว ก็ระลึกถึงคุณของพระอาจารย์ จึงตรวจดูว่าอาจารย์ได้บรรลุธรรมขั้นไหนแล้ว ก็ทราบว่าท่านยังเป็นปุถุชนอยู่ จะหาคุณวิเศษสักอย่างหนึ่งก็ไม่มี เพราะมัวแต่สอนปริยัติธรรม แต่ไม่ยอมลงมือปฏิบัติ แม้จะมีความรู้มากมายก่ายกอง เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก แต่ยังไม่ได้รับรสแห่งพระธรรมที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร พระอรหันต์ผู้เป็นศิษย์ จึงคิดจะช่วยสงเคราะห์พระอาจารย์ เย็นวันหนึ่ง ท่านได้เหาะไปยังกุฏิของพระมหาเถระ ทำเป็นว่าจะไปขอเรียนอนุโมทนาคาถา พระมหาเถระจำศิษย์ไม่ได้เนื่องจากท่านมีลูกศิษย์มาก จึงปฏิเสธว่าตนไม่มีเวลาว่าง เพราะต้องไปสอนพระไตรปิฎกทุกวัน พระอรหันต์จึงเตือนสติพระอาจารย์ว่า...
"ท่านอาจารย์ผู้ว่างเปล่า อย่าทำตนเป็นผู้ไม่ว่างอยู่เลย ท่านไม่รู้ตัวหรือว่าขณะนี้ท่านเป็นผู้ที่ประมาทแล้ว ตัวของท่านเป็นเสมือนแผ่นกระดานสำหรับให้คนทั้งหลายเดินข้ามไป ท่านเป็นที่พึ่งให้แก่คนอื่นก็จริงอยู่ แต่ท่านไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับตนเองได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไร ท่านได้แต่สอนคนอื่น ไม่ได้สอนตนเองเลย แม้ท่านจะแตกฉานในพระไตรปิฎก แต่ถ้าไม่นำความรู้ที่ศึกษามาปฏิบัติแล้ว ท่านก็จะไม่พ้นจากอบายภูมิแน่นอน"
เมื่อพระอรหันต์เตือนสติให้อาจารย์ได้สำนึกแล้ว ก็เหาะขึ้นสู่อากาศ ต่อหน้าพระอาจารย์ พระมหาเถระคิดว่าตนเองเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก สอนให้ผู้อื่นได้บรรลุธรรมมากมาย ถ้าตั้งใจลงมือปฏิบัติคงไม่เกิน ๓ วันก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์อย่างง่ายดาย ก่อนเข้าพรรษา ๓ วัน ท่านได้เดินทางเข้าไปในป่าใหญ่ เพื่อแสวงหาสถานที่ที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติธรรม ได้ปัดกวาดสถานที่ให้น่าอยู่ แล้วเริ่มบำเพ็ญภาวนาตามหลักปริยัติที่เคยศึกษามา หนึ่งวันผ่านไป ใจก็ยังไม่รวม สองวันผ่านไปก็แล้ว สามวันล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว แม้จะใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวด แต่ก็ไม่สามารถบรรลุอรหัตตผลได้ ท่านเกิดมานะขึ้นในใจว่า "ลูกศิษย์ของเราต่างบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันมากมาย ตัวเราเป็นถึงพระอาจารย์ใหญ่ ทำไมจะทำไม่ได้" จึงอธิษฐานพรรษาอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว ทำสมาธิ เจริญภาวนา ตลอดทั้งวันทั้งคืน เมื่อถึงวันอุโบสถ ก็คิดว่า เรามาแล้วด้วยคิดว่า โดยสองสามวัน เราจะเอาพระอรหัตตผลให้ได้ ก็ยังเอาไม่ได้ สามเดือนก็เหมือนสามวันนั่นแหละ คอยถึงวันมหาปวารณาก่อนจะรู้ ถึงเข้าพรรษาแล้วก็ยังเอาไม่ได้.
ในวันปวารณา ท่านคิดว่า เรามาแล้วด้วยคิดว่า โดยสองสามวัน เราจะเอาพระอรหัตตผลให้ได้ นี่ก็ตั้งสามแล้ว ก็ยังไม่สามารถจะเอาได้ ส่วนพวกเพื่อนพรหมจรรย์จะปวารณาชนิดวิสุทธิปวารณากัน เมื่อท่านคิดอย่างนั้น สายน้ำตาก็หลั่งไหล. จากนั้น ท่านคิดว่า มรรคผลจะไม่เกิดขึ้นเพราะอิริยาบถ ๔ ของเราบนเตียง ถ้าเดี๋ยวนี้ยังไม่บรรลุพระอรหัตตผล เราจะไม่ยอมเหยียดหลังบนเตียงอย่างเด็ดขาด จะไม่ยอมล้างเท้า แล้วก็ให้ยกเอาเตียงไปเก็บไว้ภายใน พรรษาก็ถึงอีก. ท่านก็ยังเอาพระอรหัตตผลไม่ได้ตามเคย สายน้ำตาก็หลั่งไหล ในวันปวารณาออกพรรษาถึง ๒๙ ครั้ง. พวกเด็กในหมู่บ้านพากันเอาหนามมากลัดที่ที่แตกในเท้าทั้งสองข้างของพระเถระ. แม้เมื่อจะพากันเล่น ก็เล่นเอาว่า ขอให้เท้าทั้งสองข้างจงเป็นเหมือนเท้าของพระคุณเจ้ามหาสิวเถระเถิด.
กาลเวลาได้ผ่านไป จาก ๓ เดือนเป็น ๓ ปี จนกระทั่งล่วงเลยมาถึง ๓๐ ปี นักบวชวัยชราผู้ปรารภความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ ก็ยังไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลย ในคืนหนึ่ง ท่านได้รำพึงรำพันน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง รู้สึกเสียใจจนมิอาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ จึงร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร และในที่ใกล้นั้นได้มีหญิงสาวคนหนึ่งมายืนร้องไห้อยู่ ท่านจึงเข้าไปถามด้วยความห่วงใย หญิงสาวได้บอกกับพระมหาเถระว่า ตนเป็นเทพธิดาอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้มานาน ได้เห็นพระมหาเถระปรารภความเพียร จึงเกิดความเลื่อมใส ปรารถนาจะบรรลุคุณวิเศษบ้าง เห็นท่านร้องไห้จึงร้องไห้ตาม เผื่อว่าจะได้บรรลุธรรมตามท่านไปด้วย
พระมหาเถระเป็นผู้มีปัญญา ทราบว่าเทพธิดามาเตือนสติ ท่านจึงกลับมาพิจารณาตนเอง ทบทวนวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง และในคืนนั้น ท่านได้นั่งทำภาวนาด้วยใจที่สงบเยือกเย็น จิตใจผ่องแผ้ว อารมณ์ดี อารมณ์สบายกว่าทุกๆวัน ในที่สุดได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวง
ท่านคิดว่า บัดนี้ เราจะนอน แล้วก็จัดแจงเสนาสนะ ปูลาดเตียง ตั้งน้ำในที่น้ำ คิดว่า เราจะล้างเท้าทั้งสองข้าง แล้วก็นั่งลงที่ขั้นบันได.
แม้พวกศิษย์ของท่าน ก็พากันคิดอยู่ว่า เมื่ออาจารย์ของเราไปทำสมณธรรมตั้งสามสิบปี ท่านอาจทำคุณวิเศษให้เกิดได้หรือไม่อาจ เห็นว่าท่านสำเร็จพระอรหัตแล้ว นั่งลงเพื่อล้างเท้า จึงต่างก็คิดว่า อาจารย์พวกเรา เมื่อพวกศิษย์เช่นพวกเรายังอยู่ คิดว่า จะล้างเท้าด้วยตนเองนี้ไม่ใช่ฐานะ เราจะล้าง เราจะล้าง แล้วทั้ง ๓๐,๐๐๐ รูปต่างก็เหาะมาไหว้ แล้วกราบเรียนว่า กระผมจะล้างเท้าถวาย ขอรับ.
ท่านห้ามว่า คุณ ฉันไม่ได้ล้างเท้ามาตั้งสามสิบปีเข้านี่แล้ว พวกคุณไม่ต้องฉันจะล้างเอง.
แม้ท้าวสักกะก็ทรงพิจารณาว่า พระคุณเจ้ามหาสิวะเถระของเรา สำเร็จพระอรหัตแล้ว เมื่อพวกศิษย์สามหมื่นรูปมาแล้วด้วยคิดว่า พวกเราจะล้างเท้าทั้งหลายถวาย ก็ไม่ให้ล้างเท้าให้ ก็เมื่ออุปัฏฐากเช่นเรายังมีอยู่ พระคุณเจ้าคิดว่าจะล้างเท้าเองนี่เป็นไปไม่ได้ แล้วทรงตัดสินพระทัยว่า เราจะล้างถวายจึงพร้อมด้วยสุชาดาเทวีได้ทรงปรากฏในสำนักของหมู่ภิกษุ.
ท้าวเธอทรงส่งนางสุชาดาผู้เป็นอสุรกัญญาล่วงหน้าไปก่อน ให้เปิดโอกาสว่า ท่านเจ้าขา พวกท่านจงหลีกไป โปรดให้โอกาสผู้หญิง แล้วทรงเข้าไปหาพระเถระ ไหว้แล้วนั่งกระหย่งต่อหน้าตรัสว่า ท่านขอรับ กระผมจะล้างเท้าถวาย.
พระเถระตอบว่า โกสีย์ อาตมภาพไม่เคยล้างเท้ามาตั้งสามสิบปีเข้านี่แล้ว และแม้โดยปกติชื่อว่ากลิ่นตัวคนเป็นของน่าเกลียดสำหรับพวกเทพ แม้อยู่ไกลตั้งร้อยโยชน์ เหมือนเอาซากศพมาแขวนคอ อาตมภาพจะล้างเอง.
ตรัสตอบว่า ท่านขอรับ ชื่อว่ากลิ่นอย่างนี้ไม่ปรากฏ เพราะว่ากลิ่นศีลของท่านเลยเทวโลกหกชั้นไปตั้งอยู่สูงถึงชั้นภวัคคพรหมในเบื้องบน ไม่มีกลิ่นอื่นที่ยิ่งไปกว่ากลิ่นศีล ท่านขอรับ กระผมมาเพราะกลิ่นศีลของท่าน แล้วก็ทรงเอาพระหัตถ์ซ้ายจับข้อต่อตาตุ่ม แล้วเอาพระหัตถ์ขวาลูบฝ่าเท้า. เท้าของท่านก็เป็นเหมือนกับเท้าของเด็กหนุ่มขึ้นมาทันที. ครั้นท้าวสักกะทรงล้างเท้าถวายเสร็จแล้วก็ทรงไหว้ แล้วเสด็จไปสู่เทวโลกตามเดิม.
เราจะเห็นว่า การจะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะนั้น จะต้องลงมือปฏิบัติอย่างเดียวเท่านั้น จะมัวร้องไห้ หรืออ้อนวอนอย่างไร ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ หรือแม้จะมีความรู้ในทางทฤษฎี หรือปริยัติธรรมมากมายเพียงใด แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าจะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้ ดังนั้น การปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องตามพุทธวิธี จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เราได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
ดังนั้น การศึกษาทั้งทางด้านปริยัติและปฏิบัติ จึงเป็นสิ่งที่จะต้องศึกษาควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะการศึกษาและการถ่ายทอดความรู้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ เป็นการรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ต่อไปได้ยาวนาน เราจึงต้องเอามาประพฤติ เอามาปฏิบัติอย่างนี้ เราอย่าไปเข้าใจเรื่องศาสนาอย่างอื่น ศาสนามันต้องไปอย่างนี้ ความสุขความดับทุกข์ไม่เกี่ยวกับคนรวยคนจน ไม่เกี่ยวกับคนหนุ่ม คนแก่หรอก มันอยู่ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง อยู่อย่างนี้ในปัจจุบัน
คำสอนของพระพุทธองค์ที่ตกทอดกันมาแต่โบราณกาลจึงเป็นเพียงความรู้ ส่วนปัญญาตรัสรู้เป็นอีกสภาวะหนึ่งอันไม่สามารถบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรหรือวาจาใดๆ ได้เลย จะปรากฏเกิดขึ้นได้ก็มากจากผลของการประพฤติปฏิบัติธรรม ตามสมควรแก่ธรรมเท่านั้น
มีหลายสำนัก หลายวัด บางวัดจะเอาเเต่สมาธิ บางวัดจะเอาเเต่ปัญญา มันไม่ได้ มันขาดขั้นตอนไป มันขาดพื้นฐานไป คนเราน่ะ ต้องรู้จักการบริโภคทางกาย การบริโภคทางใจ การบริโภคทางกายก็คือ ทานข้าว ทานอาหาร การพักผ่อน การบริโภคทางใจคือความคิด เราต้องทำให้ถูกต้อง ถ้าผิดนิดหน่อยก็ไม่ได้ ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจ การพัฒนาใจก็เหมือนเรารักษาดวงตาของเรานี้เเหละ ตาของเราต้องรักษาให้ดี ขี้ฝุ่นนิดเดียวเข้าตาของเราไม่ได้ ความคิดที่ไม่ดี นิดเดียวก็ไปคิดไม่ได้ ความผิดนิดเดียวก็ไปทำไม่ได้ เราต้องสมาทาน ต้องตั้งใจ ให้เข้าใจอย่างนี้ เราต้องเห็นคุณค่าในตาของเรา เดี๋ยวถ้าเราไปทำอะไรผิด มันเป็นแผลทางจิตใจ ถ้าเราไปปฏิบัติผิด ถ้าเราไปทำผิดศีลผิดข้อวัตรข้อปฏิบัติ มันเป็นแผลทางใจลึก เช่น เราทำผิดศีล ๒๒๗ หรือผิดศีลในปาริสุทธิศีล ๔ คือ ปาฏิโมกขสังวรศีล ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ได้แก่ ศีลของพระ ๒๒๗ ข้อ เริ่มแต่ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ เป็นต้น อินทรียสังวรศีล คือการสำรวมในอินทรีย์ทั้ง ๖ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อาชีวปาริสุทธิศีล การแสวงหาเลี้ยงชีพในทางที่บริสุทธิ์ ไม่หลอกลวงเขาเลี้ยงชีพ เช่น ทำเดรัจฉานวิชา เพื่อหวังลาภสักการะ เป็นต้น ปัจจัยสันนิสสิตศีล ให้ภิกษุพิจารณาปัจจัย ๔ ที่ได้มา มีบิณฑบาต เป็นต้น หรือว่าผิดข้อวัตรของครูบาอาจารย์ พวกนี้มันเป็นฝุ่นเข้าตา มันเป็นบาดแผลทางจิตใจ มันทำให้เศร้าหมอง มันเป็นบาป มันห้ามมรรคผลพระนิพพาน มันเป็นการเดินไป เเล้วก็ถอยหลัง ผู้ที่บวชอยู่ในวัดก็ต้องพระพุทธเจ้าให้เข้าใจ เราอย่าได้ประมาทในความคิด เหล่านี้เป็นวินัยของพระ ซึ่งเรียกว่า อนาคาริยวินัย ถ้าจะมีคำถามว่า ผู้ที่ไม่รักษาวินัยทั้ง ๔ อย่างนี้จะเป็นอย่างไร ข้อนี้ท่านแก้ว่า ภิกษุผู้ไม่รักษาวินัยทั้ง ๔ นี้ชื่อว่า เป็นอลัชชี ผู้ไม่มียางอาย เป็นผู้ย่ำยีศาสนา ครั้นตายลงไปแล้วย่อมไปเกิดในอบายภูมิอย่างแน่นอน
เราพากันนับถือพระพุทธเจ้า ถือตั้งเเต่ยี่ห้อ ถือตั้งเเต่เเบรนด์เนม เเล้วไม่รู้จักพระพุทธเจ้า เพราะว่าเราพากันทิ้งสติทิ้งสัมปชัญญะ ทิ้งพระวินัย ที่หลวงตามหาบัวท่านเทศน์ว่า เศรษฐีธรรม เเต่เราทำตรงกันข้าม เราก็พากันเป็นเศรษฐีนรก เศรษฐีอเวจีกัน ทั้งที่ก็เป็นพระกรรมฐาน ถือว่าเป็นสายพระกรรมฐาน แต่พากันเพลิดเพลินในกาม พากันมีเซ็กซ์ทางความคิด มีเซ็กซ์ทางอารมณ์ จิตใจมันหยาบจิตใจมันกระด้าง จิตใจมันสกปรก มองไม่เห็นกรรม กฏเเห่งกรรม ทุกคนใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ตัวเองก็ปกปิดคนอื่นได้ เเต่ว่าปิดใจตัวเองไม่ได้ มันปิดกฏแห่งกรรมไม่ได้ พระพุทธเจ้าพูดเเล้วพูดอีกมันก็ยังด้านยังมึน อยู่กับพระพุทธศาสนาก็ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา อยู่กับพระพุทธเจ้าก็ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า
อย่างวัดเรานี้ ครูบาอาจารย์ไม่ให้พระเก่ามีโทรศัพท์ ไม่ให้พระใหม่มีโทรศัพท์ ก็ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า คนไม่รู้จักพระพุทธเจ้าคือเป็นผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิ ทั้งที่ครูบาอาจารย์ไม่ได้เเต่งตั้งให้ว่าต้องมีโทรศัพท์ต้องมีอะไร จิตใจมันต่ำสกปรกอย่างนี้ ถึงว่าตรงกันข้ามกับหลวงตามหาบัวเทศน์ว่า เศรษฐีธรรม เศรษฐีพระธรรมพระวินัย เป็นผู้ปฏิบัติ ไม่เป็นกรรมฐานกลายพันธ์เอาเงินเอาสตางค์ใส่ย่าม ไม่เป็นกรรมฐานกลายพันธ์มีโทรศัพท์มือถือ อย่างนี้เค้าเรียกว่า เศรษฐีนรก เศรษฐีอเวจี เราจะเอามาตราฐานของปุถุชนมหาปุถุชนไม่ได้ มาตรฐานของพระเทวทัตไม่ได้ ต้องเอามาตรฐานของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ คือเอาพระธรรมพระวินัย ต้องเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ไม่ต้องไปถือเเบรนด์เนมพระพุทธเจ้า ไม่ต้องไปโกนผมนุ่งห่มผ้าเหลือง นี้เเหละคือ ผู้ที่ทำลายชาติศาสน์กษัตริย์ พวกเผ่าพันธุ์พวกนี้ไม่สมควรที่จะมีอยู่ในพระศาสนา เพราะความกตัญญูกตเวทีเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ถ้าคนเก่าเห็นเเก่ตัวขนาดนี้ ไม่ยอมเดินตามพระสารีบุตรไม่เดินตามพระมหากัสสัปปะ ศาสนาจะอยู่ได้ยังไง ถ้าเราบวชอยู่ก็คือว่าเราสึก ลาสิกขา เรียกว่าลาจากพระธรรมพระวินัย
ทุกคนให้พากันกลับเนื้อกลับตัวนะ ปัจจุบันนี้มันไม่สาย ถ้าเราเเก้เนื้อเเก้ตัว ปรับเนื้อปรับตัวในปัจจุบัน มันไม่สาย ถ้านักกีฬาเก่ง ยิ่งปลายยกก็ยิ่งหมัดเเรง ถ้าอย่างนี้ ไม่ได้นะ ประเทศไทยเราเเย่เลย เราทำอย่างนี้มันมีปัญหา เราไปเเก้ปลายเหตุ ถ้าอย่างนั้นปืนก็ต้องมีเยอะ ระเบิดก็ต้องมีเยอะ การเรียนการศึกษามันเเก้ปัญหาไม่ถูก เพราะทุกคนไม่ต้องไปเเก้คนอื่น ในใบสุทธิ เค้าถามว่าอาชีพอะไร รับราชการ อาชีพเกษตรกรรม อาชีพนักบวช เราก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองทุกคน เพราะว่าความสงบมันอยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ไปตามอารมณ์ไปตามความคิดได้ยังไง
ทำไมเราถึงปฏิบัติไม่ก้าวหน้า เพราะเราตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท เราไม่รู้จักอริยสัจ ๔ เราไปปล่อยให้ตัวเองมี Sex ทางความคิด มี Sex ทางอารมณ์ บางทีเกินไปถึงผิดศีลผิดข้อวัตรผิดกิจวัตร มันเลยห้ามมรรคผลห้ามพระนิพพานของเรา คนเราเราคิดไม่ดี ทำไม่ดี ถึงแม้คนอื่นไม่รู้จัก เเต่เราเองก็รู้จัก เหมือนกับทุกคนใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ปิดกายไว้ แต่มันปิดใจของตัวเองไม่ได้ เรื่องใจถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เราทุกท่านทุกคนต้องพัฒนาใจของเรา ต้องรู้จักคำว่าพระพุทธเจ้า รู้จักความพระพุทธศาสนา ถ้าไม่อย่างนั้นเราปฏิบัติไม่ได้ผลหรอก ความไม่ละอายต่อบาป ความไม่เกรงกลัวต่อบาป ถือว่าเป็นอันตราย เป็นภัยพิบัติที่ต้องเกิดเเก่เราเเน่นอน กามมันเป็นของอร่อย ความคิดในสิ่งที่ไม่ดี มันเป็นของอร่อย เราต้องรู้จัก เราต้องใจเข้มเเข็ง เราอยู่ในท่ามกลางสิ่งเเวดล้อมที่ประกอบไปด้วยสิ่งยั่วยวนทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราต้องรู้จัก เราต้องเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เป็นคนละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เพราะทุกคนมีพื้นฐานมาจากปุถุชนมาจากสามัญชน เราต้องรู้จัก เพราะใจของเรามันไม่มีพระพุทธเจ้า มันมีเเต่ตามอารมณ์ตามความคิดไป คนเรามันต้องพากันเสียสละทั้งทางร่างกายเสียสละทางจิตใจที่มันหลง เราต้องรู้จักว่า เราต้องพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ วันหนึ่งคืนหนึ่ง เราต้องพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างสู่พระไตรลักษณ์ให้มันมาก ชีวิตของเราถึงจะสงบถึงจะเย็น เราอย่าไปคิดว่าประมาทนิดหน่อยไม่เป็นไร มันต้องเป็นเเน่นอน
หลายวัด หลายสำนัก พากันย่อหย่อนอ่อนเเอ ไม่เห็นความสำคัญในพระวินัยในข้อวัตรปฏิบัติ เเต่จะไปเอาเเต่เรื่องจิตเรื่องใจไม่เอาพระวินัย มันจะเป็นไปได้ยังไง คนเรามันต้องทานอาหารมันต้องพักผ่อน มันจะเอาเเต่ใจไม่ได้ มันต้องเอาทั้งกาย เอาทั้งใจ ให้เข้าใจ ถ้าไม่อย่างนั้นเราไม่มีสติปัฏฐานทั้ง ๔ เลย เราไม่มีศีลสมาธิปัญญาเลย มันก็เป็นเหมือนที่เรามองดูทุกวันนี้ ที่เค้าว่า มรรคผลนิพพานไม่มีเเล้ว มันก็เเน่นอนจริงๆ เพราะไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติ มันจะมีได้ยังไง ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจ ผู้ที่เป็นประชาชนก็ต้องเข้าใจ ผู้ที่มาบวชก็ให้เข้าใจ ทำไมมันใจอ่อนเเท้ ! เมื่อเราใจอ่อนอยู่ปัญญามันเกิดไม่ได้ เราทุกคนต้องรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต รักษาธรรมยิ่งกว่าชีวิต เหมือนที่ว่ายอมผ่าตัด เอาบางส่วนออก เพื่อรักษาชีวิต ยอมสละชีวิตรักษาธรรม ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “จเช ธนํ องควรสฺส เหตุ องฺคํ จเช ชีวิตํ รกฺขมาโน องคํ ธนํ ชีวิตญฺจาปิ สพฺพํ จเช นโร ธมฺมมนุสสรนฺโต ฯ พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เมื่อจะรักษาชีวิต พึงสละอวัยวะ เมื่อคำนึงถึงธรรม พึงสละได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอวัยวะ ทรัพย์ และแม้ชีวิต”
ชีวิตของเราถ้าเราเอาตามพระพุทธเจ้า ชีวิตของเรามีเเต่สงบมีเเต่เย็น เพราะว่าทุกอย่างมันสงบอยู่เเล้ว เราจะได้เเก้ปัญหาถูกต้อง เพราะเราทุกคนต้องเเก้ไขที่ตัวเอง ความสุขความดับทุกข์มันก็จะมีกับเรา ทำไมพวกประชาชนที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าเเล้ว ที่ท่านเป็นพระอรหันต์เเล้ว ท่านก็โปรดพ่อโปรดเเม่โปรดญาติพี่น้อง ผู้ที่เป็นพ่อเเม่ที่เป็นพระอริยเจ้าครองเรือน ท่านก็โปรดลูกโปรดหลาน ท่านไม่เห็นคุณไม่เห็นประโยชน์เฉพาะแต่ในการที่มีบ้านมียศมีลาภมีการสรรเสริญเท่านั้น ท่านมีทั้งปัจจัย ๔ และมีทั้งจิตใจคุณธรรม เราดูเศรษฐีในเมืองไทยไม่คิดเรื่องมรรคผลนิพพาน ทุกคนไม่คิดเรื่องมรรคผลนิพพาน เอาเเต่วัตถุภายนอก ไม่ได้พัฒนาใจ มันต้องทำให้ถูกต้อง มันถึงจะไปได้ ทุกอย่างมันสงบมันเย็น มรรคผลนิพพานมันอยู่อย่างนี้ มันไม่ได้วิ่งไปหาอะไรที่ไหน