แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๔๒ พระพุทธเจ้าทรงเปิดโลกมาแสดง ชี้แจงให้เห็นให้สัจธรรม ต้องลงมือกระทำจึงจะเห็นผล
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ในพรรษาที่ ๗ (นับแต่ตรัสรู้เป็นต้นมา) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จากปฐมสมโพธิ และจาก 'อรรถกถา' กล่าวตรงกันว่า เหตุที่พระพุทธเจ้าเสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็เพราะทรงต้องการจะแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา คือ พระนางสิริมหามายา ซึ่งเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว เสด็จบังเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิต
พระพุทธเจ้าเสด็จประทับจำพรรษาที่โคนต้นปาริฉัตร ต้นไม้สวรรค์ มีผู้แปลกันว่า ได้แก่ ต้นทองหลาง ภายใต้ต้นไม้สวรรค์นี้มีแท่นแผ่นหิน ปูลาดด้วยผ้ากัมพลสีเหลือง เรียกว่า 'บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์'
พระอินทร์จอมเทพได้ทรงทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาทรงจำพรรษาที่นี้ ก็ทรงป่าวประกาศหมู่เทพยดาในสรวงสวรรค์ให้มาร่วมชุมนุม เพื่อฟังธรรมพระพุทธเจ้า ปฐมสมโพธิว่า เสียงป่าวประกาศของพระอินทร์นั้น ดังปกแผ่ทั่วไปในสกลเทพยธานีทั้งหมื่นโยชน์ เทพเจ้าทั้งปวงได้สดับก็บังเกิดโสมนัสพิศวง ต่างองค์ร้องเรียกซึ่งกันและกันต่อๆ กันไปจนตลอดถึงหมื่นจักรวาล
ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) พร้อมเหล่าเทพพรหมน้อยใหญ่ต่างโสมนัสยินดีต่อการเสด็จมาแห่งพระบรมศาสดา ก็ชวนกันมาเข้าเฝ้ารอฟังพระธรรมเทศนาเป็นจำนวนมาก พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามถึงพระพุทธมารดา พระอินทร์จึงไปทูลเชิญพระพุทธมารดาซึ่งบัดนี้จุติเป็นเทพบุตร อยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิต เมื่อสันตดุสิตเทพบุตรเสด็จมาอัญชลีถวายสักการะแก่พระจอมศาสดาด้วยโสมนัสยิ่งแล้ว พระพุทธองค์ทรงดำริว่า ‘ธรรมอันใดหนอที่จะมีคุณค่าเทียมเท่าค่าน้ำนมและคุณพระมารดาของตถาคตนี้ ผู้ตั้งพระทัยเป็นพุทธมารดามานานนับแสนกัปเป็นประมาณ’ เมื่อนั้นก็พลันดำริเห็นว่าพระอภิธรรมปิฏกนี้แลมีคุณค่าเช่นนั้น จึงทรงกวักพระหัตถ์เรียกท่านให้เข้ามาใกล้ (ที่มาพระพุทธรูปปางโปรดพุทธมารดา)
“เอหิ อมฺม …ขอพระแม่เจ้าได้กรุณาเสด็จมาใกล้ๆพระตถาคต ผู้เป็นปิโยรส ซึ่งพระแม่เจ้าได้อุ้มท้องประคับประคองและเลี้ยงดูด้วยน้ำนมและข้าวป้อนแต่อเนกชาติ ตถาคตขอโอกาสโปรดสนองพระคุณซึ่งสูงด้วยค่าหาประมาณมิได้ ด้วยพระอภิธรรมเทศนา”
จากนั้น จึงทรงแสดงพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์อันประเสริฐแยบคายตลอดทั้ง ๓ เดือน ในเวลาบิณฑบาต พระพุทธองค์ทรงเนรมิตพระพุทธนิรมิต เพื่อให้แสดงธรรมแทน แล้วเสด็จไปป่าหิมพานต์ ริมสระน้ำอโนดาต สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ทรงฉันภัตตาหาร ณ ที่นี่ เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จ แล้วทรงตรัสกับพระสารีบุตรซึ่งมารออุปัฏฐากอยู่ ณ ที่นี่ว่า “สารีบุตร วันนี้เราแสดงธรรมชื่อว่าธัมมสังคณี ให้กับพระพุทธมารดา และเหล่าเทวดาทั้งหลายบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ขอให้เธอได้นำหัวข้อธรรมสังคณีนี้ไปแสดงโปรดแก่ภิกษุทั้ง 500 รูปที่เป็นลูกศิษย์ของเธอด้วย”
พระสารีบุตรได้ปฏิบัติตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนสามารถทำให้ภิกษุทั้ง 500 รูปบรรลุธรรม
พระพุทธมารดาในฐานะเทพบุตรจึ่งได้บรรลุโสดาปัตติผลในครั้งนั้นเอง พร้อมกับ เหล่าเทพพรหมน้อยใหญ่ต่างเกิดดวงตาเห็นธรรมด้วยธรรมาภิสมัยนี้เป็นจำนวนมากราวแปดหมื่นโกฏิ
ถามว่า เพราะเหตุใดพระพุทธมารดาประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต แล้วเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงไม่เสด็จไปเทศนาบนสวรรค์ชั้นดุสิต
ตอบ คือเทวดานั้นมีระดับชั้น เทวดาชั้นสูงกว่าสามารถลงมายังสวรรค์ชั้นต่ำกว่าได้ แต่เทวดาจากสวรรค์ชั้นล่างๆ จะไม่สามารถข้ามขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นสูงได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงเลือกเทศนา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์อันเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๒ เพื่อให้เทวดาในทุกชั้นฟ้าสามารถมาร่วมสดับพระอภิธรรมได้
ตามคำภีร์เขียนไว้ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดางดึงส์ 1 พรรษาหรือ 3 เดือน 90 วัน นับเวลาบนโลกมนุษย์
สวรรค์ชั้นดาวดึง 1 วัน = 100 ปี มนุษย์ 1 วันบนสวรรค์ = 36,500 วัน ของมนุษย์ 1 วันบนสวรรค์ = 24 คูณ 60 คูณ 60 = 86400 วินาทีสวรรค์
86400 วินาทีสวรรค์ หารด้วย 36,500 วันบนโลกมนุษย์ จะได้ 1 วันโลกมนุษย์จะได้ 2.36 วินาทีบนสวรรค์ คูณด้วย 90 วันหารด้วย 60 จะได้เวลาที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่บนสวรรค์ตัวเลขกลมๆ 3.6 นาที
ในทางฟิสิกส์เราอาจใช้ทฤษฎีของไอสไตน์เข้ามาช่วยในส่วนนี้ เราจะใช่หลักเดียวกันกับ Twin Paradox ซึ่งเป็นการทดลองทางความคิดในทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษที่เกี่ยวข้องกับฝาแฝดที่เหมือนกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นได้เดินทางสู่อวกาศด้วยจรวดความเร็วสูงมากๆอาจเกือบเท่าแสงจนทำให้เวลาบนยานช้าลง กว่าเวลาบนโลก เมื่อฝาแฝดบนยานะกลับบ้านก็พบว่าฝาแฝดที่อยู่บนโลกนั้นมีอายุมากกว่า
ในส่วนของพระอภิธรรมทีมีเรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพุทธมารดา มีผู้สันนิษฐานว่าพระอภิธรรมปิฎกนี้เป็นของแต่งขึ้นใหม่ โดยมีเหตุผลอยู่หลายข้อ แต่ขอยกมาบางส่วน
1.สำนวนในการเขียนพระอภิธรรมปิฎกเป็น ภาษาหนังสือ แตกต่างจากสำนวนภาษาในพระวินัยปิฎกและพระสุตตันตปิฎก
2.หลักมหาปเทสให้สาวกเทียบเคียงความถูกต้องกับพระสูตรและพระวินัย ไม่ปรากฏว่าให้เทียบเคียงกับพระอภิธรรมปิฎกเลย
3.ข้ออ้างเรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปเทศนาโปรดพระพุทธมารดาที่ดาวดึงส์ ไม่ปรากฏในพระสูตรและพระวินัย
4.คำว่า อภิธัมเม ที่ปรากฏในพระสูตรบางแห่งหมายถึง โพธิปักขิยธรรม
5.พระพุทธเจ้าตรัสกับสาวกว่า ธัมโม จ วินโย จ หมายถึงพระธรรมกับพระวินัยเท่านั้น (ที่ให้เป็นศาสดาแทนต่อไป)
6. ยญฺจ โข ภควตา ชานตา ปสฺสตา ซึ่งแปลว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้ารู้อยู่ เห็นอยู่" และ วุตฺตญฺเจตํ ภควตา ซึ่งแปลว่า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ดังนี้ เป็นสำนวนของพระสังคีติกาจารย์
7. นิกายสรวาสติวาทิน (นิกายอภิธรรม) ถือว่าพระอภิธรรมปิฎกเป็นสาวกภาษิต
หลังเสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดังกล่าวเพื่อแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาแล้ว วันที่เสด็จลงคือวันออกพรรษา เมืองที่เสด็จลงคือเมืองสังกัสนคร เสด็จลงตรงประตูเมือง พระบาทแรกที่ทรงเหยียบพื้นโลกนั้น ต่อมาได้กลายเป็นสถานที่ระลึกเรียกว่า 'อจลเจดีย์' เรียกอย่างไทยเราก็ว่า 'รอยพระพุทธบาท' ตามตำนานว่าที่นี่เป็นที่แห่งหนึ่งซึ่งมีรอยพระพุทธบาทปรากฎอยู่
ก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จลง พระอินทร์ได้เนรมิตบันได ๓ บันไดเป็นที่เสด็จลง คือ บันไดทอง บันไดเงิน และบันไดแก้วมณี บันไดทองสำหรับหมู่เทพลงอยู่ด้านขวา บันไดเงินอยู่ด้านซ้ายสำหรับท้าวมหาพรหม และบันไดแก้วมณีอยู่ตรงกลางสำหรับพระพุทธเจ้า หัวบันไดแต่ละอันพาดที่เขาสิเนรุ เชิงบันไดทอดลงยังประตูเมืองสังกัสนคร
ครั้นแล้วก็ทรงเปิดโลก บันดาลให้เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรกแลเห็นซึ่งกันและกัน วันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์นั้น พระองค์ได้แสดงปาฏิหาริย์อีกครั้งหนึ่ง คือขณะที่พระองค์ประทับยืนอยู่ที่บันไดแก้ว ทรงทอดพระเนตรไปทางทิศเบื้องบน เทวโลกและพรหมโลกก็เปิดมองเห็นโล่ง เมื่อทรงทอดพระเนตรไปในทิศเบื้องต่ำ นิรยโลกทั้งหลายก็เปิดโล่ง ในครั้งนั้น สวรรค์ มนุษย์ และสัตว์นรก ต่างก็เห็นซึ่งกันและกันทั่วจักรวาล
พระพุทธเจ้าขณะเสด็จลงจากสวรรค์ ทอดพระเนตรดูเบื้องบนโลกทั้งมวลตั้งแต่มนุษย์ก็สว่างโล่งขึ้นไปถึงเทวโลก เมื่อทรงเหลียวไปรอบทิศรอบด้านสากลจักรวาลก็โล่งถึงกันหมด และเมื่อทอดพระเนตรลงเบื้องล่าง ความสว่างก็เปิดโล่งลงไปถึงนรกทุกขุม ผู้อาศัยอยู่ในสามโลกต่างมองเห็นกัน มนุษย์เห็นเทวดา เทวดาเห็นมนุษย์ มนุษย์และเทวดาเห็นสัตว์นรก สัตว์นรกเห็นเทวดาและมนุษย์ แล้วต่างเหลียวมองดูพระพุทธเจ้าผู้เสด็จลงจากสวรรค์ด้วยพระ เกียรติยศอันยิ่งใหญ่
คัมภีร์ธรรมบทที่พระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้แต่งบอกว่า "วันนี้คนทั้งสามโลกได้เห็นแล้ว ที่ไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้านั้นไม่มีเลยสักคน"
เราควรมองให้ทะลุถึงแก่นของคติที่ว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พระพุทธจริยาในตอนนี้ท่านคงไม่ต้องการมุ่งแสดงให้เห็นว่า การที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์นั้น มีความสมจริงหรือไม่สมจริงหรอก แต่สิ่งที่ท่านต้องการแสดงให้ชาวโลกเห็นก็คือ พระพุทธองค์ทรงต้องการจะบอกพวกเราว่า ขนาดพระมารดาของพระองค์นั้นแม้จะเสด็จสวรรคตไปอุบัติเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้วก็ตาม ( เวลาฟังธรรมเสด็จลงมาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ) สถานที่หรือภพที่พุทธมารดาประทับอยู่กับสถานที่หรือภพซึ่งพระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์โลดแล่นอยู่ซึ่งคือโลกของเรานั้น แม้จะอยู่กัน “คนละภพ – คนละมิติ” ก็จริงอยู่ แต่ถึงกระนั้น “ความต่างแห่งภพ” ก็หาได้เป็นอุปสรรคแห่งความกตัญญูที่บุตรจะพึงตอบสนองต่อผู้เป็นมารดาของตนแต่อย่างใดไม่
พูดให้ฟังง่ายกว่านั้นก็คือ แม้แม่ของพระองค์จะตายไปอยู่ไกลกันคนละภพคนละโลกแล้ว แต่พระองค์ก็ยังคงแสวงหาวิธีที่จะทดแทนพระคุณแม่ให้เสร็จสิ้นจนได้ แล้วคนธรรมดาสามัญอย่างเราเล่า อยู่ห่างกับคุณแม่แค่เพียงฝาห้องกั้น อยู่บ้านคนละหลังหรืออยู่ห่างกันแค่ชั่วยกหูโทรศัพท์ถึง ใกล้กันขนาดนี้ ภพเดียวกันขนาดนี้ แต่เราทั้งหลายเคยทำอะไรที่แสดงให้เห็นว่า เราเป็นลูกกตัญญูต่อมารดาบิดา เหมือนอย่างที่พระพุทธองค์ทรงวางพุทธจริยาเอาไว้ให้เห็นบ้างหรือไม่
คนเราทุกคนคือตัวแทนของพ่อแม่ตนทั้งนั้น เลือดก็แบ่งมาจากท่าน เนื้อก็แบ่งมาจากท่าน ตลอดจนนิสัยใจคอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่าน ความประพฤติของตัวเรานี่แหละ จะเป็นเครื่องประกาศคุณพ่อแม่อย่างชัดแจ้งที่สุด ไม่ใช่อยู่ที่หนังสือแจก ไม่ใช่อยู่ที่หีบศพบนเชิงตะกอน แต่อยู่ที่ตัวเรานี่เอง หากพิมพ์ข้อความไว้ในหนังสือแจกว่า คุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม แต่ตัวเราเองประพฤติสำมะเลเทเมา คอร์รัปชั่นทุกครั้งที่มีโอกาส ศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจรักษาก็ผิดที่ไป สดุดีคุณพ่อแม่ว่าเป็นคนดี สุภาพเรียบร้อย แต่ตัวเรา ผู้เป็นลูกกลับประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล อย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนักลง กลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในการกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษ ให้เครื่องพิมพ์ ให้ช่างเรียงพิมพ์ แสดงกตเวทีแทน แล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็ประจานแก่ ชาวบ้านว่าพ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกไม่เป็นประสา
ไม่ว่าเราจะตั้งใจประกาศคุณท่านหรือไม่ ความประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่านหรือประจานท่านอยู่ตลอดเวลา คิดเอาเองก็แล้วกันว่า เราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเราด้วยเกียรติยศชื่อเสียง หรือจะใจดำถึงกับประจาน ผู้บังเกิดเกล้าด้วยการทำตัวเป็นพาลเกเรและประพฤติต่ำทราม
การตอบแทนคุณท่าน แบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ
๑. เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่าน เลี้ยงดูท่านตอบเมื่อยามท่านชรา ดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่านให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อท่านเจ็บป่วย
๒. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ
แม้ว่าเราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว ยังนับว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ท่านมีต่อเรา ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต้องการจะสนองพระคุณท่านให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำดังนี้
๑. ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็พยายามชักนำให้ท่านตั้งอยู่ในศรัทธาให้ได้
๒. ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ทาน ก็พยายามชักนำให้ท่านยินดีในการบริจาคทานให้ได้
๓. ถ้าท่านยังไม่มีศีล ก็พยายามชักนำให้ท่านรักษาศีลให้ได้
๔. ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ก็พยายามชักนำให้ท่านทำสมาธิภาวนาให้ได้
เพราะว่าการตั้งอยู่ในศรัทธา การให้ทาน การรักษาศีล การทำสมาธิภาวนาเป็นประโยชน์โดยตรงและเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวบิดามารดาผู้ปฏิบัติ เองทั้งในภพนี้ภพหน้า และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งคือเป็นหนทางไปสู่นิพพาน
ต้นไม้ที่ได้รับการดูแลให้น้ำให้ปุ๋ย ไปบำรุงลำต้นจนสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลาแล้ว ย่อมออกดอกออกผลให้แก่เจ้าของฉันใด คนที่ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เมื่อมีโอกาสย่อมตอบแทนคุณพ่อแม่และผู้มีอุปการคุณฉันนั้น ทองคำแท้หรือไม่ โดนไฟก็รู้ คนดีแท้หรือไม่ ให้ดูตรงที่เลี้ยงพ่อแม่ ถ้าดีจริงต้องเลี้ยงพ่อแม่ ถ้าไม่เลี้ยงแสดงว่าไม่ดีจริง เป็นพวกทองชุบ ทองเก๊
ให้ทุกท่านทุกคน รู้จักการดำเนินชีวิต จะต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วต้องปฎิบัติถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติการปฎิบัติในปัจจุบัน สร้างเหตุสร้างปัจจัยให้ถึงพร้อมในปัจจุบัน เราจะได้พัฒนาทั้งใจของเราพัฒนาใจ พัฒนากาย พัฒนาวาจา พัฒนาอาชีพ เพื่อปิดอบายภูมิ เราต้องปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้เเล้วมาบอกมาสอน พระพุทธเจ้าเพียงเเต่เป็นผู้บอกผู้สอน การประพฤติการปฏิบัติเป็นเรื่องของเรา ทุกท่านทุกคนต้องพากันมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เเล้วสมาทานในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้มันเป็นสัมมาสมาธิ คือ ความตั้งใจมั่นชอบ นี้เป็นคุณธรรมของพระอริยเจ้า คือพระโสดาบัน ที่จะเกิดกับเราทุกคน ทั้งฝ่ายนักบวชเเล้วก็ฆราวาสผู้ครองเรือน ตัดสิ่งภายนอกออกไปหมด ที่เค้าพากันทำอยู่ ที่เบียดเบียนสัตว์ ลักทรัพย์ โกงกิน คอร์รัปชั่น มารยาสาไถย ประพฤติผิดในกาม เอาความสุข ความดับทุกข์จากผู้อื่น
เราไม่ต้องไปโกหกหลอกลวงใครอีก ไม่ต้องไปเสพสิ่งเสพติด ให้มันกลายเป็นยาเสพติด เเม้เเต่หมากพลู บุหรี่ พวกเหล้าพวกเบียร์ พวกไวน์ ฝิ่นเฮโรอีนกัญชา สิ่งเหล่านี้มันเป็นของหมอ ของเเพทย์เค้า ที่เค้าเอาไว้รักษาผู้ป่วย เราจะไปทำตามเพื่อนตามสังคม ตามอะไร ทุกท่านทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เเล้วต้องปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติได้เราทำได้ เราก็สามารถที่จะบอกลูกเราได้ บอกสอนหลานเราได้ ตั้งเเต่เด็กๆ เราจะเป็นเหมือนพ่อเเม่ ทุกคนในปัจจุบันนี้ ลูกหลานก็ไม่เคารพนับถือเราเหมือนพระพุทธเจ้า เหมือนพระอรหันต์ มันเพียงเเต่สงสารเรา ว่าเราให้น้ำนมให้ข้าวให้อาหาร ส่งเรียน ทั้งเมืองไทยเเล้วต่างประเทศ ว่าเราให้มรดกเค้า เค้าก็เพียงสงสารเราเฉยๆ ให้ประชาชนทุกคนพากันเข้าใจ ชีวิตของเราจะได้เข้าหาความสงบความเยือกเย็น หัวใจเราต้องสงบเย็น ยิ่งกว่าเเอร์คอนดิชั่น หัวใจเราต้องอบอุ่น เพราะว่าเรามีสติสัมปชัญญะ
การดำรงชีวิตเราต้องดำเนินไปอย่างนี้ ชีวิตของเราต้องมีความสุขความดับทุกข์ในชีวิตประจำวันอย่างนี้เรื่อยๆ ชีวิตเราก็ให้เราดูเเลปฏิปทาตัวเอง เหมือนผู้ใหญ่ดูเเลเด็กมันมีไฟ ไม่ให้เด็กมันไปจับไฟเหยียบไฟ เพราะเราต้องรู้จัก เราต้องรู้จักว่า การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงผู้ชายอันนี้ก็อีกอย่างนึง เเล้วการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างความคิด ระหว่างอารมณ์มันก็อีกอย่างนึง เราต้องรู้จัก การปฏิบัติต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เกี่ยวข้องกับตอนเช้าตอนเย็น ไม่เกี่ยวข้องกับการเข้าพรรษา ออกพรรษา ไม่เกี่ยวกับว่าเราอยู่ที่ไหนทำอะไร มันเกี่ยวข้องกับที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าให้เราทำอย่างนี้ คนเราถ้าไม่มีความเห็นถูกต้อง ไม่เข้าใจถูกต้อง ถ้าไม่มีความสุขในการคิดดีๆ พูดดีๆ ปฏิบัติดีๆ ในปัจจุบัน มันเป็นโรคจิตโรคประสาท ให้ทุกคนรู้หน้าที่ตัวเองว่าทำอย่างนี้ถูก ทำอย่างนี้ผิด การเรียนการศึกษาถึงคู่กับการเกิดมา มีพ่อเเม่บอก พัฒนาตามหลักเหตุผล มีครูสอน ความรู้เราต้องเอาไปใช้ในปัจจุบัน ให้มันเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาในปัจจุบัน เราจะเดินทางไกล เราต้องมีรถมีเครื่องบิน ถ้าข้ามทะเลก็ต้องมีเรือ เพราะว่ามันว่ายมันข้าม ถ้าเป็นเครื่องบินก็ข้ามได้ทั้งภูเขา ถึงมหาสมุทร ใครทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจอย่างนี้ อย่าไปเข้าในอย่างอื่น ชีวิตเรามันถึงจะมีประโยชน์
ถ้าเราไม่เเก้ตัวเองมันผิด เราจะมีมหาวิทยาลัยหลายหมื่นหลายแสนหลายล้านก็เเก้ปัญหาไม่ได้ จะมีทหารตำรวจหลายล้านก็รักษาประเทศไม่ได้ จะมีนักวิชาการหลายคนยังไงก็เเก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมันไม่ได้เเก้ไขตัวเอง พระพุทธเจ้าให้เราทุกคนพากันมาเเก้ไขตัวเอง เราจะไม่ได้ไป เราจะได้ทำถูกต้องทั้งส่วนร่างกาย ทั้งจิตใจ เราพากันไปเเก้เเต่ปลายเหตุไม่ได้นะ ศาสตร์คือความเป็นมนุษย์คือชาติประเสริฐ ศาสตร์ก็คือการดำเนินตามเหตุตามผลตามหลักวิทยาศาสตร์ เราดำเนินชีวิตทั้งกายทั้งใจไปพร้อมๆ กันอย่างนี้มันถึงมีความสุข มันจะไม่ได้เสียงบประมาณซื้อปืนกระบอกตั้งหลายพันหลายหมื่น มันจะไม่ได้ไปประดิษฐ์อาวุธสงคราม อย่างนี้มันไม่ใช่ มันไม่ถูก เราพัฒนาเทคโนโลยีมันถูกต้องเเล้ว ส่วนที่อำนวยความสะดวก มันต้องพัฒนาใจ
ประเทศไทยเรามันไม่มีคุกที่จะไปขังพวกโจรทั้งหลาย ไม่มีคุกจะไปขังพวกยาอียาไอซ์ยาอะไรทั้งหลาย มันไม่มีคุกที่จะไปขังพวกโกงกินคอร์รัปชั่น เพราะว่ามันไปเเก้เเต่ปลายเหตุ เราอย่าไปเเยกธรรมะออกจากการดำรงชีวิต เพราะศีลสมาธิปัญญาเป็นสิ่งที่เเยกกันไม่ได้ ความรู้กับความประพฤติมันเเยกกันไม่ได้ เราผลิตทนายมา ผลิตอัยการมา ผลิตผู้พิพากษามา เพียงเเต่ประดิษฐ์ยาเเก้ปวดยาเเก้ไข้มา มันเเก้ที่ปลายเหตุ ถ้าเราไม่เกิดมา เราก็ไม่ต้องมากินยาเเก้ปวด
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจเรื่องศาสนา พรหมจรรย์เบื้องต้นคือการมีศีลห้า พวกพระสงฆ์องค์เณรชีที่จะได้รู้จัก ถ้าเราไม่รู้จักชีวิตของเราก็จะเป็นขยะ นี้เเหละคือขยะตัวจริงที่มีมิจฉาทิฏฐิ เราเข้าใจผิดกันมากเหลือเกิน นึกว่าโบสถ์วิหารเจดีย์พระพุทธรูปนี้เป็นพระศาสนา อันนั้นมันเป็นศาสนวัตถุ ศาสนาคือพระธรรมคำสั่งสอน เเล้วก็ประพฤติตามพระธรรมคำสั่งสอน เพื่อเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ ทั้งกายด้วย เทคโนโลยีด้วย วิทยาศาสตร์ด้วย พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน
ทุกท่านทุกคนอย่าไปประมาทอย่าไปเพลิดๆ อย่าไปใจอ่อน สัมมาสมาธิคือความตั้งมั่น ตามหลักการณ์มันก็ดีอยู่เเล้ว เพราะเราต้องเข้าสู่ระบบ ระบบมันก็ดี เช่นว่า ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นระบบที่ดี เช่นว่ามีข้าราชการอย่างนี้ เราต้องกลับมา ไม่ใช่ข้าราชกิน นักการเมืองไม่ใช่นักกินเมือง พวกนี้ต้องกลับมามีความสุขในการทำงาน เพราะมันมีระบบก็ดี เเต่ถ้าไม่เอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อมๆ กัน มันก็ผิดอยู่ดี มันนำความเสื่อมเสียมาสู่หมุ่มวลมนุษย์ โครงสร้างของโลกของประเทศมันถูกอยู่เเล้ว เเต่ว่ามันต้องพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ถ้างั้นมันจะไปเเก้หนี้เเก้สินได้ยังไง เพราะว่ามันไปเเก้ที่โลกภายนอก เพราะเราว่าไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราไม่รู้จักโจรก็คืออวิชชา คือความหลง คือมิจฉาทิฏฐิ
การปฏิบัติธรรมมันต้องเข้าสู่ตัวเรา ต้องเข้าสู่วัด ต้องเข้าสู่โรงเรียน มันเป็นปฏิจจสมุปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้ถึงมี เราต้องเอาตัวตนออก เอาตัวตนมาหยุดให้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องมามีความสุขในการเสียสละ จะได้พัฒนาบ้านเรามันถึงจะมีพระพุทธเจ้ามีพระธรรม มีพระอริยสงฆ์อยู่ในตัวอยู่ในครอบครัว มันจะปลอดอบายมุข ปลอดอบายภูมิ มันถึงจะเป็นเเผ่นดินเงินเเผ่นดินทอง เพราะว่าเราคิดอย่างนี้ เราพูดอย่างนี้ เราทำอย่างนี้ เราต้องเรียนหนังสืออย่างนี้ เราต้องเข้าสู่ระบบ เพราะว่ามันต้องมีภาคประพฤติภารปฏิบัติ เเต่มันไม่มีระบบเเบบศาสนาพุทธ มีเเต่แบรนด์เนม ไม่มีการทำวัตรเช้า ไม่มีการทำวัตรเย็น ไม่มีการทำกิจวัตรข้อวัตร ระบบเช็คชื่อ ใครไปใครมา เข้าโรงเรียนเป็นเวลา มีเปิดเทอม มีปิดเทอมอันนี้เป็นระบบ ที่จะทำให้เราเข้าสู่ระบบเพื่อพัฒนาตนเอง
เราต้องสมาทานความดี สมาทานมีความตั้งมั่น เสียสละ เราต้องละความเห็นเเก่ตัว ตัวเองถึงจะเคารพตัวเองได้ คนอื่นถึงจะเคารพผู้อื่นได้ เราไม่มีศีล ใครจะเคารพเราได้ เราต้องปรับปรุงเราหมด เราทุกคนต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติ อย่างนี้ ทั้งอยู่บ้าน ทั้งอยู่ที่สำนักงาน ต้องปรับปรุงเปลี่ยนเเปลงตัวเอง อย่าให้ความเห็นเเก่ตัวมันเหลืออยู่ อย่าให้ความคิดมันคิดหลายๆ ครั้ง มันโผล่ขึ้นมา เราก็รู้รู้หน้ารู้ตาอยู่เเล้ว มิจฉาทิฏฐิความยึดมั่นถือมั่น เ มันไม่ใช่ความทุกข์ยากความลำบาก ที่ว่าทุกข์ยากลำบากมันความเห็นเเก่ตัว มันไม่ใช่ธรรมะ ไม่อยากรักษาศีลห้า ไม่อยากเสียสละ เป็นคนไม่มีศีลไม่มีธรรมเป็นคนเห็นเเก่ตัว ตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันยิ่งเป็นโรคจิต โรคประสาท โรคฟุ้งซ่าน โรคซึมเศร้า เรามีเเต่ความวุ่นวาย โรคไม่มีความสงบ ตกนรกทั้งเป็น เราไม่ได้เอาอริยมรรคมีองค์ ๘ เข้ามาใช้ เข้ามาทำงานให้มีความสุขในปัจจุบัน เป็นคนที่วิ่งตามเงา มันไม่มีวันทันสักทีหรอก ถ้าเราวิ่งมันก็วิ่งนำหน้าเราไปเรื่อย
ในโอกาสนี้ ถือว่าเป็นโอกาสสำคัญที่ทุกท่านทุกคน จะได้ฝึกจะได้ปฏิบัติขัดเกลากิเลสอาสวะของตัวเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัด หรือจะอยู่ในบ้านอยู่ที่ไหน ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตัวเองทั้งหมด เราอยู่ที่ไหนเราก็แก่ เราก็เจ็บ เราก็ตายเหมือนกันหมด 'สัจธรรม' คือความจริงเค้าไม่ได้ยกเว้นใคร
ความสุขทุกคนมันเป็นสิ่งเสพติด ทุกคนมันชอบมันติดเราทุกคนจำเป็นต้องทำใจเฉยๆ น่ะ เดินหน้าประพฤติปฏิบัติธรรม คำว่า 'ติด' ทุกคนก็รู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันถึงติด จิตใจเราจำเป็นจะต้องเดินหน้าไป ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง อย่าไปเสียดงเสียดายอาลัยอาวรณ์มัน แข็งใจสู้มัน มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถือว่าเราได้เดินตามรอยบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐยิ่งกว่า จงดีใจจงภูมิใจในตัวเอง ในการประพฤติปฏิบัติของตัวเองว่าเราได้เดินทางมาดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ชื่อว่า "สุคโต ปฏิบัติธรรมด้วยความสุข..."