แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๗๔ ปฏิบัติธรรมเพื่อละตัวละตน มิใช่เพื่อเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ เจ้าโลก เจ้าเวียนว่ายตายเกิด
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระพุทธเจ้าให้เรารู้จักวัฏฏะสงสาร ให้เรารู้จักอริยสัจ ๔ เพื่อหยุดการเวียนว่ายตายเกิด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรารู้จักเจ้าเสียเเล้ว เจ้าจะทำบ้านทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป การที่เราทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึกนี้ คือ การทำตามวัฏฏะสงสาร นี้เรียกว่า “เจ้า” เจ้านี้หมายถึง มีเจ้าของหมด ใครเป็นเจ้าของของเรา คืออวิชชา คือ ความหลง คอยบังคับ เมื่อพระพุทธเจ้าบำเพ็ญพุทธบารมีมาบอก มาสอนเรา เราเป็นผู้ประเสริฐ เราเป็นผู้ที่โชคดี เราต้องรู้จักทุกข์ คือเราตามอารมณ์ตามความคิดไป นี้คือความทุกข์ เราทุกคนจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ไม่ได้เนอะ ที่ๆ เราทุกคน ไม่ได้ตามพระพุทธเจ้า คือตามอารมณ์ ที่ว่าเจ้าอารมณ์ คือผู้ที่เวียนว่ายตายเกิด ถ้าเราไม่รู้จักปัจจุบัน การดำรงชีวิตของเราปฏิบัติเพื่อเจ้าโลก เพื่อตัวเพื่อตน เจ้าโลกก็คือ เจ้าที่เวียนว่ายตายเกิด คือ เจ้าโลก เจ้าที่ยึดมั่นถือมั่น เจ้าหมู่เฮา เค้าเรียกว่า ปฏิบัติเพื่อเกิดโลกทางจิตใจ
เราทุกคนเกิดมา พากันมาเเสวงหาความหลงให้มันเพิ่มขึ้น ไม่รู้การประพฤติการปฏิบัติของเราเลย น่าสมเพชเวทนาตัวเอง มันช่างโง่ มันช่างงมงายอย่างนี้ “ธรรมะ” นั้น ถ้าเราเอาตามพระพุทธเจ้า มันไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ได้ลึกซึ้ง มันเป็นปัจจุบัน เป็นปัจจุบันที่ไม่เอาใจตัวเอง ไม่เอาอารมณ์ตัวเอง ไม่เอาความรู้สึก เมื่อไม่มีการปฏิบัติ มันก็ไม่มีการบรรลุธรรม มรรคผลนิพพานมันเลยหมดไปจากผู้ที่ตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึก ไปเเสวงหาความดับทุกข์ที่ไม่ใช่ความดับทุกข์
ทุกคนต้องหยุดตัวเอง เพื่อให้ตัวเองสงบ ตัวเองเย็น เราไม่พากันปฏิบัติเลย ทั้งเป็นนักบวช ทั้งที่เป็นผู้ไม่ได้บวช มรรคผลนิพพานมันอยู่กับเราเเท้ๆ ก็ยังไม่พากันมาประพฤติมาปฏิบัติ เราตามความคิด ตามอารมณ์อย่างนั้น นั่นเเหละคือลูกศิษย์พระเทวทัตตัวจริง พวกเราไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่ได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ไม่ได้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ เเล้วเดินผ่านอุปกาชีวก เห็นพระพุทธเจ้าก็เกิดความเลื่อมใสในรูปพระพุทธเจ้า ไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าคือเรานี้เเหละ เเล้วก็ไม่เชื่อ เพราะไม่รู้จักพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าจึงเสด็จออกจากบริเวณสถานที่ตรัสรู้ เพื่อเสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมื่อเสด็จถึงแม่น้ำคยาอันเป็นที่สุดเขตตำบลของสถานที่ตรัสรู้ พระพุทธเจ้าได้ทรงพบอาชีวกผู้หนึ่งนามว่า 'อุปกะ' เดินสวนทางมา อาชีวกคือนักบวชนอกศาสนาพุทธนิกายหนึ่งในสมัยพระพุทธเจ้า ตอนที่เดินยังไม่เข้าใกล้และได้เห็นพระพุทธเจ้านั้น อาชีวกผู้นี้ได้เห็นพระรัศมีที่แผ่ซ่านออกจากพระวรกายพระพุทธเจ้ามากระทบเข้าที่หน้าตนก่อน พระรัศมีนั้น สมัยนั้นเรียกว่า 'ฉัพพรรณรังสี' คือ พระรัศมี ๖ ประการที่ซ่านออกจากพระวรกายของพระพุทธเจ้า ได้แก่ ๑. นีละ สีเขียวเหมือนดอกอัญชัน ๒. ปีตะ สีเหลืองเหมือนหรดาลทอง ๓. โลหิตะ สีแดงเหมือนแสงตะวันอ่อน ๔. โอทาตะ สีขาวเหมือนแผ่นเงิน ๕. มัญเชฐะ สีแสดเหมือนดอกหงอนไก่ ๖. ประภัสสระ สีเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก
อุปกาชีวกะเห็นข่ายแห่งพระฉัพพรรณรังสีของพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดความฉงนใจจึงเดินเข้าไปใกล้ แล้วเพ่งพิศดูพระพุทธรัศมีด้วยความสนเทห์ยิ่งนัก
พระบรมศาสดาทรงโชติช่วงด้วยพระเกตุมาลา ทรงสบงจีวรน่าเลื่อมใส พระพักตร์แลผ่องใสดุจดอกโกมุทบริสุทธิ์สิริวรรณะ อุปกาชีวกจึงมีจิตคิดคารวะยำเกรงพระเดชแห่งพระบรมศาสดา มีขนชูชันทั่วสรรพางค์กาย ถึงกับออกปากชื่นชมว่า “ดูกรอาวุโส อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรอาวุโส ท่านบวชอุทิศใคร? ใครเป็นศาสดาของท่าน? หรือท่านชอบธรรมของใคร?.
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรารถนาจะยังศรัทธาปสาทะของอุปกาชีวก จึงทรงเปล่งพระสุรเสียงอันไพเราะว่า “เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้ธรรมทั้งปวง อันตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบทาแล้ว ในธรรมทั้งปวง ละธรรมเป็นไปในภูมิสามได้หมด พ้นแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา, เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว จะพึงอ้างใครว่าเป็นศาสดาเล่า เราไม่มีอาจารย์ คนเช่นเราก็ไม่มี เราหาผู้เปรียบปานมิได้ในโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก, เราเป็นพระอรหันต์ในโลก เราเป็นศาสดา ไม่มีศาสดาอื่นยิ่งกว่า เราเป็นพระสัมมาสัมพุทธะผู้เดียว เราเป็นผู้เย็นใจ ดับกิเลสได้แล้ว, ในเมื่อโลกมืดมิดฉะนี้ เราจะไปแคว้นกาสี เพื่อประกาศธรรมจักรหมุนกงล้อคือพระธรรม เราจะตีกลองประกาศอมตธรรม เพื่อให้สัตว์ได้ธรรมจักษุ”
อุปกาชีวกเป็นผู้โชคดีที่ได้มาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปฐมก่อนใคร เมื่อได้ฟังพระพุทธวาทีเช่นนี้ จึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ปฏิญญาว่าท่านเป็น “อนันตชิน” (ผู้ชนะไม่มีที่สิ้นสุด) ละสิ”
พระบรมศาสดาผู้ทรงพระมหากรุณายิ่งใหญ่ มีพระประสงค์จะให้พระนามนี้ติดแน่นในใจของอาชีวก จึงตรัสสำทับว่า บุคคลเหล่าใดถึงความสิ้นอาสวะแล้ว บุคคลเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้ชนะเช่นเรา ดูกรอุปกะ เราชนะธรรมอันลามกแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงชื่อว่า เป็นผู้ชนะ.
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อุปกาชีวกทูลว่า “อาวุโส สิ่งที่ท่านพูดนั้น พึงเป็นไปได้” แล้วสั่นศีรษะ หลีกทางไป (หุเวยฺยาวุโสติ วตฺวา สีสํ โอกมฺเปตฺวา อุมฺมคฺคํ คเหตฺวา ปกฺกามิ) อุปกาชีวก ไม่ยินดี ไม่คัดค้าน แต่สั่นศีรษะ แลบลิ้น ยึดทางที่เดินไปคนเดียว ได้ไปยังที่อาศัยของนายพรานแห่งใดแห่งหนึ่งแล้ว
เหมือนผู้ที่ไม่รู้จักวัฏฏะสงสาร ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด การพัฒนาเทคโนโลยีมันดีมันถูกต้อง เเต่มนุษย์เราไม่ได้พัฒนาใจเลย เพราะคนเรามันตามอารมณ์ไป ตามความคิดไป มันก็เพียงเเต่เปลี่ยนอาหารกิเลสเฉยๆ เหมือนเราไม่รู้จักว่าความชอบ ความไม่ชอบ มันอยู่ที่ความหลงของเราเอง เหมือนของดีที่สุด อร่อยที่สุด มีคุณค่าที่สุด เราบริโภคเเล้ว เราก็อยากเปลี่ยน เพราะใจเรามันยังไม่ได้อยู่เหนือความชอบ ความไม่ชอบ โรคประสาทมันถึงไม่หาย ทุกคนมีเเต่เพิ่มโรคประสาท เราตามใจตัวเอง มันก็ไม่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็เลยพากันเพิ่มทวีคูณพากันเป็น “เจ้าพ่อ เจ้าเเม่ เจ้าอะไร” กันไปหมด เอาสิ่งที่ไม่ใช่ศาสนาเป็นศาสนา เอาสิ่งที่มันวิบัติ กลายเป็นของประเสริฐไป เพราะเราทำไม่ถูก มันเเก้ปัญหาไม่ได้ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งพันตัว ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ เเล้วไม่เข้าใจ พระหรือผู้ปฏิบัติธรรม ไม่เอาศีลอย่างนี้ นึกว่าปฏิบัติธรรมอย่างนี้ ต้องเอาเรื่องจิตเรื่องใจ เอาเรื่องธรรมะ ทิ้งเรื่องศีล ศีลกับธรรม มันเเยกกันไม่ได้ เหมือนคนเราจะเอาเเต่กายก็ไม่ได้ เอาเเต่ใจก็ไม่ได้ มันต้องไปด้วยกัน อันนี้ก็พูดให้เป็นขั้นเป็นตอนฟังง่ายเฉยๆ ที่จริงมันอันเดียวกันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
บางคนก็คิดอย่างนี้ พูดเรื่องศีล เรื่องข้อวัตรปฏิบัติ ก็ร้องโอ้ะ ไม่พูดเรื่องธรรมะเลย เพราะว่ายังไม่รู้จักพระศาสนา ไม่รู้จักว่า การสมาทานเเละการปฏิบัติมันถึงจะมีสัมมาสมาธิโดยธรรมชาติ มันถึงจะเกิดปัญญา มันต้องตั้งอยู่บนสังขารที่มีสติสัมปชัญญะ ที่มันสงบ มันเย็น ทุกคนอย่าเอาใจตัวเอง เอาอารมณ์ตัวเอง เราจะเก่งจะฉลาดซิกเเซกยังไงมันก็ไปไม่ได้ ที่เราสบายจริงก็สบายจริงอยู่ สบายเพราะว่าความรวย สบายเพราะว่ามันได้ตามใจตามปราถนา มันยังไม่ใช่ระดับศีลสมาธิปัญญา มันเป็นเพียงความหลง
เหมือนที่หลวงพ่อว่าพระอย่างนี้ไปโทรศัพท์มากเกิน มันก็ไม่ได้ เค้าก็มีความเห็นว่า โอ๊ะ ถ้าไม่โทรไม่อะไร มันก็ไม่ได้ทำงาน นั้นมันงานอะไร มันไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไม่ใช่งานมรรคผลนิพพานอะไร พระพุทธเจ้าบอกเเล้วยังไปว่าพระพุทธเจ้าว่าผิดอีก กิเลสมันมีเหตุผล พระเทวทัตถึงต้องปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า ให้พวกเราพากันเข้าใจ ถ้าไม่มีห้ามไว้อย่างนี้ ใจของเรามันไม่เย็น เพราะความคิดของเรามันเป็นอารมณ์ เป็นเจ้าอารมณ์ มันเป็นกาม มันเป็นเจ้าอารมณ์ เห็นไหม คนเรามันติดของอร่อย มันตามของอร่อยไป เหมือนกับคนโบราณ คนโบราณติดยาสูบ ติดยาฉุน เพราะยาสมัยใหม่ เป็นโรงงานยาสูบยังไม่มี มันก็ติด พวกนี้มันเป็นกาม มันกระตุ้นไม่ให้เราคิดมาก พวกยาสูบยาเส้น พวกนี้มันคิดมาก พวกไม่รู้จักอริยสัจ ๔ มันคิดมาก ถ้าวันไหนไปถางไร่ไถ่นา ไม่ได้เอายาเส้น ยากระป๋อง ยาอะไรไป หื้ม... อารมณ์มันโผล่ขึ้นมา เหมือนพวกกาเเฟทั้งหลายทั้งปวง กาเเฟมันเป็นยากระตุ้น กาเเฟโบราณตั้งเเต่โบราณหลายร้อยปี เค้าไม่คั่วให้มันหอมอย่างนี้หรอก คนไทยยังไม่รู้จักกาเเฟ รู้จักเเต่น้ำดำๆ พวกฝรั่งเค้าพากันทำ กาเเฟที่เค้าตำเค้าคั่วไปจำฝรั่งมา เย็บผ้าเป็นถุงผ้าขาวเเล้วก็ลวกน้ำร้อน มันก็หอมดี มันก็อร่อยดี มันเป็นยาก็จริง เเต่มันก็เป็นยาเสพติด พวกฝิ่น ลูกฝิ่นที่มันเป็นลูก ในหน้าหนาวหน้าฝน เอามีดกรีดยางมันก็ออกมา เราก็ไปเก็บมันที่เเข็งๆ มันก็เป็นยาเเก้ปวดเเก้อะไร พวกนี้พากันไปติด พวกคนสักลายสมัยก่อนมันเจ็บ เค้าต้องเอาพวกฝิ่นนี้มากิน พวกนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเค้าก็ค้นคว้ามาจากอย่างนี้ๆ พวกกาเเฟ พวกฝิ่น เฮโรอีน กัญชา มันเป็นยาระงับปวด ระงับอะไร ใช้เฉพาะหมอเฉพาะเเพทย์เเต่เราไปติด มันก็เลยมีปัญหา ทำลายสมองสติปัญญา ความเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าถึงให้เราพยายาม อันไหนมันไม่ดีไม่ถูกต้องก็ต้องรู้จัก เราจะไม่ได้เอาตามใจตามอารมณ์ เดี๋ยวนี้ก็เลยขายสิ่งเสพติดมึนเมา ทำไมเค้าเรียกว่ายาๆ เค้าทำเป็นยา ไม่ใช่เพื่อจะเอามาติดทีละมวน ทีละมวน อย่างนี้มันไม่ได้นะ
ข้าวมันจำเป็นต่อร่างกาย เราจำเป็นต้องทาน ก็ต้องมีสติไม่ให้ติด เราจะได้พัฒนาให้กายเราอยู่ได้ เเล้วก็พัฒนาใจของเราเพื่อไม่ให้เราหลง ทุกอย่างเพื่อจะได้มีคุณ พวกอันนี้มันติด พวกโทรศัพท์มือถือพวกอะไรมันติด เราต้องใช้เเต่สิ่งที่จำเป็น เรียนมากรู้มากมันก็เเก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ไม่รู้จักอารมณ์ไม่รู้จักความคิด เห็นไหมยาทัมใจ เเต่ก่อนเค้าไม่ได้ชื่อยาทัมใจ เค้าเรียกยาทันใจ ชาวบ้านเค้าติดกันมากเลย เค้าเลยเปลี่ยนชื่อเป็นยาทัมใจ ทำใจบ้าง เอาเเต่ยาเเก้ปวด มันเสียหายต่อสุขภาพร่างกาย
โอ้...พูดอย่างนี้ทำอย่างนี้ ปฏิบัติมันก็ยากสิ มันไม่ยาก มันยากเพราะเราไม่รู้จักอริยสัจ ๔ กลับจะมีความสุข คนไม่รู้จักอริยสัจ ๔ นึกว่าพระพุทธเจ้าเคี่ยวเข็ญ ครูบาอาจารย์เคี่ยวเข็ญ ไม่เคี่ยวเข็ญก็ไม่ได้ เพราะไม่มีการประพฤติการปฏิบัติมันก็เป็นโมฆะ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราเเก้ไขตัวเองไม่ได้ มันเสียหายถึงเเพทย์ ถึงหมอเค้าต้องให้ยา เพิ่มสารในร่างกาย พวกยาโรคจิตโรคประสาท พระพุทธเจ้าให้เรารักษาด้วยธรรมะโอสถ เพราะความสุขความดับทุกข์ของเรามันมีอยู่ทุกวันทุกคืน เเต่เราไม่ได้เอาธรรมะโอสถมาประพฤติมาปฏิบัติ
มีพระถามหลวงพ่อวัฒนาว่า ปีนี้มีโครงการที่จะไปที่ไหนบ้าง หลวงพ่อวัฒนาก็บอกว่าผมไม่ไปไหนเเล้ว ถ้าไปอย่างนี้ ผมเป็นโรคประสาทมากขึ้น ทำให้ไม่ได้ปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ผมนี้ฉีดน้ำล้างถนนวัด มันมีความสุข เหนือความสุขอีก เพราะความสุขมันอยู่ที่ปัจจุบัน ถ้ามีความสุข มันก็ต้องดีขึ้นอีก ผมเเก่เเล้ว ผมก็ต้องการที่จะรักษาโรคประสาทผม ตรงนี้ก็เป็นเรื่องจริง ผมถึงไม่มีโครงการที่จะไปโน่นไปนี้ เพราะว่าไปนิพพานนี้ไม่อยู่ไกล ไม่อยู่ที่ไหน อยู่ที่กายที่ใจอยู่ที่ปัจจุบัน ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง จะได้ทำลายความเป็นเจ้า เจ้าอวิชชา เจ้าความหลง เจ้าโลก
การที่เราทำตามใจตัวเอง คือเจ้าโลก เจ้าโลกนั้นคือ เวียนว่ายตายเกิด เจ้าโลกสำหรับคนที่ไม่เข้าใจก็ คือ อวัยวะเพศชาย เค้าเรียกว่าเจ้าโลก ใครๆก็ไม่รู้จักว่าตัวเองก็เป็นเจ้าโลก จะไปที่ไหนต้องเเต่งหน้าเต็มที่เลย เเต่งเเบรนเนม ที่ไหนได้พัฒนาตัวเองเป็นเจ้าโลก เพิ่มความกำหนัด เพิ่มยินดี เพิ่มอวิชชา ความหลง ความเป็นผู้หญิง ความเป็นผู้ชาย ความที่เป็นตัวเป็นตน คือเจ้าอวิชชา เจ้าหลง คือมารวมเป็นสักกายทิฏฐิ ความยึดมั่นในตัวในตน
ทุกท่านทุกคนต้องยกจิตยกใจ อย่าไปเถลไถล ไปตามความคิดตามความปรุงแต่ง ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาที่เราได้เห็นคนนั้นคนนี้ ที่เราได้เรียนรู้ไม่มีใครไม่ตายหรอก พระพุทธเจ้าถึงทรงบอกว่า ถ้าใครตามความคิดตามความปรุงแต่ง การแก่เจ็บตายพลัดพราก มันไม่มีที่จบหรอก ความสงบระงับสังขารทั้งหลายจึงเป็นความสุขอย่างยิ่ง พระอรหันต์ทั้งหลายท่านจะมีความสุข เราจะเอาความสุขอย่างโลกๆไม่ได้นะ คำว่าโลก โลกก็คือความแก่ความเจ็บความตาย พลัดพราก จะมีความสุขได้อย่างไร คนเราเกิดมามีร่างกายก็ต้องมีความทุกข์ มีภาระในการแบก ในการบริหารขันธ์ ด้วยเหตุนี้ เราจึงพากันพอแล้วความสุขแบบโลกๆ ทั้งโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งความแก่เจ็บตายนี่แหละ ประชาชนคนทั้งโลกพยายามพัฒนาความสุขแบบโลกๆ นั่นแหละคือการพัฒนาให้ตนเองเวียนว่ายตายเกิด เราต้องรู้จักเสียบ้างนะ อย่าไปหลงโลก หลงความปรุงแต่ง หลงสังขาร
เราน่ะพากันเดินสุดเหวี่ยงเลยนะ มักจะพูดกันว่า เวลาปฏิบัติธรรมอย่าไปยุ่งเรื่องทางโลก การปฏิบัติธรรมจะไปยุ่งแต่เรื่องทางโลกไม่ได้ คือไม่ให้อิทธิพลของรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญมาครอบงำจิตใจของเรา คนเราต้องมากลับจิตกลับใจกลับกายกลับตัวกลับหางกลับหัวกลับชั่วให้เป็นดี ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ เราจะได้ละลายมิจฉาทิฏฐิ ที่อยู่ในจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าจึงทรงให้พวกเราเดินตามทางสายกลาง คืออริยมรรคมีองค์ ๘
รักษาเยียวยาทางร่างกาย ด้วยยาต่างๆ คือเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกิน คือกินเพื่อบำบัดโรค บําบัดทุกขเวทนาคือความหิว คือ ยาวกาลิก คืออาหารที่ฉันในมื้อหนึ่ง ยามกาลิก น้ำปานะต่างๆ สัตตาหกาลิก คือเภสัชทั้ง ๕ ที่เก็บไว้ฉันได้ ๗ วัน และยาวชีวิก คือยารักษาโรคต่างๆที่เก็บไว้ใช้ได้ตลอดชีวิต ทุกอย่างเป็นยาหมด ที่นำมาปรุงรสมาทำให้เปรี้ยวหวานมันเค็มเพื่อให้อร่อย ทานง่ายบริโภคง่าย
พระพุทธเจ้าทรงวางระเบียบวินัยไว้แล้ว อย่างประชาชนคนทั่วไปก็ทานวันละ 3 มื้อ สำหรับนักบวชฉันวันละมื้อ ก็เป็นการเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายอยู่ได้ในแต่ละวัน ด้วยการพิจารณาว่า เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้ว ฉันบิณฑบาต, ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความเมามันเกิดกำลังพลังทางกาย ไม่ใช่เป็นไปเพื่อประดับ ไม่ใช่เป็นไปเพื่อตกแต่ง แต่ให้เป็นไปเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้ เพื่อความเป็นไปได้ของอัตตภาพ เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำบากทางกาย เพื่ออนุเคราะห์แก่การประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยการทำอย่างนี้ เราย่อมระงับเสียได้ซึ่งทุกขเวทนาเก่าคือความหิว และไม่ทำทุกขเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น อนึ่งความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตตภาพนี้ด้วย ความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วย และความเป็นอยู่โดยผาสุกด้วย จักมีแก่เรา ดังนี้.
สิ่งไหนที่ไม่เป็นยานั้นไม่มี ดังที่หมอชีวกโกมารภัจจ์ ก่อนที่จะเรียนสำเร็จวิชาการแพทย์จากอาจารย์ทิศาปาโมกข์แห่งตักกสิลา อาจารย์ก็บอกว่า ลองเข้าป่าไปหาสิ่งที่ไม่ใช่ยานำกลับมา เขาออกเดินทางไปหลายวัน ไปตรงไหนก็ไม่พบสิ่งที่ไม่สามารถจะเอามาทำยาไม่ได้ ก็เลยกลับมาหาอาจารย์บอกว่าเข้าไปในป่าทุกกระเบียดนิ้ว แต่ไม่พบสิ่งไหนที่ทำยาไม่ได้เลยทุกอย่างสามารถนำมาประกอบเป็นยาได้ทั้งหมด อาจารย์ก็เลยบอกท่านว่าเจ้าเรียนสำเร็จวิชาการแพทย์แห่งสำนักตักสิลาแล้ว ซึ่งต่อมาหมอชีวกโกมารภัจจ์ ผู้เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลาต่อมา แต่ทั้งหมดดังที่กล่าวมาคือยาที่รักษาทางกาย ยารักษาร่างกายไว้
แต่ยารักษาทางใจคือธรรมะโอสถ ที่เราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ตั้งแต่ระบบความคิด ที่คิดจะออกจากพยาบาท คิดไม่เบียดเบียน คิดที่จะออกจากกาม เมื่อคิดถูกคิดชอบแล้ว ก็ปฏิบัติทางกายทางวาจาที่ชอบประกอบด้วยธรรม ด้วยความสุข เราทุกคนต้องแก้ปัญหาอย่างนี้นะ ถึงจะแก้ได้ จะเอาแต่ความสุขทางกายไม่ได้ เพราะเป็นเพียงแค่การบรรเทาทุกข์ เพียงแค่เยียวยา เปลี่ยนอิริยาบถให้เป็นไปได้เท่านั้น สิ่งที่จะหายทุกข์ได้จริงๆ จึงต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มีความสุขในความแก่ มีความสุขในความเจ็บ มีความสุขในความตาย มีความสุขในความพลัดพราก มีความสุขในความไม่วุ่นวายไม่ปรุงแต่ง อย่างนี้ก็มีความสุขได้ ยิ่งแก่ ยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งมีความสุข เหมือนหลวงปู่มั่นก่อนที่ท่านจะละสังขารนิพพาน ประชาชนถามท่านว่า อาการอาพาธของครูอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง หลวงปู่มั่นก็ตอบว่า เราไม่ได้ป่วย เราสบายดี หัวใจท่านไม่ป่วย ใจท่านสบาย ใจท่านไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย สิ่งที่จะแก่เจ็บตายก็เพราะไปคิดไปกดดัน เพราะทุกคนมีตัวมีตน ถึงมีความรู้สึกว่าตนเองมีความแก่เจ็บตายพลัดพราก เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มันก็เพียงแต่รูปเกิดขึ้น รูปตั้งอยู่ รูปดับไป เวทนา สัญญาสังขารวิญญาณ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ให้เข้าใจกระชับเข้ามาอย่างนี้
เราทุกคนกำลังเป็นโรคไม่รู้จักอารมณ์ ไม่รู้จักความคิด ไม่รู้จักความปรุงแต่ง ไม่รู้ว่าอันนี้เป็นธรรมชาติที่เราเกิดมาก็ต้องมีความคิดมีอารมณ์ เราพากันหลงในความปรุงแต่งหลงในสังขาร ก็เลยเป็นโรคหวั่นไหวไหวหวั่นต่อโลกธรรมทั้ง ๘ คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์
ทุกท่านทุกคนต้องมารักษาโรคด้วยยาของพระพุทธเจ้า คือ ธรรมะโอสถ ใจเราจะได้เอาร่างกายนี้ทำประโยชน์เท่าที่จำเป็น ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะทำลายระบบสมอง ทำร้ายร่างกายของตนเอง ร่างกายมันไม่รู้เรื่องอะไร หาของไม่ดีใส่เข้าไปร่างกาย ก็เหมือนแพะรับบาป ถ้าใจของใครไวต่อสีแสง รูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ นินทา เราต้องมาหยุดตนเองด้วยธรรมะโอสถ ด้วยการรู้จักความปรุงแต่งของเราทุกคน เราทำให้ง่ายอย่างนี้แหละ มันก็จะดีขึ้น ไม่มีอะไรจะมีความสุขเท่ากับรู้จักและมาหยุดตนเอง จะได้หยุดเป็นทาสของความคิด ทาสของอารมณ์ ทาสของความปรุงแต่ง ถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง หยุดปรุงแต่ง เรื่องมันก็จบกัน ไม่ได้มีอะไร มันหาเรื่องให้ตนเองเฉยๆ สรุปแล้วปัญหาภายนอกไม่มีหรอก ปัญหามาจากที่มีความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ต้องมารู้จักปัญหาที่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเราทุกคน มันเป็นชะนวนเหมือน กับคนโบราณบอกว่า ไม้ขีดก้านเดียวที่จุดขึ้นมามันเผาบ้านทั้งหลังได้ ความคิดความรุนแรงอย่าไปให้ความสำคัญมั่นหมายกับมัน ไม่ให้มันมามีอำนาจมีอิทธิพลครอบงำจิตใจ ให้ทุกท่านทุกคนพากันถอนรากถอนโคนของอวิชชาคือความหลงออกไปให้ได้
อย่างพระอรหันต์ พระอริยเจ้าท่านมีความสุขจากการเสียสละ เพราะว่าจิตใจของท่านไม่มีปัญหา หมดปัญหา ท่านก็เสียสละ ท่านจึงมีอายุยืน ถ้าท่านไม่เสียสละเพื่อประโยชน์ เพื่อผู้อื่น เพื่อมหาชนส่วนรวม ท่านก็อายุไม่ยืน
ทุกท่านทุกคนอย่าพากันเผาตนเอง ต้องรู้จักอารมณ์ รู้จักความคิด เราอย่าไปวิ่งตามรูปเสียงกลิ่น รส ลาภยศสรรเสริญ เราทุกคนพากันคิดดูดีๆนะ อวิชชาความหลง ความคิดความปรุงแต่งมันเผาเรา ความอยากความต้องการต่างๆมันมาเผาเรา ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ คนหลงก็ไม่อิ่มเต็มด้วยตัณหาความทะยานอยากต่างๆ
การประพฤติปฏิบัติ เราอย่าพากันทำให้มันวุ่นวาย ครั้งหนึ่ง มีพระไปกราบ หลวงพ่อพุทธทาสที่สวนโมกขพลาราม แล้วกราบเรียนท่านว่า ผมอยากจะมาอยู่กับท่านอาจารย์ มาปฏิบัติกับท่านอาจารย์ หลวงพ่อก็เลยถามว่า ท่านไม่มีวัดไม่มีที่อยู่หรือ? พระรูปนั้นก็ตอบไปว่ามีที่อยู่ครับ แต่อยากมาประพฤติปฏิบัติกับท่านอาจารย์ หลวงพ่อพุทธทาสก็เลยบอกไปว่า ท่านไม่รู้การปฏิบัติหรอก การปฏิบัติไม่ต้องไปทำอะไรมาก ไม่ต้องไปคิดอะไร เราต้องรู้จักความคิด รู้จักอารมณ์ อย่าไปวุ่นวายตามอารมณ์ เพราะความคิดความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง การปล่อยวางได้จึงเป็นสุขอย่างยิ่ง ยิ่งปล่อยวางยิ่งบางเบา ยิ่งรับเอายิ่งเป็นทุกข์
ถ้าเราไม่รู้จักความคิดความปรุงแต่ง ไม่อย่างนั้นก็คือ เผาตนเอง เรากำลังสร้างบาป สร้างกรรม สร้างเวร สร้างภัยให้กับตนเอง เราทุกคนต้องมารู้อารมณ์อย่างนี้ ต้องมารู้ความคิดอย่างนี้ รู้จิตรู้ใจอย่างนี้ พากันมาหยุดความวุ่นวาย คนเราทำได้อย่างนี้มันดีนะ เข้าถึงความพอดีพอเพียง มักน้อยสันโดษ เราทุกคนต้องมาเสียสละความวุ่นวาย ความปรุงแต่งออกจากจิตใจของเรา เราทำอย่างนี้จึงจะเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาด ไม่เป็นทาสของความคิด ไม่เป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของสิ่งแวดล้อม ใจจะได้เป็นธรรม เป็นธรรมชาติ สงบเย็น ใจจะได้มีพระนิพพาน ในจิตใจ ในปัจจุบัน เราทุกคนพากันคิดให้ดีๆ นะ เราจะเผาตัวเองไปถึงไหน
เราอย่าไปตามมันเลยความคิดความปรุงแต่ง มารู้จักหน้าตามันให้ดี เหมือนอยู่ในวัด เราก็รู้จักพระรูปนั้นเณรรูปนี้โยมคนนั้นคนนี้ เราก็รู้จักหน้าตาให้ดี ความปรุงแต่งทั้งหลายมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เราก็ต้องมารู้จักหน้าตามันให้ดี ไม่ใช่เราจะไปตามความคิดความปรุงแต่ง ความคิดความปรุงแต่งมันมีกับเราตลอดอยู่แล้ว เพราะมันเป็นหนึ่งในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ก็ทำหน้าที่ของเขาไปเรารู้จักหน้าที่ การงานของเขา เขาก็ทำหน้าที่ไปอย่างนั้น เราจะได้ไม่ไปปรุงแต่งในขันธ์ ๕ ในอายตนะ ๑๒ ถ้าเราไม่รู้จักความคิดความปรุงแต่ง จะไปประพฤติปฏิบัติยังไง ก็ไม่ได้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง จะถือศีลถือธุดงค์ เดินธุดงค์หลายป่า หลายภูเขา หลายถ้ำ หลายประเทศ มันก็ไม่ได้เรื่อง ด้วยเหตุด้วยปัจจัยนี้ พวกท่านทั้งหลายจึงต้องมารู้จักอารมณ์รู้จักความคิดรู้จักความปรุงแต่ง ว่ามันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง มันเป็นสิ่งที่เผาเรา จัดการเรา ยังไม่ตายก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น ที่บวชอยู่ไม่ได้ ก็เพราะว่าความคิดความปรุงแต่ง สังขารการปรุงแต่งทั้งหลายมันเผาเรา ให้เรารู้จักสังขารการปรุงแต่งเหมือนกับพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วได้เห็นหน้าเห็นตากิเลสจึงได้ทรงอุทานขึ้นมาว่า
เราตามหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบ จึงเวียนเกิดเวียนตายอยู่สังสารวัฏมากมายหลายชาติ การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ แน่ะนายช่างผู้สร้างเรือนเอย บัดนี้เราพบท่านแล้ว ท่านจะสร้างเรือนไม่ได้อีกแล้ว โครงเรือนเราทำลายแล้ว เรือนยอดเราก็รื้อแล้ว จิตของเราเข้าถึงพระนิพพาน เราได้บรรลุความสิ้นตัณหาแล้ว
“นายช่างผู้สร้างเรือน” ในที่นี้หมายถึงตัณหา เพราะตัณหาความอยาก ๓ ประเภทนี้เองที่ทำให้คนต้องเวียนว่ายตายเกิดในชาติภพต่างๆ ไม่จบสิ้น เรียกว่าวงจรแห่งสังสารวัฏไม่มีทางสิ้นสุด ถ้าไม่บรรลุพระนิพพาน “โครงเรือน” หมายถึง กิเลสน้อยใหญ่อื่นๆ ส่วน “เรือนยอด” หมายถึงอวิชชา พระพุทธองค์ทันทีที่ตรัสรู้ ก็ทรงเปล่งอุทานว่า บัดนี้ เราได้ทำลายกิเลสตัณหาพร้อมอวิชชาได้แล้ว ได้บรรลุพระนิพพานแล้ว
ทุกท่านทุกคนต้องขอบใจอวิชชาความหลง ความปรุงแต่งนะ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ได้มีพระพุทธเจ้า ไม่ได้มีพระธรรม ไม่ได้มีพระอริยสงฆ์ จึงต้องมาขอบใจอวิชชา ที่ทำ ให้เราเครียดให้เป็นโรคจิตเป็นโรคประสาท ทำให้เราได้สำนึกสำเหนียก ได้พัฒนาตนเองเพื่อหยุดก่อนลาก่อนวัฏสงสารคือถึงพระนิพพานในที่สุด