แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๗๓ คนที่ปราศจากหิริโอตตัปปะ กล้าประดุจกา มักจะมีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบาย แต่ไร้ความสุขใจและภาคภูมิใจ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ คือผู้ที่ประเสริฐ ต้องมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ดีแล้ว วัฏฏะสงสารไม่ว่าเราจะเป็นใคร จะได้เข้าถึงความเป็นพระ คือพระอริยเจ้า คือพระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ ไม่ว่านักบวชหรือประชาชนก็ถึงความเป็นพระได้เหมือนๆ กัน ประชาชนมีงานเยอะ มีภาระเยอะ พระนี้ก็ไม่มีงาน มีแต่ประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพานอย่างเดียว ที่ประเทศไทยเรามีอย่างนี้ ก็พระเณรส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีแต่ถือแบรนด์เนมเฉยๆ ด้วยโกนหัว ห่มผ้าเหลือง มีวัด มีเสนาสนะ มีโบส มีวิหาร มีเจดีย์ แต่ความประพฤติก็ยังถือว่ามันยังเข้าสู่ไลน์ไม่ได้ ถ้างั้นประเทศไทยเราคงจะดีกว่านี้ มันเลยเป็นการประพฤติการปฏิบัติขาดตอน มรรคผลนิพพานเลยได้หมดไป เพราะไม่มีใครประพฤติปฏิบัติตาม
ความเป็นจริงแล้วมรรคผลนิพพานไม่หมดหรอก ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ ทุกท่านทุกคนต้องตามพระพุทธเจ้า อย่าไปตามผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เมื่อตถาคตเสด็จดับขันธปรินิพพาน ธรรมวินัยคือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัวแทนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่นิติบุคคลคล ตัวตน คือธรรมะ ที่เราผิดพลาดก็เป็นเรา ทุกคนตามอัธยาศัย ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าเลย เมื่อไม่ได้ตามพระพุทธเจ้า ทุกคนมันก็ต้องเข้าสู่อบายมุข ความขี้เกียจ ขี้คร้าน ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ประพฤติผิดในกามไปกันใหญ่เลย แล้วก็พัฒนาก็พัฒนาตั้งแต่เทคโนโลยี พัฒนาตั้งแต่วัตถุ ไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เป็นมิจฉาทิฏฐิกันเต็ม 100% เมื่อเราไม่ได้ทำตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันก็ย่อมเป็นโรคจิตโรคประสาท โรคซึมเศร้า โรคทรัพย์จาง ยิ่งตามความคิด ตามอารมณ์ ตามอะไรก็ยิ่งเพี้ยนกันไปใหญ่ เป็นโรคจิตโรคประสาท ทั้งผู้ที่ยังไม่ได้บวช ทั้งผู้ที่บวชแล้ว ทำอะไรก็เพื่อจะเอา จะมี จะเป็น เพื่อจะได้ เพื่อจะเสีย โอ๋...ไปกันใหญ่แล้ว กู่ไม่กลับแล้ว เหมือนปลาอยู่ในน้ำก็ไม่รู้จักน้ำ นกอยู่บนฟ้าก็ไม่รู้จักฟ้า แล้วก็พากันบวชเพื่อแก้ตั้งแต่ภายนอก ทำไปปฏิบัติไปจนเป็นประชาธิปไตย ทั้งประเทศ ทั้งโลกเลย ความถูกใจเหนือความถูกต้อง ความเป็นธรรมความยุติธรรมไม่มีเหลืออะไรเลย เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ เลย
เมื่อมันทำไม่ถูก เมื่อมันคิดไม่ถูก เข้าใจผิด มันก็ทำไม่ถูก ไม่ใช่พระก็ว่าตัวเองเป็นพระ ไม่ใช่ศาสนาก็ว่าเป็นศาสนา โกงกินในเชิงนโยบายไปหมดเลย เข้าวัดเข้าวาก็ยังไม่รู้เรื่องศาสนาอะไร มาวัดก็จะมาเอาร่ำรวย ทำบุญตักบาตร ข้าวจานหนึ่งก็ โอ๋...จะได้วิมาน ความยุติธรรมจะมีจากไหน ยิ่งถูกพระหลอกไปเรื่อย คุณหญิงคุณนายไม่แสวงหาความถูกต้อง แสวงหาแต่พระเอาใจ มืดอยู่แล้วไปเพิ่มความมืดให้ตัวเองอีก พระก็พากันท่องขอเจริญพร ขอโน้นขอนี้เป็นแถวเลย ไว้สำหรับหลอกคนโง่ๆ พวกคนรวยก็เลยโง่ไปเลย เพราะว่าพระฉลาดพอ พระพูดเอาอกเอาใจ ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า อย่าประทุษร้ายประชาชน อย่าไปหลอกประชาชนกัน อย่าประจบคฤหัสถ์กัน หลอกเค้าอย่างนี้มันเป็นอาบัติสังฆาทิเสส พระนี้เลยโทรศัพท์ทำงานหนักเลย เดี๋ยวก็โทรหาโยมคนนั้นคนนี้ ไม่ใช่กิจสมณะ พวกมาบวชอย่างนี้ก็ โอ๋...โทรหาแต่พ่อแต่แม่ นารีสีกา สีดำอีก ซิกแซกเก่ง เพราะว่ามันไม่แน่จริง เค้าเรียกพญามารทั้งหลายทั้งปวง
มาร คือผู้ขวางความดี ขัดขวางหนทางของการสร้างบารมี คอยล้างผลาญทำลายความดีของมนุษย์ แล้วชักนำให้คนกระทำในสิ่งที่เป็นบาปอกุศล พอกพูนอาสวกิเลสให้หนาแน่นยิ่งขึ้นขณะเดียวกันก็ขวางกั้นไว้ไม่ให้ทำความดีได้เต็มที่ ทำให้มนุษย์ยากที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในสังสารวัฏ ในศาสนาต่างๆ มีการเรียกชื่อและให้ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องมารเอาไว้มากมายในทางพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนกไว้ว่า มารคือผู้ขัดขวางความดีนี้ มีอยู่ ๕ ประเภทด้วยกัน ก็คือ
ขันธมาร มารคือเบญจขันธ์ ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ได้ชื่อว่าเป็นมารร้ายทีเดียว เพราะบางครั้งก็ทำความลำบากให้กับเรา เช่น เมื่อตัวร้อนเป็นไข้ ปวดหลัง ปวดท้อง ปวดฟัน และโรคต่าง ๆสารพัด แทนที่เราจะได้ใช้เวลาที่มีอยู่นี้ไปกับการสั่งสมความดีให้เต็มที่ ก็ต้องเสียเวลาไปกับการเยียวยารักษาบริหารขันธ์
กิเลสมาร มารคือกิเลสที่ฝังติดแน่นอยู่ในใจของเรามานับภพนับชาติไม่ถ้วนอสาสวกิเลสเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อใจตกอยู่ในอำนาจของกิเล คือความโลภ ความโกรธ และความหลงนี้แล้วสิ่งใดที่ไม่เคยคิดก็เผลอคิด เรื่องอะไรที่ไม่ดีซึ่งเราไม่เคยพูด ไม่เคยทำ ก็หลงไปทำ กิเลสทำให้เกิดกรรม เมื่อเกิดกรรมก็มีวิบากมารองรับ ชีวิตจึงต้องเวียนวนอย่างไม่รู้จักจบสิ้น กิเลสเหล่านี้ผูกยึดสัตว์เอาไว้ในภพสาม ทำให้ไม่สามารถไปสู่พระนิพพานอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของเราได้
อภิสังขารมาร อภิสังขาร คือ กรรมฝ่ายวิบากอกุศล เป็นอปุญญาภิสังขารที่ปรุงแต่งผลบาปอันเผ็ดร้อน ซึ่งเราอาจจะเคยทำกรรมไม่ดีเอาไว้ในอดีต แล้วตามมาส่งผลในภพชาติปัจจุบัน คอยเป็นมารขัดขวางเราไม่ให้ประสบความสำเร็จในชีวิตบ้าง ได้รับความไม่สบายกาย ไม่สบายใจบ้าง
มัจจุมาร มารคือความตาย การมีชีวิตที่ยืนยาวและได้สร้างบารมีนั้น นับว่าเป็นผู้มีบุญลาภอันประเสริฐทีเดียว แต่ถ้าเกิดมาไม่กี่ปีก็ถูกมัจจุราชพรากเอาชีวิตไป ต้องละจากโลกนี้ไปเสียแล้ว ทำให้ต้องสูญเสียโอกาสที่จะทำความดีอย่างอื่นอีกมากมาย ฉะนั้น การที่ความตายมาคร่าชีวิตเราไปก่อนที่จะสร้างบารมีได้เต็มเปี่ยม ยังไม่ทันทำกิเลสอาสวะให้เบาบางเลย ก็ต้องตายเสียก่อนแล้ว ตรงนี้แหละ ท่านเรียกว่าเป็นมารมาขัดขวางเรา
เทวปุตตมาร หรือเทพบุตรมารท่านหมายเอาตั้งแต่บุคคลที่อยู่ใกล้ตัว ที่คอยขัดขวางไม่ให้เราทำความดี บางครั้งอาจเป็นสามี ภรรยาของเราเอง หรือเพื่อนฝูงเรา ที่มาขัดขวางการให้ทาน ไม่อยากให้รักษาศีล หรือขณะนั่งสมาธิก็มารบกวนทำเสียงดัง ทำให้ไม่มีสมาธิในการนั่งสมาธิต่อไป หรือบางครั้งเราอาจจะเป็นเทพบุตรมารต่อคนอื่นก็มี คือเราเผลอไปรบกวนหรือขัดขวางคนกำลังปฏิบัติเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
มารทั้ง ๕ ประการนี้ ปรากฏให้เห็นเป็นประจำในชีวิตประจำวัน เพียงแต่เราอาจไม่ทันสังเกต หรือมีความชาชินกับอุปสรรคต่างๆ เหล่านี้ไปเสียแล้ว ดังนั้นจึงต้องนำมาชี้ นำมาแสดงให้ได้ทราบว่า ที่เรียกว่ามาร มิใช่มีเฉพาะกิเลสเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีทั้งขันธมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวปุตตมาร
พญามารทั้งหลายทั้งปวง ถ้าไม่แน่จริง มันไม่ทำให้พวกสัตว์โลกทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดหรอก มันเล่นงานพระคุณเจ้าทั้งหลายที่พากันเดินตาม มีแต่อ้วนขาว หัวล้านทั้งนั้นเลย มันไม่มีเหลือครบเป็นสมณะเหมือนครั้งพุทธกาล ในสมัยพุทธกาลมีพระอ้วนลงพุง มีแต่พระสังกัจจายน์องค์เดียว เพราะว่าพวกคนมันชอบในรูปกาย ก็เลยต้องทำอย่างนั้น ปล่อยให้อ้วนด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ในการสวดผีบำเพ็ญกุศลมันก็เลยเป็นธุรกิจของนักบวชไป แบ่งกับมัคทายกไป ที่จริงถ้าพระเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เรามีโอกาสที่จะได้สอนธรรมะประชาชน เมื่อเราใจของเราไม่เป็นธรรม ไม่เป็นมรรคนิพพานมันจะคิดแต่เรื่องที่จะเอาเงิน เรื่องจะขายสังฆทาน เรื่องจะขายดอกไม่ธูปเทียน ญาติโยมทั้งหลายมีแต่ผูกเนกไททรงเกียรติมาในงาน ทำให้เสียเวลา ผู้ทรงเกียรติที่ไม่ใช่ทางพระศาสนา มาอุปโลกน์กันว่าเป็นผู้ทรงเกียรติ ผู้ทรงเกียรติในทางพระพุทธศาสนามีแต่พระอริยบุคคลที่เป็นฝ่ายฆารวาส ทุกวันนี้มันมีแต่โจรทั้งนั้นเลย ทำไมถึงว่าเป็นโจรเพราะว่ากินบ้านกินเมืองขนาดนี้มันจะทรงเกียรติได้อย่างไร
สิกขาบทข้อนี้เป็นสิกขาบทที่สำคัญข้อหนึ่งในพระพุทธศาสนา เพราะการบรรพชา อุปสมบทของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้เพื่อมุ่งมรรคผล มุ่งพระนิพพาน แล้วจะมีบุคคลที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาที่ไม่ได้มุ่งมรรคผลนิพพาน มาทำธุรกิจในพุทธศาสนา คือไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ เมื่อไม่ได้ประพฤติปฏิบัติเลยไม่มีอะไรมาบอกมาสอนให้ประชาชนเลื่อมใส บุคคลจำพวกนี้ต้องการปัจจัย ต้องการวัตถุ ต้องอาศัยการประจบคฤหัสถ์ มาทำให้พระพุทธศาสนานี้ไขว้เขว โดยบุคคลนี้ทำให้ศาสนาเสื่อม เราจะเห็นพระพุทธศาสนาเป็นของบริสุทธิ์ เมื่อไปประดิษฐานในผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่มุ่งมรรคผลนิพพาน ไปประจบคฤหัสถ์คือทำร้ายเขาด้วยการประจบ ด้วยการเอาใจ ด้วยการอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ประชาชนเลยเข้าใจว่าอย่างนั้นเป็นพระพุทธศาสนา ทำให้เขาเสียประโยชน์จากมรรคผลพระนิพพาน เราจะเห็นกันในบ้านในเมือง พระเราจะยินดีต้อนรับแต่คนรวย คนมีฐานะ เอาใจแต่คนมีอำนาจ คนที่เอาใจใส่เป็นพิเศษ ให้พรดี ให้พรเก่ง พูดเพราะ อย่างนี้เขาเรียกว่าประจบคฤหัสถ์ ประจบคนมีตระกูล คนรวย คนมีสตางค์ มีอำนาจ อันนี้คือความเสียหาย เป็นการทำลายความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความยุติธรรม
เราจะเห็นบางคน มีความเห็นแก่ตัว จะเรียนมาเพื่อจะเป็นข้าราชการต่างๆ หรือว่ารัฐวิสาหกิจ หรือว่านักบวชไปประจบผู้มีสตางค์มาก ไม่ได้เอาธรรม ไม่ได้เอาวินัยมันผิด ถ้าใครมีความประพฤติอย่างนี้ ได้ยินได้ฟังก็ต้องพิจารณาตัวเอง เพราะว่าเรานี้คือผู้ที่ทำลายความเป็นพระอริยเจ้า ทำลายพระธรรม ทำลายพระอริยสงฆ์ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง เป็นเรื่องทำลายพระศาสนา เพราะความฉลาดไม่พอ เปรียบเหมือนคนที่จะไปเอาผลไม้ต้นนั้น แต่ไม่ฉลาดไปโค่นต้นมัน มันก็ได้ครั้งเดียว อย่างนี้เขาเรียกว่าพระธุรกิจ บวชมาเพื่อทำธุรกิจในการบวช ไม่ใช่กิจของสมณะ ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไม่ใช่อริยสาวกของพระพุทธเจ้า
ที่หลงในตัวตน หลงในวัตถุ ตั้งอยู่ในความประมาท เดินคนละทางกับพระพุทธเจ้า ถึงเป็นผู้ที่ว่ายากสอนยาก เลยกลายมาเป็นผู้ที่ประทุษร้ายศาสนา ถือว่าการประทุษร้ายศาสนาคือการทำลายพระศาสนา ประทุษร้ายตระกูลคือตระกูลของพระพุทธเจ้า ตระกูลของพระอริยเจ้า ให้ประชาชนเกิดมิจฉาทิฏฐิ นึกว่าทำอย่างนั้นๆ ประจบคฤหัสถ์ ประจบคนรวย ประจบนักการเมือง นักกินเมือง ว่าเป็นศาสนา ทำให้ศาสนาเสียหายตกต่ำ อันนี้เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาเป็นการทำลายมรรคผลนิพพานของเมืองไทย ของโลก
ทุกๆ คนต้องพากลับมาดูตัวเอง เราจะได้รู้เท่าทันที่ปัจจุบัน เพราะอดีตมันไม่ใช่ปัจจุบัน อนาคตก็ไม่ใช่ปัจจุบัน เราต้องทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ สิ่งที่ผ่านมาเราเสียหายมามากแล้ว เราทุกคนเห็นความบอบช้ำของพระพุทธศาสนา ความบอบช้ำของมหาชน ทุกคนต้องเปลี่ยนแปลง อย่าให้ความเห็นแก่ตัวมาครอบงำเราเลย อย่าให้อวิชชามาครอบงำเราเลย เราต้องหยุดเป็นผู้ที่ประทุษร้ายศาสนา ประทุษร้ายตระกูลแห่งพุทธะ เพราะทุกคนต้องใจเข้มแข็งใจอ่อนไม่ได้ สัมมาสมาธิคือใจเข้มแข็ง เราต้องมีปัญญา ต้องเสียสละ ต้องกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า ต่อประเทศชาติบ้านเมืองของเรา เราต้องมีสิ่งดีๆ นำประเทศเรา อย่าให้อวิชชาความหลง มาครอบงำจิตใจของเราเลย
คนที่ปราศจากหิริโอตตัปปะ มีความกล้าประดุจกา มักจะมีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบายแต่ไร้ความสุขใจและภาคภูมิใจ ส่วนผู้ที่มีหิริโอตตัปปะสงบเสงี่ยมแบบมุนี เข้าสู้สกุลมิให้กระทบกระทั่งศรัทธาและโภชนะของคฤหัสถ์ เหมือนแมลงผึ้งเข้าไปในป่าดูดเอาน้ำหวานในเกสรดอกไม้ แต่มิให้บุปผชาติชอกช้ำนั้นย่อมเป็นอยู่ยาก แต่มีความสุขใจและภาคภูมิใจ
ทุกคนมันเคยชั่วมาหมด เคยไม่ดีมาหมด เคยทำผิดพลาดมาหมด เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏของเรา มันเคยทำไม่ดีมาหมด เราต้องเข้มแข็ง อย่าให้ความโง่ปรุงแต่งเราแต่เรื่องอดีต ปัจจุบันให้แน่นอน ต้องเอาธรรม เอาพระวินัย เพื่อจิตใจเราจะได้มุ่งไปสู่มรรคผลพระนิพพาน เราต้องตัดอดีตให้ได้ เป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป อย่าให้ความเศร้าหมองมันแช่อยู่ในหัวจิตหัวใจของเราเลย เราต้องตัดกรรมตัดเวรด้วยการภาวนาวิปัสสนาอย่างนี้ ทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง มันเป็นทุกขัง ถ้าเราไปยึดเรื่องอดีตไว้ ทุกอย่างมันเป็นอนัตตา เพราะเราไปยึดอดีตไว้ มันก็เป็นตัวเป็นตน
การปฏิบัติของเรามันเลยไปไหนไม่ได้ เพราะไม่ทิ้งอดีต ไม่ทิ้งกรรมดีกรรมชั่ว ใจมันไม่หมดหนี้หมดสิน ใจไม่ได้อยู่กับปัจจุบันธรรม ทุกคนน่ะ! กว่าจะผ่านชีวิตมาได้ ทั้งปากกัดตีนถีบ บ่าแบกหลังหนุน ทำทั้งดีทั้งชั่ว ทำทั้งถูกทั้งผิด ก็ถือว่าเรื่องมันเป็นอดีตไปแล้ว ความไม่ถูกต้องก็เป็นครู เป็นครูที่มาบอกตัวเองว่าอย่างนี้เราจะไม่คิดไม่พูดไม่ทำอีก เมื่อเราได้มาพบพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ต้องเสียสละอารมณ์อย่างนั้น ความรู้สึกอย่างนั้น ความคิดอย่างนั้น เราไม่เอาอีก มันเป็นครูบอกสอนอยู่แล้ว ถึงจะอร่อยเท่าไหร่ ถึงจะมีความสุขแค่ไหน เราก็ต้องเสียสละ อย่าให้มันมาปรุงแต่งจิตใจเราได้ ตัดด้วยอานาปานสติไว้ก่อน เพราะกรรมเหมือนสุนัขล่าเนื้อ เหมือนพยัคฆ์ล่าเนื้อนี่แหละ ถ้าเราไม่ตัดอดีต มันก็ตามล่าเราอย่างนั้น มันตามล่าเราไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่มีตัวไม่มีตน
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้าเราเข้าใจนำไปประพฤตินำไปปฏิบัติทุกๆ คนจะเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ เป็นพระอริยเจ้าเหมือนกันทุกๆ คน ไม่มีใครยกเว้น ผู้ที่เป็นฆราวาส ไม่ได้ออกบวช ประพฤติปฏิบัติธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น จะได้เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี การดำเนินชีวิตของประชาชนเราทุกๆ คนนั้น พระพุทธเจ้าให้เดินตามอริยมรรคมีองค์แปดประการ ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ที่เราอยู่ที่บ้าน อยู่ที่ทำงาน อยู่ในสังคม ประชาชนทุกๆ คนให้พากันเข้าใจนะ การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่ปฏิบัติอยู่ที่วัด อยู่ที่บ้าน อยู่ที่ทำงาน อยู่ในสังคม การทำงานกับการปฏิบัติธรรมนั้นให้มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือการไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศลให้ถึงพร้อม ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท วันหนึ่งคืนหนึ่งของเราทุก ๆ คนนั้นมี ๒๔ ชั่วโมง เวลานอนของเรา ๖,๗,๘ ชั่วโมง ถ้าเด็ก ๆ ๑๑, ๑๒ ชั่วโมง เวลาเราตื่นอยู่นี้แหละ ๑๖,๑๗,๑๘ ชั่วโมง เวลา ๑๖,๑๗,๑๘ เป็นเวลาที่เรามีความสุขในการทำงาน ในการปฏิบัติธรรม เรามีความสุขตั้งแต่เช้าจนนอนหลับ ตื่นขึ้นเราก็มีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรมตั้งแต่เช้าจนนอนหลับ เราทุกๆ คนส่วนใหญ่นั้นยังไม่เข้าใจในการทำงาน ในการปฏิบัติธรรม คิดว่าการทำงานอย่างหนึ่ง การปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง คนเรานะ ถ้าไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการปฏิบัติธรรมนั้น ถึงจะเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาด ก็ย่อมเป็นโรคประสาท โรคจิต โรคซึมเศร้า วิตกกังวล ฟุ้งซ่าน เป็นโรคกระเพาะอาหาร นอนไม่หลับ ร่างกายทรุดโทรม แก่เร็วเกินวัย อายุไม่ยืน เพราะว่าจิตใจไม่มีความสุข
พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์... ตถาคตเจ้าน่ะ ถ้าเจริญอิทธิบาททั้ง ๔ จะมีอายุอยู่ได้อีกยืนนานหลายปีนะ ที่ท่านพูดอย่างนี้เพราะว่าพญามารกำลังอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน เพราะถ้าพระพุทธเจ้าอยู่ไปนานจะสอนประชาชนให้เป็นพระอรหันต์กันเยอะ พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ พระอานนท์ไม่เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าพูดเป็นปริศนาธรรมให้พระอานนท์รู้ว่า พระพุทธเจ้ามีอายุอยู่ได้ยืนนานอีกหลายปี ที่ตรัสว่าอิทธิบาท ๔ นั้นได้แก่ ฉันทะ ความพึงพอใจ คนเรานะถ้ามีความพึงพอใจแล้วมันมีความสุข เราลองคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเรามีความสุข วันหนึ่ง ๆ มันผ่านไปเร็ว เราทุก ๆ คนถึงต้องมีความสุขในการทำงานการปฏิบัติธรรม ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้สอนเราทุกคนดีมาก ดีพิเศษ ดีจริง ๆ สำหรับผู้ที่มีสติมีปัญญา เราจะได้เข้าถึงมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องรอให้ร่างกายนี้ตายเสียก่อนถึงจะได้เป็นพระอริยเจ้า ต้องเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ในชีวิตประจำวัน
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราทุกคนคิดว่าอีกหลายปีข้างหน้าเราจะร่ำรวย มีเงินมีทอง มีทรัพย์สมบัติ มีลูกดี หลานดี อะไรก็ดีไปหมดในอนาคต ท่านไม่ให้เราคิดอย่างนี้ ให้เราเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ในปัจจุบันธรรม ปัจจุบันเราต้องมีความสุข ไม่มีความทุกข์ทางจิตใจ คนเราทุกคนนะ ถ้าคิดดีใจมันก็ดี ถ้าพูดดีใจมันก็ดี ถ้ารับผิดชอบดีใจก็ดี ถ้าขยันอดทนใจมันก็ดี ถ้าไม่ตามอารมณ์ ตามความคิด ตามสิ่งแวดล้อมไปใจของเรามันก็ดี เพราะเราได้คิดดี ทำดี พูดดี อะไรก็ดีหมดน่ะ คือการไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศลให้ถึงพร้อม ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท การที่เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าเราคิดดูดี ๆ นั่นแหละคือเรากำลังทำวิปัสสนาอยู่ในชีวิตประจำวัน วิปัสสนาคือมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง คิดดี ทำดี พูดดี ทุกอย่างมันออกจากจิตจากใจของเรา เราทำอย่างนี้แหละ รวยทั้งโภคทรัพย์ รวยทั้งอริยทรัพย์ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันเกิดมีกับเราไม่ได้ เพราะเราได้เริ่มมาจากจิตจากใจ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่ากามคุณ รูป เสียง กลิ่นรส ลาภ ยศ สรรเสริญ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดประการ กามคุณนั้นจะเป็นคุณแก่เรา กามคุณก็ได้ร่างกายของเรานี้ รูปเสียงกลิ่นรส ลาภยศสรรเสริญ ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนนี้แหละ เค้าจะมีคุณแก่เรา อย่างร่างกายของเรามีคุณแก่เรา เราจะได้เอาร่างกายนี้มาประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อมรรค เพื่อผล เพื่อพระนิพพาน บ้าน รถ อย่างนี้ก็มีประโยชน์แก่เรา ทำให้เรามีที่อยู่อาศัย มียานพาหนะ พระพุทธเจ้าน่ะท่านให้เราเจริญปัญญาบารมี ไม่ให้เราติด ไม่ให้เราหลง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันไม่เที่ยงแท้แน่นอน ถ้าเราไม่จากเขา เขาก็ต้องจากเรา ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เราบริโภคปัจจัยทั้งสี่เพื่ออำนวยความสะดวกในการสร้างบารมี เพื่อมรรค เพื่อผล เพื่อพระนิพพาน กามคุณถึงเป็นคุณแก่เรา กามคุณนั้นเป็นอารมณ์ของมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัตินะ ยังไม่ใช่พระนิพพานสมบัติ เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ถ้าเราปฏิบัติเดินตามอริยมรรคมีองค์แปดน่ะ เราก็จะมีวิปัสสนาไปในตัว ในชีวิตประจำวัน วันหนึ่งนั้นเราจะได้ปฏิบัติธรรมะได้เยอะมาก นี้ประชาชนทุก ๆ คนไม่ค่อยรู้นะ ปล่อยให้เวลาที่มีค่าที่ประเสริฐหายไปวันละเป็นสิบชั่วโมง ธรรมะดี ๆ คุณธรรมมันถึงเกิดแก่เราไม่ได้ เพราะว่าไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยที่จะให้คุณธรรม คุณงามความดีเกิด พระพุทธเจ้าให้เราทุกคนพากันเข้าใจนะ ถ้าไม่เข้าใจก็ให้พากันเข้าใจใหม่
เราทำวัตรเช้าวัตรเย็นนั่งสมาธิอยู่ที่บ้านมันน้อยมาก มันยังไม่เพียงพอ พระพุทธเจ้าถึงให้เราเจริญอริยมรรคมีองค์แปด มีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรมทั้งวันน่ะ เราก็คิดว่าทำทั้งวันมันจะไม่เครียดแย่เหรอ ไปทำนิดเดียวมันก็เครียดแล้ว การทำงานที่มีความสุข การปฏิบัติธรรมที่มีความสุขน่ะมันไม่เครียด มีความสุขมาก สุขจริงๆ เพราะเราได้เสียสละ เราได้สร้างความดีมันมีความสุขนะ เราปฏิบัตินี้แหละตัวเราก็จะมีความสุข พ่อแม่ญาติพี่น้อง ลูกน้องพ้องบริวารเราก็จะมีความสุข เหมือนพระพุทธเจ้าท่านมีความสุข ท่านเสวยวิมุติ ท่านคิดว่ายืนอยู่แป๊บเดียวก็ได้เจ็ดวันแล้ว นั่งอยู่ก็เจ็ดวัน เดินอยู่ก็เจ็ด เพราะเรามีความสุข มีปิติ มีเอกัคคัตตาไปในตัว ธรรมะของพระพุทธเจ้าถึงเป็นของประเสริฐแท้ ประเสริฐพิเศษ ประเสริฐจริงๆ ที่มาแก้ปัญหาให้ทุกคนไม่มีความทุกข์ทางจิตใจ ทันยุคทันสมัยสำหรับผู้มีสติมีปัญญา ตอนเช้า ตอนเย็น เราถึงค่อยไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ เพื่อพักผ่อนจิตใจ ให้สมองเราได้พักผ่อนจากความโลภ ความโกรธ ความหลง รถยนต์เค้าก็ยังมีเวลาพักผ่อน ใจของเราก็ต้องพักผ่อนจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เราจะได้มีความสุขจากการหายใจเข้าเอาอ๊อกซินเจนเข้าร่างกาย หายใจออกให้สบาย นั่งสมาธิเราก็จะได้พักผ่อนสมอง เราจะได้แยกกายออกจากใจ แยกใจออกจากกาย ให้มีแต่ใจล้วน ๆ ไม่มีตัวตนที่เหลืออยู่เลย เราทำอย่างนี้ทุก ๆ วัน เราก็จะชำนิชำนาญไปเรื่อย ๆ
สำหรับพระภิกษุสามเณร ชี ที่เป็นนักบวชน่ะ พระพุทธเจ้าให้เราทุก ๆ คนปฏิบัติเพื่อมรรคผล เพื่อพระนิพพาน ไม่เอามนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ เอาความสุขทางใจอย่างเดียว ตัดกามคุณออกจากใจให้หมด มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการปฏิบัติธรรม มีความสุขมาก สุขพิเศษ สุขจริง ๆ เพราะเราได้ประพฤติปฏิบัติธรรม เหนื่อยกายไม่เป็นไร ร้อนหนาวสุขทุกข์ไม่เป็นไร เพราะอันนี้มันเป็นเรื่องของกาย เราให้มีความสุขทางใจ เราดูอย่างแบบอย่างพระพุทธเจ้า ท่านละทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านให้แยกใจออกจากกาย แยกใจออกจากโลกธรรม แยกใจออกสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่มีอะไรเลยทางจิตใจของท่าน เราแต่ก่อนนั้นนะ เป็นลูกชาวบ้านนะ เรามาถือนิสัยของพระพุทธเจ้า เราต้องเอาตัวอย่างแบบอย่างของพระพุทธเจ้า นิสัยของเรามันขี้เกียจขี้คร้าน เห็นแก่ตัว เห็นแก่ปากแก่ท้อง แก่กินแก่นอน แก่เล่นแก่เที่ยว อย่างนี้แหละเราต้องมีหยุดตัวเองให้หมด ตัดตัวเองให้หมด ไม่ให้มีอะไรหลงเหลืออยู่ในจิตในใจ มันต้องมาเปลี่ยนจากหลังมืดเป็นหน้ามือ ฝืนทุกอย่าง อย่างนี้แหละไม่ให้ตามไปรอยเก่า จากแต่ก่อนเราเดินไปทางใต้ เราต้องเดินไปทางเหนือ ชีวิตของพระนี้น่ะ การดำเนินชีวิตเปรียบเสมือนเครื่องบินเครื่องหนึ่งบินทยานจากท่ามกลางมหาสมุทรขึ้นสู่บนฟ้า บินสูงตั้งหลายหมื่นฟุต ไม่จมอยู่ในพื้นมหาสมุทร เป็นชีวิตที่ปลอดภัย
พระเณรชีทั้งหลายนะ ให้เราเอาตัวอย่างแบบอย่างของพระพุทธเจ้า รูปเดียว องค์เดียวเท่านั้น เพื่อเป็นตัวอย่างแบบอย่าง อย่าเอาตัวอย่างพระเณรชีที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่นะ พระพุทธเจ้าท่านเอาพระนิพพานอย่างเดียว ไม่มีกามคุณอยู่ในหัวใจ พระเณรชีเราทุกวันนี้ถือว่ายังไม่ได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านะ ยังปฏิบัติตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามพระเณรชีที่เราเห็นอยู่รู้อยู่ที่มันไม่ได้มาตรฐานนี้นะ การมาบวชของเราถึงเป็นการมาทวนโลกทวนกระแส ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่สมควรที่จะมาบวช รับปัจจัยไทยทานของประชาชน ให้ประชาชนเค้ากราบเค้าไหว้ ประชาชนทุกวันนี้เค้าไม่สบายใจนะ เพราะว่าบวชเณรชีของเราย่อหย่อนอ่อนแอ ไม่ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า กามคุณต้องไม่จมอยู่ในหัวใจของเรา เรามีความสุขในการปฏิบัติธรรมตั้งแต่เช้าจนนอนหลับ ตื่นขึ้นก็ทำอย่างนี้อีก ประชาชนเค้าทำความดีคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 60%อย่างนี้นะ เราต้องทำ 100% นะ ความขยันก็ร้อย ความอดทนก็ร้อย สมาธิก็ร้อย ปัญญาก็ร้อย ต้องจิตใจเข้มแข็งมากกว่านี้ มีจุดยืนชัดเจนมากกว่านี้ สัมมาสมาธิต้องเข้มแข็ง มีอุดมการณ์ชัดเจนคือพระนิพพาน อันไหนมันผิดอย่าไปคิด อย่าไปพูด อย่าไปทำ พระพุทธเจ้าให้นักบวชพากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้เต็มที่ ศาสนามันไม่เสื่อมหรอก พวกที่มาประพฤติปฏิบัตินี้มันเสื่อม ให้เข้าใจนะ
ก็ให้ทุกคนสงสารตัวเอง สงสารพี่ สงสารน้อง สงสารญาติพ้องตระกูลตัวเอง เรื่องสงสารทุกๆ คนในโลกนี้ เมื่อสงสารตัวเองแล้ว ก็ต้องนำตัวเอง นำตัวเองปฏิบัติ ถ้าอย่างนั้นเราไปสงสารตัวเอง มันจะมีประโยชน์อะไร เราจะไปสงสารคนนู้น สงสารคนนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ต้องทำเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็สงสารตัวเอง ท่านก็สงสารลูก พ่อแม่ญาติวงศ์ตระกูล ก็ถือออกบวช ทั้งที่กลั้นใจเดินออก นี่เราไม่สงสารตัวเอง ไม่สงสารครอบครัว ไม่สงสารญาติพี่น้อง ปล่อยไปตามใจตามอารมณ์ คนเราน่ะ เราต้องเป็นเศรษฐี เราถึงแจกเงินเค้าได้ เราต้องเป็นเศรษฐีธรรม เราถึงจะแจกธรรมได้
เพราะเราคิดดูทุกคนก็สงสารพี่ สงสารน้อง สงสารอะไร แต่ว่ามันสงสารมันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราไม่เสียสละ ไม่เอาตัวเองให้มันรอดก่อน ด้วยพัฒนาทางปฏิปทาของตัวเอง เพราะเดี๋ยวมันจะค่อยลามปามไปเอง สงสารประชาชนก็ไม่ได้หรอก เพราะว่าถ้าเราแก้ไขตัวเองไม่ได้ ทุกคนน่ะสงสารพ่อ สงสารแม่ แต่ว่าตัวเองก็เอาตัวเองไม่ได้ เพราะว่าไม่อยากเสียสละ ไม่อยากละกาม ไม่อยากทิ้งกาม กามก็คือตัวตน มันต้องติดต่อปฏิบัติกันต่อเนื่อง
เราทุกคนอย่าไปหลงขยะ จะเอาขยะมากองกัน มารวมกัน มันก็ยิ่งเน่ายิ่งเหม็น เราต้องทิ้ง เราต้องเสียสละ ขยะ คือสิ่งที่เป็นอดีต ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหนก็ชั่งหัวมัน เน้นปัจจุบันไปเรื่อยๆ ใจของเราจะได้มีโอกาสพัฒนา ใจของเราจะได้มีความสุขขึ้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เราจะได้ทำอย่างนี้ เราจะได้บริโภคของใหม่ของสด เรื่องอะไรล่ะ จะบริโภคแต่ของเก่าอยู่นั่น บริโภคแต่ความวิตกกังวล บริโภคแต่วิจิกิจฉาความลังเลสงสัย บริโภคแต่ความฟุ้งซ่าน บริโภคแต่ความยินดีพอใจในกาม บริโภคแต่ความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย การภาวนา มันต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ เราโชคดีนะ ที่เราได้มาอยู่ ในสำนักที่มี พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่เข้มแข็ง ที่เคร่งครัด ปฏิบัติจริง เพื่อไม่ให้เราทำตามอัธยาศัย เราต้องตัดความโง่ที่เรียกว่า “อัธยาศัย” นี้ออกจากจิตใจของท่านให้ได้ ต้องเอาพระธรรม เอาพระวินัย เอาข้อวัตรกิจวัตรเป็นหลักอย่างนี้แหละ ท่านถึงจะตัดกรรมที่มาจากอัธยาศัยได้