แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่องพรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๗๒ อย่าเป็นผู้กินของเก่า ด้วยการที่เอาอัตตาตัวตนเป็นที่ตั้งเลย
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ค่ำคืนวันนี้ เป็นการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมคืนสุดท้ายของคุณสุวภา นวมทิพวัลย์ ที่คณะสงฆ์ ครอบครัว ญาติพี่น้อง ญาติธรรม ได้บำเพ็ญกองการมหากุศลอุทิศบุญกุศลส่งไปให้
การบำเพ็ญกุศลนี้ ให้ทุกท่านทุกคนพากันรู้ เราต้องตามพระพุทธเจ้า ตามพระอรหันต์ ผู้ที่ส่งบุญ ส่งกุศลให้ได้ดีที่สุดคือพระพุทธเจ้า คือพระอรหันต์ คือพระอริยเจ้า เราไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศล ถึงพร้อมด้วยความถูกต้อง เพราะผู้ที่วายชนม์นั้น สิ่งที่จะนำติดตัวไปนั้นคือบุญกุศล เพราะว่าเขาหมดโอกาส หมดเวลา มีแต่พวกครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ได้มาร่วมรวมกันกระทำความดี ให้ทานรักษาศีล ในการประพฤติปฏิบัติ ส่งบุญส่งกุศลให้ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจอย่างนี้
คนที่ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้จักความดับทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึก ทำตามความยึดมั่นถือมั่น คือ “เป็นผู้กินของเก่า” ของเก่า ก็หมายถึง อุจจาระ ปัสสาวะ เราทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึก คือผู้ที่บริโภคของเก่า ของเก่าก็คือ บาปกรรมที่เคยทำมา ที่มันเคยทำยังไง มันก็เอาเเต่ตัวเเต่ตน นั้นมันไม่ใช่พุทธะอะไร มันมีทิฏฐิมาก มานะมาก ตัวตนมาก ทำอย่างนี้เค้าเรียกว่าคนกินของเก่า เหมือนนางวิสาขา บอกพ่อสามีว่าบริโภคของเก่า ถ้าเราทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง เหมือนหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายอย่างนี้ ที่เป็นระบบครอบครัว ระบบตัวตน คือผู้บริโภคของเก่า
การปล่อยวางเท่ากับดีท๊อกซ์ของเสียที่เรากินไปเมื่อสองวันสามวัน อันนี้มันเป็นระบบวิทยาศาสตร์ที่เราต้องดีท๊อกซ์ออกทางภายนอก ทางภายในเราต้องเสียสละ ต้องปล่อยต้องวาง เรามันคอร์รัปชั่น คอร์รัปชั่นสิ่งที่ประเสริฐของเรา เรามันโง่งมงาย ตั้งเเต่ก่อนเราสงสารคนบ้าที่มันเดินตามข้างถนน มันเก็บขยะไปเรื่อย เเต่ถ้าเราไม่ได้กลับมามองตัวเอง ไปหลงกรรมเก่า หลงในรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ เราพาลูกพาหลานญาติวงศ์ตระกูลบริโภคของเก่า
ชีวิตของเราในชีวิตประจำวัน เราต้องรู้จักอริยสัจ ๔ รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ต้องมีความสุขในการเสียสละ เราจะได้หยุดก่อนวัฏฏะสงสาร ลาก่อนวัฏฏะสงสาร ถ้าเราปฏิบัติทั้งวันทั้งคืน เพื่อจะเอา เพื่อจะมี เพื่อจะเป็น อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง หลวงพ่อก็ดูพระหลายองค์ โยมหลายคน โรคประสาทมันก็หายไม่ได้ เพราะมันบริโภคของเก่า สิ่งปฏิกูล คือ ความยึดมั่นถือมั่น เวลานอนมันก็ไม่ได้นอน มันจะไปนอนตอนที่เค้าตื่นเเล้ว มันต้องเเก้ไขตัวเอง
เราทุกคนไม่ได้พากันภาวนาอะไรเลย ไม่ได้พิจารณาอนิจจังทุกขังอนัตตา เรียกว่าไม่รู้จักอริยสัจ ๔ อะไรเลย เราต้องรู้จักพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา สอนให้เข้าถึงสัจจะธรรมความจริง พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจ เพื่อให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน ทุกท่านทุกคนอย่าพากันบริโภคของเก่าเลย มันก็ตายเเล้วตายอีก เกิดเเล้วเกิดอีก มันไม่น่าดีใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน ตำเเหน่งที่เค้าเเต่งตั้งให้เป็นผู้หญิง เราอย่าไปหลงมัน ตำเเหน่งที่เเต่งตั้งให้เป็นผู้ชาย เราอย่าไปหลงมัน เราต้องเสียสละ เพราะต้องทำได้ ปฏิบัติได้ เราถึงจะบอกลูกบอกหลานเราได้ เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ถ้างั้นเราบวชไปก็ไม่รู้จะบวชไปเอาอะไร เพราะไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ขนาดโรคภายนอกทางภายนอกยังรักษาไม่หายเลย เป็นพระที่ตามใจตัวเองมันก็เป็นโรคประสาท มันตามใจตัวเอง มันซิกแซก เก่งอะไรเก่ง โยมที่มันตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันถึงต้องเป็นโรคประสาทอย่างน่าสงสารอยู่อย่างนี้ มันยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่อย่างนี้ เราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างนี้ เราจะมากินข้าวไปวันๆ อยู่ไปวันๆอย่างนี้อยู่ไม่ได้ เราจะมาหลงในขยะอย่างนี้ไม่ได้
เพราะศาสนาอย่างที่กล่าวมาเเล้วไม่ได้อยู่ในหนังสือ อยู่ในพระไตรปิฏก มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันมันจะเลื่อนไปเอง ถ้าเราไม่มีการปฏิบัติในปัจจุบัน อินทรีย์บารมีเรามันจะเเก่กล้าได้ยังไง อันนี้มันเป็นเรื่องที่เรากินของเก่าบริโภคของเก่าทางจิตใจ มันถึงกลายเป็นมะเร็งร้ายทางจิตใจที่รักษาไม่หาย ทุกท่านทุกคนไม่ต้องไปจัดการคนอื่นหรอก จัดการกับตัวเองให้มีความสุขเลย เพราะรักษาศีลเพื่อมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่เพื่อโลกียะ เพื่อเค้าสรรเสริญ มันต้องเน้นที่จิตที่ใจ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าการไม่เบียดเบียน
ประสาทมันก็ไม่หาย เพราะว่าไม่ได้เเก้อะไรเลย ที่หลวงพ่อว่า อากาศหนาวก็ไม่ได้ทำใจ อากาศร้อนก็ไม่ได้ทำใจ ตีสามเราก็นอนจมเลย เราก็ไม่ตื่นขึ้นตาใสไปทำข้อวัตรกิจวัตร มันก็มีปัญหาอย่างนี้ มันเป็นลูกคนรวยมันก็ติดสุขติดสบาย ตีสามมันก็ไม่อยากตื่น เเต่ว่าเวลาทำงานมันทำได้ กลางวันมันเก่งอยู่ ตีสามมันยังไม่ได้ มันยังตามใจอยู่ ติดเชื้อตามใจ มาบวชมันก็จะไม่เปลี่ยนนะ เพราะเรามิจฉาทิฏฐิ เราไม่รู้จักตัวตนเราเอาความสุขอย่างนั้น เราต้องรู้จักเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องพระนิพพาน ที่ให้ทุกคนจัดการเเก้ไขตัวเอง ถ้าอย่างงั้นมันจะเเก่ แก่ไปเรื่อย เหมือนกับพวกที่โรงครัวมีของสะอาด ก็พากันมักง่ายเอาจักรยานเข้าไปจอด เอารถไฟฟ้าสมัยใหม่เข้าไปจอด มันก็กลายเป็นของสกปรก มันตามใจตัวเอง มันจะไปกินเเต่ความโง่ กินเเต่อวิชชา กินความหลงไม่ได้ พระคุณเจ้ามันจะไปตื่นสายไม่ได้ มันต้องทำงานเป็นทีม มันต้องปลุกกันบอกกันให้มีศีลเสมอกัน เพราะอินทรีย์บารมีของคนเรามันอ่อนอยู่เเล้ว ถ้าอย่างนั้นโรคประสาทของพวกท่านทั้งหลายทั้งปวงไม่หายหรอก เพราะพวกท่านยังโง่อยู่ ยังบริโภคความเห็นเเก่ตัว เค้าเรียกว่าบริโภคของเก่า ตามใจตัวเอง
พระเราเณรเรา เป็นโรคจิตโรคประสาทตั้งหลายคน ทั้งรุนเเรง ทั้งอ่อนๆ โยมเราก็หลายๆ คนหลวงพ่อมองอยู่ก็อย่างนี้อย่างนั้น เพราะสาเหตุเนื่องจากความเห็นไม่ถูกต้อง ความเข้าใจไม่ถูกต้อง เราปฏิบัติไม่ถูกต้อง เช่นว่า ไปทำตามใจตามอารมณ์ ทำตามความรู้สึก มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันเป็นความเสียหาย ถ้าไม่เเก้ โรคประสาทโรคจิตนั้นไม่สามารถที่จะหายได้ ทางกายก็หายไม่ได้ ทางใจก็หายไม่ได้ จะเป็นเพิ่มอีกทั้งสองอย่าง
ทุกท่านทุกคนต้องพากันรู้จัก เรียกว่ารู้จักอริยสัจ ๔ ถ้าไม่อย่างงั้นพวกท่านทั้งหลายไม่รู้จักอริยสัจ ๔ เลย ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึก เรียกว่า เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร เราจะเอามาตรฐานของผู้ที่มาบวชในประเทศไทย หรือหลายๆ ประเทศไม่ได้ เราจะเอามาตรฐานของประชาชนคนทั้งโลกอย่างนี้ไม่ได้ เราต้องเอาความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความยุติธรรม ตามพระพุทธเจ้าอย่างนี้ถึงจะถูก
เพราะว่าอันนี้มันเป็นระบบ ยึดมั่นถือมั่น ระบบทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน ท่านจะซิกเเซกยังไงก็ไปไม่รอด เพราะว่ามันผิดทาง เพราะว่าท่านจะพากันมาเอา เราทำตามหลักเหตุหลักผล หลักวิทยาศาสตร์ของประเทศที่เค้าพัฒนาเเล้ว เเต่ประเทศที่เค้าพัฒนาเเล้ว เช่น ประเทศอเมริกา หรืออังกฤษ หรือหลายประเทศ เค้าพัฒนาไปไกล เเต่เค้าไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ความล้มเหลวมันถึงเกิดเเก่โลก ให้เรารู้จัก ทั้งที่พัฒนาเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ ถูกต้องเเล้ว เเต่ไม่ได้ปฏิบัติใจ งมงายเอาความสุขในอวิชชาในความหลง สิ่งที่เป็นคุณเป็นโทษต้องพากันเข้าใจ
พระเราทั้งหลายที่ได้กล่าวไปเเล้ววันก่อนต้องสละกรรมเก่า ที่เรากินอาหารเก่า ออกไป พระเราหลายรูปหลวงพ่อใหญ่มองเห็น ไม่ให้ใช้โทรศัพท์ เเต่ก็ไปยืมของโยมใช้ บางทีญาติโยมเค้าเสียค่าพระไปโทรศัพท์มากกว่าเจ้าของเค้าอีก มันอยู่ใกล้หลวงพ่อใหญ่ เเต่ว่ามันไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักพระอรหันต์ ไม่รู้จักครูบาอาจารย์เลย มันเเย่นะ เเย่มากๆ เลย
หลวงพ่อใหญ่บวชมา ละทางบ้านทางอะไรๆ ทุกอย่าง จนคนทางบ้าน บอกกันว่า ถ้าข่อยบวชก็จะเอาเหมือนครูบากัณหา บวชใหม่เค้าเรียกครูบา บวชนานเค้าเรียกอาจารย์ ถ้าบวชนานขึ้นอีก เค้าเรียกว่า ญาท่าน เพราะคนเราทุกคนน่ะ พ่อตัวเองต้องคิดถึง เเม่ตัวเองต้องคิดถึง ใครก็คิดถึงหมด เเต่เราต้องตัดระบบครอบครัวระบบอะไรอย่างนี้ ให้พระเข้าใจนะ พระชอบโทรไปหาญาติ โทรไปหาอะไร มันระบบครอบครัว บางคนคนต่างประเทศอยู่เงียบๆ มีเเต่โทรหาคนอื่น โทรไปหาอะไร เเล้วก็เอาโรคประสาทเข้ามาพัฒนาให้ตัวเองเป็นโรคประสาทเพิ่มขึ้นอีก
เพราะถึงคราวเเล้ว ถึงเวลาเเล้ว หลวงพ่อใหญ่ก็บอกว่า อย่าโง่ไปกว่านี้เลย เพราะว่าเสียเศรษฐกิจ เสียข้าวเสียน้ำ เราได้ใส่เเบรนด์เนมเเล้ว ก็ต้องปฏิบัติให้มันไปตามเเบรนด์เนม ใครเป็นโรคประสาทน้อย เป็นโรคประสาทมาก หลวงพ่อใหญ่ก็ไม่ให้ออกชื่อ ใครโทรศัพท์อะไร หลวงพ่อใหญ่ก็ไม่ให้ออกชื่อ ถ้ากัณฑ์หลังอาจจะออกชื่อ กัณนี้วอร์มๆ ไปเฉยๆ เพื่อให้รู้ตัว จะได้แก้ไขตัวเองอย่างนี้
เราต้องรู้จักว่าศาสนาพุทธประเสริฐขนาดไหน เราได้ยินชื่อก็เป็นบุญเป็นกุศลเเล้ว เราท่องพุทโธ พุทโธ ผีมันยังกลัวเลย เเสดงว่าเรายังไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ไม่ได้นะ เราจะเป็นผู้เเก่เรียนบวชนาน เเล้วไม่ได้ประพฤติปฏิบัติมันน่าอายนะ ถ้าใครต่อต้านในใจเท่ากับไปด่าพระพุทธเจ้า เพราะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ไม่มีใครมาคัดค้านได้
เพราะหลวงพ่อดูเเล้วทุกคนก็จะหาสิ่งที่ตามใจ ไปคุยเเต่พวกที่คุยอะไรตามใจ พวกที่ไม่ตามใจเราถือว่าคนละพวกไป มันโง่ขนาดไหน ถ้างั้นไม่ได้หรอก เราจะเอาแบรนด์เนมพระพุทธเจ้า โกนหัวมันก็ไม่ได้ผลหรอก ใส่ชุดขาว ชุดน้ำตาลอะไรก็ไม่ได้ผลหรอก เพราะว่ามันเอาเเต่รูปแบบ ทางภายนอก ไม่ได้เเก้ไขตัวเอง ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ นี้เเหละคือมนุษย์ขยะตัวจริง จะถือเอาพระในประเทศไทยเป็นสรณะไม่ได้ ต้องถือเอาพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เป็นสรณะ ต้องถือเอาธรรมะวินัยเป็นสรณะ ถ้างั้นจะเอาไลน์โจรหมด
เรามาปรับที่ 'ใจ' เอาความสุขความดับทุกข์อยู่ที่ใจ เราไม่ต้องไปเอาความสุขทางกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ชีวิตของเราที่ยังอยู่นี้...ถือว่าเหลือน้อยแล้ว ต้องฝึกปล่อย ฝึกวาง เราทุกคนเกิดมาก็ไม่ได้เอาอะไรมา เวลาจากไปก็ไม่ได้เอาอะไรไป เราจะมาตกนรกทั้งเป็นที่เรายังไม่ตายไปทำไม ลูกหลานน่ะมันจะรวยจะจนก็ช่างหัวมัน มันจะมีปัญหาอะไรก็ช่างหัวมัน ตัวเราก็ยังเอาตัวเราไม่รอดอยู่แล้ว ไม่ต้องไปคิดอะไรให้มันเป็นทุกข์อีก ร่างกายของเรามันจะเจ็บก็ช่างมัน มันจะแก่ก็ช่างมัน มันจะตายก็ช่างมัน ใครเค้าจะว่า เราดีเราชั่ว ว่าจะจนหรือรวยก็ช่างมันน่ะ ต้องมาฝึกปล่อย ไม่ต้องรู้มาก...ไม่ต้องคิดมาก...กลับมามีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ ท่องพุทโธๆ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เราแก่...เราต้องยอมรับในความแก่ของเรา เราเจ็บ เราก็ต้องยอมรับในความเจ็บของเรา เราตายก็ต้องยอมรับ ในความตายของเรา เราอยากไม่ให้แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เราก็ต้องตกนรกทั้งเป็น พระพุทธเจ้าท่านว่า... "เราไม่รู้จักธรรม" ตั้งแต่ก่อนนะเราเป็นเด็กทำมาหากิน เราแข็งแรง เราเอาความสุขทางร่างกาย เอาความสุขในการเล่นการเที่ยวได้น่ะ
แต่นี้เราต้องตัดให้หมดเรื่องภายนอกน่ะ เพราะสุขอันไหนก็สู้ เรากลับมาหาความสงบไม่ได้...ไม่มี...เราถือว่าผลไม้มันกำลังสุกงอมแล้ว ถือว่าร่างกายของทุกคนมันแก่เฒ่าแก่ชราแล้ว สิ่งที่ดีที่สุด ก็คือ เรามาเจริญสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ อบรมบ่มอินทรีย์ สมองเรามันจำอะไรไม่ได้...ก็ช่างหัวมันน่ะ เพราะสัญญาทั้งหลายทั้งปวงมันไม่เที่ยง...มันไม่ใช่ตัวใช่ตน พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ให้ดับทุกข์ทางจิตทางใจในปัจจุบันให้มันได้
เรานี้อย่าไปคิดว่าตัวเองมันจะแข็งแรง คิดว่าตัวเอง มันจะหนุ่มขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งแก่ ยิ่งเฒ่า ยิ่งหง่อมแล้ว อย่าไปแก้มันร่างกายน่ะ ต้องมาแก้ที่จิตที่ใจของเราน่ะ "คนเราน่ะถ้าจิตใจมันสงบโรคภัยมันก็สงบ ถ้าจิตใจไม่สงบ โรคภัยมันก็กำเริบ" คนเราน่ะกายของเรามันแก่ มันเจ็บ มันตาย ถ้าเราเอาความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทางร่างกายมาพัฒนาจิตใจของตัวเองเพื่อสร้างพระนิพพาน ให้เกิดขึ้นที่จิตที่ใจว่า เราตามความอยาก ตามความต้องการ ตามอารมณ์ไปไม่ได้ มันทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด เราสงสารตัวเอง เราสลดสังเวชตัวเองที่ตัวเองเวียนว่ายตายเกิดน่ะ เราจะมารับจ้างเสพสุขเสพสบายในรูป เสียง กลิ่น รส แล้วทำ ให้เราเวียนว่ายตายเกิดน่ะ มันเป็นสิ่งที่สมเพชเวทนาตัวเอง
ที่มันออกไปข้างนอกเยอะๆ น่ะ มันทำให้เราผิดศีลผิดธรรม ทำให้ทำร้ายคนอื่น ทำให้เราเป็นคนไม่มีศีล ไม่มีธรรมน่ะ ตั้งแต่นี้ต่อไปน่ะเราจะเอาพระพุทธเจ้า เอาพระธรรม เอาพระอริยสงฆ์เป็นที่ตั้ง จะไม่เอากิเลส เอาความอยากความต้องการเป็นที่ตั้งแล้ว อดเอาทนเอาเพราะสร้างความดีสร้างบารมี
ญาติโยม... พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า... เราพากันมาอยู่วัดมาอบรมบ่มอินทรีย์ เจริญสติสัมปชัญญะ พยายามอยู่กับเนื้อกับตัว อย่าพากันไปพูดกันมาก อย่าพากันคลุกคลีนะ เรื่องพูดเรื่องคุยน่ะมันไม่จบ เรื่องลูกเรื่องหลาน เรื่องอะไรต่างๆ นั้นมันไม่จบน่ะ ต้องกลับมาทบทวนตัวเอง ว่าตัวเองมันบกพร่องตรงไหน ต้องสมาทานแล้วจะได้ปรับปรุง เราจะได้เป็นแบบเป็นพิมพ์ให้ลูกให้หลาน ลูกหลานเค้าจะได้มีความสุข...ว่าพ่อแม่เค้ามีศีลมีธรรม...สงบเย็น พ่อแม่เค้าเดี๋ยวนี้ใจดีมาก ใจเย็นมาก มีหัวใจติดแอร์คอนดิชั่นแล้ว ไม่หลงเรื่องร่ำเรื่องรวย เรื่องไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี้แล้ว
เพราะคนเราถ้าใจมันสงบ มันก็ไม่สนใจอย่างอื่นหรอก... เพราะความสุขความดับทุกข์มันอยู่ที่ 'ใจสงบ' บางทีคนเรามันคิดนะ เดี๋ยวมันแก่เกินมันจะไปเที่ยวเมืองนอกไม่ได้ อันนี้แสดงว่า เราไม่รู้จักเรื่องพระนิพพาน เรารู้จักแต่ความสุขทางภายนอก ถือว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่ เป็นคนมืดอยู่ เป็นคนไม่สว่างไสวอยู่นะ
เราอย่าไปหาสวรรค์ไกล...นิพพานไกล... บางทีก็ไปแสวงหาบุญโน้น ประเทศอินเดียโน้น สวรรค์นิพพานมันอยู่กับเราชีวิตปัจจุบันน่ะ ถ้าใจของเรามันมีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์นะ