แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๖๘ ศาสนาเสื่อมเพราะพุทธบริษัทไปตามธรรมวินัย จึงต้องมาแก้ไขตนเองให้ถูกต้อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ในวันนี้เป็นงาน “สังฆสันนิบาตท้ายพรรษา ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕” จังหวัดนครราชสีมาทั้งมหานิกายและธรรมยุติ โดยมี พระเดชพระคุณพระเทพรัตนดิลก ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา พระเดชพระคุณพระราชวชิราลังการ เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ธรรมยุต ท่านเจ้าคุณพระอุดมธีรคุณ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดสุทธจินดาวรวิหาร ได้เมตตาถวายความอำนวยสะดวกในการจัดงานในครั้งนี้ พร้อมด้วยเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาส เจ้าคณะพระสังฆาธิการของจังหวัดนครราชสีมา ทั้ง ๒ นิกาย ได้ร่วมรวมกันสมัครสมานสามัคคีประชุมสังฆสันนิบาตท้ายพรรษา เพื่อจะได้แก้ไขปัญหา ธรรมะวินัย ภายในจังหวัดนครราชสีมา คณะสงฆ์จังหวัดนครราชสีมา นับว่ามีความสมัครสมานสามัคคีระหว่างทั้ง ๒ นิกายมาอย่างดีกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ในครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เสด็จพระราชดำเนินมายังวัดสุทธจินดา ก็ทรงยกย่องคณะสงฆ์จังหวัดนครราชสีมาว่ามีสมัครสมานสามัคคีกันดี ทั้งฝ่ายมหานิกาย ฝ่ายธรรมยุติ การประชุมวันนี้ พระเดชพระคุณพระเทพสีมาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดท่านไม่ได้มา เเต่หลวงพ่อกัณหาก็ได้บอกว่า ให้พระมาเยอะๆ กันหน่อย เพราะความสมัครสมานสามัคคีนี้เป็นเรื่องสำคัญ ต้องเห็นความสำคัญในความสมัครสมานสามัคคี
เพราะการพัฒนาต้องพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน เพราะต้องไปพร้อมๆ กัน ทางการบริหารบ้านเมืองก็ได้พัฒนาไปตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ ก้าวไปไกลถึงดวงดาว ดวงจันทร์ ทางด้านจิตใจนี้ไม่ค่อยได้รับการพัฒนา ทำให้ความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์นี้ ก็เป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระพุทธบารมีมาหลายล้านชาติ จนบารมีสมบูรณ์ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้มาบอกมาสอนให้มนุษย์เราต้องพัฒนาใจ พร้อมกับพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน ความสมัครสมานสามัคคี คือ ที่มีศีลเสมอกัน ที่มีสมาธิเสมอกัน ที่มีปัญญาเสมอกัน การพัฒนาจิตใจถึงจะเป็นสิ่งที่จะเป็นไปได้
ผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ได้ว่า เราจะเป็นใครมาจากไหน จะเป็นคนจน คนรวย เป็นแขก เป็นไทย เป็นฝรั่งก็ได้ เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นพ่อค้า เป็นประชาชน เป็นจัณฑาล พระพุทธเจ้าไม่ว่า เพราะธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้ดีแล้วนี้ จะนำทุกท่านทุกคนเข้าสู่มรรค สู่ผล สู่พระนิพพาน เหมือนกันหมดทุกๆ คน ความสมัครสมานสามัคคีนี้ถึงเป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก พระพุทธเจ้าจะเผยแผ่ธรรมะอันประเสริฐแต่ลำพังพระองค์เดียวก็ไม่ได้ ต้องอาศัยสงฆ์สาวก พุทธบริษัท ๔
ประเทศไทยเรานะ มีนิกายสองนิกาย มีมหานิกาย มีธรรมยุติกนิกาย เราสองนิกายนี้จะมาทะเลาะกันไม่ได้ มาแตกแยกกันไม่ได้ สองนิกายนี้ต้องรักกัน ไม่มีสิทธิ์ที่จะแตกแยกให้เป็นสังฆเภทๆ เป็นอนันตริยกรรม เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นคือพระธรรม คือพระวินัย คืออริยมรรคมีองค์ ๘ คือมรรคผลพระนิพพาน พระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ธรรมยุตเลย ไม่ใช่มหานิกายเลย คือธรรมะวินัย ศาสนานี้คือพระธรรม คือพระวินัย ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีแตกแยก เมื่อครั้งที่สงฆ์แตกแยกกันในคราวที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ พระพุทธเจ้าก็ทรงห้ามไม่ให้เอาดี เอาชั่ว เอาผิด เอาถูก ให้เอาความสมัคร ความสมาน ความสามัคคีเป็นหลัก คณะสงฆ์ในประเทศไทยเรามีความแตกแยกกันมากว่า ๑๕๐ ปี ก็เพราะการแบ่งแยกนิกาย อันนี้เป็นสิ่งที่เสียหาย ส่วนหนึ่งมหานิกาย ส่วนนึงก็เรียกตัวเองธรรมยุต ทำอย่างนั้นถือว่าผิดพลาด ใหม่ๆ มันก็เคร่งหรอก พอนานๆ ไปความเคร่งครัดในธรรมวินัยก็ค่อยๆ หายไปด้วย
ความผิดพลาดแต่ละประเทศก็มาจากการแตกแยกออกเป็นหลายนิกาย ทั้งเถรวาท หินยาน มหายาน วัชรยาน ก็ยังแตกออกไปหลายนิกาย ทั้งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้แตกแยก ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีคำว่าแตกแยก เป็นพระมหากรุณา เป็นความเมตตา ใหม่ๆ ก็ดูเหมือนจะดี พอนานๆไปก็ไม่เห็นความแตกต่าง ธรรมยุตมันก็เป็นเฉพาะบุคคล มหานิกายก็เป็นเฉพาะบุคคล ให้พระภิกษุ ให้ประชาชนเข้าใจเรื่องความแตกแยก เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง เราจะไปพระนิพพานได้ยังไง เมื่อเรามีความแตกแยก ความแตกแยกมักจะมีผลประโยชน์มาแอบแฝง พูดเอาดีใส่ตัวเอง พูดเอาชั่วให้คนอื่น ความแตกแยกก็เกิดขึ้นแล้ว มันตกอยู่ในอคติทั้ง ๔ เลย ที่นี่ก็เลยยุ่งไปใหญ่ แบ่งแยกชัดเจน การแยกนิกายของพระสงฆ์เถรวาทในประเทศไทย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระวชิรญาณเถระ (เจ้าฟ้ามงกุฏ : พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้ามงกุฏ) ขณะที่ผนวชอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรีได้ทรงศรัทธาเลื่อมใสในจริยาวัตรของพระมอญ ชื่อ ซาย ฉายา พุทฺธวํโส จึงได้ทรงอุปสมบทใหม่ในวงศ์พระสงฆ์มอญ (รามัญนิกาย) เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๒ และได้ทรงตั้ง คณะธรรมยุต ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ แล้วเสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และตั้งเป็นศูนย์กลางของคณะธรรมยุตสืบต่อมา และใน พ.ศ. ๒๔๔๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการ ให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย พระราชบัญญัติฉบับนี้มีชื่อว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ รศ.๑๒๑” มีสาระสำคัญคือ ได้ยกสถานะคณะธรรมยุต ให้เป็นนิกายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ทำให้มีการแบ่งแยกเรียกนิกายของคณะสงฆ์ใหม่ ตามศัพท์บัญญัติของพระวชิรญาณเถระ ว่า "ธรรมยุติกนิกาย" และเรียกกลุ่มพระสงฆ์เถรวาทลังกาวงศ์พื้นเมืองที่มีมาอยู่แต่เดิมว่า "มหานิกาย" สืบมาจนปัจจุบันนี้
ครูบาอาจารย์ที่ท่านมากรรมฐานที่นครราชสีมา เพราะท่านเห็นเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทระหว่างธรรมยุติกับมหานิกาย ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ ที่ไปญัตติเป็นธรรมยุติ ประเทศไทยก็เริ่มทะเลาะกันมาจากนั้น ทั้งจังหวัดอุบล ทั้งจังหวัดภาคอีสาน ธรรมยุติกับมหานิกายทะเลาะกันมาก วัดบ้านวัดป่า รับนิมนต์ก็ไม่ร่วมกัน ทั่วไป ทั่วประเทศ ถ้าไปพิธีร่วมก็แกล้งกัน รู้อยู่แล้ววัดนี้สวดบทนี้ไม่ได้ ใครได้เป็นหัวหน้า ก็เอาบทที่วัดนั้นไม่ได้ เอามาสวดให้วัดหนึ่งเป่าแคน เค้าเป่าแคน การแตกแยกนี้ไม่ใช่แตกแยกเพราะธรรมยุตมหานิกาย แต่เป็นการแตกแยกระหว่างผู้ปฏิบัติธรรมเคร่งครัด กับผู้ปฏิบัติธรรมย่อหย่อน รังเกียจกันเลย พวกที่ไปเผยแผ่เมืองนอกก็เข้ากันไม่ได้ ทั้งที่ไปไม่กี่รูป ไม่กี่องค์ เพราะว่าปฏิปทาไม่เหมือนกัน
ความเเตกเเยกที่จริงก็มาจากที่เดียวกันคือมาจากเถรวาทเหมือนกัน เพียงเเต่มาปรับปรุงให้เคร่งครัดขึ้น มาเป็นธรรมยุติ เมื่อหลายปีก่อนที่ภาคอีสาน จังหวัดอุบลราชธานีก็รุนเเรง อำนาจเจริญ ยโสธร เข้ากันไม่ได้ ไม่ลงอุโบสถร่วมกัน ไม่รับกิจนิมนต์ร่วมกัน แม้กระทั่งการบรรพชาอุปสมบท ก็เถียงกัน ว่าสวดไม่ถูกต้องตามอักขระ สวดไม่ถูกตัวมคธ มันเป็นพระไม่ได้ มันจะไปสำคัญอะไรที่ว่าถูกไม่ถูก เพราะอันนี้มันไม่ใช่เรื่องการหมดกิเลสสิ้นอาสวะ ฝรั่งก็พูดอย่างนึง ไทยก็พูดอย่างนึง ลาวก็พูดอย่างนึง เขมรก็พูดอย่างนึง ยกตัวอย่าง พระพี่ชายบวชมหานิกาย พระน้องชายบวชธรรมยุต พ่อแม่ตายไปจัดงาน ก็ฉันข้าวด้วยกันไม่ได้ ต้องอาบัติ ไปว่าๆ ท่านไม่ได้เป็นพระ เป็นแค่เณร มาจับส่วนของผมไม่ได้เพราะตอนบวชคู่สวดผิดอักขระมคธ
อย่างตอนงานพระราชทานเพลิงหลวงปู่เทศน์ ก็ยังมีปัญหา เพราะเขาจัดโต๊ะอาหารไว้ สาม สี่ โต๊ะ กำหนดแถวนึงเป็นของมหานิกาย อีกแถวนึงเป็นของธรรมยุต พอพระมหานิกายมาดูอาหารของพระธรรมยุต ไม่ดูอย่างเดียวมาจับด้วยว่า ทำไมมีแต่ของดีๆ พอพระธรรมยุตเห็นก็ไปห้ามบอกว่าจับไม่ได้ จับแล้วต้องประเคนใหม่ เลยชุลมุน จะชกกัน การทะเลาะวิวาท เกือบจะวางมวยกัน
ทำไมวัดบ้านวัดป่าถึงตีกันเพราะว่า วัดป่าได้ฝึกฝนมาจากครูบาอาจารย์ที่เข้มข้น มันก็เคร่ง วัดบ้านไม่ได้ฝึก ไม่ได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าจะไปเยี่ยมพระวัดบ้าน เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด ไปติดเอาเชื้อมา เพราะว่านักปกครองอะไรต่างๆ ก็มีโทรทัศน์ ก็เท่ากับว่าไปกราบท่าน เพื่อจะไปดูโทรทัศน์ ไปเห็นสังฆทานที่เก่าๆ รูปไหนที่ตระหนี่ก็เก็บไว้จนเสียหมด เพราะมีความรังเกียจกัน ระหว่างวัดบ้านวัดป่า ถ้าไปสมาคมคลุกคลี เราก็รู้อยู่แล้วว่า พระธรรม พระวินัยของมรรคผลนิพพานนี้มันเสียหาย ความมั่นคงมันเสียหายของประเทศ
เพราะครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสายกรรมฐานส่วนใหญ่ก็จะเป็นธรรมยุต บางทีผู้ที่ไปศึกษาก็มีมหานิกาย มันต้องแยกฉันกัน คนละแถวกัน แต่ก็มีครูบาอาจารย์หลายท่านให้นั่งตามพรรษา แต่ก็ถูกติเตียน ทำไมต้องจัดเป็นคนละแถว แยกมหานิกาย ธรรมยุต มาบาดหมางกัน ก็ทำให้งานก็ไม่เป็นมงคล บางทีพระมหานิกายต้องไปฉันจากข้างนอกก่อนแล้วค่อยเข้ามาในงาน อย่างนี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธต้องเอาธรรมวินัย ไม่ใช่เอาแต่ทะเลาะวิวาทกัน พระพุทธเจ้าทรงเอาเรื่องสมัครสมานสามัคคีมากกว่า ดังในบทสรุปของพระภิกขุปาฏิโมกข์ที่ว่า “เอตตะกันตัสสะ ภะคะวะโต สุตตาคะตัง สุตตะปะริยาปันนัง อัน๎วัฑฒะมาสัง อุทเทสัง อาคัจฉะติ. ตัตถะ สัพเพเหวะ สะมัคเคหิ สัมโมทะมาเนหิ อะวิวะทะมาเนหิ สิกขิตัพพันติ. คำเท่านี้ ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น นับเนื่องในสูตรแล้ว มาในสูตรแล้ว ย่อมมาสู่อุทเทส ทุกๆ กึ่งเดือน. อันภิกษุทั้งหลายทั้งปวง นั่นแล พึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน เป็นผู้ชื่นชมด้วยดีอยู่ เป็นผู้ไม่วิวาทอยู่ ศึกษาในพระปาฏิโมกข์นั้นดังนี้.”
การประชุมนี้พระพุทธเจ้าถึงให้พระภิกษุสามเณรพากันมาแก้ เดือนหนึ่งให้ประชุมกันสองครั้ง ต้นเดือน กลางเดือน อยู่ที่วัดก็ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น บิณฑบาต อยู่ในวัดก็สมัครสมานสามัคคีกัน พากันไปทำความดี
ก็ให้เข้าใจความหมายที่มาประชุมกันว่าเราทุกคนต้องมาเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระธรรม พระวินัยเป็นหลัก ไม่ทำตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึก เพราะว่าศาสนาไม่ใช่นิติบุคคล ศาสนาก็คือธรรมวินัย วิทยาศาสตร์เจริญ แต่ทางศาสนาก็ตกต่ำ เพราะเราไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ที่ ๕๐ กว่าปีที่ผ่านมา ดูๆ แล้วคณะสงฆ์นี้ไปประชุมกันทุกหนทุกแห่ง แต่ไม่มีเรื่องที่จะแก้ไขตัวเองเลย จะพูดแต่เรื่องศาสนาคริสต์จะมากลืน จะพูดเรื่องอิสลามมากลืน พูดแต่นารีพิฆาต แล้วก็ไปว่าให้แต่คนอื่น ไม่ได้กลับมาหาตัวเองเลย ไม่ได้ถามตัวเอง ไม่ได้ถามหมู่ ถามคณะเลยว่า ที่วัดสะอาดดีมั้ย ทำวัตรเช้า-เย็นมั้ย มีการเรียนการศึกษามั้ย ไม่ว่าเลย จะพูดถามว่า เป็นไงศาลาสร้างหรือยัง โบสถ์สร้างหรือยัง ไม่ได้ทำศาสนกิจที่เป็นมรรคผลเป็นพระนิพพานเลย เป็นนักเดินเอกสารเฉยๆ อันนี้มันเป็นความล้มเหลว มีการเรียนการศึกษาแต่ไม่มีการปฏิบัติเลย เดี๋ยวนี้ก็ตกต่ำไปเรื่อย เดี๋ยวนี้ก็มีพากันไปขับรถ ขับเรือ แล้วก็ทิ้งพระวินัยเรื่องสะสมอาหาร พวกหัวสมัยใหม่ก็ขายสังฆทานกัน แล้วก็ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติ คิดเอาว่า มรรคผลนิพพานมันหมดสมัย มันก็แน่นอน เพราะว่าไม่ได้ทำตามพระพุทธเจ้า ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึก พระผู้เฒ่าก็พากันแก่แล้ว ก็ไม่ถือเรื่องผู้หญิง เพราะว่ามันเเก่เเล้ว พระเด็กๆ ก็ทำตาม มันเสียหาย มันต้องรู้จักอันไหนพรหมจรรย์ อันไหนต้นพรหมจรรย์ เป็นพระก็อยากร่ำอยากรวยอยากจะถูกหวยมาบวช มาทำธุรกิจ ใจของเราเมื่อไม่ได้ทำศาสนกิจที่ถูกต้อง มันก็ทำเพราะเราไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง ว่าเราต้องทำอย่างไงๆ ทีนี้ละก็มันก็มีแต่แบรนด์เนมของพระพุทธเจ้าด้วยการปลงผมห่มผ้าเหลือง แล้วก็มีแต่โบสถ์ มีแต่ศาลา มีแต่วิหาร มีแต่พระใหญ่ เจดีย์ใหญ่ อันนี้มันเป็นเพียงศาสนวัตถุทางศาสนา แต่ว่าไม่ใช่ตัวศาสนา นี้เป็นความผิดพลาดนะ
คติการสร้างสิ่งใหญ่โต ให้สังเกตว่าเมื่อมีการสร้างสิ่งใหญ่โต มากๆ ไม่ช้าศาสนามักจะค่อยๆ เสื่อม บางทีพระอาจจะมัววุ่นวายหรือเพลินกับงานพวกนี้ จนลืมทำหน้าที่หลักของตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณารายละเอียดว่าเป็นเพราะเรื่องอะไร แต่อย่างน้อยข้อพิจารณาสำคัญ คือจะต้องแยกว่าเป็นการก่อสร้างเพื่อใช้งานที่ยิ่งใหญ่ หรือเป็นการสร้างเพียงเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่
จะอย่างไรก็ตาม ในการสร้างสิ่งใหญ่โตจะต้องคำนึงถึงเสมอว่า จะต้องมีคนไว้ใช้สิ่งก่อสร้างนั้น เอาไว้รักษาบ้าง เอาไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์บ้าง เพราะสร้างขึ้นมาทำไม ถ้าไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ทีนี้คนที่จะใช้ก็ต้องเป็นคนที่มีธรรม เป็นผู้ปฏิบัติตามธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่โตก็ต้องสร้างคนไปด้วย สร้างคนดีที่จะมาใช้รักษาสิ่งที่สร้างนั้น การลืมสร้างคนนี้ เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมโทรมลงไป
คณะสงฆ์บางกลุ่มพูดว่า ขับรถในวัดมันควรจะได้ เพราะว่ามันอยู่ในวัด ไม่ได้ออกนอกวัด มันไปคิดอย่างนั้นไม่ได้ เหมือนการกินเหล้า อยู่ที่วัดพระมันก็เมา โยมก็เมา กินที่บ้านมันก็เมา การทำความผิด มันก็ผิดหมด เพราะว่ามันผิด ผู้ที่มีความคิดเห็นอย่างนั้น ถือว่ายังไม่ถูกต้อง ยังไม่เป็นธรรม เป็นความยุติธรรม เหมือนผู้เลี่ยงบาลี ที่พระพุทธเจ้าต้องบัญญัติพระวินัยตรงโน่นตรงนี้ ก็เพราะพวก “เลี่ยงบาลี” คำว่า “เลี่ยงบาลี” คือ “พระบาลี” หรือพระธรรมวินัยที่ชาวพุทธนับถือปฏิบัติสืบกันมา ในส่วนที่เป็นพระวินัยอันภิกษุสงฆ์จะต้องปฏิบัติตาม ภิกษุบางรูปที่ไม่มีความละอาย หาทาง “เลี่ยง” คือไม่ละเมิดตรงๆ แต่ใช้เลศทางอ้อมทำให้เห็นว่าไม่ผิด หรือแม้ทำผิดจริงก็หาทางแก้ตัวไปต่างๆ ว่าที่ทำเช่นนั้นไม่ผิด
ผู้ที่เลี่ยงบาลีเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาน่าจะได้แก่ พระชาวเมืองไพศาลีรูปหนึ่ง ซึ่งทราบดีอยู่ว่า มีพระบัญญัติห้ามมิให้พระภิกษุเสพเมถุน คือมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง พระรูปนั้นตีความแบบทนายว่า "แสดงว่ามีกับอย่างอื่นที่ไม่ใช่ผู้หญิงได้" จึงจับเอาลิงตัวเมียตัวหนึ่งมาเลี้ยงให้เชื่อง แล้วก็กระทำชำเราด้วยนางลิงนั้น จนมีพระรูปอื่นไปพบเข้า เมื่อสอบถาม พระไพศาลีรูปนั้นก็อ้างว่า "ข้าพเจ้าไม่ผิด เพราะไม่ได้นอนกับผู้หญิง แต่นี่เป็นเพียงลิงเท่านั้น พระพุทธเจ้ามิได้ห้ามไว้ ไม่มีในพระบัญญัติข้อไหนเลย ท้าให้เปิดตำราดูได้" นั่นจึงเป็นสาเหตุให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทหรือศีลเพิ่มเติมเพื่อกันคนหัวหมอ เพราะรู้สึกว่าต่อๆ มาก็มีคนเช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ภิกษุประสงค์จะดื่มสุรา เอาสุราใส่ในเภสัชบางชนิดที่เข้าสุราเป็นกระสาย แต่ใส่มากกว่าปกติ เมื่อฉันเภสัชนั้นก็อ้างว่าตนฉันเภสัช ไม่ได้ฉันสุรา
- อย่างนี้แหละคือ “เลี่ยงบาลี” คือ หาวิธีทำผิดโดยไม่ให้จับได้ว่าผิดตรงๆ หรือทำผิดแล้วหาข้อแก้ตัวเพื่อให้เห็นว่าไม่ผิด : เลี่ยงบาลีได้ : แต่เลี่ยงนรกไม่ได้
พวกเราได้มีการเรียนการศึกษาจน ป.ธ.๙ จนเป็น ดร. ความรู้ความเข้าใจก็เข้าใจ เราก็พิจารณาตามหลักเหตุ หลักผลแล้ว ความล่มจม ความเสียหายของประเทศของเรานี้ คือความแตกแยก ของคณะรัฐบาล ของนักการเมือง ของข้าราชการ ตลอดถึงคณะสงฆ์ นี้ถือว่าเป็นความเสียหาย การที่เรามาประชุมสังฆสันนิบาตกันนี้ถูกแล้ว ที่เราทุกคนจะได้มาหยุดสังฆเภทซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะเราทุกคนได้มายืนอยู่ในตำแหน่งที่เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า นี้ก็ถือว่าจังหวัดนครราชสีมาของเราเป็นมงคล ทุกท่านทุกคนก็ต้องกลับไปแก้ไขที่ใจของตัวเอง ให้มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง แล้วจะได้ปฏิบัติถูกต้อง
ทุกๆ ท่านทุกคนต้องสละเสียซึ่งตัวตน เอาพระธรรม เอาพระวินัย ไม่เอาใจตัวเอง ไม่เอาอารมณ์ตัวเอง ไม่เอาความรู้สึก เรียกว่าพระศาสนา ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะ ศาสนาของเรานี้จะอยู่ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ได้เป็นศาสนา มันเป็นนิติบุคคล เป็นตัว เป็นตน เพราะเราทุกคนได้พากันถือแบรนด์เนมของพระพุทธเจ้า ทุกคนพากันปลงผม และก็พากันใส่ผ้าจีวร อย่างนี้เรียกว่าแบรนด์เนม เมื่อเราสมาทานว่าจะเดินตามพระพุทธเจ้า ทุกท่านทุกคนก็ต้องสละเสียซึ่งตัวซึ่งตน ไม่มีตัวไม่มีตน ถ้าสำคัญตนว่าดีกว่าเค้าก็ไม่ใช่ สำคัญว่าเสมอเค้าก็ไม่ใช่ สำคัญว่าต่ำกว่าเค้าก็ไม่ใช่ เพราะอันนี้มันเป็นทิฏฐิ มันเป็นมานะ เพราะความรู้กับการปฏิบัติมันต้องไปพร้อมๆ กัน ประเทศไทยเรากับพระศาสนานี้คู่กันมา ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ศีลกับสมาธิกับปัญญาก็คู่กับพระศาสนา
หลักการหลักเกณฑ์ของเราก็คือ เราสละเสียซึ่งตัว ซึ่งตน มีความสุขในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เพราะเราต้องเข้าสู่ระบบ เข้าสู่ไลน์ หรือว่าเข้าสู่ธรรมวินัย หยุดถือนิสัยของตัวเอง ทุกท่านทุกคนต้องพากันถือนิสัยของพระพุทธเจ้า การเรียนการศึกษานี้ถึงต้องคู่กับการปลงผม การนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ต้องมีกับเราทุกคนในปัจจุบัน ถ้าเราไม่ปฏิบัติปัจจุบัน 100% อย่างนี้ก็ถือว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติ อดีตก็ไม่ได้ อนาคตก็ไม่ได้ มันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน
เราอย่าไปว่าสมัยทุกวันนี้มันทำไม่ได้ เราปฏิบัติไม่ได้แล้ว มันไม่เหมือนครั้งพระพุทธกาล อันนี้มันเป็นความคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ธรรมะน่ะ ยิ่งพัฒนาวิทยาศาสตร์ ให้ความสะดวกความสบาย ก็ยิ่งพัฒนาทางจิตทางใจไปพร้อมๆ กัน เพราะความสุขของมนุษย์มันก็ต้องพัฒนาตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ ด้วยความสุข และเราก็ไม่ติดในความสุขที่เราได้รับ ในความเป็นมนุษย์รวย ที่ใจของเราได้รับผลประโยชน์เป็นอารมณ์ระดับเทวดา ระดับอะไรแค่นี้ เพราะเราเป็นผู้มีปัญญา ตั้งอยู่ในสติปัญญา เรื่องความรู้เรื่องวิปัสสนา ว่าเราทุกคนต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ บริโภคทุกๆ อย่างด้วยปัญญา ทุกอย่างนั้นก็ย่อมมีแต่คุณ เพราะวิทยาศาสตร์ทำถูกต้องแล้ว ถ้าใจของเราพัฒนาอย่างนี้ ใจของเราก็จะมีปัญญา
พระพุทธเจ้าถึงไม่ได้แบ่ง พระวัดป่า วัดบ้าน พระวัดป่าก็ปฏิบัติได้พอๆ กัน พระวัดบ้านก็ปฏิบัติได้พอๆ กัน มันอยู่ที่มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน ถ้าอย่างนั้นไม่ได้ เหมือนที่เราเข้าใจอย่างนี้ เราพากันไปเรียนนักธรรม ตรี โท เอก หรือเรียนถึง ป.ธ.๙ เราคิดว่าเรียนจบก่อนถึงจะปฏิบัติ อย่างนี้มันไม่ใช่ อันนี้เป็นความล้มเหลวของคณะสงฆ์ในประเทศไทยของเรา หรือจะทำอย่างนี้หลายๆ ประเทศก็ล้มเหลว พระพุทธเจ้าให้เราเรียนศึกษาปริยัติที่เป็นคันถธุระ แล้วก็ครูบาอาจารย์ที่เป็นพหูสูตร เป็นผู้ปฏิบัติก็อธิบายให้เราฟังอีก แล้วเราก็ยังเรียนรู้อยู่ในชีวิตประจำวันในปัจจุบัน เพราะเรามีตาก็เพื่อฉลาด มีหูก็เพื่อฉลาด มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจก็เพื่อฉลาด เพราะสิ่งเหล่านี้แหละ มาให้เราเรียน มาศึกษา เราจะได้รู้จักอนิจจัง เราจะได้รู้จักความทุกข์ เราจะได้รู้จักอนัตตา สิ่งที่ใจของเราจะได้พัฒนา ถึงไม่มีการแบ่งแยกวัดบ้าน วัดป่า เพราะความเป็นพระ คือ ไม่ใช่เป็นคนปลงผม ไม่ใช่คนห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ความเป็นพระ ท่านนับเอาตั้งแต่พระโสดาบัน จนไปถึงพระอรหันต์
พวกเรานี่ ถ้าไม่ตามธรรม ไม่ตามวินัย ไม่ตามอริยมรรคมีองค์ ๘ พวกเราก็เป็นได้แต่เพียงภิกษุ สามเณร ถ้าไม่ตามธรรม ไม่ตามวินัย เอาตามใจ ตามอารมณ์ เอาตามความรู้สึก เราจะตกสภาพจากพระภิกษุ สามเณร กลายเป็นโจร เป็นมหาโจร โดยที่เราพากันหลงประเด็น เราไม่ได้พากันประพฤติ พากันปฏิบัติในปัจจุบัน
อย่างพระภิกษุที่ว่าถือศีล ๒๒๗ ถ้ารักษาไม่ได้ แบบนี้ก็เรียกว่าเป็นคนโกหก โกหกคนทั้งโลก โกหกพระพุทธเจ้า พระถ้าไม่ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ ข้อที่ ๔ คือมุสาวาทยังผ่านไม่ได้ ไม่ใช่พระก็อ้างเป็นพระ ไม่ใช่สมณะก็อ้างตนว่าเป็นสมณะ เหมือนลาที่เดินตามฝูงโคไปนั้น สีของมัน เสียงของมัน เท้าของมัน ไม่เหมือนของโคเลย แต่มันก็ร้องอยู่ว่า “กูก็เป็นโค กูก็เป็นโค” เปรียบเหมือนภิกษุบางรูปที่เดินตามหลังหมู่ภิกษุ แล้วร้องประกาศว่า ข้าก็เป็นภิกษุ ข้าก็เป็นภิกษุ แต่ความประพฤติสีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขาของภิกษุรูปนั้น ไม่เหมือนของหมู่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปนั้นได้แต่เดินตามหลังหมู่ภิกษุแล้วร้องประกาศว่า “ข้าก็เป็นภิกษุ ข้าก็เป็นภิกษุ” เพราะยังมีความย่อหย่อนอ่อนแออยู่ ยังเป็นคนไม่กตัญญูกตเวที แบบนี้เขาเรียกว่า สร้างความเสียหายให้ตัวเอง ให้ศาสนา ให้ประเทศชาติ ขนาดตัวเองยังสั่งสอนไม่ได้ จะไปสอนประชาชนได้ยังไง อย่างภิกษุแม้แต่ศีล ๕ ก็ยังรักษาไม่ได้ โดยเฉพาะศีลข้อ ๔ ที่รักษาไม่ได้ ถึงต้องไปหลอกลวงขายเครื่องรางของขลัง ขายคาถาอาคม หมอดูหมอเดา มันก็เป็นพุทธพาณิชย์ไป
การปฏิบัตินี้ก็มันยังไม่ถูกหลัก เพราะว่ามันจะไปแก้คนอื่นไปแก้ภายนอก มันต้องแก้ที่ใจตัวเอง แก้ที่ใจตัวเอง อย่างนี้แหละ การมักน้อยสันโดษก็เพื่อจะแก้ตนเอง การที่มีความสุขในการทำงานที่ไม่เป็นบาป ไม่เป็นกรรม ก็เพื่อจะแก้ตนเอง ทำทุกอย่างเพื่อจะแก้ตนเอง เราไปแก้คนอื่นมันบาป พระวินัยเราก็มีว่า “โลกวัชชะ” คือเราไม่แก้ตัวเอง มันเลยเป็นโลกวัชชะ ชาวโลกชาวบ้านเขาติเตียน ทุกวันนี้พระภิกษุสามเณรเรานี้ โลกติเตียนเยอะ เค้ายอมรับไม่ได้ เช่น พระพากันไปขับรถ ไปซื้อของในตลาด ไปยุ่งเกี่ยวกับนารี สีกา อะไรอย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่น่าเกลียด มันเป็นสิ่งที่ยอมทำผิด ทั้งที่รู้จักศาสนาดี ศาสนาเป็นของประเสริฐ เป็นของสูง แต่พวกที่ถือแบรนด์เนมพระพุทธเจ้านี้ก็ทำผิดระเบียบ ถ้าภิกษุสามเณรเราไม่แก้ไข มันจะเสียหายมากขึ้น
ด้วยเหตุผลนี้ เจ้าคณะจังหวัดทั้งสองท่าน เมื่อท่านมายืนในตำแหน่งนี้ ท่านก็ต้องการที่จะทำหน้าที่ของท่านเองให้ดี เพราะทุกคนรู้ว่าขยะนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี ขยะที่เราทานอาหารหรือว่าเราทานอาหารแล้ว เราถ่ายเป็นมูตร เป็นคูถ เป็นสิ่งที่ไม่ดี เมื่อเราทำไม่ถูกต้อง ชีวิตของพระภิกษุสามเณรก็เป็นขยะ เป็นขยะทั้งประเทศ ส่วนใหญ่เราพากันไปจัดการแต่ขยะภายนอก แต่ขยะที่แท้จริงมันก็คือตัว ตัวหลักก็คือศาสนา ขยะของศาสนา ถ้าเราไม่เอาศีลไม่เอาธรรม ไม่เอามรรคผลนิพพาน นี้แหละคือขยะที่แท้จริง ผู้ที่มีปัญญาเค้าจะมองเห็น พวกเรานี้เป็นเพียงขยะ เป็นเศษขยะ นักวิทยาศาสตร์เค้าจะยอมรับเราไม่ได้ เราจะพากันขายนรก ขายสวรรค์ เป็นคนหลอกลวงนักวิทยาศาสตร์นั้น มันไม่ได้ เหมือนที่ประกอบเดรัจฉานวิชา เดรัจฉานกถาทุกวันนี้ ที่ขายพระ ขายเหรียญ ขายเครื่องรางของขลัง เป็นหมอดู หมอเดา มีสถานีวิทยุเหมือนดอกเห็ด พากันขายบุญอย่างนี้ อันนี้มันเป็นความเน่าเฟะของศาสนา นักวิทยาศาสตร์ยอมรับไม่ได้ นี้เป็นความไม่รู้ของพวกเราที่พากันทำความผิดก็ยังไม่รู้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่แก้ได้ เพราะมันไม่ได้ไปแก้คนอื่น เจ้าคณะจังหวัดก็แก้เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอก็แก้เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบลก็แก้เจ้าตำบล เจ้าอาวาสก็แก้ที่เจ้าอาวาส พระทุกรูปก็แก้พระรูปนั้น เณรรูปนั้น มันไม่ได้ไปแก้คนอื่น แต่เราพากันหนักใจ เพราะเราจะไปแก้คนอื่น
ปีนี้เป็นปีแห่งความโชคดี ที่มีเห็นที่ถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง เพราะการพัฒนาโลกนี้ให้สู่พระนิพพาน หรือสู่สันติภาพ เค้าก็ต้องมีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ถ้าเราไปพัฒนาตั้งแต่เทคโนโลยี พัฒนาแต่ตัวเองที่จะทำเอาความสุข บนความทุกข์ของคนอื่น อย่างนี้มันไม่ใช่ ความสุขความดับทุกข์มันไม่เกี่ยวกับคนจน คนรวย มันอยู่กับชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มันอยู่กับมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน ชีวิตของเราก็จะเย็น เราต้องกลับมาเพราะมาแก้ไขเราทุกๆ คน เราทุกคนต้องไม่ ไม่ต้องไปโทษกัน เพราะว่ามันเป็นกระบวนการแห่งความไม่รู้ ทุกคนต้องมารักกัน มาเมตตากัน มาสงสารกัน เพราะเราเกิดมาก็คือ เป็นบุคคลคนเดียวกันน่ะ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นพี่เป็นน้องกัน มันไม่สามารถที่ทะเลาะวิวาทกันได้ ไม่สามารถที่จะเอารัดเอาเปรียบกันได้ แต่เพราะเอาวิชาความหลงแท้ๆ ที่ทำให้เราต้องเป็นอย่างนี้ๆ
เราต้องมาพัฒนาใจของเรา มาเสียสละ มาเรียนหนังสือให้เข้าใจ มาปฏิบัติให้เข้าใจ ทุกอย่างมันจะกลับดีขึ้น เพราะเราจะเคารพตัวเองได้ก็เพราะตัวเองมีศีล มีธรรม มีคุณธรรม คนอื่นจะเคารพเราได้ ก็เพราะเรามีศีล มีธรรม อย่างคนเค้าจะเคารพพ่อ เคารพแม่ ก็เพราะเค้ามีศีลมีธรรม ถ้าพ่อแม่ไม่มีศีล ไม่มีธรรม กินเหล้า เจ้าชู้ เล่นการพนัน อะไรอย่างนี้ สอนลูก ลูกมันไม่เคารพนับถือหรอก มันเพียงแต่สงสารพ่อสงสารแม่ว่า เลี้ยงเค้ามา ส่งเสียเค้าเรียนหนังสือ ให้มรดก ส่งเค้าเรียนนอกเฉยๆ เค้าสงสาร เราทุกคนต้องรู้จักขยะ เราทุกคนอย่าไปแบ่งแยกกันเลย อย่าไปแตกแยกกันเลย วัดบ้าน วัดป่า ธรรมยุต มหานิกาย มันไม่ใช่ ความสามัคคี มันเป็นสักกายะทิฏฐิ เป็นตัวเป็นตน
เราปฏิบัติวัดทุกวัดมันจะได้มีข้อวัตร ข้อปฏิบัติ วัดนั้นไม่ใช่โบสถ์ ไม่ใช่วิหาร ไม่ใช่เจดีย์ วัดเป็นข้อวัตรปฏิบัติที่ทุกคนปรับเข้าหาตัวเอง กลับมาหาพรหมจรรย์ วัดภายนอกจะได้สะอาดตาม วัดไหนก็มีแต่ความสกปรก วัดไหนก็มีแต่หญ้ารกไปหมด มีแต่ขี้นกพิราบ ห้องน้ำห้องสุขาก็สกปรก สั่งสมอะไรก็ไม่รู้ สังฆทานเต็มไปหมด ผู้ที่เป็นคนทำบุญตักบาตรเค้าก็ไม่ลงใจ ไม่วางใจ เค้าก็ไม่อยากจะมาตัดหญ้าเก็บขยะ ไม่อยากทำบุญตักบาตร ที่เค้าจำใจใส่ ก็เพราะว่าพระไปบอกว่าต้องสร้างบารมี เกิดชาติหน้าจะได้เป็นคนรวย ได้ตักบาตรให้พ่อให้แม่ เค้าไม่ได้เกิดศรัทธา จากการที่เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เหมือนประชาชนเค้าไม่อยากเสียภาษีเพราะว่าข้าราชการก็โกงกิน นักการเมืองก็โกงกิน ถ้าพวกนี้ไม่โกงกิน เข้าสู่ระบบแห่งศีล แห่งธรรม ทุกคนก็อยากเสียภาษี ถ้าพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทุกคนก็อยากใส่บาตร
ต่อไปนี้แหละ ขออาราธนาพระคุณเจ้าในจังหวัดนครราชสีมา ทุกวัดอย่าได้มีการขับรถขับทุกชนิด นอกจากรถคนพิการ พวกที่อยู่สองต่อสองกับผู้หญิง เรื่องใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปในที่สาธารณะ เหมือนฆราวาสญาติโยมเค้า ก็ไม่สมควร โทรศัพท์พวกนี้ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ได้เอาไว้ให้พากันมาเสพกาม เพราะการมี sex มีเพศสัมพันธุ์ ถ้าเค้าเป็นผัวเมียภรรยา เค้าก็มี sex กัน แต่ว่า sex ทางจิตใจนี้ มันมาจากโทรศัพท์ โทรศัพท์เราก็เอาไว้ใช้งาน เพราะเราเป็นบรรพชิต ต้องระวังการมีโทรศัพท์มือถือ ถ้าเราไม่สำรวมระวังก็เท่ากับเรามีเมีย มีภรรยา การมีโทรทัศน์ก็เท่ากับมีเมีย มีภรรยา เพราะโทรทัศน์นั้นผิดศีลเต็มๆ เหมือนกับที่พระจะฉันอาหารในยามวิกาลไม่ได้ พวกพระเณรนักเรียนนักศึกษา อดไม่ได้ก็แอบฉันอย่างนี้ การที่มีโทรทัศน์ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีโทรทัศน์อย่างนี้ก็เท่ากับเรามีภรรยาอย่างเปิดเผย
นี้พูดจากความเป็นธรรม ความยุติธรรมนะ พูดจากพระธรรม จากพระวินัย ไม่ได้ว่าให้พระ เพราะพระนั้นคือ พระธรรม พระวินัย ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ถ้าเราไปเถียงอยู่ในใจว่า โอ้...ทำอย่างนี้ ใครจะมาบวชได้ อย่างนี้ก็บวชไม่ได้สิ ก็มีอยู่สองอย่าง บวชไม่ได้ก็ต้องสึก สึกแล้วจะไปทำมาหากินอะไร? อ้าว...ถ้าไม่อยากสึกก็ต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ ถ้าอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่พระธรรม ไม่ใช่พระวินัย มันเป็นนิติบุคคล มันก็เป็นการทำลายความมั่นคงของศาสนา ทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่ประชาชนเค้าให้การสนับสนุน เค้ายกมือไหว้ ตั้งแต่พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย จนถึงพระมหากษัตริย์ ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ ใครมีโทรทัศน์นี้ก็นิมนต์ให้ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป เพราะคนเค้าฉลาดขึ้น รู้พระวินัยมากขึ้น
ให้พระสังฆาธิการทุกวัด ต้องรู้ว่าอันนี้มันเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขตัวเอง จัดการตัวเอง เมื่อเราไม่ได้เอามรรคผลพระนิพพาน คนที่มีปัญญาเค้าก็ไม่อยากบวช เพราะว่าศาสนาเรามันเป็นขยะ มันเป็นทางออกของคนยาก คนจน เพียงแต่โกนหัวห่มผ้าเหลือง สวดได้บ้าง ไม่ได้บ้าง การเรียนการศึกษาก็เพื่อหาผลประโยชน์ มันไม่ได้เป็นพระพุทธศาสนา มันกลายเป็นการปกครองแบบการบ้านการเมืองไป บางครั้งบางคราวถึงกับมีพระออกไปเดินขบวน วัดต่างๆ ก็สกปรก พวกที่ไม่ได้มาตรฐาน กินเหล้า กินเบียร์ พวกที่เอาชีวิตไม่รอดก็พากันมาบวช ไม่มีการเรียน ไม่มีการปฏิบัติ พวกโจรทั้งหลายก็มารวมกันบวช พวกตกงานทั้งหลายก็มารวมกันบวช ยาบ้า ยาม้า ยาอีมันก็เกิด เพราะว่าเราไปมองหาโจรไกลเกิน ในข้อสอบของผู้ที่เป็นพระอุปัชฌาย์ว่า ศาสนาเสื่อมอยู่ที่ไหน ก็มาจากพระอุปัชฌาย์ มาจากเจ้าอาวาส มาจากประธานสงฆ์ มาจากผู้นำที่ไม่รู้จักศาสนา แล้วไม่ได้ปฏิบัติศาสนกิจ ศาสนาพุทธนี้ไม่ใช่ศาสนาอื่นมาทำให้เราเสื่อมได้ นอกจากนักบวชและศาสนิกชนของศาสนานั้นนั่นเองที่ทำให้เสื่อม ด้วยความย่อหย่อนอ่อนแอในพระธรรมวินัย
คนเราน่ะอย่าไปเครียด เพราะอันนี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเราเครียดในสิ่งที่เป็นธรรม ยุติธรรม แสดงว่าเรานี้แหละคือผู้ที่ทำลายพระศาสนา เราต้องพากันทนฟัง เพราะว่าเราจะได้มีศีลเสมอกัน จะได้มีความตั้งมั่นเหมือนกัน จะได้เอาปัญญาออกจากวัฏฏะสงสาร ไม่ใช่ปัญญาทำมาหาเลี้ยงชีพ เราต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติให้เข้มข้น ปฏิบัติให้เคร่งครัด ผู้ที่เป็นเจ้าอาวาส ผู้ที่เป็นประธานสงฆ์ ต้องเอาใหม่ กลับจิต กลับใจ กลับกาย กลับตัว กลับหาง กลับหัว กลับชั่วให้เป็นดี ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็ควรจะลาสิกขาบทไป ไม่ต้องอยู่เป็นผู้ที่หลอกลวง มันก็มีสองประเด็น อันหนึ่งก็กลับเนื้อกลับตัวใหม่ อันหนึ่งก็ลาสิกขาไป อย่างนี้ไม่ตายหรอก
ทุกคนต้องเข้าใจว่าความเสียหายมันได้เกิดเเก่เเผ่นดินไทยของเรา ถ้าเราไม่เเก้ไข พระศาสนาก็จะเป็นขยะ ไม่เกิดประโยชน์ต่อตนเองไม่เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ความสมัครสมานสามัคคี มันต้องเหนือสิ่งที่ผิด สิ่งที่ถูกอีก เป็นพรหมวิหาร มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขา ทุกคนมาแก้ปัญหาที่ตัวเอง อย่าไปแก้ปัญหาที่คนอื่น การเรียนการสอน ถ้าจะไปแก้แต่คนอื่น ไม่แก้ที่ตัวเอง แล้วจะไปแก้ได้ยังไง ในเมื่อตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ยังปฏิบัติไม่ได้ จะไม่แก้คนอื่นได้ยังไง ในเมื่อตัวเองเป็นคนตาบอดแล้วนะ จะไปแก้ให้คนอื่นเป็นตาดี จะเป็นไปได้ยังไง สุดวิสัย ใครจะมาเลื่อมใสศรัทธา จะเป็นเหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอด สุดท้ายก็ไปไม่รอด จึงต้องมาแก้ไขตนเองให้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เอาธรรมเป็นหลักเป็นใหญ่เป็นที่ตั้ง
การรักษาพระวินัย มันก็เหมือนกับอุปกรณ์เครื่องบินถ้ามันขาดตัวใดตัวนึงมันก็บินไม่ได้ อุปกรณ์รถยนต์ก็เหมือนกันถ้ามันขาดตัวใดตัวนึงมันก็วิ่งไม่ได้ เพราะว่ามันต้องมีเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะได้ไม่เป็นเพียงนักปรัชญา ถ้างั้นไม่ได้ พระวัดป่าก็จะกลายเป็นพระวัดบ้าน พระวัดบ้านจะกลายเป็นประชาชน ประชาชนก็จะกลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะเราไม่ได้เอาธรรมเอาพระวินัย เราคิดดูดีๆ มันขาลง เราต้องเอาใหม่พระพุทธศาสนาไม่ใช่มันจะตกต่ำขึ้นลงเป็นทอดๆ มหาวิทยาลัยนาลันทาก็ถูกเผาถูกอะไรไป เพราะว่าความประพฤติมันเป็นขาลง ถ้างั้นไม่ได้ น่าจะต้องพัฒนา ถ้าพระเราดี พระก็คือทั้งประชาชนทั้งภิกษุมันจะดี การบ้านการเมืองก็จะดีไปพร้อมๆ กัน เทคโนโลยีก็จะมีประโยชน์ ต้องมีศีลเสมอกันภาพรวมของประเทศ ภาพรวมของทุกวัด ภาพรวมของทุกครอบครัว ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ การปฏิบัติของเราถึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ เราทุกคนถึงต้องพากันมาเสียสละ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของมหาชน เพื่อกตัญญูกตเวที ต่อยอดสืบทอดความถูกต้อง เพราะชีวิตของเรามันไม่จีรังยั่งยืน ไม่กี่สิบปีก็ต้องจากโลกนี้ไป เราจะมาหลงมาเพลิดเพลินอยู่อย่างนี้ไม่ได้นะ
หลวงปู่มั่นสอนว่า “ความไม่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน ความยิ่งใหญ่คือความไม่ยั่งยืน ชีวิตที่ยิ่งใหญ่คือชีวิตที่อยู่ด้วย ทาน ศีล เมตตาและกตัญญู ชีวิตที่มีความดีอาจมิใช่ความยิ่งใหญ่แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น”
ขอกราบอนุโมทนากับ คณะสงฆ์จังหวัดนครราชสีมาทั้ง ๒ นิกาย ที่ได้จัด “สังฆสันนิบาตท้ายพรรษา ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕” เพื่อทดแทนคุณแผ่นดิน บูชาคุณพระพุทธศาสนา เทิดพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆ พระองค์ ในวันนี้...