แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๖๔ อย่าคอร์รัปชั่นชีวิตที่ประเสริฐนี้ โดยการที่ไม่ละอายชั่ว กลัวต่อบาป
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ประเทศไทยเรายากจนเพราะ ข้าราชการคอร์รัปชั่น นักการเมืองคอร์รัปชั่น เราเห็นเค้า คอร์รัปชั่นเราก็ไม่เห็นด้วย ไม่สบายใจ ไม่ยินดี ถ้าเราย้อนมาดูตัวเอง ตัวเองนั้น เราจะได้รู้จักตนเอง มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ เกิดมาเพื่อหยุดเวียนว่ายตายเกิด ไม่ทำตามความคิด ไม่ทำตามอารมณ์ ไมjทำตามความรู้สึก เพื่อเอาธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีมาบอกมาสอน เรื่องอริยสัจ ๔ คือ เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ไม่หลง ไม่เพลิดเพลินไม่ตั้งอยู่ในความประมาท
การตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันเป็นการทำไม่ถูก ปฏิบัติไม่ถูก เรียกว่าเป็น มิจฉาทิฏฐิ เป็นการลิดรอนความเป็นมนุษย์ของเรา บดบัง จัดว่าเป็นการคอร์รัปชั่น ในชีวิตที่ประเสริญ ที่เราเกิดมา อายุของเราทุกคน ไม่เกินร้อยปี ส่วนใหญ่ทุกคนต้องละสังขารวายชนม์ เราต้องมารู้จักคำว่า “คอร์รัปชั่น” ความสุข ความสะดวก ความสบาย ความเอร็ดอร่อยในรูปเสียงกลิ่นรส ลาภยศสรรเสริญ ให้เราทุกคนพากันรู้จักนี้ เป็นหนทางที่เราทุกคนต้องเดินผ่าน เพราะเราทำไปตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์เเล้ว ความสุขของเราทุกคนก็ต้องได้รับ ทุกคนต้องรู้จักคุณค่าในชีวิต ที่พระพุทธเจ้าท่านเป็นห่วงเราว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายทั้งปวง จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
เราต้องรู้จักทุกข์ชัดเจน เราอย่าไปหลง อย่าไปเพลิดเพลิน อย่าไปตั้งในความประมาท ต้องเผา ต้องล้าง ต้องจัดการด้วยวิปัสสนาปัญญา หรือว่าวิปัสสนาภูมิ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่เที่ยง ไม่เเท้ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นหลักการที่มนุษย์ปฏิบัติถูกต้องเป็นเหตุเป็นผล ที่มีบ้านมีรถมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ทุกท่านทุกคนต้องเสียสละทางจิตใจ ถ้าเราไม่เสียสละทางจิตใจ เราก็ถือว่า “เราคอร์รัปชั่นชีวิตที่ประเสริฐ ชีวิตของเราก็จะเป็นชีวิตขยะ ไม่มีประโยชน์ต่อตนเอง ไม่มีประโยชน์ต่อส่วนรวม” การพัฒนาของเราก็ไม่ได้พัฒนาทั้งหลักเหตุหลักผล เเละ พัฒนาทางจิตใจไปพร้อมๆ กันเรียกว่าไม่ได้เข้าสู่ทางสายกลาง
ทุกท่านทุกคนน่ะ ความทุกข์กาย ความหิว ความเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ด้วยประการต่างๆ มันจะทำให้เราใจอ่อน มันจะทำให้เราไม่บังคับตัวเอง ที่ไม่มีสัมมาสมาธิ มันจะทำให้เรานี้ประมาทพลาดพลั้ง เพราะสัมมาสมาธิ ความเข้มเเข็งยังไม่เป็นธรรมชาติ มันจะขาดทำวัตรเช้า มันจะขาดทำวัตรเย็น มันจะขาดข้อวัตรกิจวัตร นี้คือ การคอร์รัปชั่น อันนี้คือชีวิต จะเป็นขยะที่สกปรก ขยะที่ไม่น่าพึงปรารถนา ที่เดินตามความคิด ตามอารมณ์ ที่เรามีเซ็กซ์ ทางความคิด เซ็กซ์ทางอารมณ์อันนี้เป็นการคอรืรัปชั่นเเน่นอนร้อยเปอร์เซ็น อริยมรรคมีองค์ ๘ ของเรามันจะไม่สม่ำเสมอ ที่พระพุทธเจ้าของเราว่า เราตั้งอยู่ในความเพลิดเพลิน อยู่ในความประมาท
การปฏิบัติของเราต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน รักษาธรรม ต้องรักษาธรรมยิ่งกว่าชีวิต ถ้าเราใจอ่อนอ่อนเเออย่างนี้ เเสดงว่าเราใจของเรายังสีลัพพตปรามาสอยู่เยอะ เเสดงถึงมันออกมาข้างนอก ว่าตั้งอยู่ในความไม่มีศีล คือไม่บังคับตัวเอง ความสมาทานยังไม่เพียงพอ ความหนักเเน่นยังไม่เพียงพอ ปัญญาเกิดไม่ได้ นี้เเหละคือการคอร์รัปชั่นตัวจริง ไม่ต้องไปมองหาการคอร์รัปชั่นที่ไหน พระพุทธเจ้าให้เรารู้จักอริยสัจ ๔ มากขึ้น กระชับขึ้น ระบบความคิด ระดับสัมปชัญญะ ต้องเข้าใจ ถ้าสติสัมปชัญญะของเราไม่สมบูรณ์ เเสดงว่าศีลสมาธิปัญญาไม่ทำงาน
คนเราถ้าตั้งใจตั้งสมาทาน เราจะได้รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ กระชับชัดเจนในปัจจุบัน เราจะไม่ได้ไปประจี๋ประจ๋อ สะเงาะสะเเงะ กับสิ่งเหล่านี้ ความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่ทำให้อินทรีย์บารมีของเราสมบูรณ์ การประพฤติการปฏิบัติทุกท่านทุกคนต้องเน้นที่ปัจจุบัน เราไม่ต้องหาพระนิพพานที่ไหน ต้องหาที่ใจของเราทุกคนในปัจจุบัน มันจะเลื่อนไปเรื่อยๆ เพราะสิ่งเหล่านี้มี สิ่งนั้นมันถึงมี เราทำอย่างนี้มันถึงจะขลัง ถึงจะศักดิ์ ถึงจะสิทธิ์ เราต้องรู้จักพระพุทธเจ้า รู้จักพระธรรม รู้จักพระอริยสงฆ์ ที่อยู่ที่ใจของเราทุกๆ คน เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันเป็นเรื่องของใจ การปฏิบัตินี้ถ้าเราไม่ได้เน้นที่ใจ มันจะเป็นทางถือเเบรนด์เนมเฉยๆ ห่มผ้าจีวร หรือพวกปฏิบัติธรรม ห่มผ้าสีขาว สีน้ำตาลก็ดี มันเป็นเเบรนด์เนมเฉยๆ เราต้องเข้าถึงจิตถึงใจของเรา ในเรื่องใจเรื่องเจตนา เราจะไปหามรรคผลนิพพานที่ไหน การที่ปฏิบัติพระพุทธเจ้าให้เราเน้นที่จิตที่ใจอย่างนี้ ถ้าเราทำอย่างนี้มันก็ไม่เครียดหรอก เรารักษาศีลเพื่อที่จะเเก้ไขตัวเอง เราทำสมาธิเพื่อจะเเก้ไขตัวเอง เราไม่ได้รักษาศีลเพื่อโง่ เพื่อจะเอา เราไม่ได้ทำสมาธิเพื่อโง่ เพื่อจะเอา เราไม่ได้เจริญปัญญาเพื่อโง่ เพื่อจะเอา คนเรามันจะไปเอาอะไร เพราะมันก็โง่ ก็บ้าอยู่เเล้ว เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา มันมีไว้มาเเก้ไขที่ใจของตัวเราเอง
การปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องเหมือนสายน้ำ ถ้าเราทำเหมือนน้ำหยดมันยังขาดอยู่ มันต้องทำเหมือนน้ำไหล เป็นสายน้ำ ผู้ที่เป็นนักบวชก็ให้รู้ ผู้ที่เป็นฆราวาสก็รู้ เพราะชีวิตของเราทุกคนคือชีวิตที่ประเสริฐ ไม่ใช่เราจะมาบริโภคตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์อย่างโง่ๆ เราต้องพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ถึงเเม้เราไม่มีอะไรสักอย่าง เราก็ไม่มีความทุกข์ทางจิตใจเหมือนพระอริยเจ้า เหมือนพระอรหันต์ได้ ในสมัยพุทธกาล ท่าน สุปปพุทธกุฏฐิ เป็นคนยากจน ต้องเที่ยวขอทานขออาหารเขากินทุกวัน ทั้งยังป่วยเป็นโรคเรื้อนอีกด้วย
วันหนึ่งมหาชนได้มาประชุมรวมกัน เพื่อฟังธรรมจากพระบรมศาสดา ลำดับนั้น สุปปพุทธกุฏฐิเห็นมหาชนมารวมกันจำนวนมาก จึงคิดว่า คงจะมีการแจกอาหารเป็นแน่ จึงไปที่นั่นเพื่อจะได้รับแจกอาหารบ้าง แล้ววันนั้นบุญเก่าที่ท่านเคยทำมาในอดีต ก็มาส่งผลพอดี ทำให้เมื่อเห็นพระบรมศาสดาแล้วก็รู้สึกว่าอยากจะฟังธรรม แต่ก็มีความละอายที่ตนเองเป็นโรคเรื้อน จึงไปนั่งฟังธรรมอยู่ท้ายสุดของพุทธบริษัททั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคทรงกำหนดใจของบริษัททุกหมู่เหล่าด้วยพระทัยแล้ว ได้ทรงกระทำไว้ในพระทัยว่า ในบริษัทนี้ ใครหนอแลควรจะรู้แจ้งธรรม พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นสุปปพุทธกุฏฐินั่งอยู่ในบริษัทนั้น ครั้นแล้วได้ทรงพระดำริว่า ในบริษัทนี้ บุรุษนี้แลควรจะรู้แจ้งธรรม พระองค์ทรงปรารภสุปปพุทธกุฏฐิ ตรัสอนุปุพพิกถาคือ ทานกถา ศีลกถา สัคคกถา โทษแห่งกามอันต่ำทรามเศร้าหมอง และทรงประกาศอานิสงส์ในเนกขัมมะ เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ทรงทราบว่าสุปปพุทธกุฏฐิมีจิตควร อ่อน ปราศจากนิวรณ์เฟื่องฟู ผ่องใส พระองค์จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่สุปปพุทธกุฏฐิในที่นั่งนั้นแลว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา เหมือนผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมด้วยดี ฉะนั้น ฯ
ลำดับนั้นแล สุปปพุทธกุฏฐิ มีธรรมอันเห็นแล้ว (ทิฏฺฐธมฺโม), มีธรรมอันบรรลุแล้ว (ปตฺตธมฺโม), มีธรรมอันรู้แจ้งแล้ว (วิทิตธมฺโม), มีธรรมอันหยั่งถึงแล้ว (ปริโยคาฬฺหธมฺโม), ข้ามความสงสัยได้แล้ว (ติณฺณวิจิกิจฺโฉ), ปราศจากความเคลือบแคลง (วิคตกถงฺกโถ), บรรลุถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า (เวสารชฺชปฺปตฺโต), ไม่เชื่อต่อผู้อื่นในศาสนาของพระศาสดา (อปรปจฺจโย)
ท่านสุปปะพุทธะกุฏฐิ แม้ภายนอกจะยากจน แต่ภายในนั้นร่ำรวยด้วยอริยทรัพย์ มีความสุขอยู่ภายใน นิ่งแน่น ไม่หวั่นไหวไม่คลอนแคลนเลย มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างเต็มเปี่ยม มีความปลื้มปีติที่ได้ถึงกระแสพระนิพพาน แล้วก็อยากจะกราบทูลพระพุทธองค์ ถึงความปลื้มปีติที่ตนได้เข้าถึงพระรัตนตรัย แต่ท่านก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปในท่ามกลางพุทธบริษัท
ดังนั้น ท่านจึงไปสู่พระวิหาร ในเวลาที่มหาชนกลับกันหมดแล้ว ในขณะนั้นเอง ท้าวสักกะจอมเทพต้องการจะลองใจดูว่า ผู้ที่เข้าถึงสรณะภายในจริงๆ นั้น ศรัทธาจะง่อนแง่นคลอนแคลนไหม พระองค์จึงประทับยืนอยู่กลางอากาศ ต่อหน้าท่านสุปปพุทธกุฏฐิ แล้วตรัสว่า ท่านเป็นคนขัดสน เป็นคนเข็ญใจ เรารู้สึกสงสารท่านเหลือเกิน เราจะให้ทรัพย์สมบัติที่มีค่านับประมาณมิได้แก่ท่าน ขอเพียงให้ท่านกล่าวว่า พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะไม่มี และให้ท่านเลิกนับถือพระรัตนตรัยเสีย
แต่เนื่องจากท่านสุปปพุทธกุฏฐิ เป็นพระโสดาบัน มีความสุขมาก มีความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง แล้วจึงมีใจมั่นคงในพระรัตนตรัย มีความศรัทธาเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวเป็นอจลศรัทธา จึงไม่สามารถจะกล่าวตามคำที่พระอินทร์บอกได้ เพราะธรรมดาของพระโสดาบันย่อมไม่กล่าวคำเท็จ ท่านจึงถามกลับไปว่า ท่านเป็นใคร เมื่อทราบว่าเป็นท้าวสักกะจอมเทวดา ท่านจึงกล่าวตอบไปว่า ไม่ว่าท่านจะเป็นพระอินทร์หรือเป็นใคร ก็ไม่สำคัญทั้งนั้น เพราะท่านไม่คู่ควรที่จะมาพูดกับเราเลย จงออกไปเสียให้ห่างๆ จากเราเถิด ท่านมาพูดอย่างนี้กับคนที่เข้าถึงพระรัตนตรัยแล้วได้อย่างไร เราไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในพระรัตนตรัย เพราะเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัยแล้ว มีความสุข สดชื่นเบิกบานอยู่ตลอดเวลาเลย และเราไม่ใช่คนขัดสน ไม่ใช่คนเข็ญใจอย่างที่ท่านกล่าวหา เพราะเราเป็นบุตรของพระบรมศาสดา มีอริยทรัพย์ภายใน เพราะศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ และปัญญา อริยทรัพย์ทั้ง ๗ ประการนี้ เกิดขึ้นกับใคร พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าวว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ไม่ขัดสน ไม่ใช่คนเข็ญใจ มีชีวิตที่ไม่ว่างเปล่า (สทฺธาธนํ สีลธนํ หิรี โอตฺตปฺปิยํ ธนํ, สุตธนญฺจ จาโค จ ปญฺญา เว สตฺตมํ ธนํ; ยสฺส เอตา ธนา อตฺถิ อิตฺถิยา ปุริสสฺส วา, `อทลิทฺโทติ ตํ อาหุ, อโมฆํ ตสฺส ชีวิตนฺติ)
ท้าวสักกะได้สดับดังนั้น จึงเสด็จไปยังที่ประทับของพระบรมศาสดา แล้วกราบทูลพระพุทธองค์ถึงเรื่องที่ได้โต้ตอบกับสุปปพุทธกุฏฐิ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสกับท้าวสักกะว่า แม้จะมีเทวดาอย่างท่านเป็นร้อย เป็นพัน ก็ไม่สามารถบังคับให้สุปปพุทธกุฏฐิ กล่าวปฏิเสธคุณพระรัตนตรัยได้
ขณะนั้นเอง สุปปพุทธกุฏฐิก็มาถึงที่ประทับของพระบรมศาสดา ด้วยใบหน้าอิ่มเอิบเบิกบาน มีความสดชื่นแจ่มใสสว่างไสวด้วยรัศมีแห่งธรรม เพราะได้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำได้แล้ว ตั้งแต่สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ได้กราบทูลพระพุทธองค์ถึงการที่ตนเองได้เข้าถึงไตรสรณคมน์ เข้าถึงสรณะที่แท้จริงแล้ว เมื่อพระพุทธองค์ทรงประทานสาธุการ ในความเป็นผู้มั่นคงในพระรัตนตรัยแล้ว สุปปพุทธกุฏฐิก็กราบทูลลากลับไปด้วยความปลื้มปีติใจ มีความสุข สดชื่นเบิกบาน ครั้นถวายบังคม พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ครั้นถวายบังคม มีจิตน้อมไปในคุณของพระศาสดา พลางเพ่งดูประคองอัญชลี น้อมนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล จนลับสายตาจึงหลีกไป. ก็สุปปพุทธะ ผู้หลีกไป ซึ่งมีมือเท้าและนิ้วด้วน เพราะถูกโรคเรื้อนครอบงํา มีตัวเปื้อนคูถ มีของไม่สะอาดไหลออกรอบตัว ถูกฝีบีบคั้นไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น น่าเกลียดยิ่งนัก ถึงความเป็นผู้น่าสงสารอย่างยิ่ง ถูกแม่โคลูกอ่อน ซึ่งถูกบาปกรรมอันเข้าไปตัดรอนให้เป็นไปพร้อมเพื่ออายุน้อย ที่ตนสั่งสมกระทําไว้ตักเตือนอยู่ พอเมื่อบุญกรรมอันให้เป็นไปพร้อมเพื่อสวรรค์ได้โอกาส เหมือนความมุ่งหมายที่เกิดขึ้นว่า กายนี้ไม่สมควร เพื่อเป็นที่รองรับอริยธรรมอันประณีตยิ่งนัก ซึ่งสงบอย่างแท้จริงนี้ ดังนี้ จึงขวิดให้ล้มลงตายไป. เขาได้ตายอย่างอนาถ แต่ชีวิตเขาไม่อนาถ คือ ไม่ไร้ที่พึ่ง เพราะมีอริยมรรคอริยผลเป็นที่พึ่ง
ตำราแทรกความตรงนี้ไว้ว่า แม่โคตัวนี้จริงๆ แล้วไม่ใช่โคแท้ เป็นนางยักษิณีที่มีเวรกันมาก่อนกับบุคคล ๔ คน คือ ปุกกุสาติกุลบุตร พาหิยะ ทารุจีริยะ ตัมพทาฐิกะ (เพชฌฆาตเคราแดง) และสุปปพุทธะกุฏฐิ ตามมาแก้แค้น
ว่ากันว่าในอดีตชาติยาวนานโพ้น บุคคลทั้ง ๔ ดังกล่าวมาเป็นบุตรเศรษฐีเพื่อนรักกัน ได้ร่วมอภิรมย์กับโสเภณีนางหนึ่ง หลังจากอภิรมย์สมใจแล้ว จ่ายค่าชั่วโมงเสร็จแล้ว ก็แย่งทรัพย์ที่ให้แก่นางคืน ไม่แย่งเปล่าฆ่าหมกป่าด้วย
นางโสเภณีนั้นก่อนที่จะขาดใจตาย ได้ผูกอาฆาตจองเวรกับเด็กหนุ่มสี่สหายนั้น หากตายจากชาตินั้นแล้ว จะตามฆ่าคนทั้ง ๔ นี้ไปอีกหลายร้อยชาติ กว่าจะสิ้นเวรสิ้นกรรมกัน
นัยว่าสุปปพุทธะนี้ก็ถูกคู่เวรในร่างโคขวิดตายมาแล้วหลายร้อยชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่จะสิ้นเวร
ภิกษุหลายรูปกราบทูลการกระทำกาละของสุปปพุทธะนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามว่า "คติของสุปปพุทธะนั้นเป็นอย่างไร? เพราะเหตุไรเล่า? เขาจึงถึงความเป็นคนมีโรคเรื้อน."
พระศาสดาทรงพยากรณ์ความที่สุปปพุทธะนั้นบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว เกิดในดาวดึงสภพ และการเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า และคิดว่า ใครนี่ หัวโล้น ครองผ้ากาสาวะ จักเป็นคนโรคเรื้อน เอาผ้าของคนโรคเรื้อน คลุมร่างกายไปอย่างนั้นแล ดังนี้แล้วจึงถ่มน้ำลาย หลีกไปทางเบื้องซ้าย ด้วยกรรมนั้น ไหม้แล้วในนรกตลอดกาลนาน ด้วยวิบากที่เหลือ ถึงความเป็นคนมีโรคเรื้อนในบัดนี้แล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่านี้เที่ยวกระทำกรรมมีผลเผ็ดร้อนแก่ตนเองแล" ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
จรนฺติ พาลา ทุมฺเมธา อมิตฺเตเนว อตฺตนา กโรนฺตา ปาปกํ กมฺมํ ยํ โหติ กฏุกปฺผลํ.
ชนพาลทั้งหลาย มีปัญญาทราม มีตนเป็นดังข้าศึก (เป็นราวกะว่าคนมีเวรผู้มิใช่มิตร) เที่ยวทำกรรมลามก ซึ่งมีผลเผ็ดร้อนอยู่ (คือมีทุกข์เป็นผล).
พระธรรมเทศนาสั้นๆ เป็นการเตือนว่า คนเราเมื่อโง่เขลา (ไม่ว่าใครทั้งนั้น) ย่อมประพฤติเหมือนไม่รักตน คือ ก่อศัตรูแก่ตนด้วยการทำแต่ความไม่ดีใส่ตัว แล้วในที่สุดก็เดือดร้อนเพราะผลแห่งความชั่วที่ตัวทำเองนั้นแล พูดเป็นนัยๆ ว่า ถ้าไม่อยากให้ตัวเองเดือดร้อนภายหลังก็อย่าทำบาปนั้นเอง
ชีวิตของนายสุปปพุทธะขี้เรื้อน มองในแง่เป็นบทเรียนก็คือ อย่าริทำชั่ว หรือสร้างเวรแก่คนอื่น ดุจดังที่เขาทำมา เมื่อเกิดมาเป็นขี้เรื้อนก็ถือว่าเพราะวิบากแห่งกรรมเก่า เขาก็ไม่ย่อท้อต่อชีวิต พยายามทำความดี จนในที่สุดได้เป็นพระอริยบุคคล นับว่าเกิดมาทั้งทีไม่เสียชาติเกิดแล้ว แม้ภายนอกจะเป็นคนน่าสงสารและสมเพช แต่ภายในเขาเปี่ยมไปด้วยคุณความดี
พวกเป็นฆราวาสที่จะคงเผ่าพันธุ์ของความเป็นมนุษย์ก็ต้องพากันมีศีลห้า ไม่ใช่มาสร้างภาพสร้างเเบรน์เนม ต้องเน้นที่จิตที่ใจ มันไม่อยากปิดอบายมุข อบายภูมิ อย่าไปเอาธรรมเอาวินัยเข้าหาเเต่ตัวเอง อันนี้มันเป็นโลกธรรม เราไม่ได้ดำเนินชีวิตเพื่อโลกธรรม ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะ สรรเสริญ เยินยอ เราทุกคนต้องเเก้ไขตัวเอง เข้าสู่ความเป็นพระ พระก็คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ คือความเป็นพระ เราอย่าพากันเป็นเพียงภิกษุ สามเณร เป็นเเม่ชี มันต้องเป็นพระธรรม เป็นพระวินัย หยุดจากนิติบุคคล เป็นธรรม เป็นความยุติธรรม ละเสียซึ่งตัวซึ่งตน เราก็จะสงบ ก็จะเย็น เราจะต้องอาศัยศีล เค้าเรียกว่า อุปกรณ์ที่ทันความโลภ ทันความโกรธ ทันความหลง อุปกรณ์ที่ทันสมัย ที่เเก้ไข ที่เป็นยานออกจากวัฏฏะสงสาร
คนที่ไม่รักษาศีลเพื่อนิพพาน ไม่ทำสมาธิเพื่อนิพพาน มันเป็นโลกีย์ ต้องเที่ยงเเท้เเน่นอนต่อพระนิพพาน เพราะพระนิพพานมันไม่หมดสมัย ไม่ล้าสมัย ยิ่งวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า พระนิพพานเราก็ต้องก้าวหน้าเหมือนกัน เรียกว่าทางสายกลาง ใจกับกาย วาจากับใจ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในปัจจุบัน ต้องเข้าใจอย่างนี้ ทุกท่านทุกคนต้องเข้มข้นในตัวเอง ถ้าไม่อย่างนั้น ทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง โรคจิตโรคประสาทเราไม่หายหรอก มันจะหายได้ยังไงอย่างนี้ พวกที่เป็นโรคจิตโรคประสาท ก็เพราะมันเอาตัวตนเป็นใหญ่ เอาอารมณ์เป็นใหญ่ เพลิดเพลินในกาม ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มันยินดีในการบันเทิง ยินดีในรูปเสียงกลิ่นรส ลาภ ยศ สรรเสริญ ถึงเวลานอนก็ไม่นอน โรคประสาทท่านก็ติดต่อต่อเนื่อง คนเราก็ดูที่ตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันจะเพิ่มโรคจิต โรคประสาท โรคซึมเศร้า มันทำจนเคยชิน จนเป็นทางซุปเปอร์ไฮเวย์ ให้ทุกคนพากันปรับนะ ใครเป็นโรคจิตโรคประสาท ต้องเอาธรรมะโอสถไปประพฤติ ไปปฏิบัติ ต้องให้มีความสุขในการประพฤติ การปฏิบัติเเล้ว นอนให้พอวันละ ๖ ชั่วโมง เวลาทำงานให้มีความสุข คิดดีๆ พูดดีๆ ทำดีๆ อยู่กับปัจจุบัน อย่าไปใจอ่อน ต้องเสียสละให้เป็นธรรม เป็นคุณธรรม ต้องทำอย่างนี้ อย่าใจอ่อน ถ้าอย่างนั้น ไม่ได้หรอก โรคประสาทท่านไม่หาย โรคจิตไม่หายหรอก เพราะท่านทำจนเคยชินเเล้ว จนทำให้สุขภาพเสียหมด สมองเสียหมด ต้องนอนให้พอ พักผ่อนให้พอ
ปกติไม่มีเรื่องราวอะไรมากหรอก เเต่คนเราพากันไปสร้างเรื่องสร้างราวเฉยๆ มันก็ไม่มีอะไร เราก็รู้ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เราก็มีความสุขในการคิดดีๆ พูดดีๆ เรามีความสุขมันก็ดับทุกข์อยู่เเล้ว เเต่เราไม่รู้จักคาวมคิด ไม่รู้จักอารมณ์ไปเรื่อยๆ ไม่มีความสุขในปัจจุบัน ปัจจุบันมันเผาตัวเอง เผาด้วยอวิชชา ด้วยความหลง มันเป็นเครื่องบินความเร็วสูง ความเเรงสูง ไม่มีสนามจอด ต้องรู้จัก ความสุขความดับทุกข์มันอยู่อย่างนี้ คนเรามันติด มันหลง ไม่ได้ทำไรตามใจ ตับมันจะเเตกตาย อกมันจะเเตกตาย หัวมันจะระเบิด ต้องรู้จักนะ เรานี้เป็นคนที่คอร์รัปชั่นที่ยิ่งใหญ่ เราเป็นคนน่าดื้อ หน้าด้าน ไม่ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป เราต้องกลับมาปฏิบัติตัวเอง เราจะได้ไม่ต้องไปโง่ ไปหาพระที่ไหน ให้พวกมิจฉาทิฏฐิ พวกหลงในกาม มาขายเหรียญ มาขายตะกรุด คาถา มาขายนรกมาขายสวรรค์ อันนั้นไม่ใช่ศาสนาที่ดับทุกข์ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าอันนั้นไม่ใช่สรณะ ศาสนาก็คือความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการปฏิบัติ หยุดก่อนลาก่อน วัฏฏะสงสาร เราต้องทำอย่างนี้ เราต้องมีความอย่าเป็นคนมักมากตามความคิด ตามอารมณ์
เราต้องดูตัวอย่าง อย่างพระพุทธเจ้า ท่านไม่เอาอะไร ไม่เก็บอะไร ไม่สะสมอะไร อย่างท่านเจ้าคุณพุทธทาส ปฏิปทาท่านก็เอาเเต่พระนิพพาน ท่านไม่ฟุ่มเฟือย ประหยัดทุกอย่าง ท่านไม่สนใจผ้าสีดำ สีกรัก ไม่ได้สนใจเรื่องวัดบ้านวัดป่า ศาสนาพุทธคริสต์ อิสลาม เพราะอันนั้น มันไม่ใช่เรื่องดับทุกข์ เรื่องดับทุกข์ มันอยู่ที่สัมมาทิฏฐิ ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านไม่สนใจว่าใครจะเป็นคนจนคนรวย เป็นวรรณะกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นศูทร หรือเป็นจัณฑาล เพราะว่าอันนั้นไม่ใช่เรื่องดับทุกข์ เรื่องดับทุกข์อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มีธรรมวินัย ที่มาเเก้ที่ใจ ที่ตัวเราอย่าไปเเก้ที่อื่น ศีลมันเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะเรามีอุปกรณ์ที่ทันสมัย ที่เเก้ใจ เเก้อารมณ์ อย่าถือว่า เป็นของที่ตั้งขึ้นไว้ อย่างนั้นไม่ใช่ นี้เป็นอุปกรณ์ที่หมู่มวลมนุษย์ใช้จัดการอวิชชา จัดการความหลง เพื่อจะตัดอาหาร เหมือนที่กำลังเป็นอยู่เนี่ยเเหละ เราก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับคนพาล ไม่ได้ใกล้ชิดกับความคิดที่มันเป็นความคิดที่คอร์รัปชั่น ความคิดที่หลง อย่างนี้เพื่อเน้นมาที่จิตที่ใจ ต้องพากันเข้าใจ มักน้อยสันโดษอย่าไปกลัวไม่มีอยู่ไม่มีกินไม่มีอะไร เเม้เเต่ฉันอาหาร ท่านก็ว่าอย่าไปฉันอิ่มเกิน ให้ดื่มน้ำตามสักเเก้ว 200 ซีซี อย่าไปฉันหวานเกิด เผ็ดเกิน มันเกิน อันนั้นมันสนองกิเลส สนองตัณหา อย่าไปตามความเอร็ดอร่อย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ประพฤติผิด มีความโลภ มีความคอร์รัปชั่นภายนอก
ทุกคนต้องกลับมาหาอย่างนี้ ชีวิตของเราก็จะสงบ ชีวิตของเราก็จะเย็น เป็นพระนิพพาน คำว่า “พระนิพพาน” พวกที่มันโง่ มันไม่รู้จัก มันคิดว่าเป็นปราสาทชั้นโน้นชั้นนี้ ให้พวกที่จะโง่ พวกที่จะเอา นึกว่ามันเป็นมิติหนึ่ง มิติไหน มันอยู่ที่ใจของเรา ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องในปัจจุบันนี้ มันจะเป็นไปตามอินทรีย์บารมี ที่ตั้งอยู่ในความไม่เพลิดเพลินไม่ประมาท พระอรหันต์ท่านพาเราทำอย่างนี้ๆ ตามอริยมรรค ผลมันก็อย่างนี้เอง ทุกท่านทุกคนอย่าไปเเก้ที่บุคคลอื่น ให้พากันทำอย่างนี้นะ
ถ้าโง่ไปเเล้วก็เเล้วไป ต้องตั้งใจใหม่ ให้รู้จักศาสนา คนเราสำคัญว่าตัวเองรู้ สำคัญว่าตัวเองไม่รู้ สำคัญว่าเสมอเขาอย่างนี้ก็ไม่ใช่ มันต้องรู้จักใจของตัวเอง จะไปเอาอะไร เพราะว่ามันเป็นเรื่องทำตามหลักเหตุหลักผล เหนือเหตุเหนือผล เหนือความชอบ ความไม่ชอบ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า เรารู้จักเจ้าเสียเเล้ว เจ้าจะทำบ้านทำเรือนทำอะไรให้เราไม่ได้อีกต่อไป
สำหรับเราบำเพ็ญอินทรีย์บารมีก็ต้องไปตามยานของพระพุทธเจ้า ด้วยการสมาทานเเล้วปฏิบัติให้เป็นความตั้งมั่น เป็นสัมมาสมาธิ เป็นอริยมรรค การปฏิบัติก็ติดต่อต่อเนื่อง เพราะเรายังไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าพระอรหันต์เเล้ว มันเป็นอัติโนมัติออโตเมติกเเล้ว มันไม่มีความโง่อะไรเหลืออยู่ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ อย่างหลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว หลวงปู่มั่น ท่านไม่เอาความสุขทางวัตถุอะไรเลย เอาความดับทุกข์ทางร่างกายเพียงเเต่ฉันข้าววันละครั้ง พระท่านเหล่านี้ไม่ได้เห็นโบสถ์ เห็นกุฏิวิหารเจดีย์ เป็นพระพุทธศาสนา เห็นพระธรรมคำสั่งสอนคือพระศาสนา เพราะมันเเก้อันนี้ได้ เราอย่าพากันหลงประเด็นถ้าอย่างงั้นไม่ได้ พระพุทธเจ้า ถึงบอกว่าจะเป็นพระวัดป่าก็ได้ พระวัดบ้านก็ได้ จะเป็นฆราวาสก็ได้ ถ้าปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ โลกนี้ก็จะไม่ว่างจากพระอริยเจ้า จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ตามลำดับอย่างนี้ๆ
การชำระจิตชำระใจได้ เราต้องมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง คนเราเรื่องการประพฤติปฏิบัตินี้สำคัญเพราะการเรียนการศึกษานี้มันดี จะเป็นหนังสือธรรมะจากพระไตรปิฎก จากครูบาอาจารย์ จากการฟัง เพื่อเป็นบารมีที่เราจะได้ประพฤติปฏิบัติแต่เราต้องเอามาประพฤติปฏิบัติ ต้องมีเจตนาพวกที่บวชหลายพรรษา บวชเรียนสูงๆ มันบวชมาไม่ได้ปฏิบัติ บวชมาทำแต่ผิดศีล ผิดพระวินัย ใจเลยเป็นใจสกปรก เรียกว่าจิตสกปรก เอาความรู้ความเข้าใจไปใช้ในสิ่งสกปรก หาเงิน หาสตางค์ หากาม สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ศาสนาเป็นอวิชชา เป็นความหลง ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เรียกว่าทำกิจไม่ถูก กิจที่ไม่ได้มุ่งมรรคผลนิพพาน
เราเข้าห้องน้ำห้องสุขาเพื่อไปถ่ายของเสียของจากกายของเรา ที่ตาเราเห็นรูป หูเราฟังเสียง เราก็ต้องเสียสละไป มันถึงจะเกิดปัญญา เพื่อผัสสะมันเกิดมาเพื่อให้เราเกิดปัญญา เราก็ต้องเสียสละรู้ว่าอันไหนไม่ดี เราก็อย่าไปคิด อย่าไปทำอีก เราทำกิจในปัจจุบัน เราจะพูดจาปราศัย ก็คือการทำกิจ ภารกิจ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านมันจะเป็นสิ่งที่ระเบิดไปในตัว ไม่ว่าสิ่งที่ดีไม่ดี เราต้องระเบิดด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ให้เป็นศีล สมาธิ ปัญญาพากันไปให้สมบูรณ์ในปัจจุบัน เพราะการประพฤติปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน เราจะเข้าใจว่าการประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติยังไงไม่รู้เรื่องการปฏิบัติเลย เพราะมันอยู่ที่ปัจจุบันที่เกี่ยวกับใจ จิตใจของเราต้องรีบทำ รีบจัดการ ใจของเรารักใคร โกรธใคร ชอบใคร หลายปีก็ยังไม่ปล่อยไม่ว่าง มันจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมยังไง เพราะว่ามันผ่านไปหลายเดือน หลายปีแล้ว เรายังไม่เสียสละ เราจะไปอวดไปคุยว่าเราปฏิบัติธรรม มันไม่ใช่การปฏิบัติธรรม เพราะจิตมันเกิดดับในปัจจุบันหลายดวงนับไม่ถ้วน จิตมันทำงานสนั่นหวั่นไหวทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันทำงานสนั่นหวั่นไหว เราต้องรู้จักจิต จิตที่มันเกี่ยวข้องอย่างนี้เราต้องให้จิตของเรามีปัญญา เราต้องให้ปัญญาแก่จิต แก่ใจ เรียกว่าอาหารทางใจ มันจะได้พัฒนาตัวเองไป มรรคเราจะได้สมบูรณ์เราจะได้เข้าถึงความบริสุทธิ์ทางจิตใจ ถ้าเราพัฒนาไปแบบนี้