แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๒๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๖๓ อนาคตที่จะสดใส จะก้าวหน้าสว่างไสว คือ ปัจจุบันที่เรากำลังคิดดี พูดดี ทำดี
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกคนเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เห็นภัยในความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ที่ได้พากันนับถือศาสนา ทุกศาสนาพากันเข้าใจอย่างนี้ เราได้เห็นภัยในการขาดแคลนปัจจัย 4 เช่น ถึงได้มีการวางแผนในการแสวงหาในการส่งลูกส่งหลานเรียนตั้งแต่ลูกได้ 3 ขวบ เพื่อสร้างเหตุ สร้างปัจจัย เพราะธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น เกิดจากเหตุ เกิดจากปัจจัย เราก็อาศัยผู้ที่เกิดมาก่อนที่จะได้ประสบการณ์ ได้เรียนรู้ ตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ พวกเราน่ะ พากันทำตามกันมา ทำตามความคิด ทำตามอารมณ์ ทำตามความรู้สึก มันเป็นสัญชาตญาณ เมื่อเรามีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราก็ได้พากันได้ปฏิบัติถูกต้อง เราก็พากันมาติดในความสุข ในความสะดวกความสบาย มาติดในเหยื่อ เพราะว่ามันอร่อย เราถึงต้องมาเกิด ถึงได้มีการเวียนว่ายตายเกิดกัน พระพุทธเจ้าถึงได้มาบอกวิธีพ้นทุกข์ มนุษย์ต้องพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ทั้งเทคโนโลยี และก็พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้จิตใจของเรามีสติ มีปัญญา จิตใจของเรามันจะไม่หลง ถ้าเราไม่เสียสละอย่างนี้ เราก็ไม่มีการปฏิบัติ ถ้าเราเสียสละ เราถึงจะมีความสุข ถึงจะมีอยู่มีกินมีใช้ มีบ้าน มีรถ มีสิ่งอำนวยความสะดวก ความสบาย เมื่อเราสะดวกสบายอย่างนี้แล้ว เราก็พัฒนาใจของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มันจะได้เป็นคุณ มันจะได้ไม่มีโทษ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นกามคุณ แต่ทุกวันนี้ไม่เห็นมีกามคุณ มันจะเป็นกามโทษกันหมด
ทุกๆ คนต้องพากันมาปฏิบัติตัวเอง พากันมาเสียสละทางจิตใจ เราไม่เสียสละไม่ได้ เพราะมันจะทำให้เราก่อภพ ก่อชาติ ทำให้เราตั้งอยู่ในความเพลิดเพลิน ตั้งอยู่ในความประมาท อย่างพระภิกษุสามเณรนี้รู้หมดว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เอาเงิน ไม่ให้เอาปัจจัย ไม่ให้รับเงินรับทอง เพราะพระวินัยในพระไตรปิฏก ที่เป็นหลักการหลักวิชาการ ก็มีอยู่แล้ว ในเมืองไทยหรือว่าหลายๆประเทศ รู้ว่าการรับเงิน รับสตางค์นี้มันไม่ได้ เพราะความเสียสละอย่างนี้ก็ ตั้งแต่สมมติ ไม่มีใครปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะว่าทุกคนมันติดความสุข ติดความสะดวกความสบาย เรียกว่า กาม
อย่างหลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว บอกสอนว่าโทรศัพท์มือถือ พวกสื่อสารนี้แหละ มันมีโทษนะ ถ้าเราไม่ระมัดระวัง เพราะในนั้นน่ะ มันมีกามคุณในตัว ประธานสงฆ์ เจ้าอาวาสทุกเจ้าอาวาสก็ฟังกันหลายรอบ แต่ทุกคนก็เฉย เพราะว่ามันติดมันชอบมันหลง มันมีเหตุผลมาคัดง้าง เพราะว่ามันติด มันไม่ยอมเสียสละ ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง เมื่อไม่ยอมเสียสละไม่ยอมปล่อยไม่วาง จิตก็คือไปไม่ได้ มันไม่มี มันผิดหลักการ หลักเหตุผล สิ่งเหล่านี้น่ะ ต้องพากันรู้จัก พระผู้ใหญ่ ผู้เป็นหัวจักร ต้องแก้ไขตัวเอง หรือว่านักปกครองที่ใช้การเผยแพร่ เพื่อสืบสานในการเผยแพร่ก็ต้องระมัดระวัง การปล่อยวาง มันก็ต้องยังฉันข้าวอยู่ แต่ไม่ให้ติดในข้าว ในอาหาร การเผยแพร่มันต้องมีที่อยู่ที่นอนที่อะไรอย่างนี้ เพราะสิ่งเหล่านี้มันก็เปรียบเสมือนไวรัส ถ้าร่างกายของเราไม่แข็งแรงไม่แข็งแกร่ง มันก็ต้องเข้าสู่ร่างกาย ถ้าศีล สมาธิ ปัญญาของเราไม่แข็งแรงไม่แข็งแกร่งอย่างนี้ การประพฤติการปฏิบัติของเราก็วิบัติ ผู้ที่เป็นนักบวชนี่ก็ต้องพากันพินิจพิจาณา ถ้าไม่อย่างนั้นศีล๕ ก็ปฏิบัติไม่ได้หรอก ภิกษุสามเณรน่ะ เพราะว่ายังโกหกพระพุทธเจ้า ยังโกหกประชาชนอยู่ เพราะเราถือสัญลักษณ์ของนักบวช ปลงผม นุ่งห่มจีวร ถือว่าถือแบรนด์เนมของพระพุทธเจ้า แต่ก็ยังไม่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า 100% ถือว่าเป็นผู้ยังหลอกลวงอยู่ ศีล ๕ ก็ไม่ได้ อย่างนี้ธรรมะมันจะเกิดได้อย่างไร
ทุกท่านทุกคนต้องใจเข้มแข็งอย่าไปใจอ่อน ถ้าเราใจอ่อน สัมมาสมาธิของเรามันจะไม่มีไม่เกิด เราก็ไม่ได้ต่อยอด สืบทอดให้พระพุทธเจ้า ความรู้ของเรามันก็ไม่ได้สู่ลูกสู่หลาน เพราะว่าไม่ได้เป็นตัวอย่าง แบบอย่าง ต้องลองบังคับตัวเองนะ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เข้มข้น ไม่เคร่งครัด ไม่เคี่ยวเข็นอย่างนี้ มันก็ไม่ได้ อย่าไปคิดว่าปล่อยวาง ไปตามใจ มันจะได้ อันนั้นมันปล่อยวางจริง ปล่อยวางมรรคผล ปล่อยวางพระนิพพาน ปล่อยวางศีล สมาธิ ปัญญา เอาแต่ตัว เอาแต่ตน มันต้องปฏิบัติติดต่อกันหลายวัน หลายเดือน หลายปี เราดูตัวอย่างพระสารีบุตร เป็นพระอรหันต์แล้วท่านอาพาธ คุยกับพระโมคคัลลานะว่า เมื่อสมัยก่อนได้ฉันข้าวยาคู ที่โยมแม่ทำให้ เทวดาเมื่อได้ยินก็ไปบอกประชาชนให้ทำอาหารนั้น พระสารีบุตรก็รู้ว่าอันนี้มันเกิดจากที่เราคุยกัน ไม่ยอมฉัน เพื่อรักษาพระวินัยเป็นตัวอย่างแบบอย่างของกุลบุตรลูกหลาน อย่างพระมหากัสสปะก็ทรงธุดงควัตร ทั้งที่ท่านก็เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็เพื่อประโยชน์ของกุลบุตรลูกหลาน เราก็ต้องพากันมาคิดบ้าง ประโยชน์ของกุลบุตรลูกหลาน ถ้างั้นนะ มันจะไม่ได้ มันจะไปในแนวเพี้ยนกันทั้งหมด เหมือนครูบาอาจารย์ทุกวันนี้ก็พากันเพี้ยน เพี้ยนจากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะความอร่อยของกาม มันเล่นงาน เราทุกคนสมควรนะ สมควรที่จะมาแก้ไขตัวเอง ถ้าเราตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง 100% มันก็หมด เดี๋ยวมันก็ไม่เหลืออะไร มรรคผลนิพพาน มันก็ศูนย์เปล่าไปจากโลกนี้ เพราะไม่มีการประพฤติไม่มีการปฏิบัติ เพราะว่าไม่มีเหตุ การเผยแพร่ล้มเหลว ก็เพราะว่ามันล้มเหลวจากผู้ที่เผยแพร่เอง
เรามันจะรู้ในตัวว่าตัวเองเที่ยงแท้แน่นอน มีสัมมาทิฏฐิเที่ยงแท้แน่นอน ในการสมาทาน ถ้าเรายังลังเลอยู่ เป็นพระคุณเจ้ายังลังเลอยู่ว่าจะใช้โทรศัพท์ดีหรือไม่ใช้โทรศัพท์ดี อย่างนี้ ถ้าผู้ที่มีความจำเป็นที่จะใช้อย่างเจ้าคณะต่างๆเพื่อสื่อสารในการบริหารคณะสงฆ์ อย่างนี้ก็ จิตใจต้องมีสติ มีปัญญา มีความเที่ยงแท้แน่นอน ถ้าไม่งั้นมันไม่ได้หรอก กินดิบๆ สุกๆ แต่จะมาให้หลวงพ่อยืนยันว่าเค้าเที่ยงแท้แน่นอนหรือป่าว อันนี้รู้ตัวเองเที่ยงแท้แน่นอน ก็รู้มีการปฏิบัติติดต่อกันไปเรื่อยๆ หลวงพ่อบอกว่าไม่ต้องไปมีโทรศัพท์อย่างนี้ ก็มองหน้ามองหลัง ตับจะแตกตาย อย่างนี้โสดาบันมันก็ไม่ได้ ได้แต่โซดาสิงห์ๆๆ
อย่างนี้แหละมันต้องไปจากจิตจากใจ จากความตั้งใจเจตนา มันจะได้แน่นอนเด็ดขาด เราปลูกผักผลไม้ มันก็ต้องปลอดสารพิษ พิษหรือไม่พิษเราก็รู้อยู่แล้ว จิตใจของเราที่จะอันนี้ได้ก็ต้องใจที่บริสุทธิ์ ต้องออกจากใจ ออกจากพระนิพพาน เราน่ะเป็นเจ้าอาวาส เป็นประธานสงฆ์เราก็ยังเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ ไปบอกพระเณรมันก็ไม่เชื่อหรอก เพราะเราไม่ได้เหาะให้เค้าดู ถ้าเราแน่จริงก็เหาะให้ดูซิ พระสายปฏิบัติพากันเหาะให้ลูกศิษย์ดูซิว่า ไม่มีโทรศัพท์ จะไปว่ามีโทรศัพท์ก็ได้ เพราะว่าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น เดี๋ยวนี้ก็มันเริ่มอวดอุตริมนุษธรรม อย่างนี้แหละ มันไม่ถูกต้อง มันต้องทำให้ถูกต้องทั้งรูปธรรม นามธรรม เหมือนพระพุทธเจ้าทำให้ดู นี้ละไม่มีใครเหาะให้ลูกศิษย์ดูสักคน ตาทิพย์ก็ยังไม่มี หูทิพย์ มีแต่ฮัลโหลทราบแล้วเปลี่ยน จะไปเอาอะไรเรื่องมรรคเรื่องผล มันไกล มันต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติก่อน ต้องมรรคก่อนมันถึงมีผล ศีลไม่มีเลยจะไปเอาสมาธิ เอาปัญญาที่ไหน ไม่ทันได้เสียสละอะไร
พวกที่ยังไม่ได้บวชก็ยังไม่เข้าใจ คิดว่าถ้ามันจะได้ผล มันต้องพากันมาบวช อันนี้เรายังไม่เข้าใจ เพราะการปฏิบัติธรรมมันคืออริยมรรคมีองค์ ๘ ยังไม่เข้าใจศาสนา มันต้องมีการประพฤติ มีการปฏิบัติ ถ้าเราเน้นที่ใจ เน้นที่เจตนาน่ะ เราจะรู้เลยว่าศีลของเราบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ คนเรามันปกปิดคนอื่นได้ มันหลอกคนอื่นได้แต่มันปกปิดตัวเองไม่ได้ หลอกตัวเองไม่ได้ การรักษาศีลของเรา ก็เพื่อให้ตัวเองกราบตัวเองได้ ไหว้ตัวเองได้ เพราะว่าตัวพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั่นคือศีล ศีลนั้นคือความบริสุทธิ์ผุดผ่อง คือ สถานที่ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง อาการที่มันไม่เห็นความสำคัญในศีลคืออาการของตัวของตนน่ะ นักปฏิบัติไม่ว่าพระไม่ว่าโยมบางทีมันประมาทไป เมื่อศีลมันไม่ดีน่ะ สมาธิที่มันเป็นธรรมชาติที่ไม่เข้าไม่ออก ที่เป็นพื้นฐานของสมาธิมันไม่เกิดน่ะ
ถ้าเราศีลดี สมาธิมันก็เกิดมีโดยธรรมชาติ สมาธิก็แปลว่าไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นจิตใจที่ว่างจากนิวรณ์ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องน่ะ ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะรวมกันเป็นหนึ่งไปตลอด เรามาบวช เรามาปฏิบัติ ถ้าเราไม่เอาจริงไม่เอาจัง เราไม่ตั้งใจ มันไม่ได้ผล ทำให้เราเสียเวลา ทำให้เราแก่ไปเปล่าๆ การมาบวชของเรานี่ไม่มีประโยชน์น่ะ ไม่ตรงเป้าหมายของพระพุทธเจ้าที่ท่านสั่งสอนสำหรับผู้ประพฤติพรหมจรรย์ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าทุกคนปฏิบัติได้หมด ไม่เลือกชาติไม่เลือกตระกูล ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ หรือไม่ว่างจากผู้หมดกิเลส พระนิพพานมันไม่ใช่เรื่องไกล สำหรับเราถ้าตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ท่านไม่ให้เราลูบๆ คลำๆ มันเป็นสีลัพพตปรามาส
สำหรับผู้ที่บวชระยะสั้นหรือญาติโยมที่พากันมาอยู่วัดถือศีล ครูบาอาจารย์ก็ให้ตั้งอกตั้งใจ ให้ทำเหมือนกันให้ปฏิบัติเหมือนกัน ให้มุ่งมรรคผลนิพพานเหมือนกัน อย่าไปคิดว่าอีกไม่นานเราจะสึกอยู่ หรืออีกไม่นานเราจะกลับบ้าน เมื่อเรามาอยู่วัดปฏิบัติธรรม เราต้องปฏิบัติให้เต็มที่ ทุกท่านทุกคนมีความอยากมีความต้องการแต่ไม่อยากปฏิบัติ มันจะเกิดประโยชน์อะไร เพราะการปฏิบัติของเรามันไปขอเอาไม่ได้ มันไปอ้อนวอนเอาไม่ได้ ทุกๆ คนแต่งตั้งเราไม่ได้ เราต้องปฏิบัติเอาเอง
พระพุทธเจ้าท่านให้เราเห็นภัยในวัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิดถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเราไม่เกิดมาปัญหาก็ไม่มี ที่ปัญหามันมีเพราะว่าเราเกิดมา มันจะเกิดได้ต่อไปก็เพราะว่าเราไปทำตามความหลง หลงในตัวในตน หลงในสิ่งภายนอก
เดี๋ยวนี้ทุกคนถือว่ายังหันหลังให้พระพุทธเจ้าอยู่ ถ้ายังไม่ละสังโยชน์ ๓ ถือว่ายังหันหลังให้พระพุทธเจ้า เมื่อรู้ว่ามันดีรู้ว่ามันถูก เราไปมัวลังเสสงสัยอยู่ไม่ได้ ถ้าเรารู้แล้วเราไม่ประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญามันไม่เกิดหรอก เพราะความรู้ที่ดูจากหนังสือ ฟังจากผู้อื่น มันเป็นเพียงความรู้ มันเป็นเพียงปริยัติ ยังไม่ใช่ขั้นปฏิบัติ แล้วปฏิบัติกว่าจะเป็นปฏิเวธได้ก็ไม่เรื่องน้อยๆ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง มันเกิดที่เหตุ เราต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้ถึงพร้อม อนาคตที่จะสดใสจะก้าวหน้าสว่างไสวคือปัจจุบันที่เรากำลังคิดดี พูดดี ทำดี มีศีลที่เรากำลังประพฤติปฏิบัติเนี่ยเป็นที่ตั้ง อนาคตคือฐานของวันนี้ที่จะให้เราก้าวไป เมื่อจิตใจมันตรึกนึกคิดในสิ่งไม่ดี คือจิตใจที่จะนำเราไปสู่ความตกตํ่านะ ปฏิบัติไปก้าวไปข้างหนึ่งแล้วก็ถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่ง มันก็แปลว่าปฏิบัติไม่ไปไม่มา
ความไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปของเรานี่มันยังใช้ไม่ได้ กิเลสมันยังมากอยู่ มันยังกล้าคิด กล้าปรุง กล้าแต่ง มันจำเป็นต้องตัด ต้องละ ต้องวาง มันจะไปอ่อนไปแอเหมือนที่ผ่านๆ มาใช้ไม่ได้ ใจของเรานั่นน่ะที่มันคิดไม่ดี ตรึกอะไรไม่ดี คนอื่นเขาไม่รู้เขาไม่เห็น ตัวเรามันรู้มันเห็นนะ มันเป็นความคิดที่ไปห้ามพระนิพพาน มรรคคือข้อปฏิบัติ ท่านต้องเดินไปก้าวไปข้างหน้า รู้ว่ามันผิด รู้ว่ามันคิดก็อย่าไปทำ เจริญสติให้มันถี่เข้า จิตที่ส่งออกไปข้างนอก คือจิตที่จะนำเราไปเกิดในวัฏสงสาร จิตที่เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา จิตที่รู้จักอารมณ์รู้จักความคิด ตั้งมั่นไว้ให้ดี คนเราคิดมากก็ทุกข์มาก คิดน้อยก็ทุกข์น้อย ฝึกให้จิตใจของเรามันเป็นหนึ่ง ผู้ถือประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ต้องถือจิตใจที่เป็นหนึ่ง
การประพฤติปฏิบัติธรรมเราจะเดินจะเหินจะนั่งจะนอนเราต้องทำจิตใจเป็นหนึ่ง จิตที่เป็นหนึ่งเป็นจิตที่ไม่ปรุงแต่ง จิตที่เป็นมรรคเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ตาเห็นรูป หูฟังเสียงที่มันมาสัมผัส ก็เป็นสักแต่ว่า อย่าให้เป็นสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา ฝึกไว้ปฏิบัติไว้ให้ใจของเราเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา คือ ข้อปฏิบัติคือทางสายเอก ต้องจิตใจเป็นหนึ่ง จิตใจตั้งมั่น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่านี้คือหนทางสายเอกของเรา ให้ทุกท่านทุกคนให้กลับมาหาตนเอง กลับมาแก้ไขตนเอง ชีวิตของเราจะได้เปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี ถึงจะยากถึงจะลำบากก็ช่างหัวมัน ถ้ามันลำบากมันได้ดีนะ ถ้ามันสบายมันไม่มีประโยชน์อะไร เราจะไปสบายมันทำไม พระพุทธเจ้าให้เราพากันปฏิบัติอย่างนี้นะ สำหรับผู้ที่บวชเป็นพระที่จะไปพระนิพพานกัน ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติเอง เราก็คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้มันคงเป็นนิยายมั้ง เขียนมาส่งเดชเฉยๆ มั้ง
ถ้าเรามีการประพฤติปฏิบัติ มันก็เป็นเรื่องง่ายๆ เรื่องใกล้ตัว มันเรื่องของเรา ทุกท่านทุกคนมีศักยภาพมีความสามารถ ที่มันยังขาดอยู่ก็คือการประพฤติปฏิบัติ นั่งสมาธิอย่างนี้ก็ให้ตั้งใจให้เข้าสมาธิให้ได้ ให้มันข้ามนิวรณ์ความง่วงเหงาหาวนอน จิตใจให้ตั้งมั่นสว่างไสว อย่าให้มันหลับในบ่อย มันทำให้จิตไม่มีกำลัง พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาความสุขกับการง่วงเหงาหาวนอน ให้ทำใจเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา การเดินบิณฑบาต การทำอะไรให้มันตั้งใจตั้งมั่นกับทุกๆ ท่าน การทำกิจวัตรต่างๆ เราพากันมาเน้นข้อวัตรปฏิบัติ มาเน้นมรรคผลนิพพานกัน ให้มีความสุขกับการปฏิบัติกันจริงๆ เราจะหลบทางซ้ายหลบทางขวาหลบหน้าหลบหลังไม่ได้ มันเป็นงานเป็นหน้าที่ของทุกท่านทุกคน ต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผลเพื่อนิพพาน ลาภยศสรรเสริญนี่มันไม่ใช่ของเรา มันไม่ใช่ของสำหรับเรา คนเราจะตีค่าด้วยลาภยศสรรเสริญ ด้วยข้าวของเงินทองมันไม่ได้ เราไม่ได้มามุ่งมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ เป็นพระต้องมุ่งมรรคผลนิพพาน เป็นโยมจะคิดว่ามุ่งมรรคผลนิพพานมันไม่ได้ มันได้นะ เราเป็นโยมเราต้องมุ่งมรรคผลนิพพานเพราะมันไม่ใช่เรื่องของกาย จะบวชหรือไม่บวช ถ้าปฏิบัติตามก็ได้มรรคผลนิพพานกันทั้งนั้น การปฏิบัติมันเหมาะสำหรับพระ เราก็ปฏิบัติเป็นพระได้ พระสมมติก็เป็นพระจริงๆ ได้
เราอยู่บ้านอยู่ที่ทำงานก็ต้องตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เพราะเราหาอยู่หากินตั้งแต่อนุบาลจนถึงตาย สุดท้ายเราก็ไม่ได้อะไร มาตัวเปล่าไปตัวเปล่า ทรัพย์สมบัติภายนอกก็ทิ้งไว้ สุดท้ายท่านก็ได้แขกผู้มีเกียรติมาทอดผ้าบังสุกุลให้ท่าน
ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ ทั้งพระทั้งโยมทั้งอยู่วัดอยู่บ้าน การประพฤติปฏิบัติอย่างนี้เขาเรียกว่าปฏิบัติบูชาไม่ใช่อามิสบูชา ตัวศีลนั่นแหละคือพระพุทธเจ้า ตัวไม่โลภไม่โกรธไม่หลงนั้นแหละคือพระพุทธเจ้า การที่เราทำความเพียรสร้างมรรคสร้างปัญญาคือตัวที่จะทำให้เราเป็นพระ
ทุกท่านทุกคนอย่าถือว่าตัวเองเก่ง อย่าถือว่าตัวเองฉลาดว่าไม่กลัวไฟ อยากเล่นกับไฟ ถ้าเราคิดอย่างนั้นเราทำอย่างนั้น ชื่อว่าเรายังประมาทอยู่ มันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับพระใหม่หรือว่าเพื่อนๆ ผู้ประพฤติปฏิบัติ
อย่าไปกดตัวเองข่มตัวเองว่าตัวเองมีบุญน้อย มีวาสนาน้อย ไม่มีบารมี คงจะบำเพ็ญบารมีมาแต่ปางก่อนน้อย ถ้าเราไปคิดอย่างนั้น มันทำให้ตัวเองท้อแท้ถดถอยหมดกำลังใจ อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วมันจะดีมันจะชั่ว เราก็แก้ไขไม่ได้
ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ทำได้ ให้เน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันให้เต็มที่ กิเลสมันเก่งอวิชชามันเก่ง มันเสี้ยมมันสอนเรา ถ้าเราไม่จับหลักให้ได้ดีๆ น่ะ เดินตามพระธรรมพระวินัยอย่างแท้จริง มันสู้กิเลส สู้อวิชชาไม่ได้น่ะ ใจของเรามันเคยชินกับเรื่องเก่าๆ มันชอบจะย้อนกลับไปที่เก่าบ้านเคยกินถิ่นที่อยู่ภพที่พักอาศัย มันอาลัยอาวรณ์ จึงต้องมีจิตใจที่หนักแน่นเข้มแข็ง ไม่ตรึก ไม่นึก ไม่คิดในสิ่งที่เป็นบาปเป็นอกุศล พระพุทธเจ้าท่านอุทานตอนที่ท่านตรัสรู้ ความตรึกนึก คิดอย่างนี้นะ ข้ารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าจะมาทำบ้านทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป หมายถึงวัฏสงสารที่มันจะเกิดในจิตในใจของเรา ให้เรารู้มัน ให้เราตัดมัน ให้เราหยุดมัน ความเอร็ดอร่อย ความยินดีต่างๆ นะให้เราหยุดมัน พระพุทธเจ้าพาเราประพฤติปฏิบัติ พาเราเดินอย่างนี้ พาเราปฏิบัติอย่างนี้ ทางอื่นไม่มี เน้นที่จิตที่ใจ เน้นที่ตัวเราโดยเฉพาะ ตัดเรื่องภายนอกออกหมด มาเอาเรื่องภายใน
ถ้าเราจะปฏิบัติอย่างนี้ มันจะไม่เครียดจนเกินไปเหรอ เพราะเราไปจี้มันเกินไป บ้าจี้มันเกิน เคร่งเกินไหม ปฏิบัติธรรมนะมันไม่มีความเครียดหรอก ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งสงบ ยิ่งใจเย็น ยิ่งไม่ฟุ้งซ่าน เพราะธรรมะมันเป็นความสงบ เป็นความเย็น ไม่มีทุกข์ไม่เครียด เป็นการปล่อยเป็นการวาง เปรียบเสมือนเราวิ่งมาจากไหน แล้วเราหยุดวิ่ง เปรียบเสมือนเราแบกของหนัก เราไม่เคยปล่อยเราไม่เคยวาง นี่เราวางเราก็ไม่หนักนะ เรามาปล่อย เรามาวาง เรามาสงบ เราเอาใจมาเข้าถึงนิพพาน เรามาเข้าทางพระนิพพาน มันไม่เครียด มันไม่วุ่นวายเหมือนที่คิดเอา เรามาหยุดความเครียด เรามาหยุดความวุ่นวาย เพราะการเกิดทางร่างกายมันตั้งหลายสิบปีมันถึงตาย แต่การเกิดทางจิตใจวันหนึ่งตั้งหลายหน เกิดแล้วก็ตายๆ มันเผาเราตลอด นักปฏิบัตินะ ถ้าเราเดินตามรอยของพระพุทธเจ้าแล้ว เราไม่ต้องกลัวเราทุกข์ ไม่ต้องกลัวเรายาก ไม่ต้องกลัวเราลำบาก ไม่ต้องกลัวเราเครียด เพราะเราทำเพื่อหยุด เราทำเพื่อเย็น เราทำเพื่อปล่อย เราทำเพื่อวาง เราทำเพื่อไม่มีตัว เราทำเพื่อไม่มีตน เราทำเพื่อไม่เอา เพื่อไม่มี เพื่อไม่เป็น
สิ่งที่มันมีปัญหาเพราะเราเอา เพราะเรามี เพราะเราเป็น เพราะมันได้ เพราะมันเสีย อวิชชาคือกิเลส มันเลยเผาเรา ขอให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจว่าการปฏิบัติที่ถูกต้องมันจะไม่มีความเครียด การทำความเพียรทางด้านจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าให้เราประพฤติให้เราปฏิบัติอย่างนี้ เน้นปฏิปทาให้สม่ำเสมอ
สมํ่าเสมอคือไม่ได้เดิน นั่ง นอน อย่างละเท่ากัน ไม่ใช่อย่างนั้น คือเน้นที่จิตใจนะ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีพระนิพพานในหัวใจ อย่าได้มีเรา อย่าได้มีตัว อย่าได้มีตน อย่าได้มีหญิง อย่าได้มีชาย ให้มีแต่สักแต่ว่ามันเกิดขึ้น มันตั้งอยู่ มันดับไป บางอันก็ดับเร็ว บางอันก็ดับช้า มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป เพราะทุกอย่างมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนะ ให้ใจของเราเป็นหนึ่ง ให้ใจของเราเป็นเอกัคคตารมณ์ ให้ใจของเราเป็นวิมุตติ ให้ใจของเรามันหลุดมันพ้น ให้ปฏิบัติของเรา ให้มีความเพียรของเราไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ ปฏิปทาอย่างนี้นะ ทำไปทุกๆ วัน จนกว่าเราจะไม่มีเรานะ การประพฤติการปฏิบัติธรรม ถ้าเราทำไปทุกๆ วัน มันก็ยิ่งสบาย มันยิ่งหมดปัญหา ธรรมะมันเป็นเรื่องธรรมดานะ อย่าขี้เกียจ อย่ามีข้ออ้าง ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้านมันไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีเหตุผลที่จะมาห้าม มันเหนือเหตุเหนือผลที่จะมาอ้าง มันไม่ใช่เรื่องมรรคผลนิพพาน
การประพฤติปฏิบัติมันต้องเหนือเหตุเหนือผลที่เอาออกมาโต้แย้ง ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่ออยากใหญ่อยากดัง การกระทำของเราอย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง ถ้าเรามาอยากใหญ่อยากดัง อยากจะมีชื่อเสียง เพื่อให้เขาสรรเสริญเยินยอ เพื่ออารมณ์สวรรค์หรือเพื่อการกระทำในสิ่งที่หยาบๆ ในสิ่งที่ต่ำทราม ก็ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันไม่เป็นความเจริญ มันเป็นความเสื่อม มันเป็นความเครียดนะ เพราะว่าเป็นการคอยรับรางวัลจากคนอื่น มันคอยให้คนอื่นแต่งตั้ง เมื่อเขาว่าดีมันก็พอง เมื่อเขาว่าไม่ดีมันก็ยุบ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้อง มุ่งมนุษย์สมบัติ มุ่งสวรรค์สมบัติ ที่มันมีความเครียด มีได้มีเสีย มีเจริญมีเสื่อม แต่ถ้าเรามุ่งพระนิพพาน เพื่อปล่อย เพื่อวาง มันจะมีความเครียดไปได้อย่างไร มันไม่มีเหตุไม่มีผลจะทำให้มันเครียด ยิ่งทำไป ยิ่งสงบ ยิ่งเย็น ยังไม่ตายมันก็ได้รับความสุข
เหมือนพระอรหันต์รูปหนึ่งตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ท่านได้บรรลุธรรม ท่านมีความสุข ท่านเดินไปท่านก็พูดออกมาว่าสุขหนอๆ นักประพฤติปฏิบัติมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ จะเอาเงินเอาทองเอาลาภยศสรรเสริญมาตีค่าตีราคากับพระนิพพาน มันเทียบกันไม่ได้น่ะ เหมือนครูบาอาจารย์ที่ท่านมีหัวใจเป็นพระนิพพาน มันจะไม่ยินดีในเรื่องโลกๆ มีโบสถ์ก็ใหญ่ๆ มีอะไรมันใหญ่ๆ สวยๆ งามๆ เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องพระศาสนา มันไม่ใช่เรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเมตตาสร้างบารมีมาตั้งหลายอสงไขยมาโปรดเรามาสอนเรา พระพุทธเจ้าท่านไม่ยินดีกับการกระทำของเรา ที่เราพากันมามีมาเป็นแล้วก็พากันมาหลงนะ ถ้าท่านพูดท่านคงพูดว่าน่าสลดสังเวชจังเลย ที่พวกนี้พากันมาหลงอยู่นี่ เราอุตส่าห์พร่ำสอนเสียสละแต่พากันมาหันหลังให้พระพุทธเจ้า มันเป็นเรื่องสลดสังเวชน่าหดหู่ พระพุทธศาสนามันจะเสื่อมจะหมดไป ถ้าเราไม่ทำตามพระพุทธเจ้า นี่มันต้องหมดไปมันต้องเสื่อมไปจริงๆ นะ เพราะพระผู้บวชเก่ามีความเห็นผิด มีการกระทำผิด พากุลบุตรลูกหลานปฏิบัติไม่ถูกต้อง มาแข่งกันไปในทางที่ไม่ถูก ไม่ได้แข่งกันในการรักษาศีลในการทำสมาธิ ไม่ได้แข่งกันในการทำความเพียร
ที่มันเสื่อมก็เน้นไปที่ประธานสงฆ์เจ้าอาวาสอุปัชฌายาจารย์นี้สำคัญ ถ้าครูบาอาจารย์พาประพฤติปฏิบัติเข้มข้นเคร่งครัด พระเณรมันเกเรอยู่ไม่ได้หรอก มันต้องปฏิบัติ ประธานสงฆ์ก็ดี เจ้าอาวาสก็ดีหรือผู้บวชมาหลายพรรษาก็ดี มันต้องเสียสละให้มากกว่านี้นะ เพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่อเป็นแบบอย่าง เพราะการพูดให้ฟัง การเทศน์ให้ฟังหลายร้อยหลายพันครั้ง ก็ไม่สู้การประพฤติปฏิบัติให้ดู คนดูมันอยู่ด้วยกันหลายวัน มันก็รู้กันว่าใครเป็นอย่างนู้นใครเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องอวดไม่ต้องคุยมันก็รู้ เราอย่าอยากเป็นคนมีบารมี มีลูกศิษย์ลูกหาเดินตามข้างหลังเป็นขบวนนะ ถ้ามีลูกศิษย์ลูกหาเต็มขบวน แล้วในจิตใจของท่านนั้นเป็นยังไง มันปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลงรึยัง ท่านทำไปเพื่อต้องการอะไร ยังไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี ลูกศิษย์ลูกหาของท่านก็รู้เองว่าท่านไม่มีอะไร ท่านเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาด พูดได้ดีพูดได้เพราะท่านเป็นคนเรียนมาก เป็นพหูสูต ท่านน่าจะเอาความรู้เอาความสามารถมาประพฤติปฏิบัติตนตามพระพุทธเจ้าจริงๆ เดินตามรอยพระพุทธเจ้าจริงๆ มันถึงจะมีประโยชน์ มันถึงจะเกิดประโยชน์ยั่งยืนและถาวร
ที่ท่านปฏิบัติงานไปท่านเครียด เพราะใจของท่านมันไม่มีนิพพาน มีแต่โลกธรรม หัวใจมันมีแต่ความเจ็บความช้ำ มันมีแต่รอยบาดรอยแผล พระพุทธเจ้าให้ท่านสลัดโลกธรรมออกจากใจ ก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะได้ตรัสรู้ นายโสตถิยพราหมณ์ เอาหญ้าแฝก ๘ กำมาถวายพระพุทธเจ้าเพื่อให้นั่งบัลลังก์ขัดสมาธิ ความหมายก็คือพระพุทธเจ้านั่งทับโลกธรรม ไม่ให้โลกธรรมมามาเหยียบย่ำหัวใจ สิ่งที่แล้วก็แล้วมา สิ่งที่แล้วไปก็แล้วไป พระพุทธเจ้าให้เราเอาใหม่ตั้งใจใหม่ อย่าไปทำอย่างเก่านะ
ความเครียด ความเศร้าหมองมันจะได้หายออกจากไป ไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี มันก็หายจากไปได้ พระพุทธเจ้าให้เรากลับใจกลับตัว สิ่งที่ผ่านๆ มามันถือเป็นบทเรียน เป็นประสบการณ์ทำให้เราเห็นทุกข์เห็นภัยเห็นโทษ ว่าการปฏิบัติของเรามันผิด มันเครียด มันเศร้าหมอง ทำให้คนมีปัญญากลายเป็นคนไม่มีปัญญา ถ้าเราไม่เห็นทุกข์ ถ้าเราไม่เจ็บไม่ช้ำ มันก็ไม่จำ คนเรานะกว่าจะรู้ มันเป็นประสาทไปตั้งหลายครั้ง บางทีขนาดเป็นประสาทไปตั้งหลายครั้ง มันยังไม่จำมันยังไม่เห็น
พระพุทธเจ้าให้เราทุกท่านทุกคนให้พากันเห็นทุกข์เห็นภัยในวัฏสงสาร ให้เห็นเหตุแห่งทุกข์ ให้เห็นความดับทุกข์ ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้ปฏิบัติให้เราได้ นอกจากเราปฏิบัติเอาเอง เป็นอันว่าเราเป็นผู้มีบุญมีวาสนามีบารมีเป็นคนโชคดี ที่ได้ปฏิบัติตามรอยบาทขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ให้แสงสว่างให้ความดับทุกข์ดับโศกของมหาชนทั้งหลาย ท่านเป็นผู้ที่มีเมตตาอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้น้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนไปเป็นแนวทางปฏิบัติด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ…