แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๖๒ ต้องยืนหยัด หนักแน่น ตั้งมั่นในปฏิปทาของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ อย่าให้เพี้ยนไปมากกว่านี้
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ผู้ที่ถือศาสนาพุทธส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จักศาสนาพุทธ ผู้ที่ถือศาสนาคริสต์ ก็ยังไม่รู้จักศาสนาคริสต์ ผู้ถือศาสนาอิสลามส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้จักศาสนาอิสลาม ผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ซิกซ์ ก็ยังไม่รู้จักศาสนาของตนอย่างลึกซึ้ง ศาสนาคือ ธรรมะ ไม่ใช่นิติบุคคล ตัวตน เราเขา เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม มรรคผลนิพพานก็ไม่พากันรู้จัก คิดว่า มรรคผลนิพพาน มันหมดสมัยเเล้ว มันล้าสมัยเเล้ว ศาสนาคือ ธรรมะ เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม มรรคผลนิพพาน นี้อยู่ที่ปัจจุบัน เป็นหลักเหตุหลักผล เป็นวิทยาศาสตร์ ที่เหนือวิทยาศาตร์ยิ่งๆ ขึ้นไปเพราะประกอบด้วยปัญญา คือ ความวิมุตติหลุดพ้น เป็นการพัฒนาเป็นวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งกายทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เป็นหลักเหตุหลักผล ที่มันเลื่อนไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันต้องมี ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นถึงเกิดจากเหตุ มรรคผลนิพพานนั้น ถึงไม่หมดสมัย ไม่ล้าสมัย ยิ่งพัฒนาวิทยาศาสตร์ ก็ยิ่งพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ที่ตัดสินว่า “ไม่รู้” เพราะสาเหตุมาจาก ความประพฤติ การกระทำ ของหมู่มวลมนุษย์ในปัจจุบันนี้ ถ้าเข้าใจเเล้ว มนุษย์ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ จิตใจย่อมไม่มีความโลภ มีเเต่ความสุขในการเสียสละ ไม่ประพฤติผิดไปจากธรรมะ ที่เรียกว่า ประพฤติผิดไม่ไปหลงในกาม
ผู้ที่ยังเดินทาง ยังไม่ไปสู่ความดับทุกข์ที่ถาวร พากันเน้นที่ปัจจุบัน เราดูการเรียนการศึกษา เราก็ยังไม่รู้จักเลย เรียนเพื่อเอาใบประกาศ เอายศเอาตำเเหน่ง ไม่ได้เรียนเพื่อรู้เพื่อเสียสละ ถ้ามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง จะไม่ยินดีในการรับเงิน รับสตางค์ ไม่ยินดีในผลตอบเเทน เหมือนลูกชายเศรษฐี ที่เศรษฐีจ้างให้ไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจเเล้ว ทีนี้ เศรษฐีจะให้เงินลูกชาย ลูกชายไม่ยอมเอาเลย เพราะสิ่งที่เหนือเงินเหนือสตางค์ คือ พระธรรมคำสั่งสอน
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีมีลูกชายคนหนึ่ง ชื่อ กาละ แปลว่า กาลเวลา แต่นายกาละก็เหลือเกิน คล้ายลูกเศรษฐีบางคน คือ พ่อศรัทธาในพระพุทธศาสนาแต่ลูกไม่ศรัทธาเลย พ่อไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ลูกไม่อยากเข้าเฝ้า เพราะเดี๋ยวท่านก็จะพูดว่าสังขารไม่เที่ยง อย่างนี้เป็นปฏิกูล มีความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดา ไม่อยากฟังหรอก ยังหนุ่มอยู่ นายกาละเหมือนวัยรุ่นสมัยนี้ แถมเป็นลูกเศรษฐีด้วย ไม่อยากพบพระพุทธเจ้า ไม่ปรารถนาจะฟังธรรม ไม่ปรารถนาแม้กระทั่งจะไปอุปัฏฐากพระภิกษุสงฆ์ เวลาท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนิมนต์พระมา ๒, ๐๐๐ รูป อาสนะปูไว้ ๒, ๐๐๐ ที่ ลูกกาละมาถวายภัตตาหารพระ ก็ไม่เอาอย่างเดียว
แม้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้เป็นบิดาจะบอกว่า ลูกทำอย่างนั้นไม่เหมาะ การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระทั่งพระสงฆ์ที่มาไม่ใช่ง่ายเลย การเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่ของง่าย การได้ฟังธรรมไม่ใช่ง่าย แต่ลูกไม่เชื่อฟังเลย ท่านเศรษฐีกลัวว่า ถ้าลูกเราเป็นอย่างนี้ เอาแต่สนุกเฮฮา โดยคิดว่าตัวเป็นลูกเศรษฐี เดี๋ยวคงได้ตกนรกแน่ คิดอยู่เสมอ ท่านไม่อยากให้ลูกท่านตกนรก เพราะฉะนั้น จะให้ลูกของเราไปตกนรกไม่ได้เด็ดขาด ทำอย่างไรจะหาแรงจูงใจให้ลูกได้เข้าวัด ถ้าเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ฟังธรรม
ท่านเศรษฐีนึกได้ว่า ปกติมนุษย์ที่ยังมีกิเลสอยู่ ไม่มีใครที่ปฏิเสธทรัพย์ ต้องการอยากได้ทรัพย์สมบัติทั้งนั้น เราคงจะต้องใช้ทรัพย์ทำลายความเห็นผิดของลูก คิดอย่างนั้นแล้วจึงเรียก กาละ ลูก เอาอย่างนี้ เดี๋ยวพ่อจะจ้างลูกสัก ๑๐๐ กหาปณะ ให้ลูกไปวัด รักษาอุโบสถศีล ไปแค่นี้แล้วก็กลับมา
กาละถามว่า พ่อจะให้เงินผมจริงหรือ จริงลูก ท่านเศรษฐียืนยันถึง ๓ ครั้ง ว่าเอาไปเลย ๑๐๐ กหาปณะ ถ้าลูกไปวัด ตั้งใจสมาทานอุโบสถศีล นายกาละไปวัดเพราะไม่ได้หวังบุญ แต่หวังเงิน ๑๐๐ กหาปณะ คิดในใจว่า เดี๋ยวเราจะไปเข้าเฝ้าได้ ๑๐๐ กหาปณะ ดีใจเดินอย่างเบิกบานไปวัดเชตวัน เดินไปวัด แล้วไปหาที่รื่นรมย์ หามุมสบายนอน ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้คิดเรื่องบุญ เรื่องศีล พระบอกให้สมาทานอุโบสถศีลก็เอารับๆ ไปอย่างนั้นเอง ที่จริงต้องการเงินมากกว่าไปแอบนอน ณ มุมใดมุมหนึ่งในวัดพระเชตวัน ถืออุโบสถ พอถึงเช้าก็กลับบ้าน
พอเห็นลูกกลับมาก็บอกว่าให้บริวารไปรับ ไปจัดเตรียมอาหาร มีข้าวต้ม หรือมีอะไรก็เอามาเลี้ยงลูกชาย กลับจากถืออุโบสถศีลแล้ว บริวารก็นำอาหารมาให้นายกาละ นายกาละยกมือ ที่ตกลงกันไม่ใช่ตรงนี้ ถ้ายังไม่ได้ ๑๐๐ กหาปณะก็ยังไม่รับประทานอาหาร ได้รับเงินเสร็จแล้วจึงยอมรับประทานอาหาร
วันรุ่งขึ้นเศรษฐีคิดใหม่ ลูกกาละ วันนี้เอาไป ๑,๐๐๐ กหาปณะ ขอไปนั่งฟังธรรมอยู่ข้างหน้าพระบรมศาสดา แล้วเรียนมาสักข้อหนึ่ง จำให้ได้แล้วกลับมาเล่าให้พ่อฟัง นายกาละรีบไปวัดพระเชตวัน ต้องการแค่เงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ ไปถึงก็นั่งหน้าเลยด้วยใจเบิกบาน แล้วก็ตั้งใจว่าจะจำธรรมะเพียงข้อเดียวพอ ถ้าจำได้แล้วก็กลับเลย
นายกาละฟังธรรมด้วยความตั้งใจว่า เราจะต้องจดจำหัวข้อธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนี้ให้ได้ พระพุทธเจ้าทรงทำให้นายกาละจำไม่ได้อีก เพื่อจะให้นายกาละเปลี่ยนความคิดว่า มาฟังธรรมะเพื่อจะเอาเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ ก็ทำให้นายกาละตั้งใจฟังธรรมเพิ่มเข้าไปอีก เราต้องจำให้ได้ ธรรมดาสมัยนั้น ใครฟังธรรมด้วยความตั้งใจแล้ว ย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้ฟังธรรมด้วยความเคารพ
การเป็นผู้ฟังธรรมด้วยความเคารพธรรมะ คือ ความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติ หรือสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้ว่า มีอะไรบ้างเกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิตแล้วจะปฏิบัติอย่างไร เพื่อจะให้บรรลุวัตถุประสงค์ตรงนั้น ถ้าไม่ตั้งใจฟังชื่อว่า ไม่ได้ทำความเคารพในธรรม ผู้ที่ตั้งใจฟังธรรมด้วยความเคารพ ย่อมส่งผลให้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นต้น
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมลุ่มลึกไปตามลำดับ แล้วสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แสดงธรรมสูงขึ้นไปจากท้องทะเลไล่ไปถึงชายหาด ถึงพื้นราบ ถึงเชิงเขา ถึงยอดดอย เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ฟังเพลิน เพราะว่าอยู่ในหัวข้อเดียวกันไม่จบสักที ฟังเรื่อยๆ สบายอกสบายใจ เลยได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ตอนนี้นายกาละเป็นโสดาบันแล้ว
พอวันรุ่งขึ้น นายกาละได้กลับมาที่บ้านของตนพร้อมด้วยพระบรมศาสดา และเหล่าพระสาวก ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเห็นบุตรชายของตนก็รู้สึกชอบใจในอาการของบุตรมาก และคิดว่าวันนี้ลูกของเรามีหน้าตาผ่องใสเป็นพิเศษ ส่วนนายกาละกลับมีความคิดว่า ขออย่าให้บิดาของเรามอบเงินให้เราต่อหน้าพระบรมศาสดาเลย เพราะว่าเราอายจังเลย ที่รับจ้างฟังธรรม และขอให้ท่านปกปิดเรื่องที่เราไปฟังธรรม และรักษาอุโบสถเพราะต้องการเงินด้วยเถิด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบอยู่แล้วว่า นายกาละไปฟังธรรมเพราะถูกบิดาจ้างไป ส่วนท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้สั่งบริวารจัดเตรียมข้าวต้มเพื่อเหล่าพระภิกษุสงฆ์ แล้วท่านก็ได้ถวายภัตตาหารแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าพระสาวก จากนั้นท่านเศรษฐีจึงสั่งบริวารจัดเตรียมอาหารให้แก่บุตรของตน นายกาละรับประทานอาหารอย่างสงบเสงี่ยมซึ่งแตกต่างจากวันก่อน ต้องรับเงินก่อนถึงจะรับประทานอาหาร เมื่อพระพุทธองค์และเหล่าพระสาวกฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงสั่งให้บริวารนำเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ มาวางไว้ต่อหน้านายกาละ แล้วกล่าวว่า “ลูกกาละ นี่คือ ๑,๐๐๐ กหาปณะตามที่พ่อได้สัญญาเอาไว้”
นายกาละเห็นบิดาให้ทรัพย์ต่อหน้าพระพุทธเจ้าก็อาย จึงกล่าวว่า “ผมไม่ต้องการเงินหรอก” “รับไปเถอะลูก ก็เราตกลงกันไว้อย่างนั้น”
“โปรดได้วางไว้ตรงนั้นก่อน แล้วโปรดอย่าพูดต่อด้วย พ่อสุดที่รัก”
แต่ท่านเศรษฐีกลับกราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ข้าพระองค์รู้สึกภูมิใจในตัวลูกชายมาก เพราะเขามีท่าทางดูดีเป็นพิเศษกว่าทุกวัน” พระบรมศาสดาทราบอยู่แล้ว แต่ก็ทรงถามเพื่อจะปรารภเหตุให้ได้แสดงธรรม “อะไรหรือท่านเศรษฐี เรื่องอะไรหรือ” เลยเน้นเข้าไปอีก
ในวันก่อนข้าพระองค์ได้บอกบุตรชายว่า “ถ้าเจ้าสมาทานอุโบสถศีลแล้วไปวัด จะให้เงิน ๑๐๐ กหาปณะ พอวันรุ่งขึ้นเขากลับมายังไม่ได้รับเงินก็ไม่ยอมรับประทานอาหาร แต่มาวันนี้ข้าพระองค์ให้เงินแก่บุตร แต่เขากลับไม่ต้องการ”
“ใช่แล้วท่านเศรษฐี บัดนี้บุตรชายของท่านได้บรรลุโสดาปัตติผล ซึ่งประเสริฐกว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ประเสริฐกว่าสมบัติใดๆ ในเทวโลก ตลอดจนถึงพรหมโลก” เรียกว่าในภพทั้ง ๓ สมบัติใดๆ ทั้งหมดไม่ประเสริฐเท่าการบรรลุธรรม เพราะบุคคลที่บรรลุโสดาปัตติผลย่อมเป็นผู้ที่ปิดประตูอบายภูมิได้ แล้วจะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นผู้มีคติแน่นอน คือ หลุดพ้นจากวัฎฎะ ส่วนความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ปกครองทวีปทั้ง ๔ ที่อยู่รอบเขาพระสุเมรุนั่น เมื่อสวรรคตแล้วย่อมไปสู่สุคติ เสวยทิพยสมบัติ แวดล้อมด้วยเหล่านางอัปสร พร้อมบำรุงบำเรอด้วยเบญจกามคุณ แต่ก็ยังวนๆ เวียนๆ อยู่ในวัฏสงสาร ถ้าหากพระเจ้าจักรพรรดิไม่ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการแล้ว ย่อมไม่พ้นจากนรก คือ ถ้าทำชั่วก็ยังต้องไปอบาย ย่อมไปเกิดในภูมิแห่งสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย อบาย ทุคติ วินิบาต พระเจ้าจักรพรรดิถ้าทำชั่วแล้วก็ต้องไปเกิดในอบายภูมิ ๔
ส่วนพระอริยสาวก แม้จะนุ่งห่มผ้าบังสุกุลจีวร ยังชีพด้วยการบิณฑบาตด้วยลำแข้งของตน นุ่งห่มผ้าที่เขาทิ้งแล้ว เอามาซัก เอามาเย็บ เอามาย้อม เอามาอธิษฐานจิต แล้วก็ยังชีพอยู่ด้วยการบิณฑบาตด้วยลำแข้งของตน แต่ท่านประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ คือ
๑. มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า โดยระลึกถึงพระพุทธคุณ
๒. มีความเลื่อมใสในพระธรรม โดยระลึกถึงพระธรรมคุณ
๓. มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ โดยระลึกถึงพระสังฆคุณ
๔. มีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย
อริยสาวกนั้นจึงเป็นผู้รอดพ้นจากนรก ไม่ไปเกิดในสัตว์เดรัจฉานหรือภูมิแห่งเปรต ไม่ไปเกิดในภูมิแห่งอสุรกาย ทุคติ วินิบาต
พระพุทธเจ้าท่านพูดเรื่องนรกสวรรค์ตลอด จะกล่าวตู่ว่า นรก สวรรค์ไม่มี ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นพุทธบริษัท ๔ จะต้องมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เมื่อเรายังไม่เห็นก็ต้องเชื่อพระปัญญาตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปก่อน และหลังจากนั้นเราไปพิสูจน์กัน พิสูจน์ด้วยพุทธวิธี
ดังนั้น บุตรชายของท่านผู้เป็นอริยสาวก ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ จึงประเสริฐกว่าราชสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิด้วยประการทั้งปวง คือ พระองค์กำลังจะตรัสบอกกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า ที่บุตรชายไม่รับเงิน ๑, ๐๐๐ กหาปณะ เพราะว่าบัดนี้เธอได้เป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบันแล้ว
ในการจบพระธรรมเทศนา ชนเป็นอันมากได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล เป็นต้น
นี้เเสดงถึง พุทธศานิกชน ยังไม่รู้พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทำไมถึงเรียน เพราะจำเป็นต้องเรียนจำเป็นต้องรู้ จำเป็นต้องเข้าใจ ถ้าไม่เรียนจะไม่รู้ไม่เข้าใจ ทีนี้ต้องพากันเข้าใจ ผู้ปฏิบัติก็จะไม่เรียนไม่ศึกษา มันต้องมีการขวนขวายการเรียน เพื่อปฏิบัติ มันถึงจะถูกต้อง ถึงจะไม่มีปัญหา
เรื่องงบประมาณในการใช้จ่าย เหมือนพระพุทธเจ้า ประกาศพระธรรมคำสั่งสอน ไม่มีงบประมาณในการเผยเเผ่ในการเรียนการศึกษา เพราะทุกคนให้การสนับสนุนอยู่เเล้ว เราทุกคนมีการเรียนการศึกษา หรือว่า การสอบเทียบเท่า วัดความรู้ เพื่อความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะไม่เรียนไม่ศึกษาไม่ได้ ผู้ที่มาบวชนึกว่าบวชมาปล่อยมาวาง จะไม่เรียนไม่ศึกษาไม่ได้ เพราะคนไม่ศึกษาเปรียบเสมือนคนตาบอด เปรียบเสมือนคนหูหนวก เปรียบเสมือนคนอัมพฤต อัมพาต ไปไหนไม่ได้ ไม่ใช่หมดสภาพในการทำมาหากินเลยมาบวช ถ้าไม่อย่างนั้น ศาสนาของเราก็จะไปผิดทาง มันถึงเป็นทางออกของคนจน ให้ทุกท่านพากันเข้าใจ เราเรียนไปเป็นนกเเก้วนกขุนทอง เราก็ไม่เข้าใจศาสนาอยู่นะ เราเห็นความสุขความรวยทางวัตถุ ในยศในตำเเหน่งอย่างนี้ ยังไม่ถูกต้อง มันจะโหวตเสียงโหวตคะเเนนกัน มันจะมีเงินทอนวัด มันจะไประบบพรรคพวก ไม่ใช่ระบบความเป็นธรรม ความยุติธรรม อย่างนี้มันพุ่งไปเเต่ข้างนอก สติสัมปชัญญะมันไม่สมบูรณ์นะ เราต้องยิ่งเรียน ยิ่งปฏิบัติ
เราดูลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ขนาดสะพายย่ามให้หลวงปู่มั่น จาริกวิเวกด้วยกัน เเต่ละท่านก็ยังหลงทาง หลงในสมาธิกัน ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยเจ้าทั้งหลายพากันหลงในสมาธิกันเเทบทุกรูปเลย นึกว่าสมาธิเป็นนิพพาน เราต้องรู้จักศาสนา รู้จักคุณค่าเเต่ละศาสนา ถ้าเรารู้จักศาสนาเเล้ว ทุกคนจะมีความสุขในการเสียสละ อยากรักษาศีล อยากมีใจหนักเเน่น มันจะไม่หลงในความสุขความสะดวก ความสบาย อย่างการเป็นคู่ การยินดีในรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ เรียกว่า ธรรมะมันยังมีขั้วบวกขั้วลบอยู่ นี้ยังไม่ใช่เป้าหมาย ยังไม่ใช่จุดยืน
พระเราเเต่ละวัด จะมีความสุขขึ้นมาก จะไม่พากันไปยินดีในเรื่องเงินเรื่องสตรี เรื่องสตางค์ ในเรื่องมียศถาบรรดาศักดิ์ ถึงเเม้เราจะไม่ได้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ มันก็ดับทุกข์ได้มากกว่าเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณอีก ถ้าเข้าใจเเล้ว เราต้องศึกษาเรื่องพระวินัย เรื่องธรรมะให้เข้าใจ เรื่องยศเรื่องตำเเหน่งศาสนานี้ไม่มีใครเเต่งตั้งเราได้ นอกจากเราประพฤติปฏิบัติของเราเอง อันนั้นเป็นการปกครองของประเทศ ปกครองคณะสงฆ์ การเรียนการศึกษานี้มีมาตั้งเเต่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เเละ พระอรหันต์ทั้งหลายทั้งปวงด้วย พูดให้ลูกศิษย์ลูกหาเข้าใจ พร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติ ต้องให้เจ้าอาวาสและสังฆาธิการพากันเข้าใจ เจ้าอาวาสไม่ใช่เป็นเจ้าอารมณ์ เจ้าอาวาสคือธรรมะ คือพระวินัย ไม่ใช่นิติบุคคล เป็นคนที่จะนำเค้าได้ ต้องเป็นผู้รู้เเท้ รู้จริง เป็นพหูสูตร เเละต้องเป็นผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติ
เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด ต้องพากันรู้จัก จะได้ไม่พากันหลงประเด็น ต้องนำคนอื่นได้ ไม่พากันงง ว่าจะเอาเงินที่ไหนมาบริหาร อันนี้มันคิดอย่างฆราวาส ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระในวัดก็เคารพนับถือ โยมก็เคารพนับถือ สมัยทุกวันนี้มีโทรทัศน์ มีโทรศัพท์ มีอินเตอร์เน็ต การเผยเเผ่ก็ง่ายขึ้น พวกโทรศัพท์ สื่อต่างๆ มีไว้เพื่อทำสิ่งที่มีประโยชน์ ไม่ใช่เอาไว้เพื่อเสพกาม เจ้าอาวาส เจ้าคณะพวกนี้ก็ยังพากันทำไม่ถูก พาทำตั้งเเต่ฟังเพลง ฟังละคร ฟังนิยาย มันไม่ถูก หลงไลน์ หลงอะไรในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ นี้เเสดงถึงความไม่รู้จักศาสนา ความโง่มันโผล่ออกมาเเสดงภายนอก ยังมีความเห็นผิดเข้าใจผิด ปฏิบัติผิดอยู่ แล้วก็ไปกลัวว่าศาสนาคริสต์หรือว่าศาสนาอิสลามจะมากลมกลืน จะมาเเย่งประชาชนเรา นี้ยังมีความเข้าใจผิดเยอะ เค้าเรียกไม่ใช่ธรรมดาเเล้ว เยอะๆ ดูวัดไหนก็มีเเต่วัดสกปรก ประชาชนคนไม่นับถือก็ต้องพากันตัดหญ้าเอง ปกติพระขุดดิน ตัดหญ้า ตัดต้นไม้ไม่ได้อยู่เเล้ว เพราะประชาชนเค้าไม่เคารพนับถือ เพราะมันเป็นขยะของสังคม ของส่วนรวม ไม่มีใครที่ทำให้ศาสนาเสื่อม อยู่ที่เราไม่รู้จักศาสนา เราก็ไปประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ใช่ศาสนา
ที่พูดอย่างนี้อย่าพากันเครียดนะ เพราะพูดตามสภาวะความเป็นจริงที่มองเห็นด้วยตา ที่ฟังด้วยหู ที่สัมผัส ศึกษาเเต่ความรู้ทางปริยัติยังไม่เพียงพอ ต้องศึกษาภาคปฏิบัติ ที่สำนักปฏิบัติต่างๆ ที่เคร่งครัด ที่เราฝึกกับครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัดของเมืองไทย ก็ยังพากันเพี้ยนเป็นส่วนใหญ่ สีผ้าอาจจะไม่เพี้ยน สีเก่า โกนหัวเหมือนเก่า บาตรก็ลูกใหญ่ เเต่ความคิดความเห็นมันเพี้ยน เพราะว่ามันมีเเต่รูปเเบบภายนอก ไปจับเเต่รูปเเบบของครูบาอาจารย์ ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นยังไม่ถูกต้อง ความเข้าใจยังไม่ถูกต้อง ปฏิบัติยังไม่ถูกต้อง เเต่ละรูปที่ไปเป็นประธานสงฆ์ ก็ยังยินดีในการมีเงินมีปัจจัย ยังไปยินดีเเต่พวกศาลาใหญ่ๆ โบสถ์ใหญ่ๆ เเต่ไม่ยินดีในเรื่องมรรค เรื่องผล เรื่องพระนิพพาน นึกว่าโบสถ์ใหญ่ ศาลาใหญ่ๆ รถหรูๆ มันเป็นศาสนา คิดว่าเป็นบารมี นั้นเเสดงถึงความเพี้ยน มันเพี้ยนจากสัมมาทิฏฐิ เพี้ยนจากมรรคผล เพี้ยนจากพระนิพพาน มันก็จริงอยู่ พระอยู่ที่ไหน มันต้องมีศาสนาวัตถุ มันมีดีจริง เเต่มันต้องไม่ทิ้งข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ทิ้งมรรคผลพระนิพพาน นี้ไม่เหลืออะไรอยู่เลย เหลือเเต่โกนผม กับ ผ้าเหลือง นี้เลยถือว่าเพี้ยน ผ่านหมู่บ้านไหน โบสถ์ใหญ่ ศาลาใหญ่ ความสกปรกก็ยิ่งใหญ่ เพราะว่าไม่มีข้อวัตร ไม่มีข้อปฏิบัติ มันเรียนเข้าใจ ต้องประพฤติต้องปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ๕ ปี ต้องถือนิสัยของครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ อย่างน้อย ๕ ปี ส่วนใหญ่ไม่มีใครถือหรอก มันถือนิสัยของตัวเอง เพราะบวชมาเเล้ว มันก็ทัดเทียมกัน โกนหัวพอๆ กัน ห่มผ้าพอๆ กัน นึกว่าอันนี้ไม่ต้องถือนิสัยใครเเล้ว ที่เป็นพระกรรมฐาน ที่ไม่มีครูบาอาจารย์ ดูเเล้วมันก็เพี้ยน ขนาดอยู่กับครูบาอาจารย์ ที่ถือว่าเข้มเเล้ว ยังเพี้ยน ส่วนใหญ่ถือเอาเเบรนด์เนม ยี่ห้อท่านเฉยๆ ส่วนใหญ่มีเเต่เพี้ยนๆ ทั้งนั้น
ทุกคนต้องกลับไปดูตัวเองว่ามันเพี้ยนหรือเปล่า ลูกศิษย์ของพ่อเเม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้า 100% เห็นเพี้ยนไป 99.9% เพราะยังไม่รู้จักพระศาสนา ยังไม่รู้จักอริยสัจสี่ มันส่งไม้ผลัดให้กันไม่ได้ เพราะมันเป็นโควิดมาหลายสิบปี หรือว่าเป็นร้อยๆ ปี เป็นมาหลายร้อยปีมาเเล้ว มรรคผลนิพพานไม่เคยหมดสมัย ไม่ล้าสมัย เพราะพวกเราพากันมาทำเพี้ยนเอง ลองดูตัวอย่างสิ ลูกศิษย์หลวงพ่อชา หลวงพ่อชาไม่ให้มีโทรศัพท์มือถือหรอก ส่วนใหญ่ก็มีมือถือ 99.9% หลวงตามหาบัว ไม่ให้มีโทรศัพท์มือถือ ส่วนใหญ่ก็มี 99.9% นี้เรามองเห็นความเพี้ยน เเล้วก็ไปบอกว่ามันจำเป็น เเสดงถึงว่ามันไม่รู้จักพระศาสนา เพราะ “พุทธ” หมายถึงความฉลาด ถ้าเราฉลาดเเล้ว ทุกอย่างมันก็ไม่มีปัญหาหรอก ลูกศิษย์ท่านพุทธทาส 99.9% ไม่มีใครทำตามท่านพุทธทาสหรอก พูดอย่างนี้ก็พากันเครียด เพราะคนเราปกปิดอวัยวะส่วนต่างๆ ไม่ให้คนเค้าเห็น ไม่ให้คนเค้ารู้ เมื่อยังมีคนมาพูดอย่างนี้ คนอื่นเค้าก็มองเห็น เราก็เครียด มันยิ่งเครียด ยิ่งเก็บ ความเครียดคืออาการของทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตนนะ เพราะสิ่งที่ถูกต้อง ทุกคนควรที่จะได้รับรู้พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ประเสริฐบริสุทธิ์ เพราะว่าไม่ได้ว่าให้พระ ไม่ได้ว่าให้ใคร เพราะพระธรรมพระวินัยมรรคผลนิพพานนี้ ไม่มีใครว่าให้ได้ เพราะเป็นเหตุเป็นผล เหนือเหตุเหนือผลอีก
ความเครียดความเห็นอย่างนี้ เป็นความคิดที่ต่อต้อนพระพุทธเจ้านะ จิตใจมันจาบจ้วงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า การที่รู้ว่าตัวเองคิดผิดนี้ ก็ถือว่าไม่สายนะ ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่ผิดทั้งที่ผิด นั่นคือคือสาย ความคิดผิดมันคือตาลยอดด้วน มันเป็นทั้งเมือง เป็นทั้งประเทศ จะเเก้ไขยังไง มันอยู่ที่หัวจักรอย่างเดียว ถ้าวัดก็อยู่ที่เจ้าอาวาสประธานสงฆ์ ถ้าตำบลก็อยู่ที่เจ้าคณะตำบล ถ้าอำเภอก็เจ้าคณะอำเภอ มันเเก้ได้ เดี๋ยวนี้มันรู้ทั่วถึงรวดเร็ว ทุกอย่างมันต้องเเก้ไขได้ เพราะประเทศไทยเรานี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านมีความสุขที่จะให้ทางภิกษุสามเณรนี้เเก้ไข สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันยิ่งมีความสุข ไม่ใช่มาโทษกันไปโทษกันยังนี้ไม่ได้หรอก มันต้องเเก้ทุกพระเเก้ทุกเณร ต้องเข้าสู่ไลน์ เข้าสู่ภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ เพื่อเป็นการติดต่อต่อเนื่อง เหมือนไก่มันฟักไข่ สามอาทิตย์ เเต่การประพฤติการปฏิบัติต้องติดต่อต่อเนื่องในปัจจุบัน เป็นปัจจุบันธรรมไป จนกว่า เราทุกคนจะหมดลมหายใจ เราถึงจะได้ส่งไม้ผลัดให้ผู้ที่เกิดมาภายหลัง มันจะมองเห็นอย่างนี้ เช่น หลวงพ่อไปอยู่กับอาจารย์ชา มันต้องใช้เวลาตั้งหลายปี ขนาดหลายปี พระหลายๆ รูปส่วนใหญ่ก็พากันเป๋หมด ผู้ที่ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการจะเป็นยังไง เเต่ทุกอย่างมันก็ต้องทำได้ เพราะว่าพร้อมที่จะเเก้ไข พร้อมที่จะเปลี่ยนเเปลง ถ้าใครไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนเเปลง ไม่พร้อมที่จะเเก้ไข ก็ขอนิมนต์ให้ลาสิกขาไป หรือจะไปคิดว่าลาสิกขาไปจะไปทำมาหากินอะไร อย่าไปคิดอย่างโง่ๆเห็นเเก่ตัวอย่างนั้น ถ้าไม่อยากลาสิกขาก็ต้องประพฤติปฏิบัติ ปรับตัวใหม่ อะไรใหม่ ละความขี้เกียจขี้คร้าน ละความเห็นเเก่ตัว อันไหนมันผิดก็หยุด เพราะว่ามันไม่ได้เเก้ไขคนอื่น มันเเก้ไขตัวเอง เน้นตีกลับมาที่ตัวเอง มันจะอยู่ระหว่างสองอย่าง อันหนึ่งก็ลาสิกขา อันนึงก็ต้องปฏิบัติ เราจะเป็นวัดบ้านวัดป่า ก็ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ควรจะเป็นผู้ที่หลอกลวงเป็นโจรเป็นมหาโจร
ดังนั้น ผู้บวชจึงต้องมีความเคารพรักในพระธรรมวินัยมากๆ มุ่งประพฤติปฏิบัติเพื่อขัดเกลาจริงๆ จึงจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการบวช เพราะการบวชเป็นพระ เป็นสมณะนั้น เหมือนดาบสองคม ดังพระบาลีที่ว่า “กุโส ยถา ทุคฺคหิโต หตฺถเมวานุกนฺตติ สามญฺญํ ทุปฺปรามฏฺฐํ นิรยายูปกฑฺฒติ = หญ้าคาที่บุคคลจับไม่ดี ย่อมบาดมือ ฉันใด ความเป็นสมณะที่ลูบคลำไม่ดี คือประพฤติไม่ดี ย่อมฉุดคร่าลงในนรก ฉันนั้น”
ต้องมา กลับจิต กลับใจ กลับกาย กลับตัว กลับหางกลับหัว กลับชั่วให้เป็นดี อย่าให้มีโจรอยู่ในใจ ถ้าประพฤติปฏิบัติไม่ได้ ก็รีบลาสิกขาไปเสีย อย่ามาอาศัยพระศาสนาหากิน มันไม่คุ้มค่ากับบาปกับวิบากกรรมที่ต้องได้รับ มีคนเขากล่าวไว้ว่า ในมหานรก มีราวเหล็กขนาดเท่าลำต้นตาล เอาไว้พาดจีวรของพระผู้ตกนรก จนราวเหล็กน่ะแอ่นลงมา จึงทำให้รู้ว่า ผู้มาบวช ต้องไปเสวยวิบากกรรมในมหานรกมากมาย เพราะบวชมาแล้วไม่มุ่งมรรค ผลนิพพาน เอาพระศาสนาหากิน ทำแต่เดรัจฉานวิชา เป็นภิกษุสันดานกา เป็นกาฝากพระศาสนา ต้องให้เข้าใจ ต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นหลัก
คนเราน่ะ คนเก่าๆ นิสัยเก่าๆ กามมันฝังลึกอยู่ในใจ มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ทุกคนต้องมาละสักกายทิฏฐิ ละอัตตาตัวตน ละตัวกูของกู ปัจจุบันต้องละอดีตให้เป็นศูนย์ อนาคตก็มาจากปัจจุบันธรรม จึงต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ประพฤติปฏิบัติจนตายไปข้างหนึ่ง ตายไปจากตัวตน ตายไปจากตัวกูของกู ตายไปจากความชอบ ไม่ชอบ ตายไปจากกิเลสตัณหาให้ได้ เราต้องกลับมาหาตนเอง มาหยุดตนเอง หยุดการทำบาปทั้งปวง อย่าเป็นแค่นักปรัชญา รู้แล้วไม่ปฏิบัติ คือไม่ละอายชั่วกลัวบาป นี่แหละคือ อลัชชี คือ ยังมีโจรในใจ ยังเป็นโจรที่แท้จริง ปฏิปทาเราต้องประพฤติปฏิบัติให้สม่ำเสมอด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ ประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ถ้าทำได้อย่างนี้ ย่อมได้บรรลุมรรคผลนิพพานแน่นอน อย่างไวก็ ๗ วัน อย่างกลางก็ไม่เกิน ๗ เดือน อย่างมากก็ไม่เกิน ๗ ปี แต่นี่ปฏิปทาทำได้ไม่กี่นาทีก็กลับไปหานิสัยเก่า กลับไปหาโจรอย่างเก่า เป็นแบบนี้จะพัฒนาได้อย่างไร
ถ้าเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ ปัญหาต่างๆ ก็จะไม่มีเลย ให้มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างนี้ คนเรา ต้องกลับมาหางานหลักของเรา คืออานาปานสติ หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกให้สบาย นี่คืองานหลัก จะทำอะไรก็ทำให้มีความสุข ทำงานก็มีความสุข ปฏิบัติธรรมก็มีความสุขในปัจจุบัน จะไปหาพระนิพพานที่ไหน นี่แหละ คือ พระนิพพานจะเกิดขึ้นในปัจจุบันนี่แหละ
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นข้อสอบ เป็นบททดสอบทางใจ ให้เราเอาธรรมะเอาพระนิพพานเป็นหลัก ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้มาทดสอบ พระนิพพานจะมาจากไหน จะไปหาสิ่งอื่นที่ไม่ใช่นิพพานไม่ได้ เราต้องมาขอบคุณสิ่งต่างๆ ที่มาปรากฏให้เราได้เห็นแจ้ง ให้เราได้เห็นจริงด้วยวิปัสสนาปัญญา คือปัญญาที่เห็นแจ้ง เห็นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์ เกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วก็ดับไปในที่สุด ให้พวกเราเห็นเช่นนี้เข้าใจเช่นนี้ ปัญญาจริงๆ จะได้เกิดขึ้น เราต้องยืนหยัดหนักแน่นตั้งมั่นในปฏิปทาของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจอย่างนี้ ให้คิดอย่างนี้ว่าเราคือผู้ที่ประเสริฐ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่สุดยอดคือ มรรค ผล พระนิพพาน เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติ เพื่อมาทำสิ่งที่สุดยอด คือพระนิพพานให้เกิดขึ้นในใจให้ได้