แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๑๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๕๖ ต้องมารู้ว่าตัวเองกำลังประมาท สมาทานตั้งใจเพื่อแก้ไขความผิดพลาดนั้น
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คนเราที่เวียนว่ายตายเกิด คือ คนไม่รู้อริยสัจ ๔ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ อย่างคนที่เป็นบ้า ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้า ทุกคนไม่รู้ตัวเองหรอก ต้องอาศัยพระพุทธเจ้ามาบอกเหมือนเราทุกคนถ้าไม่ส่องกระจกก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงผู้ชาย ไม่รู้ว่าตัวเองเเก่ เพราะใจของเรามันเป็นตัวผู้รู้ เเต่ใจของเรามันเป็นความรู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิอยู่ การที่พระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญพุทธบารมีมาหลายล้านชาติ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้มาบอก ได้มาสอน คำสั่งเสียครั้งสุดท้ายว่า ท่านทั้งหลายทุกท่านทุกคนจงยังประโยชน์ตนเเละประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
ถ้าไม่อย่างนั้น ชีวิตของเราเกิดมาที่ประเสริฐนี้ ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์จะกลัยบมาเกิดเป็นมนุษย์อีกไม่ได้ ผู้ที่เป็นเทวดา เป็นพรหมจะกลับเกิดในภพภูมิเดิมอีกไม่ได้ เพราะว่าชีวิตคนเรามันจะไม่มีประโยชน์ที่เราเกิดมาเหมือนที่กล่าวเมื่อวานนี้ ชีวิตของหมู่มวลสัตว์โลกทั้งหลาย ย่อมเป็นชีวิตที่เป็นขยะ พระศาสนาที่เป็นประโยชน์ก็จะกลายเป็นขยะไป ทุกๆ ศาสนาก็จะกลายเป็นขยะไป ที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็จะกลายเป็นขยะ เราต้องมาเข้าใจ เเล้วก็มาปฏิบัติเพื่อที่จะยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท คนเราหยุดอยู่อย่างนี้ ก็ยังดีกว่าถอยหลัง การที่ไม่ทำบาปทำบาปทั้งปวง คือการหยุดอยู่ ถ้าเราทำบุญ เราถึงพร้อมที่จะก้าวไป นี้เราทุกคน มันเดินสามก้าว มันก็ถอยไป บางทีก็มากกว่าสามก้าว บางทีก็ถอยไปสองก้าว บางทีก็ก้าวเดียว
การประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทุกท่านทุกคน ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เราได้พากันพัฒนาเทคโนโลยีตามหลักวิทยาศาสตร์ก้าวมาไกล เราดูคนใหญ่ ตั้งเเต่ปู่ย่าตายาย ถึงพ่อถึงเเม่ เเล้วก็มาถึงเรา ถึงน้อง ถึงพวกเด็กๆ พากันติดพากันหลง เพราะเราพัฒนากันเเต่เทคโนโลยี เราไม่ได้พัฒนาใจ พากันหลง พวกโทรศัพท์ พวกคอมพิวเตอร์ พวกอากง พวกอาม่า พวกพ่อพวกเเม่ หลงพวกโทรศัพท์นี้มาก เเก่ๆ ก็พากันเล่นไลน์เล่นมือถือกัน อันนี้เราติดยา เราติดสิ่งเสพติดนะ เพราะสิ่งเสพติดก็คือสิ่งเสพติด ลูกก็บอกไม่ได้หลานก็บอกไม่ได้ พวกกลุ่มคนใหญ่คนรวย พากันมาติด ติดโทรศัพท์ ติดเล่นไลน์ ติดฟังเพลง ดูละคร เหมือนเด็กๆอย่างนี้ ท่านกำลังพลาดท่าเสียที ท่านต้องรู้จักว่าท่านกำลัง ถอยหลังเเล้ว ตลอดพระคุณเจ้าที่มายินดีในลักษณะเช่นนี้ เลยเห็นดีเห็นงามกัน ทุกวัดทุกอารามเลย เพราะเป็นเรื่องที่ลูกหลานเค้าสลดสังเวช เราดูคนเเก่ทุกวันนี้ ยิ่งเเก่ยิ่งสมองเสีย ยิ่งคุมตัวเองไม่อยู่ เพราะเมื่อ อายุ ยี่สิบปี สามสิบปี ยังคุมตัวเองได้ พอหกสิบปีเเล้วมันเริ่มคุมตัวเองไม่อยู่
การที่จะเเก้ไขตัวเองได้ ต้องสมาทานต้องตั้งใจ มันถึงจะคุมตัวเองได้ ต้องมารู้ว่าตัวเองกำลังประมาท มันต้องอาศัยเวลา อาศัยสมาธิ พวกนี้ใจมันสกปรก ใจมันหยาบ มันไม่อยากกราบพระ ไหว้พระ นั่งสมาธิ เพราะว่าอุณหภูมิ หรือภพภูมิที่กำลังอยู่ มันเป็นภพภูมิของพวกเปรต ยักษ์ ผี มารอสูรกาย มันไม่อยากรักษาศีล ไม่อยากนั่งสมาธิ มันจะเป็นเหมือน เด็กๆ วัยรุ่นที่เป็นลูกคนรวย มันไม่เห็นความสำคัญในการนับถือพระศาสนา เพราะว่ากามมันรุนเเรง ความหลงมันรุนเเรง กามมันต้องรุนเเรง แต่เราทำตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ มันต้องเอาจิตเอาใจมาพัฒนา
พวกขยะของโลก คือ ทุกท่านทุกคน มันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราไม่เอามรรคผลนิพพาน ผู้ที่มาบวชก็เป็นขยะของโลก ข้าราชการก็จะเป็นขยะของโลก คือมาหากิน ข้าราชการกับนักการเมืองอย่างนี้ ก็จะเป็นขยะ เราพากันถกเถียงเรื่องขยะ เรื่องเตาเผา เเต่ขยะคือ ความหลงทุกคน ต้องเผากัน ด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เพราะความเห็นมันเป็นมรรค ความรู้มันเป็นปรัชญา ข้าราชการหรือ นักการเมือง ประเทศไทยเรามองเห็นเเง่มุมที่จะเป็นขยะมากขึ้น เราคิดเเต่เรื่องที่จะไปเเก้ไขภายนอก ภายนอกก็มาจากภายในของเรามันสกปรกนี้เหละ ที่ห้องน้ำห้องสุขา ที่มันสกปรก ก็เพราะใจของเรามันสกปรก มันสะท้อนถึงขยะภายนอก เพราะทุกคนเป็นขี้เกียจขี้คร้าน ไม่เข้าถึงรายละเอียด ที่เรายากจน ไม่ได้มาจากอื่นไกลหรอก มาจากที่เราไม่รู้จัก เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ ไม่รู้ความสุขในการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงในปัจจุบัน มันยิ่งเพี้ยนกันไปใหญ่เลย ชีวิตของเรามันมีเเต่อบายมุข มีเเต่อบายภูมิ ความหลงก็มีเยอะอยู่เเล้ว ก็ยังกินเหล้ากินเบียร์ เจ้าชู้ เล่นการพนัน พัฒนาให้ตกต่ำ ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา
ทุกท่านทุกคนต้องรู้จักขยะ ทุกคนก็จะมาเเก้ไขภายนอก จะมาเเย่งของเเย่งวัตถุกันอะไรๆ คนเรามันเข้าใจตัวเองผิด ต้องปรับใจของเราเข้าหาธรรมะ ปรับใจของเราให้เท่าขนาดของเงิน ถ้าปรับเงินเข้าหาขนาดของใจ มันยุ่ง ทุกวันนี้มีเเต่คนปรับเงินเข้าหาใจมันเลยยุ่ง เลยเข้าไม่ถึงเศรษฐกิจพอเพียง ต้องปรับเงินเข้าหาธรรมะวินัย นักการเมืองอย่าไปปรับรัฐธรรมนูญ เค้าก็หาอวิชชา หาความหลง เเล้วกฏหมายบ้านเมือง จะไม่มีความเป็นธรรม ไม่มีความยุติธรรม อย่าไปว่าประชาชนชอบอย่างโน้น ชอบอย่างนี้ ไปทำอย่างนั้นไม่เอา มันจะเสียหาย อย่างที่ออกกฏหมายอะไร มันก็ต้องเอาธรรม ไม่ได้เอาความชอบใจ ถึงพวกมากก็ไม่เอา ไม่ต้องเอาความถูกใจ เอาเเต่ความถูกต้อง ถ้าเราทำตามความถูกต้อง ทุกคนก็ทำได้ ทุกคนก็ยอมรับได้ เรื่องภาษี เรื่องอากร ทุกคนมีความสุขที่จะจ่าย เพราะถ้านักการเมืองเป็นธรรม ยุติธรรม ประชาชนมีศีลมีธรรม ถ้าไม่ยุติธรรม ทุกคนไม่อาจจะยอมรับได้ เพราะคนเเก่ๆ ทั้งหลายทั้งปวง พากันคิดนะ พากันส่องกระจกนะ เพราะพวกท่านพากันเเก่เเล้ว อายุ 60 ปีถึงระยะเวลาที่จะเป็นอริยบุคคล เป็นพระอริยเจ้าเเล้ว เราจะไปเอาพวกพ้อง เอาเเต่พรรคเงินไม่ได้ ประเทศชาติของเรามันเสียหาย ให้ปรับปรุงใหม่ ถึงหัวมันจะระเบิด อกจะเเตกตาย ก็อย่าไปทำตามใจ ตามอวิชชา ตามความหลง ทำตามความถูกต้อง เพราะว่ามันจะหลงไปถึงไหน เพราะว่ามันเเก่ขนาดนี้เเล้ว
พวกนักการเมืองส่วนใหญ่ อายุ 50-60-70 เเล้ว พวกท่านต้องไม่ประพฤติตัวเป็นขยะ ให้พวกเด็ก พวกลูกพวกหลานพากันมาถอนหงอก พวกนี้มันรู้จักนะ ความเป็นธรรม ความยุติธรรม พากันเปลี่ยนเเปลงใหม่ ทุกๆ คน อย่ามาทำธุรกิจ ในการบ้านการเมือง เราประพฤติปฏิบัติ ให้มันสักสามเดือน สี่เดือน เพราะว่ามันต้องมากกว่า สามอาทิตย์ มันต้องมากกว่าสัตว์เดรัจฉานหน่อย เพราะว่ามันเก่ง มันฉลาด เมื่อเก่งเมื่อฉลาด กิเลสมันก็เก่งก็ฉลาด ถ้าไม่เอาธรรมเป็นหลัก ไม่เอาความถูกต้องความเป็นธรรม ท่านอย่าเรียกว่า ท่านนั้น ท่านนี้ มันไม่ถูกต้อง ท่านคือ ผู้เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ มันต้องไม่มีอคติ มันน่าเกลียด ไปอุปโลกน์กัน เพราะว่าพวกเด็กมันพากันจับไต๋ได้เเล้ว ให้เข้าใจนะ
อยากประสบความสำเร็จในชีวิตมีชีวิตที่มีความสุขกายสบายใจ "เราก็ต้องรู้จักกำจัดขยะของชีวิต"
ขึ้นชื่อว่า "ขยะ" ถ้าเราไม่ได้มีอาชีพเก็บขยะคงไม่สนใจที่จะเก็บไว้ " ขยะความคิด ขยะอารมณ์ ขยะหัวใจ ขยะจิตใจ เศษขยะ เศษซองขนม ไฟล์ขยะในโทรศัพท์ ไฟล์ขยะในคอมพิวเตอร์ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องการจะกด delete ทั้งนั้น พอเก็บไว้ก็จะเต็มโต๊ะ รกห้อง รกบ้าน ความจำในโทรศัพท์มือถือเต็มก็ใช้งานไม่ได้ บ้านรกโต๊ะรก ห้องรก "ก็ทำให้หาของที่ต้องการใช้ไม่เจอเสียเวลา เสียสุขภาพกาย เสียสุขภาพจิต"
"ขยะชีวิตของเราก็เหมือนกัน" ขยะทางความคิด ทางอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดี เราต้องรู้จัก delete เสียบ้างชีวิตจะได้เบาสบายพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งต่างๆ พร้อมที่จะลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างเต็มที่
"ขยะในชีวิตของเรา" อธิบายง่ายๆ ก็คือ "ผู้คนหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราสิ่งที่เราเห็นหรือฟังแล้วส่งผลกระทบกับความรู้สึกของเราไปในทิศทางที่ลบ ทำให้เราคิดลบ มองโลกในแง่ร้าย กลัว โกรธกังวล เศร้า เสียใจไม่มั่นใจในตัวเอง" เหตุการณ์หรือผู้คนที่นำพาเราไปสู่ "ความคิดลบ" สิ่งเหล่านี้คือขยะในชีวิตของเรา
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกๆ คนรู้จักการทิ้งขยะชีวิตด้วยกันทั้งนั้น "ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ปิดในเรื่องที่ไม่จำเป็นที่จะต้องพูด ต้องฟัง ต้องดู"
"ดูไปก็ไม่เกิดผลดีไม่เกิดประโยชน์กับชีวิตของเรา ฟังไปก็มีแต่จะทำให้เราคิดลบ โกรธ เศร้าใจ เสียใจ พูดไปก็มีแต่เอาเรื่องเดือดร้อนเข้ามาหาตัวเราเอง"
คนที่ประสบความสำเร็จพวกเขาเหล่านี้ "รู้จักวิธีเลือกที่จะพูด ที่จะฟังและที่จะดู" เพื่อให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้นขยะชีวิตน้อยลง
เมื่อขยะชีวิตน้อยลงก็จะมีสมอง มีความคิด มีปัญญาเหลือเฟือที่จะคิด เพื่อที่จะลงมือทำแต่ในเรื่องที่ดี เรื่องที่มีประโยชน์ เรื่องที่จะทำให้ตัวพวกเขาเหล่านั้นเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ
ประโยชน์ของการทิ้งขยะชีวิตคือ "จะช่วยให้เราไม่เหนื่อยมากเกินความจำเป็น" ช่วยให้เวลาที่เราหลับพักผ่อนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เต็มที่มากขึ้น "เพราะหลับสนิทไม่ฝัน ไม่มีอะไรมากวนใจ กวนสมอง"
ทุกๆ คนอยากได้ 'บรรลุธรรม' แต่ไม่อยากปฏิบัติธรรม ทุกคนอยากจะรวย แต่ไม่ได้สร้างเหตุสร้างปัจจัยที่มันจะรวย ทุกคนอยากได้คะแนนสูงๆ แต่ไม่อยากเรียนหนังสือ อ่านหนังสือ ท่องหนังสือ
ถ้าเรามีความอยาก มันก็ไม่ได้ตามต้องการ เพราะไม่มีเหตุมีปัจจัยที่จะได้ เพราะธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ เพราะทุกนต้อง 'สร้างความดี' ไม่ว่าโยม ไม่ว่าพระ มันเป็นเหมือนกันหมด พระพุทธเจ้าท่านให้เราคิดดีๆ แล้วเอามาพิจารณาดู เราจะได้เห็นคุณเห็นประโยชน์ในการสร้างความดี
คนเรามันแก่ทุกวันนะ ไม่ใช่หนุ่มขึ้น เมื่อเวลามันกระชั้นชิดมา ทีนี้เราจะโทษใคร? จะมาโทษว่าไม่มีบุญ ไม่มีวาสนา มันก็ไม่ถูกต้อง มันไม่ยุติธรรม มันพิพากษาไม่ถูกต้อง ไปโทษบุญโทษวาสนาอีก!
"บุญเรามีเยอะ... วาสนาเรามีเยอะ...แต่เราไม่ปฏิบัติ"
การประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราดูดีๆ มันไม่ใช่เรื่องเครียด ไม่ใช่เรื่องทุกข์นะ เขาเรียกว่า แต่ก่อนมันเป็นความเครียด เพราะเราทำตามความอยาก ทำตามอารมณ์ มันเป็นความเครียด
เราต้องมีความสุขในการทำการทำงาน เพราะการงานของเรานี้แหละ เราได้มาฝึกตนเอง สร้างบารมีให้ตนเอง แต่ก่อนเราทำงานมุ่งแต่เงิน แต่ตอนนี้เอาทั้งเงินทั้งพระนิพพาน "ได้ทั้งพระนิพพานและเงินก็ดีนะ"
เอาศัตรูมาเป็นมิตรหมด เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านรักพระราหุลกับรักพระเทวทัตพอๆ กัน ปัญหาทั้งหมดที่มีอยู่นี้ เพราะเรามีตัวมีตน ถ้าเราไม่รู้จักธรรมชาติ ไม่รู้จักความเป็นจริง ใจของเราก็จะมีปัญหาจนวันตาย
เขาให้เอาทั้งศีล ทั้งธรรม มาให้เราเป็นโอกาส เพื่อให้เราได้รักษาศีล สร้างพระนิพพาน เพราะถ้าไม่อย่างนั้นก็จะพากันหนีความเป็นจริง หนีพระนิพพานไปอยู่ในที่เงียบๆ ถ้าเรามีความเห็นที่ถูกต้อง ปฏิบัติที่ถูกอยู่กับคนมากคนน้อย เห็นหน้าใครก็เป็นพระนิพพานไปหมด
ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ จิตใจเราจะเปลี่ยนแปลง จิตใจเราจะเย็น... ถ้าไม่ปฏิบัติอย่างนี้ ก็จะเสียเวลา จะวิ่งไปหาแต่พระธาตุ หาแต่พระอรหันต์ภายนอก พระนิพพานนี้ อยู่ไม่ไกลเรานะ อยู่กับเรานี้เอง
ที่คนเรามันมีสะดุด 'ทางจิตใจ' ตลอด ก็เพราะไม่รู้จัก' เห็นรูปก็สะดุด เห็นเสียงก็สะดุด เห็นคนก็สะดุด แสดงว่ามันสะดุดที่ใจ แสดงว่า ใจมีตัวตนมาก อันไหนชอบก็จะเอา อันไหนไม่ชอบก็ไม่เอา ความคิดเห็นอย่างนี้ เป็นความเห็นของ 'ทีฆนขพราหมณ์' ซึ่งเป็นหลานของพระสารีบุตร พระสารีบุตรเป็นลุง ได้เที่ยวตามหาพระสารีบุตร มาพบเข้าที่ถ้ำสุกรขาตา ภูเขาคิชฌกูฎ เมืองราชคฤห์ ได้พูดเป็นเชิงตีรวนพระพุทธเจ้าว่า "เขาไม่พอใจสั่งทั้งปวง (ซึ่งรวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วย) พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า ถ้าเช่นนั้นท่านควรไม่พอใจความเห็นอย่างนั้นเสียด้วย เขายอมจำนน
พระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงธรรมให้ฟังหลายอย่าง เช่น ไม่ควรมีทิฏฐิอันเป็นเหตุให้ทะเลาะกัน ตรัสถึงเรื่องให้พิจารณาเวทนา ๓ คือ สุข ทุกข์ และอุเบกขา ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นต้น เมื่อจบเทศนาแล้ว พระสารีบุตรซึ่งนั่งถวายงานพัดอยู่เบื้องหลังได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ส่วนทีฆนขปริพาชกได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน
การปฏิบัติของเราถ้าจะเอาแต่สิ่งที่ชอบ มันก็เป็นการปฏิบัติที่ผิด มันเห็นผิด มันผิดแล้วมีความรู้มาก มีปัญญามากก็ใช้ไม่ได้ ต้องพัฒนา เราต้องให้เห็นตามความเป็นจริง คนเรามันมีความคิดผิดมาก เพราะความเคยชิน ที่เกิดมาในหลายภพหลายชาติ ต้องทำความเคยชินให้เกิดในจิตในใจใหม่
คนเรามันตัวตนมากนะ อย่างนักเรียนนักศึกษา ใครก็อยากให้ลูกให้หลานตัวเองสอบได้ ลูกหลานคนอื่นให้มันตก มันคิดถูกหรือคิดผิด มาให้แต่หลวงพ่อแผ่เมตตาให้หลานตัวเองจับฉลากได้ "หลวงพ่อก็คิดหนัก อย่างนี้นะ...คนเรา" ถ้าเราคิดดีๆ เรานี้มีตัวมีตนมาก ฝนมันจะตก คิดไม่อยากให้มันตก แดดจะออกก็คิดให้แดดไม่ออก คิดอย่างนี้ มันขัดธรรมะหมด เขาเรียกว่า ความคิดเรามันมีปัญหานะ ถ้าเราคิดตามความเป็นธรรม ถ้าใครเป็นคนเสียสละ เป็นคนขยันหมั่นเพียรก็ต้องได้รับความยุติธรรม ที่เขาเสียสละไม่ได้ใช้อิทธิปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อ
คนเรานี้มันต้องทำความดี ให้มีความเชื่อมั่นกระจ่างแจ้ง ให้รู้จริงทั้งภาค 'ปริยัติ' และ 'ปฏิบัติ' อย่าไปมักง่าย ถ้ามักง่ายก็อยากถูกหวย ถูกล็อตเตอรี่
เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ต้องขยันมากๆ เพราะพระพุทธเจ้าท่านขี้เกียจไม่เป็น ท่านถึงได้เป็น...พระพุทธเจ้า เรานี้ ไม่ได้ขี้เกียจธรรมดานะ อาจจะเป็น "มหาขี้เกียจ" พันธุ์ขี้เกียจมีเยอะ เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าต้องขยัน เราทุกคนต้องขยัน หิวก็ช่างมัน ผอมก็ช่างมัน อย่าให้สิ่งเหล่านี้มาอยู่ในใจของเรา คนเรามีความเห็นผิดเยอะนะ
'ความงาม' อยู่ที่ศีล สมาธิ และการเจริญปัญญาเพื่อการดำรงชีวิต แต่เราเอางามแบบผักชีโรยหน้า แต่งทั้งหน้า แต่งทั้งตัว สารพัดแต่ง แต่งให้ตัวเองหลง แต่งให้คนอื่นหลง...
ความงามมันก็ดี เพราะมนุษย์เราถ้าไม่ตกไม่แต่งก็เป็นสิ่งที่น่าเกลียด ไม่สวยงาม ไม่หล่อ เราแต่งเพื่อให้เราไม่น่าเกลียด ไม่ใช่ไปปล่อยวาง ไม่อาบน้ำ บ้านช่องก็สกปรกไปหมด "การแต่งมันดี แต่ก็ไม่ยิ่งไปกว่า...การที่เรามีศีลมีธรรม" คนมีศีลมีธรรมมันงามจริงๆ เป็นคนที่งามด้วยการไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธไม่มีความหลง ตัดกิเลสหยาบๆ ออกไป
ศีล เป็นสิ่งที่งาม เป็นสิ่งที่งดงาม ถ้าใครมีศีล เขาเรียก "งามในเบื้องต้น" ถ้าเราแต่ง...แต่งกายเรา บ้านเรา รถเรา มันยังไม่เพียงพอนะ ดูแล้ว...แต่ละคนกว่าจะออกจากบ้านได้ ไปส่องกระจกบางทีรอบเดียวก็ยังไม่พอ ส่องแล้วส่องอีกนะ
คนเราอยากให้คนอื่นเขารัก เขารัก...เราก็มีความอบอุ่น แต่ถ้าเราไม่มาปรับปรุงที่ใจ จะมียักษ์ตัวใหญ่มากนะ...โผล่ออกมาจากใจ มันน่ากลัว...
พระพุทธเจ้าท่านให้ทุกคนแต่ง 'ปฏิปทา' ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า เดินตามพระพุทธเจ้า เราจะได้เป็น 'คนงามที่แท้จริง' ถ้าเราเป็นคนมีศีล มีข้อวัตร ใครก็รักหมด บางคนคิดเรื่องอนาคตว่า เราแก่ใครจะดูแลใครจะเลี้ยง? "ถ้าเรามีศีล ไม่ต้องกลัว ทุกคนรักหมด" ถ้าเราคิดอย่างนี้ แสดงว่าเราไม่เชื่อมั่นใน 'ความดี' ไม่เชื่อมั่นใน 'พระรัตนตรัย' แสดงว่าใจของเรายังบาปอยู่...
พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ให้ แม้ดับขันธปรินิพพานก็ยังเป็น 'ผู้ให้' สั่งเสียไม่ให้เราเป็นผู้ประมาท เพราะคนเราประมาทมาก เพราะความประมาทมันถึงพากันเกิดมา "เดี๋ยวมันขอคิดนิดหน่อย หน่อยหลายหน่อย...รวมกันก็มากนะ!"
เหมือนน้ำฝนตกติดต่อกันก็เป็นสายน้ำ เป็นทะเล เป็นมหาสมุทร ก็เพราะไอ้น้อยๆ นี่นะ ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราไม่ต้องห่วงอนาคต เพราะความสุขอยู่ที่กาย ที่ใจของเรา
บางทีพวกเรายังเข้าใจผิดอยู่เยอะนะ มาเห็นวัดใหญ่มีกุฏิเยอะ... มีวิหารเยอะ... คิดว่าวัดเจริญ "ไม่ใช่!" วัด ต้องมีข้อวัตรปฏิบัติ ต้องมีศีล
วัดใหญ่...อาจจะเป็น...วัดเน่า วัดเต็มไปด้วยขยะ ก็ได้ คือ วัดที่ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ โยมไม่มีศีล พระไม่มีข้อวัตร ไม่มุ่งมรรคผลนิพพาน มุ่งทรัพย์สินเงินทอง ท่านว่า "วัดเน่า วัดที่ไม่เจริญ 'วัตรเน่า' นะ" วัตร...นี้ไม่ได้หมายถึง กุฏิวิหาร วัตร...นี้หมายถึง จิตถึงใจ "ไม่ให้เราหลงประเด็น" พระพุทธเจ้าท่านเน้นเรื่อง...วัตร เรื่อง...ใจ เรื่อง...ข้อวัตรปฏิบัติ
วัตร หรือข้อวัตรปฏิบัติ มันไม่ใช่อย่างที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ เราอยู่ที่บ้านที่ทำงาน เราก็ต้องมีข้อวัตร
ถ้าเราคิดว่าวัดอยู่โน่น... อีก ๗ วันไปวัด คิดอย่างนี้ ก็แย่! เราทิ้งเวลาประพฤติปฏิบัติ ก็ให้ญาติโยมเข้าใจเรื่อง ข้อวัตรปฏิบัติ เราอยู่ด้วยกันในบ้านในครอบครัว ต้องเสียสละให้กัน อย่าเอาความสุขกับคนอื่น "มันไม่ถูกนะ"
ถ้าในครอบครัว เราก็หวังแต่จะเอาความสุขจากคนอื่น ครอบครัวเราก็มีปัญหา เพราะต่างคนต่างก็เอาใจตนเอง เรื่องมานะ เรื่องตัวตน มันเป็นเรื่อง...ต่อล้อต่อเถียง ครอบครัวของเราจะมีความสุขได้อย่างไร มีแต่บาปมีแต่กรรม!
ท่านให้สร้างวัตรในบ้านในครอบครัวของเรานะ อย่างเราไปทำงานก็มีความสุขในการทำงาน ให้ความสุขกับเพื่อนๆ รุ่นพี่ รุ่นน้อง อย่าไปกัดกัน ทะเลาะกัน มันไม่ดี ไม่ถูก มันใช้ไม่ได้ มันไม่สร้างสวรรค์ให้พวกเรา ถ้าเครียดจากที่ทำงาน มันไม่ได้มาทำงานแต่มาทำบาปกัน
เรากลับไปบ้านก็ให้มีความสุขกับสามีกับภรรยา เหมือนนกน้อยกลับรังก็มีความสุขกับครอบครัว ถ้าเราทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ นั่นแหละ คือการปฏิบัติธรรม คือมีข้อวัตรปฏิบัติ
เงินทองเป็นของหายากลำบาก เป็นทรัพยากรที่เกิดจากส่วนรวม ท่านให้เราใช้เท่าที่จำเป็น ปัจจัยสี่ทุกอย่าง ถือว่าเป็นการเบียดเบียน ข้าวมาจากการทำนา สัตว์มันก็ตายเยอะจากการฉีดยา ต้องใช้แรงงานคนยากคนจน ทำอาชีพบนหลังสัตว์ ทำอาชีพบนหลังคนจน ต้องใช้เท่าที่จำเป็น
"คนรวยยิ้มไปยิ้มมา... แต่ถ้าเราไม่ได้รักเพื่อนร่วมโลก มันน่าสงสารนะ"ไม่ใช่มีความสุขเท่าไหร่ก็ไม่พอ... มีรถเท่าไหร่ก็ไม่พอ... ต้องเอารถเบนซ์ รถบีเอ็ม เพื่ออวดศักดิ์ศรี อวดศักดา นี่เป็นการเบียดเบียน ให้ดูตัวอย่าง "พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ให้ รองเท้าก็ไม่มี ผ้าก็มีเพียงแค่ ๓ ผืนนะ" เพราะความสุข ความดับทุกข์ อยู่ที่ความถูกต้อง ทำใจเราให้สงบ อย่าพากันใช้เงินใช้ทองฟุ่มเฟือย
พ่อแม่มอมเมาลูกด้วยวัตถุ เมื่อพ่อแม่หลง ลูกก็หลงนะ พ่อแม่ขี้เกียจ ลูกก็ขี้เกียจ พี่สาวขี้เกียจ น้องก็ขี้เกียจ เพราะติดสิ่งเสพติด คือความสะดวกสบาย ติดตัวตน ติดภพชาติ
"การใช้จ่ายปัจจัย ต้องใช้เท่าที่จำเป็น ไม่ว่าใครต่อใคร ถ้าทำจะเป็นกุศล"
เราอย่าไปคิด "เราจะอดทำไม เราจะอยากทำไม?" ต้องกินเต็มที่... เที่ยวเต็มที่... คิดอย่างนี้มันบาป มันไม่ได้สร้างความดี มันเห็นอะไรอร่อยก็กระดิกมือกระดิกเท้าลืมตัวหมด ลืมบาปลืมกรรม ลืมบุญกุศลไปหมด
คนเราลืมตัวได้นะ ถ้าเราทำตามความอยาก เพราะออกซิเจนในสมองไม่สมดุล มันควบคุมความอยากมันไม่ได้ ความอยากทุกคนมันมีมาก คนเรารู้จักแต่ความสุขทางวัตถุ รู้จักแต่ความสุขทางเนื้อทางหนัง
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราว่า ขึ้น ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ก็ให้พากันรักษาศีล เป็นวันที่ไม่ตามใจตามกิเลส เพราะทางออกของคนมีหลายอย่าง ออกทางอารมณ์ของสวรรค์ เอาความสุขในความสบาย ไปว่าตัวเองเหมือนพระพรหม เพราะความสุขในสวรรค์...มันแกว่งไปแกว่งมาเหมือนดีเปรสชั่น เหมือนคลื่นสึนามิ ลมพายุบางทีพัดบ้านพังตั้งหลายหมู่บ้าน
การทำสมาธิก็เหมือนกับเรามาปล่อยทุกอย่างในโลกออกเสียได้ หายใจเข้าสบาย... หายใจออกสบาย... ไม่เอาอะไร ถ้าเอามันจะมีปัญหา มีตัวมีตน มาเอาใจของเราอยู่กับลมหายใจเข้าสบาย... ออกสบาย... เราก็ทำของเราอย่างนี้
การทำสมาธิ กำหนดลมไปเดี๋ยวก็คิดโน่นคิดนี่ เจ้าปัญหา เจ้าปรุงแต่ง อย่าไปสนมัน มันเป็นเหล่าพญามาร เสนามาร ทำให้เราหวั่นไหวไม่สงบ ไม่เย็น 'อารมณ์' เหมือนลูกฟุตบอลที่เขาให้เราเตะ ออกจากที่ไปเตะ ก็สนุกกันไปพักใหญ่ เราอย่าตามอารมณ์ไป คนเราต้องมีอารมณ์ ถ้าไม่มี มันก็ไม่ได้ฝึกใจ ฝึกสมาธิ คนมันยังไม่ตายก็เป็นอย่างนี้... คิดอย่างนี้... อย่าไปถือสา อย่าไปวิ่งตะครุบเงา ให้เราเฉยๆ ไว้ 'อารมณ์' เหมือนเด็กน้อย ให้เราเฉยๆ ไว้ เด็กน้อยจะรู้อะไร รู้แต่เรื่องกิน เรื่องเที่ยว 'ใจ' ของเรายังไม่เป็นผู้ใหญ่ มันก็ยังชอบเล่น... ชอบเที่ยว...
"การทำสมาธิดีมาก... ได้บุญกุศลเยอะ..." ให้ทุกคนฝึกทำใจให้สงบ ให้เป็นสมาธิ ส่วนใหญ่ คนเราทำสมาธิไม่เป็น เพราะไม่ได้ฝึกมาแต่น้อยๆ 'สมาธิ' ต้องอาศัยการฝึกการหัด...เก่งทุกเรื่อง เรื่องสมาธิไม่เก่ง ต้องฝึกนะเพราะ สมาธิ คือ 'บ้านของจิตใจ' บ้านนี้...พ่อแม่สร้างให้เราแล้ว แต่บ้านทางจิตทางใจเราต้องสร้างเอง ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นคนไม่มีเจ้าของ ปล่อยให้กิเลสฉุดลากไป
สงบหรือไม่สงบก็ทำไป ฝึกให้ชำนิชำนาญ ให้เป็น 'ปฏิปทา' เป็น 'วสี' ชีวิตของเราจะสงบเย็น "ชีวิตที่ขาดสมาธิเป็นชีวิตที่เร่าร้อน"
บ้านคนยากคนจนมุงสังกะสี บ้านคนรวยเขาติดแอร์หรูหรา ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าชีวิตของเรามีสมาธิ หน้าแล้งก็เหมือนติดแอร์ หน้าหนาวก็มีฮีตเตอร์
สมาธิ คือ ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ทำเพื่อความดี ทำเพื่อความเสียสละ ทุกคนต้องเห็นความดีในการทำสมาธิ
"รวยอยู่...เก่งอยู่...แต่มันทุกข์ มันเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นคนไม่มีสมาธิ" นี้เป็นผลกรรมของคนไม่มีสมาธิ
ให้ทุกคนเห็นให้ชัดเจน ไม่ว่าเราทำอะไรให้ใจอยู่กับกายอยู่กับการทำงาน ที่ครูบาอาจารย์ให้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็เพื่อให้ใจสงบร่มเย็นเป็นสมาธิ
ให้ทุกคนเข้าใจเพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติ ไม่ว่าที่บ้านที่ทำงานต้องมีความสุขความดับทุกข์ทุกหนทุกแห่ง พระพุทธเจ้าท่านบรรลุธรรม ท่านเสวยวิมุตติสุข ด้วยการยืน ๗ วัน นั่ง ๗ วัน เดิน ๗ วัน
"ให้เราเดินตามพระพุทธเจ้า อย่าพากันทิ้งของดี ของประเสริฐ เห็นสุขเป็นทุกข์" พระพุทธเจ้าท่านทำให้เราดู ปฏิบัติให้เราดู ให้เราประพฤติปฏิบัติตาม ความเจริญงอกงามไพบูลย์ต้องมีแก่เราแน่นอน ได้ชื่อว่า เราได้เกิดมามีความสำคัญในการปฏิบัติสร้างบารมี ชีวิตของเราย่อมไม่ผิดหวังที่ได้เกิดมา ถ้าอย่างนั้นเสียดายนะ เสียดายมากที่พลาดโอกาสในชีวิต...