แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๕๔ ชาวพุทธส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ถ้ารู้จักจริง ย่อมต้องหยุดอบายมุข หยุดเดรัจฉานวิชากันได้
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ชาวพุทธของเรานี้ยังไม่รู้จักพระพุทธศาสนากันเป็นส่วนใหญ่ ถ้ารู้จักพระพุทธศาสนาแล้วย่อมปิดอบายมุข ปิดอบายภูมิของตัวเอง เข้าสู่ไลน์ เข้าสู่กระบวนการกระแสแห่งมรรคผลพระนิพพาน ทั้งพระภิกษุ สามเณร แม่ชี พุทธบริษัทที่อยู่ทางบ้าน ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการธรรมวินัย เข้าสู่กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก หลวงพ่อพุทธทาสอธิบายถึงความวิเวกไว้ว่า วิเวกเป็นสิ่งที่ควรรู้จัก และควรมี คำว่า วิเวกนี้ ดูจะเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป บาง คนคิดว่าเป็นคำครึคระ สำหรับพวกอยู่ป่า ฤๅษี ชีไพร ถ้าเคยเข้าใจอย่างนั้น ให้มาศึกษาใหม่ จะมีประโยชน์อย่างมาก มันมีความรับซ่อนอยู่ แล้วคนก็ไม่รู้จัก ไม่ต้องการ ให้เข้าใจคำว่า วิเวก เป็นตัวหนังสือก่อน ภาษาบาลี วิเวก แปลว่า เดี่ยว ไม่มีอะไรรบกวน แต่ภาษาไทยมีแต่จะเปลี่ยนความหมาย เป็นวิเวกวังเวง เป็นไม่ต้องการ ไม่น่าจะพอใจ คนธรรมดาก็ไม่ชอบวิเวก เพราะเขาไม่อยากอยู่คนเดียว อย่างน้อยก็มีเด็กๆ เพื่อน คนหลายๆคน อบอุ่น นั่นไม่เป็นไร แต่ความหมายวิเวก มันลึกกว่านั้นมาก มันจำเป็นต้องมีด้วยซ้ำไป ถ้าไม่มีเสียบ้าง มันอาจจะตาย ก็ลองคิดดูว่า เดี่ยว และไม่มีอะไรมารบกวน มันจะสบายไหม
วิเวกแบ่งเป็น สามชนิด หนึ่งคือทางกาย คือ กายที่ไม่มีอะไรมารบกวน สองคือทางจิต จิตที่ไม่มีอะไรมารบกวน และสาม อุปธิวิเวก คือไม่มีอะไร มายึดมั่น ถือมั่น หอบหรือถือหนักอะไรเอาไว้ บางทีเปลี่ยนความคิดมาสนใจ พอใจ เรื่องวิเวกบ้างก็ได้
วิเวกทางกาย คือ กายที่ไม่มีใครมารบกวน แต่ในความจริง มันอยากมีอะไรมารบกวน มายุ่งด้วย จะยิ่งดี แต่ก็มีบางเวลาที่ไม่อยากให้มีใครมายุ่ง อยากมีอิสระ อยู่คนเดียว ไม่มีวัตถุ ไม่มีบุคคลมารบกวน สงบสงัด แต่ไปเข้าใจว่า สงัดคือน่าเบื่อ เป็นอย่างนั้นอีก เคยนึกชอบไหม เคยบ้างไหม บางเวลาอยากอยู่เดี่ยว บ้างไหม
ทีนี้ที่สองคือ จิตวิเวก คือวิเวกทางจิต จิตที่ไม่มีอะไรมารบกวน คงจะสังเกตเห็นได้ว่า สิ่งที่รบกวนจิต มันมีมากมาย จิตมันคิดนึกปรุงแต่ง ยกตัวอย่างจำนวนหนึ่ง เป็นเครื่องสังเกต ศึกษา ทดสอบ ก็ได้ เช่น ถ้าความรักมารบกวน มันก็นอนไม่หลับ ไฟมันลนหัวใจเสมอ หรือความโกรธ เป็นไฟชนิดหนึ่ง ทุกคนโกรธมาแล้วทั้งนั้น บางคนไม่อยากโกรธ มันก็โกรธ มันอดไม่ได้ ความเกลียด เกลียดใครไว้ เกลียดภาพอะไรไว้ สิ่งเหล่านั้นมารบกวน ความกลัว ก็กลัวต่างนาๆ กลัวคน กลัวตาย กลัวจะสูญเสียสิ่งที่ไม่อยากให้สูญเสีย มีร้อยแปดอย่าง ความตื่นเต้น มันได้ยิน ได้เห็นอะไร มันก็ตื่นเต้น มันถึงกับนอนไม่หลับได้เหมือนกัน ความวิตกกังวลถึงเรื่องที่มีอยู่ในอดีต มันฝังแน่น ไม่ลือ ในอนาคต คิดถึงเรื่องที่จะเป็นไปได้ ความอาลัยอาวรณ์ คงจะรู้จักกันดี ความอิจฉาริษยา อันนี้หนักสุด ใครมีคนนั้นบาปหนา หาความสงบสุขยาก ความหวง หรือที่เข้มข้น คือความหึง มันรบกวนอย่างยิ่ง ความยกตนข่มท่าน เหล่านี้รู้จักกันดี ความระแวง กลัวทุกคนไม่ชอบเรา กลั่นแกล้งเรา มันก็นึกอยู่คนเดียว โดยที่ฝ่ายนู้นเขาไม่รู้เรื่องก็มี คลุ้มคลั่งอยู่คนเดียว มันรบกวนจิต แล้วจะเป็นวิเวกได้อย่างไร มันจะสงบ เย็น มีเสรีภาพได้อย่างไร
อันที่สาม อุปธิวิเวก แปลว่าสิ่งที่ยึดถือเอาไว้ แต่เป็นเรื่องทางจิตใจ หอบหิ้วเอาไว้ กอดรัดเอาไว้ เทิดทูลเอาไว้ เป็นเรื่องวัตถุ สังขาร ร่างกาย กามารมณ์ ตัวกู ตัวกู ร้ายกาจที่สุด คนโง่ชอบนักหนา บรมโง่ อย่างนี้เรียกว่า ไม่วิเวก คิดดู ถ้าถือก้อนหินเอาไว้ จิตมันจะสบายได้อย่างไร ที่จัดไว้อันหลังสุด เพราะมันร้ายกาจกว่า สองอันแรก รบกวนทางกายไม่เท่าไร รบกวนทางจิตก็ไม่เท่าไร แต่อุปธิวิเวกรบกวนตลอดเวลา ทุกวินาที เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่ก็ไม่ค่อยรู้กันมากนัก ไม่ปรารถนาที่จะวิเวก วิเวกมันในหน้าที่มันเกี่ยวข้องกับคนทั่วไปธรรมดาสามัญ
วิเวกเมื่อใด มันก็เป็นสุขภาพทางจิตใจเมื่อนั้น ไม่ มีอะไรมารบกวนกาย สุขภาพกายก็ดี ไม่มีอะไรมารบกวนจิต สุขภาพจิตก็ดี พระอรหันต์ไม่มีสิ่งรบกวน ที่เรียกว่า วิเวก อาจจะมีของไปรบกวน คนไปรบกวน สัตว์ไปรบกวน แต่ก็เหมือนไม่รบกวน ทางจิตก็ไม่มีนิวรณ์ไปรบกวน ทางอุปธิ ก็ปล่อยวางหมดแล้ว พระอรหันต์ ท่านก็มีวิเวก ครบสมบูรณ์ นี่ก็เป็นเครื่องเปรียบเทียบ สำหรับให้เรารู้จักพระอรหันต์โดยถูกต้อง และเราก็ไม่ต้องอวดดีว่าจะเป็นพระอรหันต์กันเดี๋ยวนี้ ฉะนั้นควรเอาอย่างท่าน เพื่อสุขภาพอนามัย ที่จริงมันก็มีอยู่ตามสมควร แต่คนโง่มันมองไม่เห็น ถ้าไม่มีวิเวกเลย มันตายไปนานแล้ว มันเป็นบ้า เวลาที่ไม่มีอะไรรบกวนมันพอมี แม้แต่คนกิเลสหนา มันยังพอมี ไม่ใช่มีกิเลสทุกลมหายใจเข้าออก แม้นาทีเดียวก็ถือว่ามี แต่คนมันไม่สังเกตเห็น มันไม่สนใจ มันไปหาสิ่งมารบกวนอีก หาสิ่งที่มาช่วยประโลมใจ ไม่ให้ว่าง
เครื่องประโลมใจ ถ้ามันไปในทางที่ดี ก็ดีอยู่ แต่ถ้าไปในทางที่ไม่ดี ก็วินาศ มีธรรมะเป็นเครื่องประโลมใจ มันก็ดี มีกามารมณ์เครื่องประโลมใจ มันก็วินาศ มนุษย์ทั่วไปมันก็เครื่องประโลมใจ จึงเป็นปัจจัยที่จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยเหมือนกัน จริงในบาลีมีแค่สี่ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย มันเป็นทางกาย แต่ทางฝ่ายจิตมันมีปัจจัย คือเครื่องประโลมใจ ถ้าไม่มีมันจะกระวนกระวายใจ มันไม่ปกติ ก็พูดให้คิด ให้นึก สวดมนต์ก็ได้ เรียนธรรมะก็ได้ มาประโลมใจ ธรรมะไม่เป็นอันตราย ให้เห็นภาพเหล่านั้น แล้วถูกต้อง พอใจ เป็นสุขภาพทางจิต ทางวิญญาณ เลยขอเรียกว่าเป็นปัจจัยที่ห้า ให้สบายใจ มีกำลังใจ รู้จักใช้ธรรมะเป็นเครื่องประโลมใจ ถ้าใช้กิเลสเป็นเครื่องประโลมใจ มันเขลา มันโง่ มันเป็นการทำลายวิเวก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุปธิวิเวก หรือแม้แต่จิตวิเวก พวกที่ชอบกินเหล้า มันก็เกลียดวิเวก กินเหล้าไปกระตุ้นให้ฟุ้งซ่าน มันก็เลิกไม่ได้ ไม่ยอมเลิก หรือสูบบุหรี่ คนสูบมันก็สบายใจ ให้สิ่งเสพติดมาประโลมใจ ละก็ไม่ได้ มันไม่ต้องการวิเวก ของเสพติดอื่นก็เหมือนกัน น้ำชา กาแฟ เราควรหาอิสรภาพ เสรีภาพ ไม่เป็นทาสต่อสิ่งใด นั่นแหละดี มีสิ่งใดเป็นนาย เหนืออยู่ มันก็ไม่วิเวก มันเป็นสิ่งที่ควรสร้าง แต่เขาไม่ยอมเข้าใจ ไม่ยอมทำความรู้สึก แม้ช่วงเวลาที่ว่างจากกิเลสมันก็มีบ้าง แต่มันไม่ยอมรับรสว่า มันประเสริฐอย่างไร
เราสังเกตดูดีๆว่า เมื่อใดที่เรารู้สึกสบายใจที่สุด เวลานั้นจะไม่มีอะไรรบกวนทางกาย จิต และอุปธิ แต่มันก็ผ่านไปโดยไม่มีใครรู้จัก แต่ก็พยายามไปหาโอกาสที่ไม่มีอะไรมารบกวน ไปชายทะเลบ้าง ไปภูเขาบ้าง แต่มันก็แค่ผิวๆ มันยังมีอุปธิ คือตัวกู ลากตัวกูไปเที่ยวทะเล ตัวกูมันไปด้วยเสมอ ไม่ว่าจะไปที่ไหน แต่ก็รู้สึกอยู่บ้าง ไปริมทะเล มันโล่งอกโล่งใจ ว่างบ้าง มีวิเวกบ้าง แต่ไม่รู้จัก ไม่สร้างมันให้มีตลอดเวลา ฉะนั้นมันเกี่ยวกับความพยายามที่จะสร้างขึ้นมา
เพราะทุกคนก็ยังไม่รู้อริยสัจ ๔ ยังไม่เห็นทุกข์ ยังไม่เห็นเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ยังพากันทำตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึก ที่การกระทำมันบ่งบอก ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ยังเห็นรูปลักษณ์ภายนอกเป็นพระ ความเป็นพระนั้น พระพุทธเจ้าทรงหมายถึง ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึก เอาธรรม เอาวินัย เอาความถูกต้อง เอาความเป็นธรรม เอาความยุติธรรม สลัดเสียซึ่งตัวซึ่งตน เราถึงจะเข้าสู่กายวิเวก คือไม่ทำบาปทั้งปวง คือศีลทุกข้อน่ะเรามีเจตนา 100% ที่จะไม่ปรับธรรมะเข้าหาเรา เราต้องปรับธรรมะเข้าหาศีล
การเรียนการศึกษานี้ถึงถือว่ายังไม่เข้าใจ ถึงไม่ได้เอาการเรียนการศึกษาที่เราศึกษากันมา มาประพฤติมาปฏิบัติกัน การเรียนการศึกษานี้ เราต้องเรียน เราต้องศึกษาให้เข้าใจ ในเรื่องเรียนหนังสือแล้ว แล้วก็ผู้ที่เข้าใจอธิบายให้ฟัง เราก็ต้องเรียนในปัจจุบัน ตาเห็นรูป หูฟังเสียงอย่างนี้นะ เราต้องเรียนต้องเข้าใจในปัจจุบัน เพราะเราจะได้เพิ่มอินทรีย์บารมีของเรา เราจะได้เอาใจของเรามาประพฤติปฏิบัติ เพราะตาเห็นรูปมันก็หลง หูฟังเสียงมันก็หลง เราไม่ได้เอาอุปกรณ์คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เข้ามาแก้เลยเนอะ เรายังตามสิ่งแวดล้อมไป เค้าเรียกว่าตามอวิชชา ตามความหลง เพราะความเคยชินในความเอร็ดอร่อย ในรูปเสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ มันผิด ผิด 100% เลย มันจะเข้าสู่กายวิเวกได้อย่างไร การแสดงละครเป็นลิเก เป็นหมอรำ เป็นหนัง เป็นละคร มันก็คือสิ่งเหล่านั้น แต่ว่ามันเค้าเรียกว่ารูปลักษณ์ภายนอกดี
ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจนะ พระผู้หลักผู้ใหญ่นี้สำคัญ เราเสียเงิน เสียสตางค์สร้างมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ขึ้นมา สร้างมหามกุฏฯ ขึ้นมา เราทำดีแล้ว ถูกต้องแล้ว แต่เราขาดการประพฤติการปฏิบัติที่ต่อเนื่อง เพราะเรายังไม่รู้จักศาสนา ถ้าเรารู้จักศาสนา เราจะไม่ทำเดรัจฉานกถา เดรัจฉานวิชาถึงขนาดนี้ เพราะเราดูแล้วมันยังไม่ใช่ มันยังไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธก็แต่รูปแบบเฉยๆ มันต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ทุกวันนี้ก็ถือว่าง่ายขึ้นในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะสื่อสารมวลชนอะไรนี้มันถึงกัน ไม่กี่นาที โลกเราพัฒนา วิวัฒนาการไปอย่างนี้ แต่หน้าสมเพชหมู่มวลมนุษย์ ที่ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ไปพัฒนาแต่วัตถุ ความหลง วัตถุนั้นต้องพัฒนา ต้องพัฒนาให้มากกว่านี้อีก แต่ว่าใจของเรานั้นก็ต้องพัฒนาให้อยู่เหนืออันนี้อีก อยู่เหนือความชอบ ความไม่ชอบ อยู่เหนือทุกสิ่ง เพื่อใจของจะได้บริโภควัตถุอย่างมีปัญญา เราดูตัวอย่างประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาหลายร่วม 100 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีเรามีการพัฒนาขึ้น แต่ฝังความรุนแรงในรูปเสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ นี้มันไม่เด่น เพราะว่าแต่ก่อนมันยังไม่เป็นธุรกิจ การพัฒนาเทคโนโลยีมันเป็นธุรกิจ มันเป็นการขายความโง่ความหลง ให้สำหรับผู้ที่ไม่มีพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เราดูตัวอย่าง อย่างหลวงพ่อสุเมโธอย่างนี้ เป็นพระฝรั่งที่ทันสมัย รับราชการในกองทัพเรือแห่งสหรัฐอเมริกา ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ เป็นคนมีความรู้ ด้วยความที่ท่านสนใจในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ท่านได้เดินทางมายังประเทศไทยในปี พ.ศ.๒๕๐๙ เพื่อหาทางเข้าสู่ชีวิตอนาคาริก (ผู้ไม่ครองเรือน) ท่านได้บวชเป็นสามเณรที่จังหวัดหนองคายและอุปสมบทเป็นพระภิกษุในอีกหนึ่งปีต่อมา โดยมีท่านเจ้าคุณพระราชปรีชาญานมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ ไม่ช้านานหลังจากที่ท่านได้บวชเป็นพระภิกษุ ในปี พ.ศ.๒๕๑๐ ท่านอาจารย์สุเมโธ ได้ยินกิติศัพท์ความเคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติของท่านพระอาจารย์ชา (สุภัทโท) แห่งวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ท่านจึงกราบลาพระอุปัชฌาย์ของท่านที่จังหวัดหนองคาย เดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อชา ซึ่งท่านได้เมตตารับไว้ แต่ตั้งเงื่อนไขว่า..."ท่านจะมาอยู่กับผมก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าผมจะไม่หาอะไรมาบำรุงท่านให้ได้ตามอยาก ท่านต้องทำตามระเบียบข้อวัตร เหมือนที่พระเณรไทยเขาทำ" ท่านมาอยู่ไทยไม่รู้ภาษาไทย แล้วก็มาเรียนธรรมะกับหลวงพ่อชา หลวงพ่อชาก็ไม่รู้ภาษาอังกฤษ แต่ท่านเอาภาษาธรรมเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ท่านก็ใช้เวลาหลายปีกว่าจะรู้ ภาษาธรรมมันมีอยู่แล้ว มันบอกอยู่แล้ว เพราะธรรมชาติก็เห็นอยู่แล้ว เราก็เกิดมาก็เห็น คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย คนพลัดพรากอย่างนี้ภาษาธรรมมันก็บอกอยู่แล้ว ประเทศไหนมันก็ร้องไห้เหมือนกันนั้นแหละ ประเทศไหนมันก็หลงเหมือนกัน ประเทศไหนก็ไม่แน่ไม่เที่ยง ปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษ ก็แก่ เจ็บ ตาย พลัดพราก ความสุขความดับทุกข์มันถึงอยู่ที่เรามีสัมมาทิฏฐิ เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องชัดเจน ไม่ใช่รู้ครึ่งๆ กลางๆ
เราถึงจะพากันเข้าใจ สมัยแต่ก่อนมันไม่เจริญ อาหารการกินพระกรรมฐานนี้ กล้วยใบหนึ่งก็แบ่งกันเป็นชิ้นน้อยๆ อะไรอย่างนี้ ถ้าได้ฉันข้าวเปล่าๆ กับเกลือ กับน้ำอ้อยโบราณสักก้อนหนึ่งก็ถือว่าดีแล้ว แต่ทุกวันนี้มันไม่ใช่อย่างงั้นน่ะ กรรมฐาน กรรมถอกนี้ก็มันทับถมหมด กินขยะของครูบาอาจารย์ แล้วก็พวกผู้อยู่ในหมู่บ้าน นิคม และเมืองหลวงอย่างนี้ก็ มันทับถมแย่เลย หลวงพ่อชาก็คิดค้นเรื่องที่จะตัดวัฏฏะสงสารให้พระเณร จะส่งจดหมายจะอะไรก็เอามาอ่านก่อน เอาพัสดุมาก็ต้องตรวจดูก่อน เค้าส่งมาก็ตรวจดูก่อน อย่างนี้แหละ ส่วนใหญ่พระนี้ก็จะไม่ส่งอะไรหรอกส่วนใหญ่อย่างนี้นะ นักบวชรุ่นเก่าไปอยู่ป่าอยู่เขา จนพ่อแม่ได้อุทิศบุญกุศลให้นึกว่าตายไปแล้ว แต่จะมีพระพวกฝรั่งต่างประเทศมาอยู่ แม่ชีต่างประเทศมาอยู่ พวกนี้น่ะเขียนจดหมายอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งส่งออก ส่งเข้า เป็นของพวกฝรั่ง แสดงว่าคนที่เจริญแล้วนี้มันกายไม่วิเวก มันรับความความหลงมา ส่วนใหญ่ก็ไม่เขียนอะไรหรอก เขียนถึงพี่ถึงน้องถึงอะไรๆ เพราะมันอยู่ในธรรมอยู่ในพระวินัย นี้แสดงว่าความเจริญนี้มันไปถึงไหน กิเลสมันก็ไปถึงนั้น ถ้าเราไม่มีพุทธะ ทุกวันนี้การวิวัฒนามาก็หลายปีแล้วอย่างนี้ เล่นเอาผู้ที่ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีพระธรรม ไม่มีพระอริยสงฆ์ในใจ ถือว่าไม่รู้จักศาสนาพุทธ ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีที่เกิดสติ เกิดปัญญา หลวงตามหาบัว หลวงพ่อทุย อย่างนี้แหละท่านถึงบอกว่าเอ้ยอย่าพากันมีโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์มือถือคือพระเทวทัตนะ คือมันจะทำลายสงฆ์ ทำลายมรรผลพระนิพพานนะ
เพราะโทรศัพท์มือถือที่อยู่ที่เรือนจำ เครื่องหนึ่งหลายแสนนะ พวกนี้เค้าเอาไปขายยาม้า ยาอี ยาไอซ์หรือว่าทำธุรกิจนะ พระสงฆ์องคเจ้านี้แหละ พวกสาวแก่แม่หม้าย สาวใหญ่ หรือว่าสะเงาะสะเงะ ประจ๋อประแจ๋ อะไรอย่างนี้นะ โอ๋...พวกนี้แหละ มันพวกที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมมันหลายกลุ่มหลายอะไร มาบวชนี้ก็มาหากินกับศาสนาอย่างนี้ โทรศัพท์มือถือนี้มันเป็นการทำลาย ทำหมัน อย่าไปไว้ใจอสรพิษ แต่ก่อนว่าเงินเป็นอสรพิษกับพระกับเณรกับทุกคน เดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือยิ่งกว่าอสรพิษอีกนะ มันเล่นงานเราหลายภพหลายชาตินะ ผู้ที่ได้รับการสงฆ์หรืออะไร ใช้เทคโนโลยีมันต้องฉลาดมากกว่านี้ อย่าไปโง่ อย่าไปเผลอ พวกที่ไม่ได้รับสิทธิพิเศษนี้ ก็ไปสะเงาะสะเงะ ประจ๋อประแจ๋ ไปขอเค้าโทร เค้าเรียกว่าอันนี้มันบิ๊กเบิ้มนะ บิ๊กเบิ้มๆ เราอย่าพากันมาโง่อยู่ในวัด หรือว่าโง่อยู่ที่บ้านนะ เรามีเทคโนโลยีมันดีแล้วอะไรแล้ว เราต้องมาใช้สิ่งที่จำเป็น สมกับพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน โอ้...ทำไมมันมีความสุขแท้ รู้จักหรือเปล่า พระนิพพานน่ะ เราไม่รู้จักพระนิพพาน เราถึงไม่ยอมเข้าสู่กายวิเวก เรื่องมันไม่มีก็หาเรื่องมาใส่ตัว คนที่เป็นคนต่างประเทศมาอยู่กับหลวงพ่อ อยู่สงบเงียบ...แต่ว่ามีโทรศัพท์มาไลน์หาพี่หาน้องหาอะไรๆ โอ๋...ทำไมโง่ขนาดนี้ อะไรอย่างนี้เนอะ มันไม่ได้เข้าสู่กายวิเวกอะไรเลย เพราะว่ามันไปรับเอาจากอวิชชาของเราที่มันไปติดต่อต่อเนื่อง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้ก็มี แล้วจะมาถามเรื่องสภาวะธรรม สภาวะธรรมอะไร มันไม่มีสภาวะธรรมสภาวะเทิมอะไรหรอก เพราะว่าไม่ได้เข้าสู่กายวิเวก มันยังยินดีในความหลงในอะไรอยู่ พวกปฏิบัติครึ่งๆ กลางๆ นึกว่าตัวเองแน่แล้ว ไม่เป็นไรมีโทรศัพท์ระบบไม่ต้องมีอินเตอร์เน็ต ไม่ต้องมีอะไร เอาแบบรับแล้วก็ส่งแค่โทรออกรับสายอะไรอย่างนี้ คิดอย่างนี้มันก็ถือว่าเป็นคนโง่คนไม่ฉลาด คนฉลาดเค้าไม่คิดอย่างนี้หรอก เค้าไม่ลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติอย่างนี้หรอก เมื่อเราทำอย่างนี้ เรามันจะเคารพตัวเองได้อย่างไร อย่าไปประมาท หัวใจท่านมันสีด่างสีเทานะ ไม่ใช่สีขาวอะไร เหมือนที่พระหลายวัด นักปฏิบัตินี้ว่าพระเณรอินทรีย์บารมียังอ่อนอยู่ ให้พระที่อินทรีย์บารมีมีได้ โอ๋...คิดอย่างนี้แหละมันไม่ใช่ มันไม่ใช่คนฉลาดอะไร บวชหลายปีมันน่าจะฉลาดกว่านี้ ปฏิบัติหลายปีน่าจะฉลาดกว่านี้ อย่าไปลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติเลย ถ้าแน่จริงก็ต้องสละไปหยุดมันไป อย่าไปเข้าข้างตัวเอง
พวกเจ้าอาวาสกำลังสีขาว สีเทาอะไรอย่างนี้ พวกนี้นะ ไปโง่ ป.ธ.๙ เค้าก็พากันโง่อย่างนี้แหละ เค้าถึงสึกกันไปเป็นแถว เพราะว่ามันไม่มีเครื่องกันสึกอะไรเลย การประพฤติปฏิบัติมันต้องคู่กับการเรียน การเรียนคู่ปฏิบัติมันไม่ขัดกัน อันนี้มันขัดกัน เป็นโจรแล้วก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นโจร มันจะเอาไปทำไมหล่ะ พวกเงิน พวกสตางค์ พวกลาภยศสรรเสริญ มันทำลายความมั่นคงของชาติ ของศาสน์ ของกษัตริย์ วัดต่างๆ ทำไมพากันขายเครื่องราง ของขลัง ขายพระกัน จนขายถึงกับทองติดลูกนิมิตอะไรอย่างนี้ มันมีเป็นแผนกๆ เลย แผนกนั้นขายสังฆทาน แผนกนี้ขายพระ แผนกนี้ขายวัตถุมงคล พัฒนาขึ้นเดี๋ยวนี้เป็นทันสมัยถึงเลื่อนไปอย่างนี้ โอ๋...มันเทคโนโลยีไปทางเงิน วัดแต่ละวัด อย่างวัดใหญ่ๆ ก็มีเป็นหมื่นๆล้าน หรือว่าหลายพันล้านอย่างนี้ แล้วก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย จะทำอะไรต่อมาก็ยังหลับหู หลับตา ออกเครื่องรางของขลังมาจำหน่ายอย่างนี้แหละ จนพวกรัฐบาลของเมืองไทยเค้าโกงกิน จนหมดเงินจะโกงกิน เค้าก็จะเอาเงินวัด พวกที่มันหน้าด้านกินเงินประเทศยังไม่พอ เค้าก็อยากกินเงินวัด ทำอย่างไรเราจะได้เอาเงินวัดออกมาใช้ เพราะว่าเงินวัดต่างๆ รวมกันมันมากกว่าเงินของประเทศอีก โอ๋...เค้าคิดสูตรของเค้าหาวิธีควบคุม
เราต้องพากันคิดนะ พระผู้ใหญ่น่ะ มหาเถระสมาคม เราต้องพากันเน้นประพฤติภาคปฏิบัติให้มันเต็มที่ 100% เพราะเรามายืนอยู่ในตำแหน่งที่เราต้องแก้ไข เราจะปล่อยให้อวิชชามันเหิมเกริม ถึงจะไปขับรถ ขับเรืออะไรต่างๆ อย่างนี้ ถึงพวกพระที่นักศึกษารุ่นใหม่นี้จะหาวิธีมีใบขับขี่ มันไปกันใหญ่แล้ว ที่พูดอย่างนี้แหละเพื่อให้พุทธบริษัททั้ง ๔ รู้ว่าปัญหามันอยู่ที่ไหน ปัญหาอยู่ที่เรายังไม่รู้จักศาสนา เราพากันทำลายพระศาสนาโดยความไม่รู้ เราไม่ได้สอนเรื่องพระพุทธศาสนา เรามาทำธุระกิจในพระศาสนามันเป็นแหล่งของโจรนะ ต้องพากันเข้าใจ วัดทุกวัด วัดบ้านวัดป่าก็ปฏิบัติได้พอๆกันนั้นแหละ เราดูตัวอย่างธรรมวินัยหายไปแล้ว มันชิบหายแล้วอย่างนี้แหละ อย่างวัดเจ้าคณะจังหวัด หรือวัดเจ้าคณะอะไรต่างๆ เวลาเจ็บป่วยแล้ว เราไม่ดูแลกัน แม้แต่เจ้าคณะก็ไม่มีใครดูแล บางทีอายุ 80-90 ปีแล้ว ก็ต้องให้ญาติเค้ามาดูแลอุปัฏฐากอะไรๆ อย่างนี้ อันนี้เป็นสิ่งที่สลดสังเวชนะ นี้แสดงว่ามันไม่ได้เอาพระธรรม พระวินัยเลยอย่างนี้แหละ ผิดกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเองก็ยังลงมาอุปัฏฐากพระป่วยอะไรอย่างนี้ แล้วก็ดูตัวอย่างหลวงพ่อชาเวลาป่วยมีพระอุปัฏฐาก วันหนึ่งเข้าเวรกันเป็นสิบ อย่างนี้ต้องมีกะ กลางวัน กลางคืน ผู้ที่ไปอุปัฏฐากต้องมีทั้งพระเก่าพระใหม่ที่ส่งไม้ผลัดกัน ทุกคนก็แย่งกันอุปัฏฐาก เพราะทุกคนเคารพนับถือ
สำนักงานพุทธก็พากันเข้มข้นขึ้น ต้องพากันช่วยเหลือกัน เพื่อพากันรู้จักศาสนา สำนักงานพุทธก็ยังไม่รู้จักศาสนา ก็ไม่ได้ อย่าพากันมีเงินทอนวัดอะไรอย่างนี้ มันไม่ได้ ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา อย่าให้มันเละเทะไปมากกว่านี้นะ เพราะถ้าเละเทะไปมากกว่านี้ มันก็ออกสื่อในทางที่ไม่ดีทุกวันน่ะ ต้องเข้มแข็ง ต้องมีจุดยืนในภาคปฏิบัติชัดเจนขึ้น อย่าไปว่ามันแก้ไม่ได้ แก้ไม่ได้ มันไม่ยากหรอก เพราะว่ามันต้องแก้ตัวเองก่อน ถ้าไม่แก้ตัวเองก่อน เราทุกคนถ้าไม่แก้ตัวเองก่อน เรามีสิทธิ์ที่จะฟันหาย เพราะตัวเองทำได้ ก็ยังจะมาแก้ มันเป็นผู้ที่เดินเอกสารเฉยๆ เหมือนพระพุทธเจ้าบอกว่าไปเลี้ยงโค แต่ไม่ได้กินนมโค เราต้องกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้าทุกคนนะ เราอย่าพากันมาทำลายมรรคผลนิพพานของเราและก็กุลบุตรลูกหลาน แบบที่อ้วนขาว ลงพุงอย่างนี้จะมีประโยนช์อะไร เค้านิมนต์ไปนู้นไปนี้ ให้ไปนิมนต์ สิ่งที่มงคลไปในบ้านเค้าในงานเค้า
อย่าให้ศาสนาพุทธว่างจากมรรคผลพระนิพพาน เพราะว่ามันไม่ล้าสมัย มันอยู่กับสมัย เพราะว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์เหนือวิทยาศาสตร์ก็คือเรื่องมรรคผลพระนิพพานนี้แหละ ทุกท่านทุกคนต้องรู้จักว่าธรรมวินัยนั้นแหละคืออริยมรรค คือทางแห่งมรรคผลพระนิพพาน พระนิพพานนั้นมันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้จัก แล้วก็รู้จักชัดเจนนะ ไม่ต้องไปถามว่าเค้าได้ปฏิบัติถึงขั้นไหนหรอก เพราะว่ามันอยู่ในใจของทุกคนอยู่แล้ว ผมปฏิบัติถึงขั้นไหนถูกหรือไม่ถูกอะไร ถ้าไม่ตามใจของตัวเองมันก็จะรู้อยู่แล้ว อย่างได้แล้ว มันก็หลง มันเป็นศาสนาเงินกันหมด ถ้าคนรวยมาก็ ถ้าจะพูดให้ตรงๆ คนรวยพากันเข้าห้องสุขาอย่าพากันล้าง ให้พวกที่บวชมานี้ไม่รู้จักพระนิพพานเลียให้ ถึงแม้ยังไม่แสดงถึงขนาดนี้ มันก็คือสิ่งเดียวกัน พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าอย่าให้ประจบคฤหัสถ์ มันเป็นการประทุษร้าย มันทำลายมรรคผลพระนิพพานเค้า
อย่างนี้มันไม่ใช่ศาสนาพุทธแล้ว มันศาสนาเงิน ต้องพากันเข้าใจมันแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะว่ามันยังไม่รู้ศาสนานะ ที่พูดอย่างนี้ก็เพื่อพูดให้แสงสว่างแก่ทุกๆ คนนะ เพราะพระนิพพานมันไม่หมดสมัย ไม่ล้าสมัย มันหมดก็เพราะว่าเราไม่รู้จักพระนิพพานเลย เรารู้จักตั้งแต่ขนมข้าวต้ม ข้างของเงินทองอะไร ยิ้มกระย่องกระแย่งอย่างนี้แหละ บวชมาก็ยิ่งกว่ามีครอบครัวอีก ยังมีความเกี่ยวข้องเกี่ยวดองกัน ยังอำนวยความสะดวกให้กิเลสอาสวะอะไรอย่างนี้แหละ มันอร่อยน่ะ ต้องรู้จักความอร่อยอย่างโง่ๆ นะ รสอร่อยมันสู้รสพระธรรมไม่ได้หรอก
สทฺธีธ วิตฺตํ ปุริสสฺส เสฏฺฐํ ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ
สจฺจํ หเว สาธุตรํ รสานํ ปญฺญาชิวึ ชีวิตมาหุ เสฏฺฐํ
ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจที่ประเสริฐที่สุดของคน ธรรมที่ประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้ สัจจะเป็นรสเลิศกว่ารสทั้งหลาย บัณฑิตกล่าวสรรเสริญบุคคลผู้มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐ
ที่ว่า สัจจะเป็นรสเลิศกว่ารสทั้งหลาย ในที่นี้ หมายถึง อริยสัจ หรือรสแห่งธรรมอันได้รับเพราะการแทงตลอดอริยสัจแล้วเกิดธัมโมชะ หรือธรรมรสขึ้น ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า “สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ ความยินดีในธรรมชนะความยินดีทั้งปวง”
ผู้ยินดีในการประพฤติปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้า จะได้สัมผัสกับรสแห่งธรรม ที่เป็นรสที่ชนะรสทั้งปวง รสแห่งธรรมก็คือความสุขใจที่เป็นความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง ความสุขที่เราได้รับจากรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญต่างๆ สู้ความสุขของรสแห่งธรรมไม่ได้ เพราะความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญต่างๆ นั้น เป็นความสุขชั่วคราว เป็นความสุขที่จะต้องมีวันเสื่อมมีวันหมดไป เมื่อถึงเวลาเสื่อมของลาภยศสรรเสริญสุข ความทุกข์ก็จะปรากฏขึ้นมาทันที แต่รสแห่งธรรมคือความสุขจากรสแห่งธรรมนี้ไม่ใช่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีวันเสื่อมไม่มีวันหมด เมื่อเราได้แล้วเราจะได้ความสุขนี้ไปตลอด นี่แหละจึงถือว่าเป็นความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง เพราะเป็นความสุขที่ไม่มีวันสูญสลายไม่มีวันสิ้นสุด จะอยู่คู่กับใจไปตลอดจึงเรียกว่าเป็นความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง
ส่วนข้อว่า ผู้มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาเป็นชีวิตประเสริฐ นั้น เพราะผู้ประกอบด้วยปัญญาย่อมแสวงหาความสุขได้ แม้ในเรื่องอันน่าจะทุกข์ (ปญฺญาสหิโต นโร อิธ อปิทุกฺเขสุ สุขานิ วินฺทติ) มองในทางตรงข้าม ผู้โง่เขลาย่อมประสบความทุกข์ แม้ในเรื่องที่น่าจะสุข
พระพุทธเจ้าทรงรู้จักทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ และทรงรู้ข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ ไม่ให้เราทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเอง เพราะคนเรามันสร้างวัฏสงสาร ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คิดว่าตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองตามความรู้สึกของตัวเอง มันจะเป็นความสุข ที่ไหนได้มันเป็นความทุกข์ มันเป็นสัญชาตญาณที่มันมีอยู่ พระพุทธเจ้าได้มาบอกมาสอน เราทุกคนต้องมาหยุดตัวเอง หยุดเวียนว่ายตายเกิด ต้องพากันทำหมันตัวเอง ความคิดความปรุงแต่ง ที่มันส่งผลออกมาเป็นความประพฤติ เป็นจริตต่างๆ เป็นเพราะมาจากเราไม่รู้จักอารมณ์ แล้วก็ไปตามความปรุงแต่งต่างๆ ที่คนเราร้องไห้ก็เพราะดีใจเสียใจ เพราะความคิด อันนี้มันเป็นเรื่องความรู้สึก เรื่องสัญชาตญาณ ความคิดความปรุงแต่งจึงมีอิทธิพลต่อเราทุกคน พระพุทธเจ้าทรงรู้วงจรของสิ่งนี้ จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้มาบอกมาสอนเราด้วยวิธีง่ายๆ แต่ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติ ต้องหยุดตัวเอง
จะไปคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ มันทำให้เราต้องเรียนว่ายตายเกิด ไม่ใช่เรื่องธรรมดานะ อะไรที่เป็นตัวทำให้เราเกิด ก็คือการที่เราเอาตัวตนเป็นใหญ่ เราจึงต้องมารู้จักกลไกรู้จักวงจร รู้จักต้นสายปลายเหตุ ที่คนทั้งโลกพากันทุกข์ ไม่มีปัญหาก็พากันสร้างปัญหา ไม่ว่าจะเป็นคนเป็นสัตว์ แม้จะเป็นเทวดาก็มีความทุกข์ เป็นพรหมก็ยังมีความทุกข์ เราทุกคนเป็นผู้โชคดีได้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า เพราะเราจะไปหาแก้ภายนอกมันแก้ไม่ได้หรอก เพราะปัญหามันอยู่ที่เรา
การที่แก้ปัญหาของเราทุกคน ถึงต้องแก้ที่ตัวเราเอง ไม่ได้ไปแก้ปัญหาที่คนอื่น ทุกท่านทุกคนต้องพากันทำอย่างนี้ ปัญหาของตนเองถึงจะคลี่คลายและหมดปัญหาไปในที่สุด เราทุกคนต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าไปทำอย่างอื่นเรียกว่าไม่ถูกต้อง เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ใจของเราก็จะเข้าสู่กายวิเวก คือกายที่สงบวิเวกอันมาจากใจที่มีความเห็นถูกต้อง ที่ไม่คิดไม่พูดไม่ทำ จึงนำเราสู่กายวิเวก พัฒนาสู่จิตวิเวก และอุปธิวิเวกในที่สุด