แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๕๒ ผู้ไม่รู้จักโค ย่อมรักษาฝูงโคไว้ไม่ได้ ฉันใด ภิกษุผู้ไม่รู้จักศาสนา ก็ไม่สามารถรักษาศาสนาไว้ได้ ฉันนั้น
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกท่านทุกคนรู้จักศาสนา ส่วนใหญ่ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดยังไม่รู้จักศาสนา ไม่รู้จักของดีแท้ดีจริง ศาสนาเป็นความดับทุกข์ คือเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นกฏแห่งกรรม แห่งความดับทุกข์ ศาสนาทุกศาสนาก็คือหลักกฏแห่งกรรม ผู้ที่มาบวชเป็นพระ เป็นเณร เป็นแม่ชี ก็ยังไม่รู้จักศาสนาของแท้อยู่ ให้รู้จักศาสนา รู้จักอริยสัจ ๔ ความเป็นพระนี้ก็เป็นได้กับทุกๆ คนถ้าตั้งอยู่ในหลักพระพุทธศาสนา จะเป็นพระไปในตัวในระบบความคิด ระบบคำพูดการกระทำ มันเป็นสิ่งที่แน่นอน เข้าถึงความดับทุกข์ตั้งแต่ยังไม่ตาย มันจะเลื่อนของมันไปเอง เป็นปัจจุบันธรรมไปเรื่อย
ศาสนาคืออะไร ศาสนาก็คือไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึกตัวเอง ในโลกนี้ถึงต้องมีศาสนา ความดีทั้งหมด ความเป็นธรรม ความยุติธรรม ที่ไม่มีตัวไม่มีตน เรียกว่าศาสนา ศาสนา คือ หนทางที่ประเสริฐที่ประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ 8 คนเราเกิดมาถึงต้องมีศาสนาประจำใจ
“ศาสนา” เป็นศัพท์ในภาษาสันสกฤต บาลีใช้ว่า สาสนา แปลว่า คำสั่งสอน ย่อมมีในทุกศาสนา ในฝ่ายตะวันตก คำว่าศาสนาตามความหมายกว้างๆ คือ ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือสิ่งธรรมชาติ จะเรียกว่าพระเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้าก็แล้วแต่ ซึ่งพระองค์ทรงปกครองและควบคุมโลก พร้อมทั้งมวลมนุษยชาติด้วยทิพย์อำนาจ มนุษย์มีหน้าที่ จะต้องมีความเชื่อ ความศรัทธา เคารพบูชาพระองค์และคำสั่งสอนของพระองค์ด้วยความเกรงกลัวและด้วยความจงรักภักดี รับใช้พระองค์ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสั่งสอนอย่างเคร่งครัด
คำว่า “ศาสนา” มีความหมายกว้างขวางกว่า “ศีลธรรม” ศีลธรรมหมายถึงข้อปฏิบัติเกี่ยวกับประโยชน์สุขในขั้นพื้นฐานทั่วไป และมีตรงกันแทบทุกศาสนา ศาสนาหมายถึงระเบียบปฏิบัติในขั้นสูง ผิดแปลกแตกต่างกันไปเฉพาะศาสนาหนึ่งๆ ทีเดียว ศีลธรรม ทำให้เป็นคนดี มีการปฏิบัติไม่เบียดเบียนตนหรือคนอื่น ตามหลักสังคมทั่วๆ ไป แต่เมื่อได้ปฏิบัติครบถ้วนตามนั้นแล้ว คนก็ยังไม่พ้นทุกข์ที่มาจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ยังไม่พ้นทุกข์จากการเบียดเบียนของกิเลส อำนาจของศีลธรรมได้สิ้นสุดลงเสียก่อนที่จะกำจัด โลภะ โทสะ โมหะ ให้สิ้นสุดไปได้ และไม่สามารถกำจัดความทุกข์อันเกิดจากกการ เกิด แก่ เจ็บตายได้ ส่วนขอบเขตของศาสนานั้นยังไปไกลต่อไปอีก โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ย่อมมุ่งหมายโดยตรงที่จะกำจัดกิเลสโดยสิ้นเชิงหรือดับทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้สิ้นไป นี้ชี้ให้เห็นว่า ศาสนากับศีลธรรมนั้นต่างกันอย่างไร พุทธศาสนาไปได้ไกลกว่าศีลธรรมสากลของโลกทั่วๆ ไป เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว เราจะได้สนใจพุทธศาสนาโดยเฉพาะ
ศาสนาอื่นนิยมกันเพียงให้เว้นจากความชั่ว และให้ยึดถือในความดี ให้หลงยึดผูกพันในความดี จนถึงยอดของความดี คือพระผู้เป็นเจ้า พระพุทธศาสนายังไปไกลกว่านั้นมาก คือไม่ยอมผูกพันตัวเองกับสิ่งใดเลย การผูกพันในความดีนั้น ก็จัดว่าเป็นการปฏิบัติถูกในระยะต้นหรือระยะกลาง เมื่อเรายังทำอะไรให้สูงไปกว่านั้นไม่ได้เท่านั้นเอง ในระยะแรกเราเว้นจากความชั่ว ในระยะถัดมาเราก็ทำความดีให้เต็มที่ ส่วนในระยะสูงนั้น เราทำจิตใจให้ลอยสูงเหนือการครอบงำของทั้งความดีและความชั่ว
การที่ผูกพันตัวอยู่ภายใต้ผลของความดี ยังไม่ใช่การพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง เพราะคนชั่วก็จะมีความทุกข์ไปตามประสาคนชั่ว คนดีก็จะต้องมีความทุกข์ไปตามประสาของคนดี ถึงเป็นมนุษย์ที่ดีก็มีความทุกข์อย่างมนุษย์ที่ดี จะดีอย่างเทวดาก็มีความทุกข์อย่างเทวดา แม้จะเป็นพรหมก็มีความทุกข์อย่างพรหม จะไม่มีความทุกข์เลยก็ต่อเมื่อขึ้นไปให้พ้น สูงเหนือจากสิ่งที่เรียกว่าความดีกลายเป็นโลกุตตระ (โลกของพระอริยเจ้า) คือเป็นพระอริยเจ้าเสียเอง ถ้าขึ้นสูงถึงที่สุดก็เรียกว่าเป็นพระอรหันต์
ที่นี้ คำว่าพระพุทธศาสนานั้น แปลว่าอะไร พุทธ แปลว่า พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแปลว่า ผู้รู้ พุทธศาสนา ก็แปลว่า ศาสนาของผู้รู้ พุทธศาสนิกชนก็แปลว่าผู้ปฏิบัติตามศาสนาของผู้รู้ ที่ว่ารู้นั้นหมายถึงรู้อะไร ก็คือรู้สิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงนั่นเอง จึงกล่าวได้ว่าพุทธศาสนาก็คือ ศาสนาที่ทำให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เป็นศาสนาเกี่ยวกับความรู้จริง เราจึงต้องปฏิบัติจนเรารู้ได้เอง เมื่อรู้ถึงที่สุดแล้วไม่ต้องกลัวกิเลสตัณหาต่างๆ จะถูกความรู้นั้นทำลายให้สิ้นไปความไม่รู้ (อวิชชา) ความหลงก็จะดับไปทันที ในเมื่อความรู้ได้เกิดขึ้นมาฉะนั้น ข้อปฏิบัติต่างๆ จึงมีไว้เพื่อให้วิชชาเกิด ท่านทั้งหลายจงปักใจมั่นในทางที่จะเข้าถึงพระพุทธศาสนา ด้วยการปฏิบัติให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น ขอแต่ให้เป็นความรู้ที่ถูกต้อง รู้ด้วยความเห็นแจ้งจริงๆ อย่ารู้อย่างโลกๆ รู้ครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งไปหลงสิ่งที่ไม่ดีว่าดี หลงสิ่งซึ่งเป็นที่เกิดของความทุกข์ว่าเป็นความสุขดังนี้ ก็จะค่อยๆ รู้ไปตามลำดับ นั่นแหละ จะเป็นการรู้จักพุทธศาสนาที่ถูกตัวพุธศาสนาแท้ๆ
ถ้าศึกษาพุทธศาสนาโดยวิธีนี้แล้ว แม้คนตัดฟืนขายที่ไม่รู้หนังสือก็จะเข้าถึงตัวพุทธศาสนาได้ ในขณะที่มหาเปรียญหลายประโยคที่กำลังง่วนอยู่กับพระไตรปิฎก ไม่อาจเข้าถึงพุทธศาสนาได้เลย พวกเราที่มีสติปัญญาอยู่บ้าง น่าจะสามารถพินิจพิจารณาสิ่งทั้งปวงให้รู้ตามที่เป็นจริงได้ ฉะนั้นเมื่อถูกความทุกข์อะไรเข้าแก่ตัวเองแล้ว ก็จะต้องศึกษาสิ่งนั้นให้เข้าใจแจ่มแจ้งว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นและกำลังเผาลนเราให้เร่าร้อนอยู่นั้นมันคืออะไร เป็นอย่างไร มาจากไหน
ถ้าทุกคนตั้งสติ คอยเฝ้ากำหนดพิจารณาความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่ตนในลักษณะดังกล่าวนี้แล้ว ก็จะเป็นทางให้เข้าถึงพุทธศาสนาได้ดีที่สุด ดีกว่าการที่จะเรียนเอาจากพระไตรปิฎกอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้ทีเดียว การที่ใครจะมัวแต่ศึกษาพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก ในแง่ของภาษาหรือวรรณคดีหรือปรัชญานั้น จะไม่มีทางรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งๆ ที่พระไตรปิฎกก็เต็มไปด้วยคำบรรยายว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ เขาฟังอย่างนกแก้วนกขุนทอง พูดตามที่จำไว้ได้ แต่ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงของสิ่งทั้งหลาย เว้นไว้แต่เขาจะได้ทำการพิจารณาให้เห็นเป็นเรื่องจริงของชีวิตจิตใจ เข้าถึงตัวจริงของกิเลส ของความทุกข์ของธรรมชาติ หรือของสิ่งทั้งปวงซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเขานั่นแหละ จึงจะเข้าถึงตัวพระพุทธศาสนาที่แท้ได้
คนที่ไม่เคยอ่านเคยฟังพระไตรปิฎกเลย แต่เคยพิจารณาอย่างละเอียดลออทุกครั้ง ที่ความทุกข์เกิดขึ้นแผดเผาจิตใจของตน นี้แหละเรียกว่าเขากำลังเรียนพระไตรปิฎกโดยตรงและอย่างถูกต้องดียิ่งกว่ากำลังเปิดเล่มพระไตรปิฎกออกอ่าน เพราะว่าพวกที่กำลังลูบคลำเล่มพระไตรปิฎกอยู่ทุกๆ วัน แต่แล้วไม่รู้จักอมฤตธรรมคำสอนที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก เขาก็คล้ายกับการที่เรามีตัวเอง ใช้ตัวเอง ปฏิบัติตัวเอง ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวเองให้ลุล่วงไปได้ ยังคงมีความทุกข์ ยังคงมีตัณหาที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์เพิ่มมากขึ้นทุกๆ วัน ตามอายุที่เพิ่มขึ้น นี่เพราะไม่รู้จักตัวเราอย่างเดียวเท่านั้น
ชีวิตจิตใจที่สวมอยู่กับเรา เราก็ยังไม่รู้จัก การที่จะไปรู้สิ่งลึกลับที่ซ่อนอยู่ในพระไตรปิฎกนั้นมันยุ่งยากไปกว่าเป็นไหนๆ เพราะฉะนั้นจงหันมาศึกษาพุทธศาสนาหรือรู้จักตัวพุทธศาสนาด้วยการศึกษาจากตัวจริง คือจากสิ่งทั้งปวง ซึ่งรวมทั้งร่างกายและจิตใจนี้เอง จากชีวิตซึ่งกำลังหมุนอยู่ในวงกลมของความอยาก กระทำตามความอยาก แล้วก็เกิดผลอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาหล่อเลี้ยงเจตนาที่อยาก จึงทำสืบต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร หรือทะเลแห่งความทุกข์ เพราะความที่ไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไร ข้อเดียวเท่านั้น
สรุปความว่า พุทธศาสนา คือวิชาและระเบียบปฏิบัติเพื่อให้รู้ว่า อะไรเป็นอะไร เมื่อเรารู้ว่า อะไรเป็นอะไรถูกต้องจริงๆ แล้วไม่ต้องมีใครมาสอนเราหรือมาแนะนำเรา เราก็ปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ ถูกต้องได้ด้วยตนเอง แล้วกิเลสก็จะหมดไปเอง เราเป็นอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งขึ้นมาทันที เราจะปฏิบัติอะไรไม่ผิดขึ้นมาทันที เราจะลุถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ หรือที่ชอบเรียกกันว่ามรรคผลนิพพาน นี้ได้ด้วยตนเอง เพราะการที่เรามีความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรโดยถูกต้องถึงที่สุดอย่างแท้จริงเท่านั้น
หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุกล่าววา “พุทธศาสนาโดยเนื้อแท้เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ปรัชญา แต่วิธีพูดในบางเรื่องบางกรณี ในการเริ่มต้นหรือในการพูดอย่างหลักปรัชญา มันก็มีเหมือนกัน...
พุทธศาสนามันเป็นการปฏิบัติในรูปแบบของศาสนา...มีวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ คือต้องเอาของจริง มา ดู ใคร่ครวญ แจ่มแจ้ง และจัดการลงไป โดยประจักษ์แก่ใจอยู่เสมอ ความที่ประจักษ์แก่ใจอยู่เสมอนี้ ไม่ต้องคำนึง คำนวณ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปรัชญา ความที่ประจักษ์แก่ใจอยู่เสมอนี้ เรียกว่า "สันทิฏฐิโก"
คุณก็ท่องอยู่ทุกวันนี่ พอช่วงทำวัตรเย็น มันก็มี สวากขาโต ภควตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจังตัง เวทิตัพโพ นี่ท่องอยู่ทุกวัน ให้เข้าใจคำเหล่านี้แหละ แล้วก็จะรู้ว่าพระธรรม พระธรรมหรือพระศาสนานั้นน่ะ มันมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์
ข้อที่เป็นสันทิฏฐิโกนะ ยิ่งเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด คือต้องประจักษ์แก่ตา หรือ ตาปัญญาอยู่เสมอ
อกาลิโก ไม่ขึ้นอยู่กับเวลานั่นแหละมันยิ่งเป็นวิทยาศาสตร์ มันมีลักษณะมีกิริยาเมื่อไรก็มีปฏิกิริยาเมื่อนั้น เรียกว่าอกาลิโก
เอหิปัสสิโก มันมีตัวอยู่จริง เรียกมาดูได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ถ้าสวรรค์หรือนรกก็ตามมันอยู่ชาติหน้า แล้วจะเรียกใครมาดูได้ละ ความเป็นเอหิปัสสิโก มันก็มีไม่ได้เป็นไม่ได้
โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามาใส่ตัวนี่ มันยิ่งเป็นวิทยาศาสตร์เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำได้ จัดการให้เป็นประโยชน์ขึ้นมาได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องของคำนวณหรือความรู้แห่งการคำนวณ ซึ่งเป็นปรัชญา
และข้อสุดท้าย ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เฉพาะตน ๆ เพราะมันเป็นเรื่องทางจิตใจที่ต้องเห็นด้วยใจของตน ก็กลายเป็นเรื่องเฉพาะตน แต่มันก็มีความหมายของสันทิฎฐิโกรวมอยู่ด้วยในบทนี้ด้วยนะ ปัจจัตตังเวทิตัพโพ นี่คือเป็นเอง สันทิฏฐิโกเห็นเอง พอมาถึงปัจจัตตังเวทิตัพโพ นี่โดยเฉพาะตนเติมเข้ามา เห็นเองเฉพาะตน
แล้วก็มีคำว่าวิญญูหิอยู่ด้วย วิญญูหินั้นก็แปลว่าคนที่มีปัญญาตามปกตินะ คนโง่ คนบ้า คนใบ้ คนปัญญาอ่อน ไม่รวมอยู่ในคำว่าวิญญูหินะ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่สำเร็จประโยชน์แก่คนโง่ คนปัญญาอ่อน บ้าใบ้ เพราะมันไม่รวมอยู่ในคำว่าวิญญูหิ ฉะนั้นจึงได้เฉพาะไอ้คนที่ปกติและก็มีปัญญา เป็นคนปกติมีปัญญาหรือคนมีปัญญาเป็นปกตินั่นแหละ มันก็เป็นวิญญูหิ พอจะรู้ธรรมะได้ ถ้าคนพาล คนโง่ คนหลง คนปัญญาอ่อนมันไม่ได้ ยกออกไปเสีย ก็เป็นอภพฺพสัตว์ อภัพบุคคลไม่อาจจะเข้าใจได้”
“โย ควํ น วิชานาติ น โส รกฺขติ โคคณํ ภิกฺขุเรวํ อชานนฺโต กึ โส รกฺเขยฺย สาสนํ ฯ ผู้ไม่รู้จักโค ย่อรักษาโคไว้ไม่ได้ ฉันใด ภิกษุผู้ไม่รู้จักศาสนา ก็ไม่รักษาศาสนาไว้ได้ ฉันนั้น”
ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นเด็กเลี้ยงโค ที่รับจ้างเลี้ยงโคให้คนอื่น รับแต่เงินค่าจ้างไปวันๆ ไม่มีโอกาสได้ดื่มกิน "ปัญจโครส" (รสน้ำโค 5 อย่างคือ นมสด นมส้ม นมใส นมข้น และเปรียง) ก็ตรัสสอนเหล่าสาวกว่า ภิกษุที่บวชมาในพระศาสนาของพระองค์บางรูป ได้แต่ท่องบ่นสาธยายพุทธวจนะ ถึงจะท่องได้เป็นคัมภีร์ๆ แต่ไม่เคยนำไปปฏิบัติเลย ก็ไม่มีโอกาสได้ "ลิ้มรส" แห่งการบวชที่แท้จริงไม่ต่างอะไรกับเด็กเลี้ยงโคให้เขาไม่มีโอกาสได้ดื่มกินปัญจโครส ฉะนั้น พระองค์ตรัสสอนต่อไปว่า พระภิกษุที่ดีควร "เอาเยี่ยง" เด็กเลี้ยงโคที่ดี ซึ่งมีคุณลักษณะ 11 ประการคือ
1. เด็กเลี้ยงโคที่ดี ย่อมรู้จักรูปพรรณของโค เป็นภิกษุก็ต้องรู้จักพิจารณาร่างกายและอันประกอบด้วยธาตุสี่ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) และคุณสมบัติของธาตุสี่อย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง
2. เด็กเลี้ยงโคที่ดี ต้องรู้จักลักษณะโค เป็นภิกษุก็ต้องรู้ลักษณะคนพาลและบัณฑิต รู้จักเลือกคบคนดีและหลีกหนีคนชั่ว
3. เด็กเลี้ยงโคที่ดี ต้องรู้จักเขี่ยไข่ขาง (ขี้แมลงวันที่แผลโค) เป็นภิกษุก็ต้องรู้จักกำจัดความคิดฝ่ายอกุศล คือพยายามอย่าคิดชั่ว
4. เด็กเลี้ยงโคที่ดี ต้องรู้จักเปิดแผลโค เป็นภิกษุก็ต้องรู้จักสำรวจการแสดงออกทางตา หู เป็นต้น
5. เด็กเลี้ยงโคที่ดี ต้องรู้จักสุมควันไล่แมลงให้โค เป็นภิกษุก็ต้องรู้จักแสดงธรรมไล่ความโง่ออกจากใจคนทั่วไปให้ได้
6. เด็กเลี้ยงโคที่ดี ต้องรู้จักท่าสำหรับให้โคลงอาบน้ำ เป็นภิกษุก็ต้องรู้จักเข้าหาผู้มีความรู้เพื่อปรึกษาหารือการปฏิบัติธรรม
7. เด็กเลี้ยงโคที่ดี ต้องรู้จักให้โคดื่มน้ำที่ดื่มได้ เป็นภิกษุก็ต้องรู้จักดื่มด่ำในพุทธธรรม
8. เด็กเลี้ยงโคที่ดี ต้องรู้จักทางที่ควรต้อนโคไปหรือไม่ควรต้อนไป เป็นภิกษุก็ต้องรู้จักทางปฏิบัติที่ถูกต้องคือ อริยมรรคมีองค์แปด
9. เด็กเลี้ยงโคที่ดี ต้องรู้จักทำเลหากินของโค เป็นภิกษุก็ต้องรู้จักปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐานสี่
10. เด็กเลี้ยงโคที่ดี ต้องรู้จักรีดนมโค ไม่ควรรีดหมดจนลูกโคไม่มีดื่ม เป็นภิกษุก็ต้องรู้จักประมาณในการรับปัจจัยสี่
11. เด็กเลี้ยงโคที่ดี ต้องรู้จักทะนุถนอมโคจ่าฝูง เป็นภิกษุก็ต้องรู้จักเคารพนับถือพระภิกษุเป็นเถระเป็นสังฆบิดร
ยังมีอีกเยอะครับ คำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงใช้สัตว์ต่างๆ เป็น "สื่อสอนธรรม" ที่ยกมาข้างต้นนี้ ถึงจะทรงสอนพระโดยตรงก็จริง แต่ชาวบ้านก็สามารถนำเอาคำสอนนี้ไปประยุกต์ใช้ได้ เพียงข้อเดียวคือ "รู้จักเขี่ยไข่ขาง" (คือกำจัดความคิดชั่วร้ายออกจากใจตัวเอง) แค่นี้ก็มีประโยชน์เหลือหลายแล้ว วันๆ มีแต่เรื่องทำให้จิตใจหงุดหงิด ออกจากบ้านไปทำงานกว่าจะถึงที่ทำงานก็เกือบเที่ยง จราจรจลาจลจนปวดหัว ปวดใจ หงุดหงิดจนได้ ไม่มีทางใดจะดีเท่ากับหันมา "เขี่ยไขขาง" จากใจเราเองดอกครับ เขี่ยออกแล้วสบายใจดี อย่างนี้เป็นต้น
พระวัดบ้าน วัดป่าก็ต้องพากันเปลี่ยนใหม่ไปในทางที่ดีหมด พระวัดบ้านวัดป่าต้องพากันรักกันอะไรกัน ทุกศาสนาก็ต้องรักกัน อย่าให้ถึงพระศรีอาริย์หลายปีเกิน พระนามของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปที่ว่า พระศรีอริยเมตไตย คือความเมตตา ความกรุณา เราจะเข้าถึงความเป็นพระได้ ก็ต้องมีความเมตตา ความกรุณา เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง
อีก ๑ เดือนจะออกพรรษา เดี๋ยวจะมีการสอบนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เปรียญธรรมก็สอบต้นปีหน้า พระนี้เป็นผู้สืบพระศาสนา สืบภาคประพฤติภาคปฏิบัติ จึงต้องเข้าใจ พวกที่มาบวช ความรู้ทางศาสนายังไม่มี มันต้องเรียนนักธรรม แล้วก็ปฏิบัติธรรมไป เราจะมีพระไว้เพียงแค่รับกิจนิมนต์ ไปงานมงคลไปงานผีงานอะไรอย่างนี้ มีพระไว้ทำเพียงแค่นี้ มันไม่ใช่ศาสนาพุทธ อย่างผู้ที่ส่งบุญส่งกุศลให้ผู้ตายได้ดีที่สุด ก็ต้องเป็นพระอริยเจ้า เป็นอรหันต์ เป็นสงฆ์สาวกที่แท้จริง
ในภาคปริยัติต้องมีการสอบนักธรรมวัดความรู้ว่าเข้าใจ อย่าให้มีความรู้นอกโต๊ะ หรือไปทุจริตในการสอบแบบที่หลายแห่งเป็นกันอยู่ ถ้าทำอย่างนั้นศีล ๕ ก็ยังไม่ได้เลย ผู้ที่มาบวช ที่เป็นคนรวยแล้วมีบุญเห็นภัยในวัฏฏะสงสารนี้ก็มีน้อย ส่วนใหญ่ก็จะมาจากรากหญ้า มาจากฐานะต่ำ ฐานะปานกลาง มันถึงมีการเรียนการศึกษา แต่มันต้องมีการประพฤติการปฏิบัติพร้อมกัน อย่าไปแยกการปฏิบัติออกจากการเรียนการศึกษา ทั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์มหาจุฬาฯ มหามกุฏฯ ก็ต้องมีภาคประพฤติภาคปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน ถ้าอย่างนั้นมันไม่ได้ พวกที่จบไปเป็นอนุศาสนาจารย์สอนทหารตำรวจ ถ้าธรรมะไม่ได้ซึบซาบเข้าในใจ ไม่มีศีล ๕ จะไปสอนเรื่องศีลธรรม ใครเขาจะไปฟัง มันพวกเห็นแก่ตัวหลงงมงายในตัวตน
พวกเด็กๆ น่ะมันอยู่ที่พ่อที่แม่ ถ้าพ่อแม่มีศีลมีธรรมมีอะไร ให้ลูกมันเคารพนับถือไม่ใช่ให้ลูกมันสงสาร มันถึงจะบอกลูกได้ ลูกมันถึงจะไม่ติดยาม้า ยาอี กินเหล้า เมาเบียร์เมาสาวอะไร คนเราน่ะถ้าไม่ได้ตั้งมั่นในความดี มันก็หนักกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมันไม่สร้างระเบิด ไม่สร้างปืน ไม่สร้างบ่อนคาสิโน ไม่กินเหบ้า กินเบียร์ ไม่เล่นการพนัน ไม่คอร์รัปชั่น แสดงว่าชีวิตในยุคนี้มันตกต่ำ เพราะว่าโควิดในการเวียนว่ายตายเกิดมันหนักขึ้น คนเรามันไปใกล้ใครหรือว่าเกี่ยวข้องกับใครมันก็ติดโควิด เช่นว่า ครอบครัวๆ หนึ่งเป็นหวัด ก็เป็นทั้งครอบครัวเลยอย่างนี้ มันใกล้กัน ยิ่งเราเป็นพ่อเป็นแม่ยิ่งถ่ายทอดทาง ดีเอ็นเอ
มันไม่สายนะถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง การเรียนการศึกษามันเป็นการรู้จักยา รู้จักแผนที่ ต้องให้มันเข้าใจ เวลาอันนี้จะได้ใช้ยาถูก ปวดหัวใช้ยาอะไร ปวดท้องใช้ยาอะไร ขาดวิตามินตัวไหนใช้วิตามินอะไร เพราะหลวงพ่อดูแล้วน่ะ ผู้ที่ต่อยอดจากอาจารย์ชาอย่างนี้แหละ มันไม่ทำตามอาจารย์ชา อาจารย์ชาป่วยแล้วก็ เพราะอาจารย์ชาเอาพระนิพพานไม่เอาเงินไม่เอาตังค์ ไม่เอาของ ไม่เอาอะไรๆ ของอะไรก็ให้มันมาเป็นของสงฆ์ของอะไรไป มีอะไรก็ใช้ด้วยกัน มีกล้วยใบหนึ่งพระ 4-5 รูปก็ฉันกันนิดเดียว เมื่อหลวงพ่อชาป่วยที่นี้แหละ มันก็เปลี่ยน เปลี่ยนอย่างไร เปลี่ยนตามใจตามอารมณ์ ไปรับกิจนิมนต์เค้าก็ต้องถวาย เค้าว่าวัดนี้เค้าเอาของไปรวมกันอย่างนี้ เจ้าอาวาสก็เอาไปเข้าบัญชีของตัวเองแล้ว เข้าทีละพัน สองพัน ทีละหมื่น หลวงพ่อดูแล้ว บางท่านมรณภาพลงก็มีเงินในบัญชีส่วนตัวหลายล้าน ยกตัวอย่างเนอะ ทั้งที่เป็นศิษย์ที่ก้นกุฏิหลวงพ่อชา บางองค์บางท่านอย่างนี้แหละ ก็มีรถมี ไปเอารถเป็นชื่อของท่าน เวลามรณภาพแล้ว ก็หลานมันก็จะมาเอารถไป ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย มีเงินอย่างนี้ หลานมันก็จะมาเอาไป พวกโยมมัคทายกก็ไม่ยอม มีเรื่องมีราวกันให้ทางศาลเคลียร์
มันกลายพันธุ์ แต่ละองค์ในประเทศไทยเป็นอย่างนี้กันเป็นส่วนใหญ่นะ แล้วก็ไม่เอามรรคผลนิพพาน ถึงเป็นวัดก็คือวัดร้างน่ะ คือร้างจากมรรคผลนิพพาน มีแต่ตั้งทีมเข้มแข็งกันเฉยๆ ศาสนาพุทธในเมืองไทยนี้ ตั้งทีมเข้มแข็งเพื่อจะยืนหยัดอยู่ได้ เฉยๆ ทุกอย่างถ้าเราเข้าสู่ระบบมันไม่เจ๊ง เพราะเรามีการเรียนการศึกษา แต่มันเจ๊งเพราะไม่มีการปฏิบัติ
อย่างเช่น การค้าการขายอย่างนี้แหละมันต้องช่วยเหลือประชาชนนะ ถ้าเราเอาตามเศษฐกิจพอเพียงของพระพุทธเจ้า ของในหลวงมหาภูมิพล จะช่วยเหลือประชาชน ไม่เหมือนกับคนจีนรุ่นก่อน ต้องเอากำไร 30-40-50 % เมื่อแมคโคร โลตัส เกิดขึ้นมาเขาเอากำไรน้อย แต่ได้ปริมาณลูกค้ามาก พวกนี้ก็หงายท้องเลย เพราะว่าเค้าไปเรียนเมืองนอกมา เค้าไม่เอาแพง แถมมีอะไรให้อีก พวกนี้ก็จะไปเดินขบวน พวกนี้ถึงรวยมีเงินหลายหมื่นล้าน หลายแสนล้าน เพราะมันเกี่ยวกับระบบโกงกินคอรัปชั่น
ถ้าไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ ไม่มีความสุขในการทำงาน เค้าเรียกว่าเป็นการคอรัปชั่นนะ คนเราปลาใหญ่ถึงกินปลาเล็กอยู่อย่างนี้แหละ ถ้าทุนเค้าเยอะอย่างนี้ เค้าก็ชนะได้อย่างนี้แหละ ถึงแม้ทุนเราไม่เยอะ เราก็ทำเหมือนที่ว่านี่แหละ เครดิตมันก็มา เพราะเราเอากำไรน้อย เราไม่หลงเห่อเหมือนลูกคนรวย ซื้อรถคันละ 10 20 30 ล้านอะไรอย่างนี้ เราไม่โก้สวยหรูว่าออกโทรทัศน์กันโง่ๆ อะไรอย่างนี้นะ มันเป็นระบบ คนเรานี้จะพัฒนาสาขาอะไรทั้งประเทศก็ได้ ถ้ารู้จักระบบ ถ้าเราไม่โกงไม่กิน มันไปได้ เพราะเป็นระบบเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ระบบของพระศรีอาริย์ ถ้าเราคิดไปยิ่งลึกซึ้งนะ แล้วทุกอย่างมันก็ดี สามีภรรยานี้ต้องรักกันเข้าใจกัน จะเอาแบบฝรั่งไม่ได้ เงินกระเป๋าใครกระเป๋ามัน บางคนมันก็โลภไปให้ลูก ไปให้ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลอะไรพวกนี้ มันไม่ได้ ผู้ที่เป็นนักการเมือง ถ้าไม่มีศีล ความเชื่อใจกันจะไม่มีเลยนะ เพราะทุกคนเป็นโจร 100% ไม่ใช่โจรธรรมดานะ เค้าเรียกว่าโจรเกิน 100 พูดเพราะผูกเนคไทคือโจรใหญ่นะ โจรเกินร้อยนะ นี้ไม่ได้ว่าให้ใคร พูดจากใจ พูดจากพระนิพพาน ไม่ได้พูดให้สะใจ พูดเพื่อเปิดแสงสว่าง มนุษย์เราจะมีความสุขมากนะ มีรถสะดวกขนาดนี้ มีเครื่องบินสะดวกขนาดนี้ มีเทคโนโลยีขนาดนี้ นี้มันแย่เลย มันหลงความสุข เที่ยวทะเล เที่ยวชายหาด เที่ยวเมืองนอกเมืองนา โอ๋...แต่มันไม่รู้จักความสุข ความสุขที่ถูกต้อง ที่ประกอบด้วยปัญญา เลยเป็นแค่ความสุขของพวกไม่รู้จริง ตระกูลใหญ่ๆ อันดับต้นๆ เกือบทุกตระกูลเลยทะเลาะกัน เพราะไม่รู้จักความสุขที่ถูกต้องของจริง
ขอให้ทุกคนมีความรู้สึกว่า สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่มีอะไรเป็นตัวตนอย่างแท้จริง ไม่น่าหลงด้วยกำลังใจทั้งหมดทั้งสิ้น ควรยับยั้งด้วยปัญญาเรียกว่าเป็นผู้รู้ด้วยปัญญามีความเห็นถูกต้อง ตามคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา จึงสมควรจะเรียกว่า เป็นพุทธบริษัทโดยแท้จริง
แม้จะไม่เคยบวชไม่เคยรับศีล แต่ก็เป็นบุคคลที่เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง เขามีจิตใจอย่างเดียวกับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือมีความสะอาด สว่าง สงบในใจ เพราะเหตุที่ไม่ยึดถือในสิ่งใด ว่าน่าเอา หรือน่าเป็นนั่นเอง เขาจึงเป็นพุทธบริษัทขึ้นมาได้โดยสมบูรณ์ อย่างง่ายดายและอย่างแท้จริง ด้วยอาศัยอุบายถูกต้อง ที่พิจารณามองเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์และความไม่ใช่ตัวตน ของตัวของตน จนเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ น่าเอา น่าเป็นสักอย่างเดียว การรู้ว่าอะไรเป็นอะไรถึงที่สุดนั้น คือรู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของตน เมื่อรู้โดยแท้จริงแล้ว ก็จะเกิดความรู้ชนิดที่จิตใจจะไม่อยากเป็นอะไรด้วยความยึดถือ แต่ถ้าต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งใดๆ ที่เรียกว่า “ความมีความเป็น” บ้างก็เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยอำนาจของปัญญา ไม่เกี่ยวข้องด้วยอำนาจของตัณหา เพราะฉะนั้น จึงไม่มีความทุกข์เลย