แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ประวัติศาสตร์ของโลกที่ผ่านๆ มา พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วอย่างนี้ ศาสนาก็เริ่มเสื่อมไปตามยุคสมัย พระอรหันต์ก็ลดน้อยลง สามัญชนที่เป็นปุถุชนก็มีมาก ก็ทำให้ศาสนาเสื่อม ถึงมีสังคายนาพระธรรมวินัยหลายครั้งหลายครา แล้วก็ประเทศไทยเรานี้ก็เหมือนกัน หรือประเทศอื่นๆ ก็เหมือนกัน ที่มีครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ ลูกศิษย์ที่ไม่ต่อยอดของครูบาอาจารย์มันก็ไปไม่ได้ ทำให้วัดนั้นหลายเป็นวัดร้าง ถึงมีโบสถ์มีวิหารใหญ่โต แต่ก็เป็นวัดร้าง ร้างจากมรรคผลพระนิพพาน เราทุกคนก็มาพินิจพิจารณาในข้อนี้
นักวิทยาศาสตร์เค้าค้นคว้าไปจากเดินดิน เดินด้วยเท้า เค้าจนไปสู่โลกดวงจันทร์ แต่ทางฝ่ายพัฒนาทางจิตใจไม่ได้พัฒนา ไม่มีการปฏิบัติ อยู่ในวัดเราอยู่ในอะไรๆ เราต้องพัฒนาจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้คลุกคีกันมาก ไม่ให้พูดคุยในเดรัจฉานกถา พวกที่คลุกคลีกันนี้เค้าเรียกว่าเดรัจฉานกถา พวกที่ไม่เอามรรคผลนิพพาน พวกที่ไปเรียนเป็นหมอดู หมอโหราศาสตร์ เขียนยันต์ เขียนอะไรหากินอย่างนี้ พวกนี้ได้แต่สะเงาะสะเงะ ถ้าผู้นำมันผิด ผู้ตามจะถูกได้อย่างไร เพราะว่าทุกคนจะเคารพใครสักคนหนึ่งได้ คนๆ นั้น เค้าต้องมีศีลมีธรรมเป็นพระอรหันต์อย่างนี้ เป็นต้น เราทุกคนมันโง่จะไปหาแก้ไขแต่คนอื่น ไม่ว่าเจ้าอาวาส ไม่ว่าเจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัด หรือเจ้าคณะภาค มหาเถรสมาคม ส่วนใหญ่มักจะไปจัดการแต่คนอื่น อย่างนี้แหละ มันสะดุดหยุดอยู่ในตัวมันไม่รู้ ทุกคนต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ การแก้ไขคือทุกคนมาแก้ไขตัวเอง
เราจะไปว่าให้ลูกคนสมัย หลานสมัยใหม่ มันไม่เคารพนับถืออะไร มันจะเคารพนับถืออย่างไร มันแค่สงสารเราเฉยๆ เราให้ข้าวให้น้ำให้อาหาร ส่งมันเรียนนอกตั้งหลายประเทศมันสงสารเรา พวกพระอะไรๆ ก็เหมือนกัน ให้ทุกคนพากันเข้าใจนะ เมื่อหันกระบอกมาเพื่อจัดการกับตัวเอง มันไม่อยากตายจากความโลภ ความโกรธ ความหลงนะ มันไม่อยากระเบิดวัฏสงสารของตัวเองนะ คนเรานะตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง สติสัมปชัญญะมันจะสมบูรณ์อย่างไร เหมือนกับพวกที่หลวงพ่อกำลังให้ทำอย่างนี้แหละ บอกว่าสองทุ่มครึ่ง หรือสามทุ่มครึ่งนั่งสมาธิ แล้วก็ให้ใจสงบและก็ถึงนอน เราจะไปทำเหมือนฆราวาสเค้า เค้าไลน์โทรศัพท์ เค้าเล่นโทรศัพท์เค้าอะไรๆ เค้าบริโภคกาม อย่างนี้เค้าก็เสียคน มันไม่ได้ฉลาดอะไรหรอก เพราะมันไปเลือกที่จะรู้แต่เรื่องของคนอื่น พระวัดบ้านแย่เลยไม่รู้หลักเลย ทั้งที่อ่านหนังสือก็มาก เป็นคนควบคุมพระไตรปิฏก พวกสอนพวกอะไรต่างๆ เรียนนักธรรมตรี โท เอก คนเรียนตรี โท เอก อย่างนี้แหละมันเรียนหนังสือ หนังสือกับภาคปฏิบัติมันต้องไปพอๆ กัน ถ้าอย่างนั้นไม่ได้ เสียหาย ระบบเดินขบวนไม่จบหรอก อย่างนี้แหละ เพราะพวกนี้ไปเทศน์คนอื่น เราไปบอกเค้า ไปว่าเค้าไม่ดี ฟันเราไม่หายก็ดีแล้ว ลูกศิษย์หลวงพ่อ พากันไปหลงขยะกัน เราต้องลงรายละเอียดให้ลึก ในภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
ทุกคนน่ะมีฐาน เรามาต่อยอดของพ่อของแม่ เรามาต่อยอดของครูบาอาจารย์ เพราะดูแล้วที่ผ่านๆ มา ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ แต่ลูกศิษย์ที่ดูแลวัดต่อมันไม่ต่อยอด ทำให้วัดนั้นๆ ร้างลาจากสวรรค์ มรรคผลพระนิพพาน พ่อแม่เราทำดีอย่างนี้เราต้องพัฒนาไป เหมือนนักวิทยาศาสตร์รุ่นพี่พัฒนาอย่างนี้ รุ่นน้องมันยิ่งพัฒนาไป แต่ฝ่ายทางจิตใจไม่ได้พัฒนากัน นี้คือ ตกต่ำไปเรื่อยๆ พากันหลงประเด็นไป ทำให้ประชาชนเสียผลประโยชน์ เสียทรัพยากรแห่งความเป็นมนุษย์ เพราะไม่มีพระอริยเจ้าที่มาบอกมาสอน มีแต่พระภิกษุ มีแต่สามเณร ไม่มีพระธรรม ไม่มีพระวินัย ไม่มีสิ่งที่ดีๆ
อีกไม่ถึงหนึ่งเดือนก็จะออกพรรษา ให้พากันตั้งใจให้เต็มที่ เต็มร้อย ตั้งใจพิเศษ ให้พากันปฏิบัติเต็มที่ อย่าไปออมไว้ ให้พากันเปลี่ยนแปลงตัวเอง เข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า พระเก่าก็ต้องเหมือนกัน เพื่อเราจะได้ทำสิ่งที่ เร่งด่วน เมื่อวานนี้ก็ได้พูดเรื่องจิต เรื่องใจแล้ว เรื่องสัมมาทิฏฐิ ที่นี้ก็เข้าสู่ภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติกัน บอกว่าไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองเสียเวลา
ทุกคนน่ะต้องขยันมากขึ้น รับผิดชอบขึ้นอีก อดทนขึ้นอีก เพราะอันนี้มันเป็นความสุข ความดับทุกข์ของเราทุกๆ คน เราพูดอย่างนี้เพื่อให้พระกระตือรือร้น เพราะหลายคนก็ติดเชื่องช้า เซื่องซึม ติดสุขติดสบาย เพราะว่าเป็นลูกคนรวยหลายคน ทั้งพระเก่าก็ติดสุข ติดสบาย ไม่ได้เสียหาย พวกโยมที่มาถือศีลปฏิบัติธรรมก็ ต้องพากันกระตือรือร้น เพราะเราต้องเน้นที่ปัจจุบันเต็มที่ เราก็ทำให้เป็นทีมเดียวกันด้วยความกระตือรือร้น พระเก่าก็ปฏิบัติอย่าให้มันเป็นขาลง ให้มันเป็นขาขึ้นไปเลย พระใหม่นี่มันขาขึ้นอยู่แล้ว แต่พระเก่านี่ทำให้พระใหม่เสีย เพราะว่ามันเป็นขาลง ที่เรารวบรวมประวัติศาสตร์ดู ๔๐-๕๐ ปี มานี้แหละ พระสงฆ์ในเมืองไทยหรือว่าการปฏิบัติในเมืองไทย มันยังไม่ได้เข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า ประเทศไทยมันน่าจะดีขึ้นกว่านี้ เราจะได้เข้าไลน์ เราจะได้สู่ไลน์ไปให้รุ่นน้อง นี่เราเอาแต่สิ่งที่ไม่ดีให้รุ่นน้องไม่ได้เนอะ มาบวช ก็มาบวชเป็นพิธีเฉยๆ อย่างนั้นไม่เอาเนอะ ทุกคนนี้สู้เต็มที่เลย มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้า หายใจออกให้มันชัดเจน อย่าเป็นคนครึ่งหลับ ครึ่งตื่น
เพราะพระต้องเป็นตัวอย่างแบบอย่าง มันถึงจะบอกสอนคนอื่นได้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นพระธรรม เป็นพระวินัยไม่ได้ วัดที่แท้จริงนั้นคือข้อปฏิบัติที่มุ่งมรรคผลนิพพาน วัดที่แท้จริง ไม่ใช่โบสถ์ ไม่ใช่วิหาร ไม่ใช่เจดีย์ วัดคือข้อวัตร ข้อปฏิบัติ เรากลับมาหาตัวเองที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ ต้องภาวนาให้เกิดความสงบ คนเราทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึก มันจะไปมีศีลได้ยังไง เห็นแก่ตัวอย่างนั้น ศีลก็คือมีแต่พระธรรม มีแต่พระวินัย ไม่มีตัวไม่มีตน มันถึงสงบ มีตัวมีตนมันจะสงบได้ยังไง สมาธิจิตใจเข้มแข็ง จิตใจหนักแน่ ใจไม่อ่อน ในธรรม ในมรรค ในวินัย ตั้งมั่นในความเสียสละ จิตใจเข้มแข็ง มันถึงเป็นสมาธิ มันถึงเกิดปัญญาได้ มันจะข้ามปรัชญาไป มันจะข้ามคนเก่งคนฉลาดไป เรื่องเก่งเรื่องฉลาดเอาไว้เป็นถนนให้เราเหยียบผ่านเฉยๆ มันต้องเป็นคนที่ปฏิบัติคนที่เสียสละ เข้าสู่ศาสนาพุทธ ไม่อย่างนั้นก็เป็นนักปรัชญา นักจิตวิทยา อันนี้ไม่เอา ที่นี้เรารู้แล้วว่า ทุกคนมันไม่ได้มาตรฐาน ต้องเข้าสู่กระบวนการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ศาสนาพุทธนี้มันเสื่อมลงมาก บางครั้งก็ไม่มีข้อวัตร ไม่มีกิจวัตรเลย พอนานๆ ที พระอริยเจ้าจึงจะเกิดขึ้น สมัยก่อนยุคหลวงปู่มั่น ศาสนาพุทธในไทยก็ถือว่าตกต่ำน่าดู แต่เมื่อหลวงปู่มั่นได้บำเพ็ญบารมี มาประพฤติปฏิบัติ ศาสนาก็ครึกครื้นรื่นรมย์ขึ้น จากที่มันย่อหย่อนอ่อนแอ ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว สะเปะสะปะ มันก็เฟื่องฟูขึ้น เพราะมันเป็นกฎของอนิจจัง เพราะถ้าเราไม่เอาธรรมเป็นหลัก ไม่เอาธรรมเป็นใหญ่ ศาสนามันก็ตั้งไม่ได้ อยู่ไม่ได้ในหลายชั่วคน เหมือนตระกูลเราไม่เอาศีล ๕ เป็นหลัก ไม่เอามรรคผลเป็นหลัก ตระกูลเราก็ตั้งได้ไม่กี่ชั่วคนหรอก ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ อานาปานสติทุกคนต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ ใจของเราต้องรู้ผิด รู้ถูก เราจะไปว่าความคิดนั้นมันไม่สำคัญ เราก็ไม่รู้ภาคปฏิบัติเลย ปล่อยให้อารมณ์สวรรค์มันครอบงำจิตใจ ต้องเห็นโทษของสวรรค์ มันจะนำเราเวียนว่ายตายเกิด เราต้องเสียสละ เห็นไหม เราดูลูกศิษย์สายไหนๆ มันก็ไปไม่รอด ถ้าเราหลงประเด็น เราจะพากันหลงแต่วัตถุภายนอก เราจะพากันมาสร้างแต่พระพุทธรูป สร้างเจดีย์ อันนั้นไปสร้างพระภายนอก เราต้องสร้างพระภายในคือพระธรรม คือ พระวินัย นี้คือมรรคผลพระนิพพาน แล้วเราก็อย่าไปหลงประเด็น ที่กำลังทำให้โลกนี้มีปัญหาทุกวัน
เราต้องพากันเข้าใจ พากันรู้จัก ทุกท่านทุกคน ถ้าไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึก ทุกอย่างมันก็จะดีเอง เราดูตัวอย่างอย่างหลวงปู่คำภา ท่านเอาพระธรรม พระวินัย เอามรรคผลนิพพาน ทุกอย่างมันก็ดีเอง ทุกคนก็เเย่งกันไป ประพฤติ เเย่งกันไปดูเเล ไปอุปัฏฐาก ต่างจากผู้ที่ทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเองยิ่งเเก่ก็ยิ่งมีปัญหา ไม่มีใครอยากจะยกมือไหว้ ไม่มีใครอยากอุปถัมภ์อุปัฏฐาก นี้เเสดงถึงกรรมใดใครก่อ เราก็เห็นเป็นตัวอย่าง อย่างพระทั้งหลายทั้งปวง เค้าถึงพากัน ทำผิดศีลทำธรรม ทำเดรัจฉานวิชากัน พากันขายพระ ขายเหรียญ ขายตะกรุด ขายอะไรกัน ทำมาหากิน ไปเรียนวิชา ดูหมอ ดูโหราศาสตร์อย่างนี้ เพราะว่า มันไม่ได้สร้างธนาคารความดี ไม่ได้สร้างความดี มันไม่ได้ตั้งธนาคารในกายวาจาใจตัวเองไว้ มันเลยเห็นปรากฏการณ์เหมือนเราเห็นกันอยู่ ที่เราเห็นพระ เห็นเณร ที่กรรมใครใครก็ก่อ มันเป็นความประมาท ความเพลิดเพลิน ไม่เห็นความสำคัญในปฏิปทา ไม่เห็นความสำคัญในศีล ในข้อวัตรปฏิบัติ ไม่มีใครสร้างปัญหาให้เรานะ อย่าไปว่าคนอื่นเค้าอย่างโน่นอย่างนี้ เค้าไม่เคารพ ไม่อะไรหรอก ไปว่าสมัยทุกวันนี้มรรคผลนิพพานมันหมดไปเเล้ว ก็ไปทำอย่างนี้มรรคผลนิพพานก็ต้องหมด
เราต้องพากันเข้าใจ ผู้ที่บวชก็เข้าใจ ผู้ที่ไม่ได้บวชก็เข้าใจ ทุกท่านทุกคนต้องพากันปฏิบัติตน ต้องภาวนาตนเน้นมาที่ตัวเรา ไม่ว่าเราจะเป็นประชาชน หรือว่าเป็นพระวัดป่า เป็นพระวัดบ้าน เป็นประชาชนที่มีศีลห้า ก็ไม่มีปัญหา ให้พากันเข้าใจ เรื่องวิทยาศาตร์ เเล้วก็เข้าใจเรื่องธรรม เรื่องโลกุตตรธรรม เราจะได้ไม่หลงอยู่ในโลกธรรม ชีวิตของเราก็จะได้เจริญงอกงาม เราต้องพึ่งธรรมะอย่างนี้ เมื่อเราประพฤติปฏิบัติได้ สิ่งที่เป็นส่วนของพ่อของเเม่ ก็อยู่ในร่างกายของเราอยู่เเล้ว เลือดเนื้อของเรา ครบประการ ๓๒ คือส่วนของพ่อของเเม่หมด เราจะได้เอาร่างกายนี้ เราจะได้กตัญญูกตเวทีต่อพ่อต่อเเม่ เราถึงจะสมควรให้พ่อให้เเม่กราบ ให้ประชาชนกราบ ถ้าใครยังมีความเห็นผิด เข้าใจผิด ให้พากันเข้าใจใหม่ อย่าให้จิตใจมันหยาบ จิตสกปรก จิตใจมันโง่ จิตใจมันหลงงมงาย เราต้องสารภาพบาป เเสดงอาบัติโดยอธิษฐานใจ ถ้าเราไม่อธิษฐานใจ ไม่ตั้งใจมันไม่ได้
ศาสนามันจะได้เป็นขาขึ้น ถ้ามันเเก้ที่ตัวเอง มันพัฒนาตัวเอง เรียกว่าขาขึ้น ศาสนาขาลง ที่เราไปสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ เเล้วก็เอาเป็นที่ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไปบอก ไปสอนประชาชาน อันนี้เค้าเรียกว่าขาลงเเล้ว ไม่ใช่เจตนาของพระพุทธเจ้า เราจะได้มีที่อยู่คือ พระนิพพาน ที่มันต้องมีที่อยู่ในใจของเรา เราเป็นคนไม่มีที่อยู่นะ ใจของเรามันเร่ร่อน เศรษฐีหมื่นล้าน เศรษฐีที่เเสนล้าน เศรษฐีเป็นโกฏิๆ ล้าน ถือว่ามันเป็นเศรษฐีภายนอก ถ้าเราไม่พัฒนาใจไปพร้อมๆกัน นี้คือความล้มเหลวของความประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ
ทุกท่านทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักบวชจากศาสนาใดๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน ทุกคนก็คือญาติคือพี่น้องกัน เราต้องเกิดมาเพื่อมาเป็นผู้ให้ เพื่อมาเป็นผู้เสียสละ เรามีบ้าน มีรถ มีลาภ ยศ สรรเสริญ มันก็หนีไม่พ้นการเกิดแก่เจ็บตายกันสักคน เราจะไม่มีการแตกแยกระหว่างศาสนา ถ้าเราเอาธรรมเป็นใหญ่เอาธรรมเป็นหลัก ถ้าเราคิดดีๆ ใครเขาจะว่า เราพูดดีๆ ใครเขาจะว่า เราเสียสละรับผิดชอบ เพราะการเรียนการศึกษาก็เพื่อเข้าสู่ระบบของเหตุระบบของผล ให้ทุกคนปฏิบัติตามระบบ ต้องมีความสุขในการเรียนในการเสียสละและการปฏิบัติ มันต้องไปพร้อมๆกัน เราเป็นศาสนาพุทธก็ต้องรักศาสนาคริสต์ รักศาสนาอิสลาม พราหมณ์ ฮินดู สิกข์ เราอย่าให้ผลประโยชน์มาทำลายความสมัครสมานสามัคคี ถ้าไม่อย่างนั้น เราจะพากันตั้งพรรค คำว่า พรรค คือ เงิน คือ ผลประโยชน์ พรรคที่เป็นทาสของอวิชชาก็คือ พรรคเงิน พรรคสตางค์ มันไม่ใช่อย่างอื่น
เราต้องเสียสละ ถ้าใครไม่เสียสละ แสดงว่าผู้นั้นไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ต้องพัฒนาทั้งเทคโนโลยี ทั้งจิตใจ ไปพร้อมๆกัน เพราะว่าความถูกต้องไม่ได้เป็นพี่เป็นน้องเป็นพ่อเป็นแม่กับใคร มันไม่ได้แบ่งชาติ ศาสนา ภาษา วรรณะ ตระกูล มีแต่ผู้มีปัญญา มีแต่ความเมตตา ที่พระนามของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปที่ว่า พระศรีอริยเมตไตย คือความเมตตา ความกรุณา เราจะเข้าถึงความเป็นพระได้ ก็ต้องมีความเมตตา ความกรุณา เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง
นี้มันเป็นเรื่องง่ายๆ คือถ้าผู้นำสั่งมาวันนี้ ก็ต้องปฏิบัติตามวันนี้ เหมือนให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด ถ้าผู้นำสั่งยังไงก็ต้องเอาแบบนั้น ถ้าไม่ให้ขายของ ประชาชนก็ไม่ได้ขาย ถ้าผู้นำเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวเด็ดขาด เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง เมื่อเป็นแบบนี้ ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามผู้นำ เพราะผู้ตามก็เหมือนร่างกาย ร่างกายก็เป็นทาสรับใช้ของจิตใจ ใจคิดไม่ดีก็พาร่างกายไปทำผิด พูดผิด ใจไม่มีศีล ร่างกายก็ไม่มีศีล ใจไม่มีสมาธิ ร่างกายก็ไม่มีสมาธิ มันทำตามกัน ความเจริญหรือความเสื่อมจึงอยู่ที่ผู้นำ
มันไม่ใช่ของยาก แต่ที่มันยากคือมันไม่อยากเปลี่ยนแปลง เราอย่าไปมองคนอื่นว่าไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่เราที่เปลี่ยนแปลง คนอื่นก็ต้องเปลี่ยนแปลง เราไปแก้ไขคนอื่นไม่ได้ เราต้องมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง มันถึงจะเกิดการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลง เราจะไม่มีทางปิดอบายมุข อบายภูมิได้เลย ก็ไม่สามารถที่จะรักษากฎหมายบ้านเมืองได้ ไม่สามารถที่จะรักษาศีลประพฤติปฏิบัติธรรมได้ มีแต่คนโกหกทั้งโลก ถ้าไม่เอาธรรมเป็นหลัก ไม่เอาธรรมเป็นใหญ่
อย่างพระภิกษุที่ว่าถือศีล ๒๒๗ ถ้ารักษาไม่ได้ แบบนี้ก็เรียกว่าเป็นคนโกหก โกหกคนทั้งโลก โกหกพระพุทธเจ้า พระถ้าไม่ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ ข้อที่ ๔ คือมุสาวาทยังผ่านไม่ได้ ไม่ใช่พระก็อ้างเป็นพระ ไม่ใช่สมณะก็อ้างตนว่าเป็นสมณะ เหมือนลาที่เดินตามฝูงโคไปนั้น สีของมัน เสียงของมัน เท้าของมัน ไม่เหมือนของโคเลย แต่มันก็ร้องอยู่ว่า “กูก็เป็นโค กูก็เป็นโค” เปรียบเหมือนภิกษุบางรูปที่เดินตามหลังหมู่ภิกษุ แล้วร้องประกาศว่า ข้าก็เป็นภิกษุ ข้าก็เป็นภิกษุ แต่ความประพฤติสีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขาของภิกษุรูปนั้น ไม่เหมือนของหมู่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปนั้นได้แต่เดินตามหลังหมู่ภิกษุแล้วร้องประกาศว่า “ข้าก็เป็นภิกษุ ข้าก็เป็นภิกษุ” เพราะยังมีความย่อหย่อนอ่อนแออยู่ ยังเป็นคนไม่กตัญญูกตเวที แบบนี้เขาเรียกว่า สร้างความเสียหายให้ตัวเอง ให้ศาสนา ให้ประเทศชาติ ขนาดตัวเองยังสั่งสอนไม่ได้ มันจะไปสอนประชาชนได้ยังไง อย่างภิกษุแม้แต่ศีล ๕ ก็ยังรักษาไม่ได้ โดยเฉพาะศีลข้อ ๔ ที่รักษาไม่ได้ ถึงต้องขายวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ขายคาถาอาคม มันก็เป็นพุทธพาณิชย์ไป ถ้าเราทำตามพระวินัย ทำตามกฎหมายบ้านเมือง พวกเดรัจฉานวิชาต่างๆ จะหายไปเกลี้ยง พระพุทธศาสนาก็จะสะอาดหมดจดรุ่งเรืองดังดวงสุริยาได้ในที่สุด
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา เป็นศาสนาที่มีเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่มีความหลงงมงาย เหมือนที่ประเทศเรากำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ พระพุทธศาสนาผ่านมา 500 ปีเศษจึงได้มีการสร้างพระพุทธปฏิมา สร้างพระพุทธรูปเป็นครั้งแรกเพื่ออุทิศเป็นอุเทสิกเจดีย์คือเจดีย์ที่เป็นรูปเปรียบของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเอาไว้เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสสติ แต่บัดนี้มันเลยเถิดไป สร้างมาสารพัดนำมาขาย นำมาจำหน่าย มันกลายเป็นเนื้องอกของพระพุทธศาสนาไปแล้ว
การที่จะสร้างวัดสร้างโบสถ์สร้างวิหารสร้างเจดีย์ สร้างมากมายและใหญ่โตสักเท่าใด ก็ไม่สามารถจะทรงพระศาสนา รักษาพระศาสนา ให้เป็นไปได้ ให้ไปรอดปลอดภัย พระพุทธศาสนาไม่ใช่โบสถ์วิหารไม่ใช่พระธาตุเจดีย์ พระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องของเราทุกๆคน เป็นการปฏิบัติบูชา การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ นั่นคือการปฏิบัติบูชา การทำสมาธิเพื่อความตั้งมั่นในธรรม นั่นคือการปฏิบัติบูชา การเจริญปัญญาไม่ทำตามใจ ตามอารมณ์ตามความรู้สึก ตามความหลง เสียสละทุกอย่างออกจากใจ เป็นการปฏิบัติบูชา
พระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องที่จะไปแก้ไขบุคคลอื่น ต้องแก้ตนเองทั้งหมด แก้ตนเองให้เป็นศีลเป็นธรรมเป็นคุณธรรม ไม่ติดในความสุขในความสะดวกสบาย ปัจจัยทั้ง 4 ที่เราบริโภคจะได้มีแต่คุณ ไม่มีโทษ ที่ติดในความสุขสบายก็เป็นแต่การพัฒนาวัตถุภายนอก แต่ไม่ได้พัฒนาใจให้เสียสละให้เกิดสติเกิดปัญญา เมื่อมีการเข้าใจผิดปฏิบัติผิด จนเป็นส่วนใหญ่เป็นส่วนมาก เราจะไปแก้คนอื่นมันก็ไม่ได้ ทุกท่านทุกคนต้องมาแก้ตัวตนเอง ปฏิบัติตนเองเพราะเราไปแก้คนอื่นไม่ได้ ตามหลักแล้วพระพุทธเจ้าไม่ให้มองคนอื่นในแง่ไม่ดี แต่มองให้เกิดปัญญาว่าอันไหนไม่ดีอย่าไปทำตามเขา
"ส่วนมาก คนมักมีจิต คิดจะเป็น ผู้พิพากษา ที่เที่ยวไป พิจารณา เเต่โทษา ของผู้อื่น.." มองเห็นเเต่ความไม่ดีของผู้อื่น ดีอยู่เเต่ตนคนเดียวนั่นล่ะ คนประเภทนี้มีอยู่ทั่วไป น่าสงสารนัก พิจารณาตน เตือนตน คนเช่นนี้คือบัณฑิต
เราต้องจับหลักให้ดี เอาพระพุทธเจ้าเอาพระอรหันต์เป็นหลัก การประพฤติปฏิบัติเราไม่ต้องไปดูคนอื่น เราทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ เพื่อแก้ปัญหาปรับปรุงตนเอง เราถึงจะเป็นผู้นำตนเองออกจากวัฏสงสารได้ เราไม่ต้องไปสนใจเรื่องศาสนาเสื่อม ถ้าใจของเราไม่เสื่อมอะไรมันจะเสื่อม ส่วนใหญ่มันเสื่อมมาจากใจเรานี่แหละ ถ้าเราจะไปแก้ภายนอก มันแก้ไม่ได้หรอก เราต้องมาแก้ตัวตนเองให้เต็ม 100% เพราะการบอกการสอนร้อยครั้งพันครั้ง ก็ไม่สู้การประพฤติปฏิบัติให้ดู ตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน พระด้วยกันจึงไม่เคารพผู้ที่สอนเก่ง แต่การประพฤติปฏิบัติไม่ดี คนอื่นไม่รู้ความประพฤติเขาก็อาจจะเคารพเลื่อมใส ดังนั้นจึงต้องถึงพร้อมทั้งปริยัติปฏิบัติและปฏิเวธ
คนเราน่ะ ถ้าเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักเป็นใหญ่ไม่มีคำว่าเสื่อมหรอก พระพุทธเจ้าท่านถึงไม่ให้เราตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึกตนเอง ถ้าเราไม่ทำตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึกตนเอง เราถึงจะปิดอบายมุข ปิดอบายภูมิของเราได้ เราอย่าไปติดสุขติดสบาย อย่างกลุ่มภิกษุวัชชีบุตร เราทุกคนต้องมีสัมมาสมาธิคือมีจิตใจที่เข้มแข็งตั้งมั่น ต้องมีปัญญาต้องเสียสละเพื่อเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรมไปเรื่อยๆ เราจะไปย่อหย่อนอ่อนแอไปเรื่อยไม่ได้ ทุกคนต้องหยุดตนเองเบรกตนเอง ต้องมีความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระพุทธบารมี 20 อสงไขยแสนมหากัป ได้มาบอกมาสอนพวกเรา
เราได้ฉันภัตตาหารจากศรัทธาประชาชน เขาน้อมถวายเราแล้วยังกราบไหว้อีก ผู้ที่บวชมา พ่อแม่บังเกิดเกล้าท่านก็กราบพระลูกชาย ปู่ย่าตายายก็กราบพระหลาน พระราชามหากษัตริย์เศรษฐีคฤหบดีก็กราบไหว้ เราต้องเป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็เพราะทรงตั้งมั่นในความกตัญญูกตเวที ทุกท่านทุกคนต้องพากันมาสังคายนาตนเอง สังคายนาส่วนตัวสังคายนาใจตนเอง ปรับปรุงแก้ไขตนเอง ตัวของเราเองต้องสังคายนาตนเอง การสังคายนาตนเองต้องมีตลอดเวลาทุกๆอิริยาบถ สังคายนาก็คือแก้ไข เวลานั่งสมาธิเดินจงกรม เดินบิณฑบาตก็พิจารณาดูนะ ต้องสังคายนาตนเองว่าตัวเราติเตียนตนเองโดยศีลโดยสมาธิโดยปัญญา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หรือยัง? เพราะว่าไวรัสต่างๆ มันย่อมเจริญแก่กล้า ขยายพันธุ์ไปได้เรื่อยๆ ความตั้งใจนี่เป็นสิ่งที่สำคัญ สัจจะบารมีอธิษฐานบารมีความตั้งใจมั่นคงจึงสำคัญยิ่ง เราจะไปสังคายนาภายนอกคงไม่ได้หรอก มาสังคายนาตนเองก่อน เราคิดดูดีๆสิ ทุกคนจะเอาแต่ใจตนเองอารมณ์ตนเองความรู้สึกตนเอง จนมีความคิดอย่างนี้มีความเห็นอย่างนี้ เป็นประชาธิปไตยแบบเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เป็นอัตตาธิปไตยไปหมด ดูน่าจะหนักกว่ากลุ่มภิกษุวัชชีบุตรเสียอีกนะ เราคิดดูนะว่ามีใครดีกว่ากลุ่มภิกษุวัชชีบุตร ที่คิดจะแก้ไขวัตถุ 10 ประการบ้าง? แต่ดูๆ แล้วในปัจจุบัน ภิกษุนะเราน่าจะแก้กันไปหลาย 10 ข้อแล้ว ทำเหมือนๆ กัน จนเป็นสภาคาบัติกันหมดอย่างนี้แหละ จะไปหาพระอรหันต์หลายร้อยองค์หลายพันองค์การสังคายนาอีกก็คงยาก
เราต้องมาสังคายนาตนเอง จะรอให้เจ้าคณะผู้ปกครองแก้ไขก็คงยาก ให้เจ้าอาวาสแก้ไขก็คงยาก ตัวเราเองนี่แหละที่จะแก้ไขตนเอง พัฒนาตนเอง ผู้ที่เป็นประธานสงฆ์ส่วนใหญ่เป็นไปก็ไม่ใช่จะไปแก้ไข พระศาสนาให้ดีขึ้นนะ แต่เป็นไปตามใจตามอารมณ์ไม่ถือพระธรรมวินัย ไม่ถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง กลายเป็นเจ้าอาละวาด ถ้าใครมาขัดข้องก็อาละวาดใหญ่เลย ถ้าใครมาขัดก็มีเรื่องแล้ว ต้องเป็นผู้ที่คล้อยตามกันจึงจะไม่มีปัญหา เลยกลายเป็นที่มาของคำว่า พระครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง เพราะต่างก็เอาแต่ผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง วัดต่างๆ ถึงเป็นวัดร้างไปหมด ถึงจะมีภิกษุเต็มวัด แต่วัดก็ร้าง คือร้างจากพระธรรมวินัย ร้างจากข้อวัตรกิจวัตร ร้างจากมรรคผลนิพพาน พากันลาสิกขาบทหมด ไม่เอาสิกขาบทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เป็นการปฏิบัติตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า
พวกเรารู้แล้วก็ต้องปล่อยต้องวาง ทุกคนต้องมาสังคายนาตนเอง สรุปแล้ว ทุกท่านทุกคนไม่ว่าจะเป็นภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกาประชาชนคนทั้งหลาย สิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือการสังคายนาตนเอง เราไม่ต้องไปจัดการคนอื่นเรามาจัดการตัวเราเองนี่แหละ เพราะนี่เป็นสภาวธรรม เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาตามสภาวะ สิ่งที่ไปจัดการไม่ได้ก็คือ ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก มันจัดการไม่ได้ จะไปจัดการให้แก่เร็วแก่ช้า ตายเร็วตายช้า ให้เจริญหรือเสื่อม มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น ไปบังคับไปจัดการไม่ได้เพราะเป็นอนัตตา
ทุกท่านทุกคนต้องฝึกปล่อยฝึกวางเพื่อสังคายนาตนเอง ไม่ต้องโง่ไปมากกว่านี้ เพื่อความเปลี่ยนแปลงจากมืดเป็นสว่าง เปลี่ยนแปลงจากผิดเป็นถูก เปลี่ยนแปลงจากไม่ปฏิบัติมาเป็นการปฏิบัติ นี่จึงเป็นความถูกต้อง เป็นพรหมจรรย์ของเราทั้งหลาย
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ โจรที่อยู่ในใจของเรา ให้เราดูดีๆ ในครอบครัวเราพากันเลี้ยงโจรไว้ มันถึงได้ทุกข์ตั้งแต่เกิดจนถึงวันตาย ทุกท่านทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ต้องพากันประพฤติปฏิบัติ เข้าถึงนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย เอาเหมือนพระพุทธเจ้า ท่านเข้าถึงนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย พระอรหันต์สาวกก็เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย อย่างเราฟังพระท่านจะให้เราเข้าถึงพระนิพพานตอนตายไปแล้ว นี้มันไม่ใช่ปัจจุบัน มันไม่ถูก ให้มันได้ตั้งแต่ปัจจุบัน มันแน่นอนกว่า ตอนที่ตายไปแล้ว คนเราไม่มีใครเห็นอนาคตสักทีหรอก มันเลื่อนไปเรื่อย เพราะมันเป็นปัจจุบัน เหมือนคนเราได้ตำแหน่งก็ได้ที่ปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันไม่ได้ตำแหน่งก็เลื่อนไปเรื่อย
พระพุทธเจ้าจึงทรงบอกให้เราตัดเรื่องอดีต ตัดเรื่องอนาคต เน้นไปที่ปัจจุบัน เอาธรรมเป็นการดำเนินชีวิต ด้วยฉันทะ ความพอใจ ด้วยความสุข เป็นแบบนี้แล้ว ทุกข์มันจะมาจากไหน เราจะได้ชื่อว่าสุคโต อยู่ก็ดี ไปก็ดี จะได้ชื่อว่าเป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าเรานักบวชหรือเป็นฆราวาส ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้น เราก็เข้าถึงนิพพานพอๆ กัน ไม่มีใครเหนือกว่ากันหรอก ที่เหนือกว่าก็เพราะว่าการประพฤติปฏิบัติ ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนต้องพากันเห็น เทวทูตทั้ง ๔ คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความสงบ เขาเรียกว่าเทวทูต ทุกคนต้องมีความสุขใน ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพลาก ไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องเจอ เราต้องมีความสุข เราจะได้มีสัมมาทิฏฐิ เราจะได้เป็นคนไม่หลงงมงาย กลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย มันถูกที่ไหนเล่า เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เราต้องทำเหมือนท่าน มีความสง่างามในเบื้องต้นคือศีล มีความสง่างามในท่ามกลางคือสมาธิ มีความสง่างามในที่สุดคือปัญญา ชีวิตจึงจะประเสริฐอย่างแท้จริง