แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๑๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๕๐ ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ไม่นาน มันก็ผ่านไป เมื่อเข้าใจจะไม่เป็นทุกข์
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ความสุข ความดับทุกข์ของมนุษย์เราน่ะ อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทุกท่านทุกคนพระพุทธเจ้าให้เราประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ที่เป็นมรรค ที่เป็นหนทาง ในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐของเราทุกๆ คน เราจะได้ปิดอบายมุข อบายภูมิของตัวเอง เพราะเราทุกคนทำจากความไม่รู้ ทำไปก็เพราะความหลง ไม่รู้จริง เราผู้ปฏิบัติธรรม ได้มาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดหลายวันกลับไป ต้องเอาธรรมะไปประพฤติไปปฏิบัติ ที่บ้าน ที่ทำงาน ที่ครอบครัว ครอบครัวเราจะได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข เราจะได้พัฒนาทั้งใจ ทั้งกาย ทั้งกิริยามารยาท ในการดำเนินชีวิต เราจะได้เอาพระพุทธเจ้า เอาพระธรรม พระอริยสงฆ์ที่มีอยู่ เป็นความรู้ เข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติของเราทุกๆ คน
ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งที่ตามมาจากปัจจุบันนี้มันจะติดต่อต่อเนื่อง ทุกท่านทุกคนต้องพากันเปลี่ยนแปลงตัวเอง เข้าสู่กฏแห่งกรรม แห่งการกระทำ ทั้งกาย วาจา จิต ให้มีสติมีสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมทุกๆ คน ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เดินตามทางอริยมรรค สมาทานในใจเลยว่าอันนี้ไม่คิด อันนี้ไม่พูด อันนี้ไม่ทำ กิริยามารยาทที่ไม่ดีไม่ถูกต้อง สมาทานหยุดไว้ สมาทานเลยจะไม่เอาความขี้เกียจขี้คร้าน จะไม่ตามใจ ไม่ตามอารมณ์ และจะตั้งมั่นในพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้นั้น จะได้ปฏิบัติตามพระอริยสงฆ์สาวก
ทุกท่านทุกคนต้องพากันตั้งใจ พากันสมาทาน ไม่ลูบคลำในศีล ในข้อวัตรข้อปฏิบัติ มันต้องเข้าสู่กฏแห่งกรรม เราทำดี ก็คือไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศล ถือว่าวันนี้เป็นวันสมาทาน เอาศีล เอาสมาธิ เอาปัญญา เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ทุกท่านทุกคน พวกเราก็ต้องพากันมาประพฤติมาปฏิบัติเอาเอง พ่อแม่ก็ปฏิบัติให้เราไม่ได้ พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ก็ปฏิบัติให้เราไม่ได้ เราทุกท่านทุกคนก็ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติเอาเอง พระพุทธเจ้าไม่ให้เราหลง ไม่ให้เราเพลิดเพลิน ไม่ให้เราตั้งอยู่ในความประมาท เพราะใจของเรานั้น ความหลงของเรา เค้าจะขอโอกาสไปเรื่อย ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ เพราะว่าวัฏฏะสงสารนี้มันเป็นของอร่อย มันทำให้สัตว์โลกหลง เราต้องปฏิบัติให้ครบเครื่อง ครบทุกอิริยาบถทุกๆ อณู เอาการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นงานที่ทำมาหาเลี้ยงชีพ เป็นงานประพฤติงานปฏิบัติธรรม เพราะเราทุกคนต้องเดินทางสายกลาง พัฒนาการทำมาหากิน พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้สมดุลไม่ยิ่งหย่อนอ่อนแอกว่ากัน ศีลต้องเสมอกับสมาธิ ต้องเสมอปัญญาไปพร้อมๆ กัน แยกกันไม่ได้
ถ้าเราทำตามพระพุทธเจ้ามันไม่มีอะไรมาก ไม่มีเรื่องมาก เราทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความคิด ความหลงตัวเองมันถึงมีเรื่องมาก ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ ทุกอย่างมันเกิดขึ้น ทุกอย่างตั้งอยู่ไม่นานมันก็ผ่านไป เหมือนลมหายใจ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกก็ผ่านไป อิริยาบถนั่งก็มันก็เหนื่อยก็ต้องเปลี่ยน อิริยาบถนอน นอนนานก็ต้องเปลี่ยน ทุกอย่าง ชีวิตของเรามันเป็นธรรมะ เป็นธรรมชาติ เราจะมาหลงว่าเป็นตัวเป็นตนอยู่ไม่ได้ เราต้องพากันเสียสละ
ชีวิตของเราในปัจจุบันมันก็เป็นโลกธรรม คนมีลาภมันก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีร่างกายก็เสื่อมจากร่างกาย มีพ่อมีแม่มีทุกอย่าง มีจากไปด้วยความเสื่อม ด้วยความไม่มีตัวไม่มีตน ให้ทุกท่านทุกคนมีสติ มีสัมปชัญญะ ทุกท่านทุกคนต้องไม่ติด ต้องไม่หลงนะ เคสแต่ละเคสมันเกิดขึ้นกับเรามันก็แสนสาหัส ครอบครัวเราอย่าไปหลง ถ้าเราหลงเราก็ไปติดในรสของอร่อย เมื่อเรามีรส เราก็มีชาติ มันก็เป็นกระบวนการปฏิจสมุมปบาท
พ่อค้าวาณิชย์ฐานะร่ำรวยผู้หนึ่งมีภรรยาทั้งสิ้น 4 นาง
ภรรยาคนแรก ฉลาดปราดเปรียวน่ารัก คอยติดตามใกล้ชิดเสามีตลอดเวลา ไม่เคยห่างแม้เพียงก้าวเดียว เขารักมากที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ตามใจตลอดอยากได้อะไรเขาก็หาให้ทุกอย่าง
ภรรยาคนที่สอง พ่อค้าได้มาจากการช่วงชิง บังคับ เนื่องเพราะนางมีรูปโฉมงดงามยิ่ง เขารักมาก ยินดีทำทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ
ภรรยาคนที่สาม เป็นผู้คอยดูแลจัดการเรื่องราวความเป็นไปจุกจิกในชีวิตประจำวัน ทำให้สามีมีชีวิตที่สงบเรียบร้อย เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบ้างเป็นครั้งคราว
ส่วนภรรยาคนสุดท้าย ขยันขันแข็ง มุมานะทำงานอย่างหนัก จนทำให้พ่อค้าผู้เป็นสามี หลงลืมการดำรงอยู่ของนางไป เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไปหา ไม่เคยคิดถึงเลยด้วยซ้ำ
ครั้งหนึ่ง พ่อค้าวาณิชย์คนนี้กระทำความผิด ถูกตัดสินประหารชีวิตได้รับอนุญาตให้กลับบ้านไปร่ำลาภรรยา เขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่ 1 เล่าเรื่องต่างๆให้ฟังและถามว่า “ถ้าฉันต้องตาย เธอจะทำอย่างไร” ภรรยาคนที่ 1 ตอบว่า “ถ้าเธอตาย เราก็จบกัน” เขารู้สึกเจ็บปวดจากคำตอบที่ได้เป็นอย่างยิ่ง นึกเสียดายว่าไม่น่าทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เลย จากนั้นก็ไปหาภรรยาคนที่ 2 เล่าเรื่องต่างๆและถามคำถามเดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า“ถ้าฉันต้องตาย เธอจะทำอย่างไร” ภรรยาคนที่ 2 ตอบว่า “ถ้าเธอตาย ฉันก็จะมีใหม่” เหมือนสายฟ้าผ่าลงมาซ้ำที่เขาอย่างจัง นึกเสียดายว่าไม่น่าทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน จึงเดินคอตกไปหาภรรยาคนที่ 3 เล่าเรื่องต่างๆ และถามคำถามเดิมกับภรรยาคนที่ 3 ว่า “ถ้าฉันต้องตาย เธอจะทำอย่างไร”ภรรยาคนที่ 3 ตอบว่า “ถ้าเธอตาย ฉันจะไปส่ง” ทำให้เขาคลายโศกไปได้บ้าง อย่างน้อยก็มาภรรยาที่จริงใจกับเขา
เขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคนที่ไม่เคยไปหาเลย จึงไปหาภรรยาคนที่ 4 เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังและถามว่า “ถ้าฉันต้องตาย เธอจะทำอย่างไร” ภรรยาคนที่ 4 ตอบว่า “ถ้าเธอตาย ฉันจะตายตามไปด้วย” แทนที่เขาจะดีใจกลับเสียใจหนักขึ้นไปอีก เพราะมันสายเกินไปเสียแล้ว เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคนนี้ แต่ภรรยาคนนี้กลับไม่คิดจะทิ้งเขาและจะติดตามเขาไปอยู่ด้วย หลังจากนั้น ชายคนนั้นก็ถูกประหาร
ปริศนาธรรมของภรรยาทั้ง 4 คน มีความหมายดังนี้
“ภรรยาคนแรก” เขารักมากที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ตามใจตลอดอยากได้อะไรเขาก็หาให้ทุกอย่าง นั่นคือร่างกาย เพราะเวลามีชีวิตอยู่ จะบำรุงบำเรอด้วยของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าดูแลแค่ไหน เมื่อชีวิตถึงจุดสิ้นสุดไม่สามารถรั้งเอาไว้ได้ พอตายไปกลับไม่ไปกับเรา มีค่าเพียงท่อนไม้ท่อนหนึ่ง กลายเป็นแค่ซากเน่าเปื่อยเท่านั้น
“ภรรยาคนที่ 2” เขารักมาก ยินดีทำทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ นั่นคือ สมบัติทรัพย์สินเงินทอง ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา ต่อให้หามาได้มากมายสักเท่าไร ก็ไม่อาจนำติดตัว ไปได้ และจะกลายเป็นของคนอื่น
“ภรรยาคนที่ 3” ขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบ้างเป็นครั้งคราว นั่นคือ พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่น้อง ถึงจะรักและผูก พันยังไง สุดท้ายเมื่อความตายมาเยือน ก็สามารถ ส่งได้แค่งานศพหรือทำบุญกุศลส่งไปให้ได้บ้าง เขาจึงแค่ไปส่งเท่านั้น
“ภรรยาคนที่ 4” เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไปหา ไม่เคยคิดถึงเลยด้วยซ้ำ นั่นคือบุญกับบาป เมื่อเราตายไป เราไม่อาจเอาอะไรไปด้วยได้ มีเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้นที่จะตามเราไป เพราะกรรม ผลของความดี และความเลวที่ได้กระทำไว้ ก็จะติดตามตัวไปตลอด ไม่ว่าจะอยู่หรือตายไปแล้วก็ตาม กรรมดี กรรมชั่ว หรือเรียกว่า บุญและบาปนั้น จะติดตามดวงจิตตลอด ไปทั้งในชาตินี้และชาติหน้า คนเราทุกคนเกิดมาล้วนตัวเปล่า ตายไปก็ล้วนไปตัวเปล่า มีเพียงกรรมเท่านั้นที่จะติดตามคนเราไปในทุกหนทุกแห่ง
เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
เมื่อเจ้ามา มือเปล่า เจ้าจะเอาอะไร? เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา
ออกจากครรภ์ มารดา แก้ผ้าร้อง- อุแว้ก้อง เผชิญทุกข์ และสุขา
เติบโตขึ้น มุ่งหาเงิน เพลินชีวา แท้ก็หา “ทุกข์สารพัด” มารัดตน
ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่ มีเพียงแต่ “ต้นทุน-บุญกุศล”
“ทรัพย์สมบัติ” ทิ้งไว้ ให้ปวงชน “ร่างของตน” เขาก็เอา ไปเผาไฟ!!
ที่เคยรัก ก็จะลืม ไม่ปลื้มจิต ที่เคยหลง เคยติด ไม่พิสมัย
ที่เคยคู่ เคียงข้าง ไม่ห่างไกล ที่เคยใกล้ ก็กลับหลบ ไม่พบพาน
ที่เคยกอด จุมพิต สนิทแนบ ที่เคยแอบอิง กลับเมิน ไม่เดินผ่าน
ที่เคยยิ้ม สรวลสันต์ ทุกวันวาร ที่เคยหวาน ก็กลับขม ระทมทรวง....
“มามือเปล่า-ไปมือเปล่า” อย่าเศร้าโศก กิเลส-โลก ในมนุษย์ ที่สุดหวง
“กอดกองขี้ และซากศพ”พบภาพลวง รีบ “ตัดบ่วงโลกีย์” หลบหนีไป!!!
“เกิด-กำมือแน่นร้องไห้”บอกใจรู้- ว่า “ยึดอยู่- จิตหมายมั่น” จึงหวั่นไหว
“ตาย-แบมือ” ไม่ต้องถาม บอกความนัย- ว่า “ตายไป เหลือมือเปล่า เหมือนเจ้ามา”!!!
“ให้ปลงตก ในชีวิต”สะกิดเจ้า “เลิกมัวเมา” กอบโกย และโหยหา
“ลาภ-ยศ-สุข-สรรเสริญ-และเงินตรา” เมื่อ “มรณา” ก็สูญลับ ดับตามตัว!!!
“ให้ปล่อยวาง คืนโลก” สิ้นโศกเศร้า “กลับมือเปล่า” เป่าเสกมนต์ ไว้บนหัว
แล้ว “ทำจิต เป็นอิสระ-ละตนตัว พ้นดี-ชั่ว “กลับโลกทิพย์ นิพพาน” เอย ฯ
ดังนั้น ยามที่เรายังมีชีวิตอยู่ อะไรที่เราได้มา หลังจากที่เราเกิด ต้องคอยเตือนใจว่า ไม่มีอะไร อยู่กับเราได้ตลอดไป แม้แต่สังขาร ที่เรารักมากที่สุด วันหนึ่งก็ดับสลายไปเช่นกัน
ทุกท่านทุกคนต้องพากันบังคับตนเอง ถึงเวลาให้ทำอะไรก็ไปตามเวลาเป๊ะๆ เลย อย่าไปมีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะความอาลัยอาวรณ์ทำให้เรายืดเยื้อ มันไปกินเวลาส่วนอื่น ถึงเวลานอน เวลาพักผ่อนก็ต้องนอนพักผ่อน เราทำหน้าที่ของเราทุกคนให้สมบูรณ์ เราปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องอย่างน้อยให้มันได้ ๓ อาทิตย์ขึ้นไป เพราะมันปัญญามาก อะไรมาก มันน่าจะใช้เวลานานพอสมควร ในภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เหมือนจะสร้างเขื่อนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาหลายปี อุปกรณ์ครบมือ ครบเครื่อง เราแต่งกายดี แต่ก็ยังไม่ได้ดียิ่งเท่ากับแต่งใจของเราด้วยภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
ทุกท่านทุกคนต้องภาวนาอยู่เสมอว่าทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เรามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา ประชาชนคนทั้งบ้าน ทั้งเมือง ทั้งโลก เค้าทิ้งความถูกต้อง เค้าไปเอาความหลง เอาความเห็นแก่ตัว อันนี้มันเป็นความเสียหาย ถึงกับแยกโลกออกจากธรรม แยกธรรมออกจากโลก ครอบครัวเราถึงเป็นอย่างนี้ บ้านเราถึงเป็นอย่างนี้ ให้พากันเข้าใจนะ ไปแยกธรรมออกจากชีวิตของเราไม่ได้ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเต็มที่ โลภเต็มที่ ประพฤติผิดในกามเต็มที่ โกหกหลอกลวง ซิกแซกอย่างเต็มที่ กินเหล้าเมาเบียร์ เมาสาว เล่นการพนัน เจ้าชู้อย่างนี้ เราไปทำอย่างนั้นมันแย่กว่าพวกสัตว์เดรัจฉานเสียอีก สัตว์เดรัจฉานมันก็อยู่ด้วยการเบียดเบียน อยู่ด้วยการฆ่า อยู่ด้วยการมีผู้หญิงมีผู้ชาย แต่ศีลข้อที่สี่เรานี้แย่กว่าพวกสัตว์เดรัจฉานนะ เราพูดโกหก หลอกลวง ซิกแซก ปากติดระเบิด ติดเอ็ม 16 ติดอาก้า พูดถึงเรื่องการฆ่า เราก็หนักกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมันไม่มีปืน ไม่มีระเบิด สัตว์เดรัจฉานมันไม่มีค้าขายมนุษย์ มันไม่มีค้าขายตัวผัวตัวเมีย นี่มนุษย์เราที่ยังไม่ได้เป็นมนุษย์เป็นแต่เพียงคน มันก็ถือว่าแย่กว่า พวกสัตว์เดรัจฉาน มันไม่มีความโลภที่พิศดารลึกซึ้งอะไร ที่เราไปเอาตั้งแต่ทางโลก มันเลยไม่เอาธรรมด้วย มันก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ พวกสัตว์เดรัจฉานมันก็ยังไม่ซื้อเสียง ซื้อสิทธิ์ ขายเสียง ขายสิทธิ์ การพัฒนามันพัฒนาไม่ถูก คนเราน่ะ ถ้าไปเปรียบเทียบว่า เหมือนสัตว์เดรัจฉานก็เครียดใหญ่เลย ที่แท้จริงหนักกว่าสัตว์เดรัจฉานตั้งเยอะเลย
เราก็มีความสุข มีความพอใจ เราอย่าถือเอาสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และความไม่เป็นธรรมความอยุติธรรม มันไม่ถูก มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ครอบครัวเรามีความสุขอบอุ่น มันมีสติไม่ได้เพราะเรานอนไม่พอ แล้วก็เอาความคิด เอาไปใช้ทำไม่ถูกต้อง เป็นมิจฉาทิฏฐิเป็นอบายภูมิ อบายมุข
คนเรานี้ถ้าไม่ตั้งใจดีๆ มันทำไม่ได้ ถ้าเราไม่ตั้งใจไม่เจตนา ถึงแม้เราจะไปเหยียบสัตว์ตายหรือทำผิดอะไรต่างๆ ก็ชื่อว่าไม่เป็นบาป เช่น คนเป็นบ้า เป็นโรคจิต ไม่มีสติทำอะไรไปก็ไม่รู้เขาเรียกว่า 'ไม่เป็นบาป'
เราต้องรักษาศีลให้ได้ มารักษาที่ใจ อย่างสิ่ง ๕ อย่าง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายมันทำผิด แต่ใจเราไม่มีเจตนา ตามความเป็นจริงมันไม่บาป ตา หู จมูก ร่างกาย จะสัมผัสสิ่งใด ถ้าใจเราไม่ยินดี มันก็ไม่บาป "ทุกอย่างมันอยู่ที่จิตที่ใจ..."
"อย่างเรารักษาศีลไม่ได้ ก็เพราะไม่มีเจตนาที่จะตั้งใจรักษา" เพราะคนเรามันชอบแก้ตัว เลี่ยงบาลี เลี่ยงกฎหมาย ถ้าการรักษาศีลของเรา เน้นมาที่เจตนามันก็ง่าย ถ้าเรายังลังเลสงสัยอยู่อย่างนี้ แสดงว่ามันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ถ้าเราทำไป "ถึงจะผิดไม่ผิด ก็ถือว่าผิดศีลแล้ว เพราะว่าผิดที่เรามีความลังเลสงสัย..."
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราทำ ถ้าเรายังไม่รู้จริงกิเลสของเรามันจะเข้ามาแทรก ใจมีความมารยาสาไถย บอกเราว่า “อย่าไปยึดมั่นถือมั่น เราก็ปล่อยวางสิ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย...” ความคิดอย่างนี้ มันจะหลอกให้เราผิดศีลนะ ความคิดอย่างนี้จะหลอกเราให้ไม่ละอายไม่เกรงกลัวต่อบาปนะ ความคิดอย่างนี้ จะทำให้จิตใจของเราเป็นผู้ไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เป็นความคิดที่มาห้ามสวรรค์ มรรคผลนิพพานของเรา ความคิดนี้อยู่ในสังคมกำลังมีมาก พยายามปรับธรรมะเข้ามาหาตัวเองว่านี่คือ 'ทางสายกลาง' เป็นความคิดที่ผิดศีลผิดธรรม ถ้ามันยังมีความลังเลสงสัย ยังไม่แนใจ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราทำ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าภิกษุรูปใดมีความคิดเห็นอย่างนี้และทำลงไป มีความผิดต้องอาบัติทุกกฏนะ
การทำความดีที่มุ่งมรรคผลนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านให้เราเน้นที่ใจ ที่เจตนา...ใจเรา... เราคิดอะไรเราปรุงแต่งอะไร คิดที่ดีที่ชั่วคนอื่นเขาไม่รู้ แต่ตัวเองรู้ตัวเองเห็นหมดนะ ความลับมันมีแต่กับผู้อื่น แต่ตัวเองมันไม่มีความลับนะ
ธรรมะเปรียบเสมือนแต่ก่อนมันมืด แต่ธรรมะนี้เป็นของสว่าง ใจมันสว่าง ไม่มีอะไรที่จะมาบดบัง ธรรมะเปรียบเสมือนเอาของที่มันคว่ำหงายขึ้น มันปิดบังตัวเองไม่ได้
"คนทุกคนมีค่ามาก" ถ้าไม่ทำตัวเองให้มีคุณค่า มันก็เท่ากับเราไปบล็อกตัวเองไว้ทางความคิด ว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่มีบารมี มีบุญน้อยมีวาสนาน้อย ว่าตัวเองนี้ไม่ได้บวชเป็นพระ ว่าตัวเองเป็นโยม อย่างนี้เรียกว่า "ความคิดของตัวเองมันบล็อกตัวเอง..." ความคิดของเรามันทำลายศักยภาพอานุภาพ เข้าใจผิดคิดผิด ผิดตั้งแต่ความคิดแล้วยังมาผิดที่การประพฤติปฏิบัติอีก ธรรมะเป็นของบริสุทธิ์เป็นของกลางๆ เป็นของสาธารณะ ปฏิบัติได้ทุกๆ คนนะ ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย สมณะ ชี พราหมณ์ หรือญาติโยม
ถ้าใครประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ชื่อว่าได้เป็นสุปฏิปันโน
ใครปฏิบัติถูกต้อง ถูกตรง เป็นอุชุปฏิปันโน
ใครไม่ตามกิเลสตนเอง เป็นญายะปฏิปันโน
ถ้าใครปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคนนั้นก็เป็น 'พระที่จิตที่ใจ'
ไม่ว่าหญิงว่าชายมันมีเสรีภาพพอๆ กัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน เพราะมันเป็นเรื่องของใจ ของการประพฤติปฏิบัติ ครั้งพุทธกาล สามเณร ๗ ขวบ ก็ได้บรรลุธรรมเพราะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราอย่าไปเข้าใจว่าเป็นสมณะชีพราหมณ์ เป็นนักบวช ถึงจะบรรลุธรรม เป็นความเข้าใจผิด ที่เขาเรียกว่า พระสงฆ์องค์สามเณร ก็เป็นตามที่เขาแต่งตั้งเฉยๆ ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าสั่งสอน ก็เป็นพระอริยสงฆ์ไม่ได้ เป็นพระได้เพียงแต่พระสมมุติ พระแต่งตั้งเท่านั้น
ญาติโยมอย่าได้พากันเข้าใจผิดนะ เข้าใจผิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ ไปทอดธุระปล่อยใจไปตามเวรตามกรรม ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ประพฤติผิดต่างๆ นานา เข้าใจผิดว่าตัวเองมันปฏิบัติไม่ได้
แม้คำว่า 'พระศาสนา' ก็มีความเข้าใจผิดกันเยอะ ศาสนา แปลว่า ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นผู้ที่เสียสละ เป็นผู้ให้ เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว ตั้งมั่นในความเมตตาอย่างไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ อย่างพระพุทธศาสนามันก็ชื่อๆ หนึ่ง...อิสลามพระศาสนา คริสต์พระศาสนา ฮินดูพระศาสนา ก็เป็นชื่อๆ หนึ่ง เป็นชื่อของความดี เพื่อจะได้สะดวกในสมมุติ "ศาสนา ก็แปลว่า ความดีนั่นแหละ" เพื่อให้คนไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง จุดมุ่งหมายเหมือนกันหมด คนไม่เข้าใจพระศาสนาเลยเอาพระศาสนาไปตีกันไปแบ่งแยกกัน มันเลยกลายเป็นก๊ก กลายเป็นเหล่า กลายเป็นพรรค กลายเป็นพวกไป "มันผิดวัตถุประสงค์คำว่า 'ศาสนา' ไป"
คนรุ่นใหม่นี่แหละ มีความเข้าใจผิดมาก จึงได้มีสงครามเกี่ยวกับพระศาสนาทั่วโลก แบ่งแยกนิกายต่างๆ ว่านิกายนั้นผิด นิกายนี้ถูก แม้แต่เราคิดว่าเราไม่ถือศาสนาอะไร "ถ้าเราทำความดีก็ถือว่าเราถือศาสนาแล้ว" เพราะศาสนาเป็นชื่อแห่งความดี ทุกศาสนาก็ว่าศาสนาของตัวเองดี ศาสนาอื่นสู้เราไม่ได้ คนเรามันชอบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น มันชอบคิดอย่างนี้นะคนเรา... ความจริงแล้ว ทุกศาสนาดีหมด ที่ไม่ดีเพราะผู้ปฏิบัติตามมันไม่ดี เดี๋ยวนี้ประชาชนสับสนไปหมดว่า "คนศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม ตายไปจะตกนรกที่เดียวกันหรือเปล่า...?"
คนเรานะ ถ้ามันทุกข์...มันก็ทุกข์เหมือนกันหมด สุข...ก็สุขเหมือนกันหมด ไม่มีอะไรแบ่งแยก เหมือนเราบริโภคข้าว บริโภคขนมปัง ผลไม้ทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่เราได้รับคือความดับทุกข์ มีความสุขเหมือนกันทุกอย่าง ไม่ว่าตกนรกชนิดไหนก็ทุกข์เหมือนกันหมด ไม่ว่าขึ้นสวรรค์ชนิดไหนก็สุขเหมือนกัน ถ้าเราไม่มีกิเลสสิ้นอาสวะ ก็ไปนิพพานทั้งหมดทั้งสิ้น เราปฏิบัติตาม 'อริยมรรคมีองค์ ๘' ไม่ว่าเราจะเป็นนักบวช เป็นญาติโยมสามารถบรรลุธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ทุกๆ คนอยากช่วยเหลือตัวเอง อยากช่วยเหลือผู้อื่น คนที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ต้องลงมือประพฤติปฏิบัติ
การเรียนหนังสือมันเป็นของยาก การปฏิบัติมันยิ่งเป็นของยากนะ ถ้าเรารู้เฉยๆ เราไม่นำมาประพฤติปฏิบัติ เขาเรียกว่า 'ยังใช้ไม่ได้....'
ศาสนาเป็นปรัชญา เป็นความรู้ เป็นปริยัติเฉยๆ การประพฤติปฏิบัติในด้านจิตใจนี้ มันไม่เกี่ยวกับปริญญาตรี โท เอกนะ...
คนไม่รู้หนังสือกับคนรู้หนังสือ มันก็บรรลุธรรมพอๆ กัน มันเป็นความรู้ที่เรามีทุกๆ คน รู้ว่าร้อน รู้ว่าหนาว รู้ว่าสุข รู้ว่าทุกข์ รู้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องไปรู้อะไรมากกว่านี้ ถึงเราจะไม่ได้เรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก มหาเปรียญ นั้นเป็นการเรียนหนังสือมันยังไม่ปฏิบัติธรรม
"สำหรับธรรมะที่จะใช้ประพฤติปฏิบัติ ให้เรารู้ดี รู้ชั่ว รู้ผิด รู้ถูก ให้เรากลับมาหาตัวเองอย่างนี้" อันไหนดีเราก็กระตือรือร้นทำนะ อันไหนไม่ดีเราก็ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปพูด ไม่ต้องไปทำมัน มันไม่แจ่มไม่แจ้ง มันยังสงสัยเราก็ไม่ไปทำ ที่พูดง่ายๆ อย่างนี้ แต่การกระทำเป็นสิ่งที่ทำลำบาก มันเป็นเรื่องใหญ่นะ
เพราะคนเรามันติดสุขติดสบาย ต้องแก้ไขตนเองนะ ถ้าไม่แก้ไขตนเองแล้ว มีความรู้ความเห็นความเข้าใจ มันก็ไม่มีประโยชน์ คนเรามันท้อใจนะ เพราะตัวตนมันมาก... ท้อใจเหมือนเราไปยืนมองอยู่ริมฝั่งมหาสมุทร แล้วก็คิดว่า เราคงข้ามไปฝั่งโน้นไม่ได้แน่ เราต้องจมน้ำตายแน่ ความคิดอย่างนั้น มันเป็นความคิดที่บั่นทอนจิตใจของเรา เราไปประเมินผลไว้ก่อน
พระพุทธเจ้าท่านคิดอีกอย่างหนึ่งนะ... อย่างที่เรืออับปางกลางมหาสมุทร ไม่ใช่ตัวท่านว่ายคนเดียว ท่านยังอุ้มแม่ว่ายน้ำด้วย ท่านไม่สนใจจะถึงไม่ถึง ท่านก็มีหน้าที่ว่ายอย่างเดียว จนเดือดร้อนถึงเทวดาต้องมาอุ้มท่านข้ามฝั่งมหาสมุทร
คนเรามีพลังจิต พลังใจนะ... เราต้องคิดเสมอ.... เรามีลมหายใจ มีโอกาส มีเวลา ต้องตั้งใจ ต้องเสียสละ ไม่ว่าเราจะทำอะไร ตั้งใจทำให้ดี ไม่ใช่สักแต่ว่าทำไปเพื่อรักษาสถานภาพเฉยๆ ว่าเราได้ทำ
ความคิดขี้เกียจขี้คร้านมันเป็นตัวใหญ่... ทุกท่านทุกคนต้องผ่านทัพตัวนี้ ทัพใหญ่ทุกคนต้องผ่าน ไม่ว่านักเรียนนักศึกษา พระสงฆ์ องค์สามเณร คนทำงาน ต้องผ่านทัพใหญ่ คือ ทัพขี้เกียจ ทัพเห็นแก่ตัว ทัพติดสุขติดสบายนี้แหละ ที่เรามองเห็นภาพรวมของสังคม ประเทศชาติ มันไปติดทัพใหญ่ คือ ทัพขี้เกียจ เราตีทัพมันไม่แตก ประชาชนคนส่วนใหญ่ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ถึงเป็นคนยากจน มีหนี้มีสินกัน มันมีทุกข์มาก เพราะความขี้เกียจนี่เอง มันจึงได้พากันตกในอบายมุขอบายภูมิต่างๆ ครอบครัวของเราจึงไม่มีความสุข ไม่มีความอบอุ่น กินเหล้าเมายา พากันเสพยา จำหน่ายยา เป็นปัญหาของสังคม ตัวใหญ่ตัวหลัก คือความขี้เกียจขี้คร้านนี่แหละ
เราไปอยู่ไหนก็ตามไป ไม่ว่าในป่า ในเขา ในถ้ำ อย่างเรามาบวชความขี้เกียจขี้คร้านก็ตามมา ถือศีลก็ตามมา กลับบ้านกลับที่ทำงานมันก็ตามไป พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝืน ให้เราอดเราทน เราอย่าไปท้อแท้ท้อถอย ว่าเราปฏิบัติไม่ได้ ทำไม่ได้
มรรค คือข้อวัตรปฏิบัติ เป็นบรรทัดฐาน เป็นความดี... เราทุกท่านทุกคนเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ต้องทวนกระแส ทวนความขี้เกียจขี้คร้าน ปรับปรุงใจของเรา ปรับปรุงการกระทำของเรา คำพูดของเรา ตั้งไว้อย่างแน่วแน่ มีความเป็นหนึ่ง ไม่ใช่เราจะทำอย่างนี้เพียงวันเดียว ต้องทำทุกวันจนกว่าเราจะบรรลุเป้าหมาย มีความตั้งใจมั่นชอบ มรรคมีองค์ ๘ ตัวสำคัญ คือ 'ความตั้งใจมั่นชอบ'
ส่วนใหญ่เราทำอะไรไม่มั่นคง ขาดความตั้งใจ ฐานะไม่มั่นคง จิตใจไม่มั่นคง ใครจะมาเคารพเชื่อถือเรา เพราะเราไม่มีความตั้งใจมั่นชอบ
ความคิดของเราต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ เพราะความคิดเก่าๆ มันเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว พาเราเวียนว่ายตายเกิด เป็นความคิด ที่ขาดสติ ขาดปัญญา มันมีความคิดที่ตั้งอยู่ในความประมาท ตั้งอยู่ในความเพลิน
ให้ทุกท่านทุกคนตั้งใจอธิษฐานจิตว่า ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะตั้งใจใหม่ ตั้งใจให้ดีอย่างนี้ตลอดไป ตลอดกาลยิ่งๆ ขึ้นไป จะไม่เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน จะไม่เป็นคนเอาเวลาเรียน เวลาทำงาน ไปเพลิดเพลินเหมือนที่แล้วๆ มา ที่ผิดไปแล้วถือว่าเป็นครู ที่รู้ถือเป็นอาจารย์ต้องตั้งใจมั่นนะ เคยติดอะไรต่างๆ จะพยายามละ จะพยายามเลิก ถ้ามัวอาลัยอาวรณ์อย่างนี้ ไม่ได้แน่ ไม่ดีแน่ อันไหนไม่ดีให้หยุดตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้จะเป็นบุคคลใหม่ คนเก่าทิ้งไปกับกาลเวลาที่เสียไป จะไม่อาลัยอาวรณ์คิดถึงมัน มันทำให้ข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิดมาถือว่าพอแล้ว ทำความดีมันไม่ตาย ที่ตายส่วนใหญ่เพราะมันคิดมาก เพราะวิตกกังวล เพราะกลัวความดี
จะมาสร้างประโยชน์ตน... และสร้างประโยชน์ผู้อื่น... ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความไม่ประมาท เหนื่อยก็ช่างมัน ผอมก็ช่างมัน ให้ข้าพเจ้าได้ทำดี พูดดี คิดดี ลาก่อนนะอันไหนไม่ดีก็จะทิ้งมันวันนี้แหละ เมื่ออินทรีย์บารมียังไม่แก่กล้า ก็ต้องพยายามประพฤติปฏิบัติยิ่งๆ ขึ้นไป จะถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะน้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาชำระล้างสิ่งปฏิกูลทั้งกาย วาจา ใจ ให้สะอาด สร้างฐานชีวิตตามรอยบาทขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตราบจนหมดลมหายใจ