แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๔๕ เราต้องปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า อย่าไปตามความอยากซึ่งถมเท่าไหร่มันก็ไม่เต็มสักที
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การปฏิบัติตามธรรมะ ถ้าเราตามพระพุทธเจ้า ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ มันไม่ใช่ของยาก พระพุทธเจ้าบำเพ็ญพุทธบารมีตั้งหลายล้านชาติ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าสมบูรณ์ทุกอย่างทั้งอัตถะทั้งพยัญชนะ เป็นธรรมะที่พูดออกมาจากใจ มาจากพระนิพพาน จากหลักเหตุผล จากหลัก วิทยาศาสตร์ เหนือวิทยาศาสตร์ก็คือ ทุกๆอย่างมีเเต่คุณ ไม่มีโทษ เพราะเมื่อได้เกี่ยวข้อง ทางผัสสะ เอาสิ่งเหล่านั้นน้อมสู่พระไตรลักษณ์ ว่าทุกอย่างนั้นไม่เเน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ปรากฏเเล้วมันก็จากเราไป ไม่มีอะไรได้ไม่มีอะไรเสีย มีเเต่สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งอยู่เเล้วดับไป
ทุกท่านทุกคนให้มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม อย่าไปวุ่นวาย อย่าไปตามความคิด อย่าไปตามอารมณ์ อย่าไปตามสิ่งเเวดล้อม เพราะความสุขความดับทุกข์มันไม่ได้อยู่ไกลหรอก อยู่ที่ใจเราในปัจจุบัน ดีเราก็ต้องเสียสละ ถ้าไม่เสียสละ เราก็ยึดมั่นถือมั่น ไม่ดี เราก็ต้องเสียสละ สุขทุกข์อะไรก็ต้องเสียสละทางจิตใจ การเสียสละนี้ เสียสละทางจิตใจ ไม่ให้เสียสละทางอื่น เราถึงจะเข้าถึงธรรมะ ธรรมะถึงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่ที่ใจของเราทุกคน เราเรียนเราศึกษาตั้งเเต่อนุบาลถึงด็อกเตอร์เพื่อเสียสละ รู้ดีรู้ชั่ว ตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อจะได้พัฒนาทั้งเทคโนโลยี พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ชีวิตของเราต้องเดินเป็นสองทาง ทั้งทางจิตใจ เเละทางเทคโนโลยีตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ เพราะสิ่งนี้ สิ่งนั้นมันถึงมี พระพุทธเจ้าตรัสถูกต้อง ตรัสดีมาก สามารถให้มนุษย์เข้าถึงความดับทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง
เราอย่าพากันหลง เค้าเเต่งตั้งให้เราเป็นโน่นเป็นนี้ก็อย่าไปหลง เค้าเเต่งตั้งให้เราเป็นผู้หญิงก็อย่าไปหลง เค้าเเต่งตั้งให้เราเป็นผู้ชายก็อย่าไปหลง เพราะอันนี้เป็นละครชีวิตเฉยๆ เราต้องรู้จัก ต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม กระชับในการประพฤติการปฏิบัติ เห็นไหมครั้งพุทธกาล เด็ก ๗ ขวบก็เป็นพระอรหันต์ได้ ท่านตั้งมั่นในพระพุทธเจ้า เอาพระธรรมคำสั่งสอนเป็นหลัก เพื่อเราจะได้ไม่มีตัวมีตน เป็นนิติบุคคล เราจะเข้าถึงธรรมะ เข้าถึงสถาวะธรรม เราจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิ เราจะได้ไม่หลงขยะ ชีวิตเราจะมีเเต่คุณ
เราต้องพากันรู้จัก ให้รู้จักชีวิตจริงเราอยู่ธรรมดาอย่างนี้มันก็ไม่มีเรื่องอะไรอยู่เเล้ว เเต่ถ้ารู้จักความคิด ความปรุงเเต่ง พวกธาตุพวกขันธ์พวกอายตนะ เค้าทำหน้าที่ของเค้า อย่างเต็มที่เต็มกำลัง เราต้องรู้จักเอาธาตุเอาขันธ์มาใช้ เพราะชีวิตของเราไม่เกินร้อยปีก็จากไปเเล้ว ทุกคนทานข้าวทานอาหารมันก็เเก่ มันก็เจ็บ มันก็ตาย มันก็พลัดพราก เป็นเทวทูตมาบอกมาสอน ดูอาการมันบอกอยู่ตลอด เราอยู่กับความไม่เที่ยงเเท้เเน่นอน หายใจเข้าเราถึงอยู่ได้ หายใจออกเราถึงอยู่ได้
ทุกท่านทุกคนต้องรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ คนเราเกิดมาต้องมามีความสุขในการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมก็คือการทำงาน คนเรามันมีอวิชชามันมีความหลง อันไหนไม่บาปมันก็ไม่อยากคิด อันไหนไม่บาปมันก็ไม่อยากพูด อันไหนไม่บาปมันก็ไม่อยากทำ อันไหนไม่บาปมันก็ไม่อยากกิน เราต้องรู้จักบาป บาปมันเกิดที่เราในปัจจุบัน เราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราจะได้รู้ชัดเจน
เมื่อเราประพฤติปฏิบัติมันก็จะดับทุกข์ได้ชัดเจน เราไม่ต้องสงสัยว่าตายเเล้วเกิด หรือตายเเล้วสูญ มันจะจัดการกับความคิดที่เป็นอวิชชาในปัจจุบัน เราอย่าไปหลงงมงาย เค้าเรียกว่าหลงในตัวในตน ในที่เค้าเเต่งตั้งให้เรา มันหลงงมงาย มันหลงไปเรื่อย หลงไสยศาสตร์อย่างละเอียด อย่างกลางอย่างหยาบ มันก็ไปเรื่อย พระพุทธเจ้าให้เราพากันทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ สมองเราก็เอาไปใช้ที่จำเป็น เราต้องมีเบรค เบรคดีๆ ความเคยชินมันมาเเรง ถ้าไม่ได้ตามความคิดตามอารมณ์ สมองมันจะระเบิด ตับไตไส้พุงมันจะเเตก จะตายเลย เราต้องรู้จัก มันเป็นป่าทึบไปหมด เราจะปลูกต้นไม้พืชพันธุ์ได้ เราต้องเอาป่าเก่ามันออก อันนี้เหมือนกัน เราต้องเปลี่ยนใหม่เข้าใจใหม่ เราไปตามอารมณ์ไม่ได้เเล้ว ตามตัวเองไม่ได้เเล้ว เราต้องตามพระพุทธเจ้า ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ความอยากน่ะ ถมเท่าไหร่มันก็ไม่เต็มหรอก เราต้องรู้จักความอยาก เจ้านี้มันทำให้เรากินไม่ได้ นอนไม่หลับ
ความหิวและความต้องการของร่างกาย ร่างกายจะทรงอยู่ได้เพราะอาหาร มนุษย์และสัตว์ทั้งปวงจะมีชีวิตอยู่ได้เพราะอาหาร การกินเพราะความหิวจึงเป็นการจำเป็น การกินเพราะความหิวมีเวลาอิ่มและเบื่อได้ ทั้งมีขีดจำกัด ตามขนาดกระเพาะของแต่ละบุคคล
ความอยาก เป็นอาการของใจที่ประกอบด้วยตัณหา การกินด้วยความอยาก หามีอะไรเป็นขอบเขตจำกัดไม่ ยิ่งหามาสนองความอยากได้มากเท่าใด ก็ยิ่งจะเพิ่มความอยากให้มากขึ้นเท่านั้น ที่สุดของความอยากไม่มี ผู้ที่กินด้วยความอยาก ย่อมไม่มีเวลาอิ่มท้องจะต้องแตกตาย เหมือนตาชูชกผู้กินด้วยความอยาก หาใช่กินเฉพาะทางปากเท่านั้นไม่ บางคนยังสามารถกินสิ่งที่ไม่น่าจะกินได้ เช่น กินจอบ กินเสียม กินตึก กินถนนหนทาง และรถเรือนเป็นต้น ไฟไม่อิ่มเชื้อ ทะเลไม่อิ่มน้ำฉันใด คนที่มีโลภตัณหาก็ไม่อิ่มในสิ่งใดๆ ดังภาษิตโตปเทศว่า
ธรรมดาไฟย่อมไม่พักพอไม้เชื้อ ทะเลใหญ่ไม่ปรากฏว่าเบื่อน้ำ
มฤตยูไม่เคยอิ่มหนำประชาสัตว์ นางผู้งามจำรัสก็ไม่รู้สึกจุใจในผู้ชาย
ขอเปลี่ยนวรรคสุดท้ายเป็น “คนละโมภสมบัติก็ไม่รู้สึกจุใจในสิ่งใด”
พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในที่แห่งหนึ่งว่า ความอยากของคนเปรียบเสมือนฝั่งทะเล ฝั่งทะเลไม่เคยถูกน้ำท่วม น้ำมันท่วมไปถึงไหน ฝั่งก็ไปถึงนั่น เหมือนกับตัณหาของคน ไม่เคยพอ ไม่เคยอิ่ม มีร้อยบาทก็อยากได้พัน มีพันก็อยากได้หมื่นแสนล้าน ร้อยล้าน พันล้านเพิ่มไปเรื่อยๆ จิตใจคนโลภนี่มันเหมือนหลุมที่ถมไม่รู้จักเต็ม
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ไม่ยินดี (ในพรหมจรรย์) รูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้
ได้ยินว่า ภิกษุนั้นบรรพชาแล้วในศาสนา ได้อุปสมบทแล้ว อันพระอุปัชฌาย์ส่งไป ด้วยคำว่า "เธอจงไปที่ชื่อโน้นแล้ว เรียนอุทเทส" ได้ไปในที่นั้นแล้ว. ครั้งนั้น โรคเกิดขึ้นแก่บิดาของท่าน เขาเป็นผู้ใคร่จะได้เห็นบุตร (แต่) ไม่ได้ใครๆ ที่สามารถจะเรียกบุตรนั้นมาได้ จึงบ่นเพ้ออยู่ เพราะความโศกถึงบุตรนั่นแล เป็นผู้มีความตายอันใกล้เข้ามาแล้ว จึงสั่งน้องชายว่า "เจ้าพึงทำทรัพย์นี้ให้เป็นค่าบาตรและจีวรแก่บุตรของเรา" แล้วให้ทรัพย์ ๑๐๐ กหาปณะไว้ในมือของน้องชาย ได้ทำกาละแล้ว.
ในกาลที่ภิกษุหนุ่มมาแล้ว น้องชายนั้นจึงหมอบลงแทบเท้าร้องไห้ กลิ้งเกลือกไปมา พลางกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ บิดาของท่านทั้งหลายบ่นถึงอยู่เทียว ทำกาละแล้ว ก็บิดานั้นได้มอบกหาปณะไว้ ๑๐๐ ในมือของผม, ผมจักทำอะไร? ด้วยทรัพย์นั้น."
ภิกษุหนุ่มจึงห้ามว่า "เราไม่มีความต้องการด้วยกหาปณะ" ในกาลต่อมาจึงคิดว่า "ประโยชน์อะไรของเรา ด้วยการเที่ยวไปบิณฑบาตในตระกูลอื่นเลี้ยงชีพ เราอาจเพื่อจะอาศัยกหาปณะ ๑๐๐ นั้นเลี้ยงชีพได้ เราจักสึกละ." เธอถูกความไม่ยินดีบีบคั้นแล้ว จึงสละการสาธยายและพระกัมมัฏฐาน ได้เป็นเหมือนผู้มีโรคผอมเหลือง.
ครั้งนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรถามเธอว่า "นี่อะไรกัน?" เมื่อเธอตอบว่า "ผมเป็นผู้กระสัน" จึงพากันเรียนแก่อาจารย์และอุปัชฌาย์. ทีนั้น อาจารย์และอุปัชฌาย์เหล่านั้นจึงนำเธอไปยังสำนักของพระศาสดา แสดงแด่พระศาสดาแล้ว. พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุ ได้ยินว่า เธอกระสันจริงหรือ?" เมื่อเธอกราบทูลรับว่า "อย่างนั้น พระเจ้าข้า" ตรัสว่า "เพราะเหตุไร? เธอจึงได้ทำอย่างนั้น, ก็อะไรๆ ที่เป็นปัจจัยแห่งการเลี้ยงชีพของเธอมีอยู่หรือ?"
ภิกษุ. มี พระเจ้าข้า. พระศาสดา. อะไร? ของเธอมีอยู่.
ภิกษุ. กหาปณะ ๑๐๐ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ถ้ากระนั้น เธอจงนำก้อนกรวดมา แม้เพียงเล็กน้อยก่อน เธอลองนับดูก็จักรู้ได้ว่า ‘เธออาจเลี้ยงชีวิตได้ด้วยกหาปณะจำนวนเท่านั้นหรือ หรือไม่อาจเลี้ยงชีวิตได้.’ ภิกษุหนุ่มนั้นจึงนำก้อนกรวดมา.
ทีนั้น พระศาสดาจึงตรัสกะเธอว่า "เธอจงตั้งไว้ ๕๐ เพื่อประโยชน์แก่เครื่องบริโภคก่อน, ตั้งไว้ ๒๔ เพื่อประโยชน์แก่โค ๒ ตัว, ตั้งไว้ชื่อมีประมาณเท่านี้ เพื่อประโยชน์แก่พืช เพื่อประโยชน์แก่แอกและไถ, เพื่อประโยชน์แก่จอบ, เพื่อประโยชน์แก่พร้าและขวาน." เมื่อเธอนับอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ กหาปณะ ๑๐๐ นั้น ย่อมไม่เพียงพอ.
ครั้งนั้น พระศาสดาจึงตรัสกะเธอว่า "ภิกษุ กหาปณะของเธอมีน้อยนัก เธออาศัยกหาปณะเหล่านั้น จักให้ความทะยานอยากเต็มขึ้นได้อย่างไร? ได้ยินว่า ในอดีตกาล บัณฑิตทั้งหลายครองจักรพรรดิราชสมบัติ สามารถจะยังฝนคือรัตนะ ๗ ประการ ให้ตกลงมาเพียงสะเอวในที่ประมาณ ๑๒ โยชน์ด้วยอาการสักว่าปรบมือ แม้ครองราชสมบัติในเทวโลก ตลอดกาลที่ท้าวสักกะ ๓๖ พระองค์จุติไป ในเวลาตาย (ก็) ไม่ยังความอยากให้เต็มได้เลย ได้ทำกาละแล้ว"
จากนั้นได้ทรงภาษิต ๒ พระคาถานี้ว่า :-
น กหาปณวสฺเสน ติตฺติ กาเมสุ วิชฺชติ อปฺปสฺสาทา ทุกฺขา กามา อิติ วิญฺญาย ปณฺฑิโต
อปิ ทิพฺเพสุ กาเมสุ รตึ โส นาธิคจฺฉติ ตณฺหกฺขยรโต โหติ สมฺมาสมฺพุทฺธสาวโก.
ความอิ่มในกามทั้งหลาย ย่อมไม่มีเพราะฝนคือกหาปณะ, กามทั้งหลาย มีรสอร่อยน้อย มีทุกข์มาก บัณฑิตรู้แจ้งดังนี้แล้ว ย่อมไม่ถึงความยินดี ในกามทั้งหลายแม้ที่เป็นทิพย์, พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมเป็นผู้ยินดีในความสิ้นไปแห่งตัณหา.
คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ถ้าต้องการความสุข ก็จงลดความอยากให้น้อยลง” จากหนังสือพระอานนท์พุทธอนุชา ถ้าเราถือตามพระดำรัสของพระศาสดาความเดือดร้อนวุ่นวายก็จะหมดไป ความสงบร่มเย็นก็จะเกิดแก่ตัวเอง และสังคมประเทศชาติ ทุกวันนี้คนไม่รู้จักคำว่าพอ จึงเดือดร้อน ต้องแย่งชิงกัน ด้วยเล่ห์เหลี่ยมอันไม่ชอบธรรม
“ความพอจะไม่มี ถ้ามนุษย์ไม่จำกัดขอบเขตแห่งความพอของตนไว้ มนุษย์ส่วนมากมิได้จำกัดของเขตแห่งความพอไว้ สิ่งที่ได้มาจึงเป็นเหมือน เชื้อไฟ มาเพิ่มความต้องการอย่างใหม่เจริญขึ้นรุนแรงมากขึ้น กระเถิบไปข้างหน้าอยู่เรื่องๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
มนุษย์ได้พากันแสวงหาสิ่งภายนอกมาบำรุง ปรนเปรอตนก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยพบจุดอิ่ม เหมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ เขาจะไม่พบความสงบสุข หรือสมปรารถนา ที่ถาวรแท้จริงได้ แต่เมื่อใดบุคคลใดมากำหนดรู้ความอยากอันไม่มีที่สิ้นสุด แล้วละความอยากในส่วนที่ไม่จำเป็นเสีย ดำรงชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ แต่ขยัน และเสียสละ พัฒนาสร้างสรรค์ ทำให้ผู้อื่นมากกว่าสะสมไว้เพื่อตัวเอง เมื่อนั้นแหละเขาจึงจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง คนส่วนมากประพฤติตนตามความอยาก ตกอยู่ใต้อำนาจของความอยาก มีใจพร่องอยู่เป็นนิตย์ ต่อเมื่อความตายมาถึง มัจจุราชมาเยือน และดึงตัวเขาไป เขาก็ต้องละสมบัติทั้งปวงไป ญาติพี่น้องบริวารก็ต้านทานไม่ได้ เขามาคนเดียวและไปคนเดียวตามกรรมของตนๆ ผู้สั่งสมบาปไว้ย่อมต้องประสบทุกข์ในโลกหน้า ส่วนผู้สั่งสมบุญไว้ย่อมประสบสุข บุญบาปนี้ต่างหากที่จะติดตามเขาไป เป็นสมบัติของเขา หาใช่สมบัติภายนอกไม่ ด้วยเหตุนี้ ผู้มีปัญญาเห็นประจักษ์ จึงควรสั่งสมความดี ไม่เบื่อหน่ายในการสั่งสมกรรมดี”
ความเมาในอำนาจ เป็นแรงผลักดันที่มีพลังมากพอให้คนทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้มีอำนาจยิ่งขึ้น พร้อมๆ กันนั้นมันทำให้เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่าง หัวใจที่เร่าร้อนอยู่แล้วของเขา ถูกเร่งให้เร่าร้อนมากขึ้น ด้วยความทะยานอยากอันไม่มีขอบเขต ไม่ทราบว่าจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน วัตถุอันวิจิตรตระการตานั้น ช่วยเป็นเชื้อให้ความทะยานอยากโหมแรง กลายเป็นว่ายิ่งมียิ่งอยากใหญ่ แม้จะมีเสียงเตือน และเรียกร้องอยู่ตลอดเวลาว่า ศีลธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนสังคม และคุ้มครองโลก แต่บุคคลผู้รับรู้ และพยายามประคับประคองศีลธรรมมีน้อยเกินไป สังคมมนุษย์จึงวุ่นวาย และกรอบเกรียมอย่างน่าวิตก
ความทุกข์ยากลำบาก และความดิ้นรนต่างๆ ของเพื่อนมนุษย์ ซึ่งกระเสือกกระสนไปด้วยดวงใจที่ว้าเหว่ ไร้ความหวังรวมทั้งตัวอย่างชีวิตแห่งผู้ทุจริต คดโกง แล้วประสบภัยพิบัติในบั้นปลาย น่าจะเป็นบทเรียนที่ดียิ่ง แต่ บุคคลผู้มุ่งแต่ความสุขสำราญของตน ย่อมไม่อาจมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ จนกว่าภัยพิบัตินั้นได้มาถึงตัวเอง จึงจะคิดได้ แต่ทุกอย่างก็สายเสียแล้ว เมื่อเขาต้องรับชะตากรรมด้วยตัวของเขาเอง
คนชั่วเมื่อขณะทำชั่วอยู่ และกรรมชั่วยังไม่ให้ผล เขากระหยิ่มยินดีว่าเขาเก่งกล้าสามารถ ทำอย่างนั้นได้ทำอย่างนี้ได้ ไม่มีใครว่าอะไร ไม่มีใครกล้าทักท้วง เขายิ่งเหิมเกริมทำชั่วต่อไปอย่างเมามัน แม้ผู้หวังดีจะตักเตือนท้วงติง ก็ดูหมิ่นผู้ตักเตือนนั้นว่า เป็นผู้เยาว์บ้าง มีศักดิ์น้อยกว่าตนบ้าง เขาหลงตนหลงอำนาจวาสนาอันเป็นของเขาชั่วคราว แต่เมื่อใดกรรมชั่วอันเขาสั่งสมวันละน้อยเพิ่มพูนมากขึ้น และวิบากแห่งกรรมดีเก่าก่อน ก็ร่อยหรอลงวันละน้อยจนหมดสิ้น ไม่มีแรงต้านทานอีกแล้ว เมื่อนั้นเขาต้องเสวยผลกรรมอันทารุณแสบเผ็ด โดยไม่มีสิ่งใดทัดทานได้ ในเวลานั้นแม้จะรู้สึกตัว แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้เสียแล้ว
ทุกท่านทุกคนอย่าไปเเก้ไขคนอื่นเค้า ต้องพยายามกลับมาเเก้ไขตัวเอง อานาปานสติทุกท่านทุกคนต้องมีทุกเมื่อ ทุกอิริยาบถอย่างนี้ อิริยาบถหยาบก็หายใจเข้าชัดเจน หายใจออกชัดเจน งานก็คือความสุข งานอะไรที่ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่กินเหล้า ไม่กินเบียร์ งานที่เป็นศีลเป็นธรรม เราต้องมีความสุข เราจะได้เอาการเอางานมาทำให้เราใจเย็น เราปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ชีวิตของเราจะมีความสุข
เราทุกคนต้องตั้งใจ ต้องสมาทาน เราจะไปต่างประเทศเราต้องไปขึ้นเครื่องบินที่สุวรรณภูมิ หรือไปขึ้นที่ดอนเมือง อันนี้เหมือนกัน เราต้องสมาทาน ตั้งใจปฏิบัติ เอาให้ถึงจิตถึงใจถึงเจตนา พูดเเล้วพูดอีก เพื่อจะให้มันชัดเจนขึ้น เพื่อจะให้เคลียร์ เพราะมันไม่เคลียร์ พวกที่ฟังไปก็โงกง่วงไป มันเคลิ้มเวทนาที่เป็นสุขเป็นทุกข์ มันไม่เข้าใจ ถ้ามีตัวตนเยอะมันไม่เข้าใจ เพราะมันรับไม่ได้ น้ำมันเต็มเเก้วเเล้ว น้ำสกปรกมันเต็มเเก้ว เอาน้ำสะอาดไปใส่ไม่ได้ พระพุทธเจ้าเลยให้ทิ้งหมด เพราะมันเป็นปัจจุบันธรรม
ทุกท่านทุกคนพยายามพากันหยุดวัฏฏะสงสารของตัวเอง เราจะได้ประพฤติเราจะได้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เช่น เดินจงกรมไม่ต้องเอาอะไร เราจะเอาอะไร เดินจงกรมเป็นการเจริญสติสัมปชัญญะ เดินกลับไปกลับมาร่างกายก็เเข็งเเรง ใจคิดมากใจไม่เเข็งเเรงนะ มันพัฒนาทั้งกาย พัฒนาทั้งใจ เดินกลับไปกลับมา มันจะเอาเรื่อย ความคิดมันจะโผล่ขึ้นมา นิสัยสัญชาตญาณมันจะเอา เดินกลับไปกลับมาเราต้องรู้จัก ถ้าเราจะภาวนาน้อมทุกอย่างสู่พระไตรลักษณ์ ขาขวาก็ไม่เที่ยงขาซ้ายก็ไม่เที่ยง มันเที่ยงยังไง มันเปลี่ยนเเปลงตลอดเวลา เราต้องเสียสละ ทำไปทำมา การทำอย่างนี้เป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ เราไม่เอาอะไรหรอก หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน ให้ใจมันสบาย เราเสียสละ เราถึงจะไม่มีนิวรณ์ เราอย่าไปคิดว่าขั้นไหน ปฐมฌาน ทุติยฌาน เราไม่ต้องไปคิดมัน ตัวตนมันเเอบเเฝง เราต้องเสียสละ มันถึงจะเข้าสมาธิได้ มันสงบเเล้วจะง่วงนะ เราต้องรู้จัก อย่าไปตามธาตุ ตามขันธ์ เราต้องให้ใจของเรามันเด่น ให้ใจมันใส ให้ใจเป็นหนึ่ง คนเราต้องพักใจไว้ในสมาธิ ความไม่คิดนี้เหละ จิตถึงจะมีพลัง เราถึงค่อยให้จิตใจของเราออกมาพิจารณาพระไตรลักษณ์
ในชีวิตประจำวัน เราต้องพิจารณาทุกวันว่า เรามีความเเก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา เราต้องขอบคุณพวกนี้ เค้าเอาพระนิพพานมาให้เรา เราต้องภาวนาต้องปฏิบัติอย่างนี้ เราไม่ต้องไปหาพระนิพพานที่ภูเขาลูกไหน ที่ป่าไหนหรอก ที่อาจารย์องค์นั้นองค์นี้หรอก อยู่ที่ปัจจุบันของเรา ต้องให้เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ ต้องปฏิบัติอย่างนี้ พระพุทธเจ้าให้เราทำอย่างนี้ ข้อวัตรกิจวัตรของเราคือพรหมจรรย์
เราไปอยู่ไหนก็ตามไป ไม่ว่าในป่า ในเขา ในถ้ำ อย่างเรามาบวชความขี้เกียจขี้คร้านก็ตามมา ถือศีลก็ตามมา กลับบ้านกลับที่ทำงานมันก็ตามไป พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝืน ให้เราอดเราทน เราอย่าไปท้อแท้ท้อถอย ว่าเราปฏิบัติไม่ได้ ทำไม่ได้ ลูกคนรวยส่วนใหญ่...ก็ติดในความสุขสบาย ลูกคนจนก็ติดในความสุขความสบาย เพราะรับพันธุ์จากพ่อแม่ พ่อแม่ไม่ขยันมันถึงจน... คนเรามันต้องคิดเป็นนะ ต้องรู้จักคิด ในอนาคตถ้าไม่ปรับปรุงต้องทุกข์แน่นอน ต้องจนแน่นอน มีปัญหาครอบครัวแน่นอน พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราเห็น ทุกข์' ที่จะเกิดกับเราในอนาคต ให้เห็นเหตุที่ให้เกิดทุกข์ ถ้าเรารอถึงวันนั้นมันสายไปแล้ว มันแก้ไขไม่ได้
ความขี้เกียจเป็นสมบัติของคนจน ความไม่รับผิดชอบเป็นสมบัติของคนจน ใจของเราถ้าไม่รู้จัก เราจะมีเซ็กซ์ความคิด มีเซ็กซ์ทางอารมณ์ ถ้าเราไม่รู้จัก ความวิเวกทางกายวาจาใจ มันจะไม่มี พวกเราทุกคนมันติดสิ่งภายนอก มันติดในกาม มันอยากเล่นแต่โทรศัพท์อยากเล่นคอมพิวเตอร์ พวกนี้มันต้องรู้จัก ว่าเราไปทำอย่างนั้นไม่ได้ เราไม่ได้ฝึกใจ เพราะสิ่งนั้นมันเป็นยาเสพติดทางจิตใจ ยาเสพติดทางภายนอก ก็พวก ฝิ่น เฮโรอีน กัญฐชา เหล้าเบียร์ อย่างนี้เค้าเรียกยาเสพติดทางร่างกาย เเต่สิ่งเสพติดทางจิตใจ คือ รูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ เราต้องเบรคตัวเอง ติดต่อกันให้ได้วันหลายเดือน หลายปี เราทุกๆ คน พากันเเย่กว่าสัตว์เดรัจฉานนะ พวกสัตว์เดรัจฉานมันไม่กินเหล้ากินเบียร์ ไม่เล่นการพนัน มันไม่เจ้าชู้ เราอย่าไปว่าเราเก่งกว่าเค้า สร้างปืน สร้างระเบิด สร้างอะไรมา จบปริญญาโทเอก คิดว่าเก่งกว่าเค้า ต้องพากันมาหยุดตัวเองให้สงบเย็น พระพุทธเจ้าท่านให้ทำอย่างนี้ เราจะได้วิทยาศาสตร์มาดำรงชีวิต เรียกว่าคุณธรรม คือ สิ่งที่เรียกว่ามีเเต่คุณ ไม่มีโทษ มันถึงสมควรที่จะนั่งรถนั่งเรือ นั่งเครื่องบิน มีบ้านอยู่ มีตึกรามบ้านช่อง มันถึงจะถูกต้อง
ให้ทุกท่านทุกคนพากันกลับมาหาธรรมะ รวยอย่างเห็นเเก่ตัวอย่างนี้ ที่เอาเงินกับคนอื่น เอาของกับคนอื่นไม่เอา ประเภทที่กินของหลวงกินของสงฆ์พวกนี้มันบาป เพราะเราเห็นเค้ากินของหลวงกินของสงฆ์กันทั้งประเทศ เราเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา เเต่นี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา อันนี้เป็นสิ่งเสียหายทำลายความมั่นคง ทำลายประเทศชาติเเห่งความเป็นมนุษย์ ให้พวกเราพากันเข้าใจ ถ้าเรามีความสุขในการทำงาน ขยันรับผิดชอบ ไม่ติดอบายมุขอบายภูมิ ครอบครัวมันถึงคงมีความสุข เพราะทุกคนก็จะไปเอาเเต่เงินของคนอื่น ไม่มีใครเสียสละ ไปเอาเเต่ของของคนอื่น ไม่มีใครเสียสละ ถ้าไม่มีใครเสียสละ ที่นั้นก็เรียกว่าไปเเก้เเต่ภายนอก ไม่เเก้ตัวเอง ไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่ขยัน ไม่เสียสละ
ให้ทำอย่างนี้ ให้ทุกท่านทุกคนพากันปฏิบัติพากันเข้าใจ พระผู้ที่บวชเรียนบวชเปรียญธรรมก็ต้องพากันปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน เราอย่าไปคิดว่า เดี๋ยวเรียนจบเเล้วค่อยปฏิบัติ มันไม่ใช่ มันต้องปฏิบัติพร้อมกับการเรียนการศึกษาไปพร้อมๆ กัน ต้องเป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมในปัจจุบัน คนเราไม่มีใครถึงอนาคตสักทีหรอก มันต้องเป็นปัจจุบันไปอย่างนี้ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี มันไปเรื่อย ให้ทุกคนพากันเข้าใจ พวกที่ล่องลอย ชีวิตอยู่กับอนาคต ปัจจุบันไม่ปฏิบัติ มันเสียโอกาส เสียเวลา ทุกคนอย่าไปให้โอกาสเเก่มารทั้งหลายทั้งปวง ขอโอกาสไปเรื่อย มันไม่ได้ เป็นสิ่งที่ยืดเยื้อ ไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติ พวกที่ไปเอาเเต่สิ่งภายนอก ไปขอเเต่ของคนอื่น มันเป็นพระไม่ได้ ชีวิตเป็นเปรตเป็นยักษ์เป็นมารเป็นอสูรกายอย่างนี้นะ
มรรค คือข้อวัตรปฏิบัติ เป็นบรรทัดฐาน เป็นความดี... เราทุกท่านทุกคนเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ต้องทวนกระแส ทวนความขี้เกียจขี้คร้าน ปรับปรุงใจของเรา ปรับปรุงการกระทำของเรา คำพูดของเรา ตั้งไว้อย่างแน่วแน่ มีความเป็นหนึ่ง ไม่ใช่เราจะทำอย่างนี้เพียงวันเดียว ต้องทำทุกวันจนกว่าเราจะบรรลุเป้าหมาย มีความตั้งใจมั่นชอบ มรรคมีองค์ ๘ ตัวสำคัญ คือ 'ความตั้งใจมั่นชอบ'
ส่วนใหญ่เราทำอะไรไม่มั่นคง ขาดความตั้งใจ ฐานะไม่มั่นคง จิตใจไม่มั่นคง ใครจะมาเคารพเชื่อถือเรา เพราะเราไม่มีความตั้งใจมั่นชอบ
ความคิดของเราต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ เพราะความคิดเก่าๆ มันเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว พาเราเวียนว่ายตายเกิด เป็นความคิด ที่ขาดสติ ขาดปัญญา มันมีความคิดที่ตั้งอยู่ในความประมาท ตั้งอยู่ในความเพลิน เป็นเด็กก็เพลิดเพลินในการกิน การนอน การเที่ยว มันมดบังในการเรียน การศึกษา การทำงาน ปัญหาต่างๆ มันถึงประดังประเดเข้ามา เดือดร้อนถึงพ่อแม่วงศ์ตระกูล เพราะความไม่ตั้งใจของเรา
ให้ทุกท่านทุกคนตั้งใจอธิษฐานจิตว่า ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะตั้งใจใหม่ ตั้งใจให้ดีอย่างนี้ตลอดไป ตลอดกาลยิ่งๆ ขึ้นไป จะไม่เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน จะไม่เป็นคนเอาเวลาเรียน เวลาทำงาน ไปเพลิดเพลินเหมือนที่แล้วๆ มา ที่ผิดไปแล้วถือว่าเป็นครู ที่รู้ถือเป็นอาจารย์ต้องตั้งใจมั่นนะ เคยติดอะไรต่างๆ จะพยายามละ จะพยายามเลิก ถ้ามัวอาลัยอาวรณ์อย่างนี้ ไม่ได้แน่ ไม่ดีแน่ อันไหนไม่ดีให้หยุดตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้จะเป็นบุคคลใหม่ คนเก่าทิ้งไปกับกาลเวลาที่เสียไป จะไม่อาลัยอาวรณ์คิดถึงมัน มันทำให้ข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิดมาถือว่าพอแล้ว ทำความดีมันไม่ตาย ที่ตายส่วนใหญ่เพราะมันคิดมาก เพราะวิตกกังวล เพราะกลัวความดี
ข้าพเจ้าจะมาสร้างประโยชน์ตน... และสร้างประโยชน์ผู้อื่น... ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความไม่ประมาท เหนื่อยก็ช่างมัน ผอมก็ช่างมัน ให้ข้าพเจ้าได้ทำดี พูดดี คิดดี ลาก่อนนะอันไหนไม่ดีก็จะทิ้งมันวันนี้แหละ
เมื่ออินทรีย์บารมีของข้าพเจ้ายังไม่แก่กล้า ก็จะพยายามประพฤติปฏิบัติยิ่งๆ ขึ้นไป จะถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัย เป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติตราบจนหมดลมหายใจ
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะน้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาชำระล้างจิตใจให้สะอาด ที่เป็นสิ่งปฏิกูลทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งจิตใจ จะรับเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เพื่อประโยชน์และความสุขมรรคผลนิพพาน สร้างฐานชีวิตตามรอยบาทขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ...