แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๓๘ การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนเหลือวิสัย จึงต้องใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ได้พูดเรื่อง กินของสงฆ์ กินของหลวง มาเเล้วสองวัน เพื่อให้เเสงสว่าง ให้ปัญญา เเก่มวลมนุษย์ทุกชาติทุกศาสนา เพราะความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ วันนี้ก็จะได้พูดเป็นครั้งที่สาม เพื่อผู้ที่มีปัญญาพอที่จะรู้ได้ก็ให้รู้ได้ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ผู้ที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการ นักการเมือง หรือเป็นประชาชน จะได้พากันปฏิบัติให้ถูกต้อง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาทุกศาสนาของตนเอง จะได้ปรับปรุงเเก้ไขพัฒนาสิ่งที่ผ่านไปเเล้วนั้นถือว่า เป็นประสบการณ์ เป็นความไม่รู้สำหรับคนที่ยังไม่รู้ คนที่รู้เเล้ว เเล้วจะชี้ให้เห็นโทษ เห็นคุณ เพื่อจะได้ประพฤติเพื่อจะได้ปฏิบัติ
ถามว่าผู้ที่มาบวชในพระศาสนานี้ ชื่อว่าเป็นผู้ที่ฉันภัตตาหารของประชาชน หรือว่าได้รับเงินนิตยภัต จากการบริหารปกครองประเทศที่ทางนักปกครอง เห็นว่าควรที่จะได้รับ ข้าใช้จ่าย ในการเดินทาง ในการทำงาน ของทุกอย่างถือว่าเป็นของสงฆ์ เราเป็นสงฆ์นี้ เราต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เราถึงจะมีเเต่คุณ ไม่มีโทษ ทุกท่านทุกคนต้องตั้งใจตั้งเจตนา ต้องสมาทาน สมาทานเป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ถ้าเราบวชมาเเล้ว เมื่อเราบรรพชาอุปสมบทมาเเล้ว เราไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติ ตามสิกขาบทน้อยใหญ่ ไม่มุ่งมรรคผลพระนิพพานนี้ ชื่อว่า เรายังไม่ได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง การที่เราบริโภคปัจจัยทั้ง ๔ นั้น ถือว่าเป็นบาป
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ เพราะว่าเราได้รับสิทธิพิเศษ พ่อเเม่ก็กราบเรา ปู่ย่าตายายก็กราบเรา ข้าราชการทุกหมู่เหล่าก็กราบเรา พ่อค้าประชาชานก็กราบเรา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็กราบเรา ถ้าผู้ที่มาบวชไม่ได้มุ่งมรรคผลพระนิพพาน ไม่ได้เอาพระนิพพานเป็นที่ตั้ง ไม่ได้ปฏิบัติตามสิกขาบทน้อยใหญ่ ก็ถือว่ายังไม่ได้เข้าสู่ระบบเเห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านมีเจตนาที่ตั้งใจจะเผยเเผ่พระธรรมคำสั่งสอนที่ประเสริฐบริสุทธิ์เรียกว่า พรหมจรรย์ ทุกท่านทุกคนจะต้องไม่มีข้อเเม้ใดๆ ทั้งสิ้น
อย่างเราบวชเรียนบวชศึกษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทุกๆ พระองค์ของประเทศไทย ท่านถึงให้ศึกษานักธรรมตรีโทเอก จนถึง ป.ธ.๙ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้อุปถัมภ์ เเล้วก็ให้ยศ ให้ตำเเหน่งตั้งเเต่สังฆาธิการไปจนถึงสมเด็จพระสังฆราช ยังเป็นสถาบันหลัก คือ ศาสนา การเรียนการศึกษานี้ถึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เเต่ถ้าการเรียนการศึกษาไม่มีการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ถือว่าไม่ได้หรอก เสียหาย ถือเป็นการเสียหายที่ยิ่งใหญ่อันนี้คือระบบความมั่นคง ถือว่าทำลายความมั่นคง เราจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้ที่มาบวชต้องอยู่ในเมืองหลวง เมืองกรุง อยู่ในป่าในเขา ต้องทำเหมือนฆราวาส หรือ ต้องใกล้เคียงกับฆราวาส ไม่ได้ เราทำอย่างนี้ ตัวเองก็เคารพตัวเองไม่ได้ เพื่อนสหพรหมจรรย์ก็เคารพเราไม่ได้ ประชาชนก็ไม่อาจเคารพนับถือเราได้ เพราะเราไม่ปฏิบัติเพื่อมรรคผล เพื่อพระนิพพาน เพียงเเต่เป็นนักบวช เป็นเเต่ปริยัติ เเต่ไม่มีการปฏิบัติ
มันมีผลต่อประเทศไทยของเรา เรื่องนี้ให้ทุกสมเด็จพระสังฆราช พร้อมทั้งกรรมการมหาเถรสมาคมให้พินิจพิจารณา เพราะพูดอย่างนี้ไม่ได้สอนสังฆราช หรือกรรมการมหาเถรสมาคม นี้ถวายความรู้ความเข้าใจที่ประเทศไทยควรที่จะได้รับการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อความมั่นคงเเห่งชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพราะว่าพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่นำระบบเเห่งความสุขความดับทุกข์เพื่อให้ผู้ที่เกิดมาไม่ได้เป็นได้เเต่เพียงคน ต้องพัฒนาให้เป็นมนุษย์ สิ่งเหล่านี้มันสำคัญอยู่ที่ผู้ใหญ่ มันอยู่ที่ผู้นำ เพราะทุกวันนี้เชื่อว่าง่ายขึ้น เพราะพูดกันวันเดียวสองวัน ความรู้ความเข้าใจมันก็ทั่วถึงทั่วประเทศ หรือว่าทั่วโลก เราจะได้บริโภคของสงฆ์ให้มันถูกต้องโดยที่ไม่มีการทุจริต ถ้าเราไม่เอามรรคผลพระนิพพาน เราพาไปเอาเเต่เงิน เอาเเต่ของ เอาเเต่ลาภยศสรรเสริญ เราไม่ปฏิบัติพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถือว่าเรานี้เอง เป็นผู้ที่บริโภคของสงฆ์ที่ไม่ถูกต้อง ยังไม่ชื่อว่า สมควรเเก่ผู้ที่กราบผู้ที่ควรที่จะรับการยกมือไหว้ อย่างนี้
เรื่องที่จะเปลี่ยนเเปลงมันเป็นของยาก เพราะการที่จะมาเปลี่ยนเเปลงตัวเอง มันเป็นเรื่องใหญ่ เเต่ก็ต้องเราทุกท่านทุกคนก็ต้องมีความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า ที่จะต้องเปลี่ยนเเปลงตัวเอง ของที่มันอร่อยของที่มันเคี้ยวอยู่ในปาก ยากที่มันคลาย เป็นสิ่งที่เหนือวิสัย เเต่ทุกท่านทุกคนต้องทำได้ เเต่ต้องใช้เวลาหลายวัน หลายเดือน อาจจะเป็นปี ถ้าใจไม่เข้มเเข็ง ใจไม่เด็ดเดี่ยว เราดูเเล้วผู้ที่มาบวชนี้ ไม่ได้เห็นตัวอย่างที่ดีๆ ไม่ได้ฟังตัวอย่างที่ดีๆ กุลบุตรลูกหลานที่บวชมาเค้าก็เสียประโยชน์ของเค้า เพราะเค้าจะทำนา เค้าก็ต้องมีตัวอย่าง ทำสวน เค้าก็มีตัวอย่าง จะปลูกอ้อย ปลูกมันสำปะหลัง จะค้าขายอย่างนี้ก็ต้องมีตัวอย่าง ทุกอย่างก็ต้องเป็นตัวอย่าง พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเเล้ว ยังไม่มีใครได้เป็นพระอริยเจ้าเป็นพระอรหันต์ ยังเผยเเผ่ไม่ได้ เพราะยังไม่มีสักขีพยาน ยังไม่มีตัวอย่าง การที่จะเปลี่ยนเเปลงตัวเองได้มันต้องสมาทาน สมาทานตั้งใจ จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ มันอยู่ที่สมาทานตั้งใจ เมื่อสมาทานตั้งใจเเล้ว รู้ว่าอันไหนไม่ดีไม่คิด อันไหนไม่ดีไม่พูด อันไหนไม่ดีไม่ทำ ทำเหมือนไก่ฟักไข ไก่มันฟักไข่สามอาทิตย์ สำหรับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัย พระพุทธเจ้าตรัสว่า บางท่านก็เจ็ดวัน เจ็ดเดือน หรือว่าเจ็ดปี ต้องเข้าใจ
ทุกคนต้องพากันเปลี่ยนเเปลงตัวเองไปในทางที่ดี พร้อมเพียงกัน ผู้ที่มาบวชส่วนใหญ่ก็จะได้บาปมากกว่าได้บุญ เราดูตัวอย่างเเบบอย่างในปัจจุบัน พวกที่เข้าวัดร้อยคน โดยที่เป็นธรรมดา ร้อยคนจะมีผู้ชายประมาณ ๑๐ คน นอกนั้นจะเป็นผู้หญิง เพราะผู้ชายได้บวช บวชเเล้วไปเห็นตัวอย่างพระที่วัด ไม่ดีไม่ต่างอะไรกับประชาชน เเล้วก็ไม่พากันเข้าวัด เพราะเห็นตัวอย่างที่ไม่ได้ บางทีก็เกลียดศาสนาไป ทุกศาสนาก็เหมือนกัน ผู้ที่เป็นนักบวชต้องพัฒนาใจตัวเอง มันไม่เกี่ยวกับ เถรวาท ไม่เกี่ยวกับมหายาน ไม่เกี่ยวกับวัดบ้านวัดป่า มันเกี่ยวกับมีความเห็นเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน เราคิดดูนี้ โอ้...อย่างนี้ก็คนทั้งประเทศอย่างนี้มันก็บาปเยอะ บาปจริง ถ้าไม่บาปประเทศเราไม่ตกต่ำไม่เศร้าหมองขนาดนี้หรอก เราบาปได้ ก็บุญได้ เราโง่ได้เราก็ฉลาดได้ คนเราถ้าไม่เจ็บปวด มันก็ไม่หายาเเก้ปวด ถ้าไม่ป่วยไม่ไข้ก็ไม่ได้ไปหาหมอ ส่วนพระต้องเข้มแข็ง
ทุกวันนี้ไปกันใหญ่ ทุกคนก็มาหากินกันทางศาสนา ทำให้ศาสนาเละเทะหมด ถ้าเคร่งครัดอย่างนี้ให้จะมาบวชหล่ะ ถ้าไม่มีพระก็อย่าให้มันมีโจร ถ้ามีพระรูปเดียว ก็ยังมีโจรเป็นร้อยๆ คนเราถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุกคนก็เห็นด้วย ทุกคนก็อยากจะมาฝึกอยากจะมาบวชอยากมาปฏิบัติ เราต้องมีปัญญาต้องเข้าใจ อย่าเอาคนพาลเป็นตัวอย่างเเบบอย่าง ทำไมตอนพระพุทธเจ้าอยู่ถึงมีพระหลายหมื่นหลายเเสนเป็นล้านๆ อย่างนี้ เพราะท่านเอามรรคผลนิพพานอย่างนี้ เราจะเคารพตัวเองได้ก็เพราะตัวเองมีศีล เราจะเคารพคนโน่นคนนี้ก็เพราะคนนั้นมีศีล มีศีลมันถึงมีธรรม มีธรรมมันถึงจะมีมรรคผลนิพพาน พวกที่คิดอย่างสัญชัย เป็นศิษย์ของสัญชัยปริพาชก อาจารย์ของพระสารีบุตร ที่พระสารีบุตรไปกับพระโมคคัลลานะ ไปเรียนด้วย พระสารีบุตรเชิญไปหาพระพุทธเจ้า แต่อาจารย์สัญชัยไม่ยอมไป อ้างว่าเป็นผู้ใหญ่ชั้น ครูบาอาจารย์แล้วไม่ควรไปเป็นศิษย์ของใครอีก เมื่อสองสหายอ้อนวอนหนักเข้า อาจารย์สัญชัยจึงถามว่าในโลกนี้มีคนโง่มากหรือคนฉลาดมาก สองสหายตอบว่า คนโง่มากกว่า สัญชัยจึงสรุปว่า ถ้าอย่างนั้น ขอให้พวกที่ฉลาดๆ ไปหาพระสมณโคดมเถิด ส่วนพวกโง่ๆ จงมาหาเราและอยู่ในสำนักของเรา
ถ้าเราคิดอย่างนั้น ไม่ยอมเปลี่ยนเเปลงตัวเอง เราก็ไม่ได้เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ถ้าคนไหนมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เเล้วปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน มันจะไม่สาย ไม่เเก่ ไม่หนุ่ม ไม่เกี่ยวกับช้ากับเร็วอะไร ไม่เกี่ยวกับผู้ชาย ต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ต้องปฏิบัติถูกต้อง
ข้าราชการ ที่พากันบริโภคเป็นมนุษย์เงินเดือน ข้าราชการ นักการเมืองต่างๆ จะไม่พากันบาป ถ้าไม่บาปก็ได้ ก็ต้องเป็นข้าราชการต้องพากันมาเสียสละ พากันมามีศีลห้า ตั้งมั่นในความถูกต้อง ในธรรม ในความยุติธรรม เราจะเอาเเบบเมื่อก่อนมันไม่ได้ เพราะประเทศไทยเรามันพากันทำบาปทำกรรมสร้างเวรสร้างภัยสร้างนี้สร้างสิ้นให้กุลบุตรลูกหลานนักการเมืองก็เช่นกัน ต้องเอาใหม่ต้องพัฒนา ทุกท่านทุกคนข้าราชการอย่าพากันรุมกินโต๊ะประเทศไทย อย่าให้โจรเกิดขึ้นในตัวท่าน เเล้วก็อยู่ในตัวคนอื่น อย่าไปหาโจรไกลหรอก มันอยู่ที่ตัวเราทุกๆ คน โอ้โห... อย่างนี้ก็ลำบากสิ ที่มันลำบากก็เพราะว่ามันไม่เเก้ไขตัวเอง ก็เพราะการเรียนการศึกษาเพื่อมาเเก้ไขคนอื่น มันเเก้ไขไม่ได้ คนที่จะเเก้ไขประเทศชาติมันต้องมาเเก้ไขตัวเองก่อน เป็นคนมีศีลมีธรรม บ้านเราครอบครัวเรา มันต้องไม่มีอบายมุขไม่มีอบายภูมิ ไม่กินเหล้าเจ้าชู้ เล่นการพนันเป็นคนไม่มีศีลห้า เราอย่าไปคิดว่าโรคมันก็เป็นอย่างนี้ โรคมันดีหรอ โรคโควิด โรคอะไรต่างๆ เราต้องเอาร่างกายที่มีอายุไม่ถึง 100 ปีนี้มาพัฒนาจิตใจ พ่อเเม่ต้องให้ลูกเคารพนับถือ อย่าให้ลูกมันสงสารเรา เพราะเราเป็นผู้มีความรักมีคุณ
พวกข้าราชการ ทหาร ตำรวจ คุณครู อาจารย์ อัยการ ผู้พิพากษา ผู้ที่เป็นใหญ่เป็นโต ทั้งนายก พวกรัฐมนตรี เเล้วก็ผู้ว่า เเม่ทัพ ทั้งทหารตำรวจ พวกนี้ก็ต้องเอาใหม่ เราคิดผิดไป เราเอาธรรมะออกจากการเรียนการศึกษาอย่างนี้มันไม่ได้ ธรรมะกับการเรียนการศึกษา ธรรมะกับการดำรงชีพมันต้องเป็นอันนึงอันเดียวกัน เราจะเอาเเต่ใจไม่ได้ วัดเเต่ละวัด ต้องพัฒนาการประพฤติการปฏิบัติพระธรรมพระวินัย ต้องพากันเข้าใจ ทุกวันนี้หัวมันจะระเบิด เพราะมันเเก้ไม่ได้ มันจะไปเเก้คนอื่น ประชาธิปไตยมันก็เเก้ไม่ได้ ไปเเก้คนอื่น สังคมนิยมก็เเก้ไม่ได้ ไปเเก้คนอื่น ทุกท่านทุกคน มันต้องมาเเก้ที่ตัวเอง ทุกคนในโลกนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่คนบอกว่า จะไปเเก้ให้ทุกคนเหมือนกันหมดมันเเก้ไม่ได้ มันต้องเเก้ที่ตัวเราเอง เพื่อให้คนที่มีปัญญานี้เค้าจะเข้าใจ ปฏิบัติได้
เราดูประเทศไทย มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ มหาวิทยาลัยจุฬา สถาบันดีๆ ของคนฉลาดจะไม่ยกพรรคพวกตีกัน สถาบันระดับคนที่หัวปานกลาง กับหัวไม่ดี พวกเทคนิค พวกอาชีวะ พวกนี้มันยกพวกตีกัน พวกเด็กเเว๊นอะไรทั้งหลายทั้งปวง เเต่ถ้าเอาผู้นำฉลาดไปเป็นอธิการบดี เเล้วผู้บริหารฉลาดเป็นคณะบดีมันต้องดีขึ้น เพราะทุกอย่างอยู่ที่ผู้นำ มันเเย่อยู่เเล้ว ก็เอาคนไม่ได้มาตรฐานเป็นอธิการ มันก็ไปไม่ได้ เพราะหัวจักรไม่ได้มาตรฐาน
เมื่อศาสนาทุกศาสนาไปในทางเดียวกันหมด ข้าราชการนักการเมืองไปในทางเดียกวันหมด ทุกอย่างก็จะดี ข้าราชการนักการเมืองดูตัวอย่างดีๆ ดูประเทศสิงค์โปร์ ลีกวนหยู เค้าทำตัวเป็นที่เคารพนับถือ เค้าไม่โกงกินคอร์รัปชั่น เค้ามีระเบียบมีวินัย ดูประเทศนิวซีเเลนด์ เค้ามีระเบียบมีวินัย เค้ามองเห็นการโกงกินคอร์รัปชั่นไม่ใช่เรื่องธรรมดา เป็นเรื่องทำลายระบบความมั่นคงของมนุษย์ทำลายประเทศชาติ
ความเห็นเเก่ตัวมันพุ่งไปเรื่อย สมัยหลายร้อยปีที่ผ่านมาสงครามต่างๆ มันเกิดจากความโลภ ความเห็นเเก่ตัวที่ล่าอาณานิคมต่างๆ เราทำตามความโลภมันไม่จบหรอก พระก็อย่าไปใจอ่อน นักการเมืองก็อย่าไปใจอ่อน ข้าราชการอย่าไปใจอ่อน ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก ทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามกฏเเห่งกรรม อย่างเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร พระพุทธเจ้าองค์ไหนมาตรัสรู้ก็ยังไม่ได้ส่วนบุญ เพราะว่ามันยังไม่ถึงวาระ
คำว่า “เปรต” ภาษาบาลีเขียน เปต แปลตามตัวว่า “ผู้ล่วงลับไปแล้ว” คือผู้ที่ตายแล้ว ใช้เป็นคำกลาง ๆ หมายถึงคนที่ตายไปแล้ว ไม่ว่าตายดี ตายไม่ดี ไม่ว่าคนดี คนชั่ว เมื่อตายแล้ว และผลบาปทำให้เกิดเป็นเปรต ก็เรียกว่า “เปรต” เหมือนกันหมด แต่เปรตมีทั้งหมด ๑๒ ตระกูล แต่มีเพียง ๑ ตระกูลเท่านั้นที่รับผลบุญที่อุทิศให้ได้ อีก ๑๑ ตระกูลยังรับไม่ได้
ปรทัตตูปชีวี เปรตที่ต้องอาศัยผลบุญที่มีคนอุทิศให้ ไม่มีปัญญาหากินเอง ถึงจะพยายามหาอาหารกินก็คงไม่ได้ เพราะผลกรรมบันดาลให้เขาต้องอดอยากปากหมอง ทุกข์ทรมาน พวกนี้ถึงอยากกินก็ไม่ได้กิน เพราะฉะนั้นท่านจึงมีสัญลักษณ์ให้รู้ว่า มีปากเท่ารู้เข็ม มีพุงโตเหมือนภูเขา คืออยากมาก แต่กินไม่ได้เพราะปากมันเล็ก
ถามว่า คนทำบาปกรรมอะไรจึงมาเกิดเป็นเปรต พระคัมภีร์กล่าวไว้หลายประเภท คนที่ยักยอกเอาของสงฆ์ตายไปก็เกิดเป็นเปรต ผู้ดูแลเงินทองของวัด แรกๆ ก็คงไม่คิดอะไร พอนานเข้าก็โลภอยากได้ แพ้ต่อมโนธรรมของตนก็ยักยอกเอามาเป็นของตนเสีย ตายไปไม่แคล้วเป็นเปรต หรือแม้กระทั่งการรุกหรือการแย่งที่ดินของคนอื่น ที่ไม่ใช่ของตน ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ก็อาจจะได้ไปเกิดเป็นเปรตแบกแผ่นดินที่มีไฟลุกร้อนท่วมอยู่ยาวนาน ทุกข์ทรมาน ก็ได้
มีเรื่องจริงเขาเล่าให้ผมฟังนานแล้ว เจ้าหน้าที่วัดแห่งหนึ่ง เอาเงินวัดไปเข้าแบงก์กินดอกเบี้ย เงินยังอยู่แต่ดอกเบี้ยได้เท่าไรแกเอามาเป็นของตัวหมด อยู่มาวันหนึ่งแกป่วยหนักด้วยโรคประหลาด คือขี้ไหลตลอด กินอะไรลงไปก็ไหลออกหมด จนกระทั่งตาย ก่อนตายแกเพ้อคล้ายสั่งลูกหลานว่า “ใช้ดอกเบี้ย ๆ” แล้วก็สิ้นลม
ลูกหลานก็ไม่ทราบว่าแกสั่งลาอะไร ดอกเบี้ยอะไร พอสมภารท่านทราบ ท่านก็ไม่ว่าอะไร สั่งให้ลูกหลานทำสังฆทาน สั่งให้ใส่ปัจจัย (เงิน) เท่าจำนวนที่ท่านคิดว่าเป็นดอกเบี้ยธนาคารที่แกเอาไป โดยที่ลูกหลานไม่ทราบ
ชีวิตหลังความตายยังเป็นความลับอยู่ ความไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหนนั้น เปรียบเหมือนคนตาบอดปีนต้นไม้ แล้วพลาดพลั้งตกจากยอดไม้ที่สูงลิบ ขณะที่ร่วงหล่นลงมาก็อกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าจะตกไปกระทบสิ่งใดบ้าง ถ้าตกลงถึงพื้นดินแล้ว แขนขาอาจจะหักหรือจะตายทันที รู้แต่เพียงว่าถ้าไม่ตายก็คางเหลือง คนส่วนใหญ่ก็เช่นเดียวกัน ทันทีที่มาเป็นมนุษย์ก็ชื่อว่า พลัดตกไปสู่ความตายทุกเวลา วัน เดือน ปีที่ผ่านไป ได้กลืนกินชีวิต พาเอาความตายใกล้เข้ามาทุกขณะ จะเหลียวหาคนช่วยแก้ไขให้พ้นจากความตายนั้นก็ไม่มี เพราะทุกคนต่างต้องตายหมด เหลือแต่ว่า เราจะต้องยอมรับความจริงที่กำลังดำเนินไปอยู่นี้ ต้องเตรียมตัวตายอย่างถูกวิธี ด้วยการสั่งสมบุญกุศลให้เต็มที่ อีกทั้งต้องปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกของสรรพสัตว์ทั้งในโลกนี้และในปรโลก มีพระบาลีที่ปรากฏใน ขุททกนิกาย เปตวัตถุ ว่า “อหํ ภทนฺเต เปตีมฺหิ ทุคฺคตา ยมโลกิกา
ปาปกมฺมํ กริตฺวาน เปตโลกมิโต คตา ฯ
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นเปรตเข้าถึงทุคติ เพราะได้ทำบาปกรรมเอาไว้ จึงจากมนุษยโลกนี้ไปสู่เปตโลก”
เป็นคำกล่าวของเปรตตนหนึ่งที่ได้สารภาพว่า ที่ต้องมาเกิดเป็นเปรตก็เพราะได้ทำบาปอกุศลเอาไว้ สัตว์โลกส่วนใหญ่ที่มาเกิดในเปตโลก เนื่องจากได้ทำบาปอกุศลเอาไว้มาก ถ้าทำบาปมากชนิดที่ศีล ๕ ขาดหมด ไม่ได้ประพฤติธรรมอะไรเลย ก็ต้องไปเสวยกรรมในมหานรก เมื่อบาปลดหย่อนก็มาที่ขุมบริวาร มาที่ยมโลก แล้วมาเป็นอสุรกาย เป็นเปรต หรือสัตว์เดรัจฉานก็มี แต่บางคนก็ไปเกิดเป็นเปรตเลย ต้องรอคอยหมู่ญาติอุทิศส่วนกุศลไปให้ จึงจะสามารถหลุดพ้นจากเปตโลกมาเกิดในสุคติภูมิได้
การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนมาก บางครั้งก็พอเข้าใจได้ บางครั้งก็เหลือวิสัย ดังคำกล่าวที่ว่า “กมฺมวิปาโก อจินฺเตยฺโย” วิบากแห่งกรรมของสัตว์ที่ทำกรรมเอาไว้ เป็นเรื่องอจินไตย คือยากที่จะคาดเดาหรือคิดเองได้ แม้ลำพังบารมีญาณของพระสาวกก็ยังไม่สามารถแทงตลอดได้หมด ต้องอาศัยพระพุทธญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะหยั่งรู้ได้แจ่มแจ้ง
มีตัวอย่างของผู้ที่ไปเกิดในเปตโลก ที่จะนำมาเล่าให้ทุกท่านได้ศึกษากัน เป็นบาปกรรมที่เกิดจากความโลภเป็นเหตุ คือ มีความโลภอยากได้จนลืมตัว ไม่ได้คำนึงถึงบาปว่าจะตามมาให้ผลในปรโลก ดังเช่นเปรตผู้หิวโหยโดดเดี่ยวในป่าลึก
เรื่องมีอยู่ว่า มีเปรตตนหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าลึก มีสภาพความเป็นอยู่ที่น่าสงสารมาก คือร่างกายท่อนล่างของเปรตตนนี้ถูกฝังอยู่ในหิน ไม่สามารถจะไปไหนมาไหนได้ ต้องรับทุกขเวทนาอดข้าวอดนํ้า ตากแดดตากฝนอยู่อย่างนั้นเป็นเวลายาวนานมาก คราวหนึ่งมีพระภิกษุหลายรูปหลงทางเข้าไปในป่าแห่งนั้น พากันเดินวนเวียนไปมาถึง ๗ วัน ก็ยังหาทางออกไม่ได้ ทุกรูปต่างได้รับความหิวโหยเป็นกำลัง ในที่สุดก็ได้พบเปรตตนนั้นโดยบังเอิญ ทุกรูปต่างเข้าใจว่าเป็นคนมายืนอยู่ รู้สึกดีใจมาก รีบเข้าไปหาโดยไม่ทันพิจารณาให้ถี่ถ้วน และร้องถามขึ้นว่า “อุบาสก หนทางที่จะเข้าไปในเมืองไปทางไหน พวกเราหลงทางมา ๖-๗ วันแล้ว ไม่เห็นมีทางออกเลย ท่านช่วยบอกหน่อยเถอะ” เปรตตนนั้นตอบว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า พวกท่านหลงทางอยู่ในป่าหิวกระหายเพียง ๗ วัน ไม่เท่าไรหรอก ยังพอทนได้ แต่ข้าพเจ้าสิ ต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากบาปกรรมที่ก่อเอาไว้ อยู่ที่นี่ยาวนานถึง ๔ พุทธันดรแล้ว ข้าวสักเม็ดน้ำสักหยดไม่ได้ตกถึงท้องเลย”
ภิกษุรูปหนึ่งรู้สึกฉงนสนเท่ห์ในคำตอบนั้น แต่ด้วยความหิวข้าวหิวนํ้าเป็นกำลัง คิดว่าเปรตพูดเล่น จึงถามยํ้าอีกครั้งว่า “ทำไมพูดอย่างนั้นอุบาสก พวกอาตมาหมดเรี่ยวหมดแรงจริงๆ นะ ไม่มีแรงจะเดินต่อไปอีกแล้ว ช่วยรีบบอกหนทางให้กับอาตมาด้วยเถอะ” เปรตก็ยังยืนยันว่า “จริงๆ นะ พระคุณเจ้า พระคุณเจ้าทั้งหลายจงพิจารณาดูรูปร่างของข้าพเจ้าให้ดีสิ ข้าพเจ้านี้ไม่ใช่คน ข้าพเจ้าเป็นเปรตที่ต้องทนทุกข์ทรมานจมอยู่ในหินครึ่งตัว ขยับเขยื้อนไม่ได้ ต้องอดข้าวอดนํ้า ตากแดดตากลมอยู่อย่างนี้มาตลอด ๔ พุทธันดร”
เมื่อพระภิกษุสังเกตดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน ต่างขนลุกเป็นหนาม เพราะผู้ที่เห็นอยู่ข้างหน้านั้นเป็นเปรตจริงๆ จึงถามว่า “ท่านทำกรรมอะไรไว้ จึงต้องมาเกิดเป็นเปรตน่าเวทนาถึงเพียงนี้” เปรตเห็นว่าเรื่องราวของตัวจะเป็นประโยชน์ ซึ่งว่าหากอนุชนรุ่นหลังได้ฟังสืบต่อกันไปแล้ว จะได้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ และยึดเอาเป็นทิฏฐานุคติ ไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป จึงได้เล่าให้ภิกษุสงฆ์ฟังว่า
“ในสมัยศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์แรกในภัทรกัปนี้ คือพระกกุสันโธพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นชาวนา และเขตนาของข้าพเจ้าอยู่ติดกับเขตนาที่เขาอุทิศให้เป็นของสงฆ์ ข้าพเจ้าเองเป็นคนละโมบเห็นแก่ได้ ไม่นึกว่าจะเป็นบาปเป็นกรรม จึงได้ถอนเสาศิลาแบ่งเขตนา แล้วขยับเลื่อนไปปักกินเขตแดนที่นาของสงฆ์ ซึ่งล่วงเข้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยไม่นึกว่าบาปกรรมจะมีจริง และจะเกิดผลทุกข์ทรมานเช่นที่ข้าพเจ้ากำลังได้รับอยู่นี่แหละ เป็นเหมือนหลักศิลาปักแน่นเคลื่อนไหวไม่ได้”
จากนั้นเปรตได้ยกมือขึ้นชี้บอกทางพระภิกษุทั้งหลายว่า “โน่นแน่ะ ทางไปเมืองที่พระคุณเจ้าประสงค์จะไป” แล้วกล่าวต่อไปว่า “เมื่อพระคุณเจ้าไปแล้ว ขอจงได้โปรดเมตตาบอกมนุษย์ทั้งหลายด้วยว่า อย่าเอาเยี่ยงอย่างข้าพเจ้า ขึ้นชื่อว่าบาปกรรมแม้เพียงเล็กน้อยอย่าได้กระทำ เพราะผลของบาปน่ากลัวเหลือเกิน ดูตัวข้าพเจ้าเถิด มิเพราะความโลภดอกหรือ จึงต้องมารับทุกข์ทรมานเช่นนี้ ความโลภอันประกอบด้วยความโง่เขลารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่รู้ว่าบาปบุญมีจริง มีความโลภอยากได้อะไรก็ต้องเอาให้ได้ ได้เป็นเจ้าของครอบครองที่ดินสงฆ์อยู่เพียงไม่กี่ปี แต่ครั้นตายแล้วต้องมาเสวยทุกขเวทนายาวนานถึง ๔ พุทธันดร ซึ่งมันไม่คุ้มกันเลย
เพราะฉะนั้น ขอให้พระคุณเจ้าช่วยอนุเคราะห์บอกมนุษย์ทั้งหลายว่า อันสถานที่ที่เป็นของสงฆ์ เช่นที่วัดวาอาราม ที่ธรณีสงฆ์เป็นต้น ซึ่งเขาอุทิศถวายแด่สงฆ์ เป็นสถานที่ที่ควรเคารพ หากไปล่วงละเมิดก็เปรียบเสมือนไฟ เหมือนยาพิษ ใครมีความโลภไปรุกรานหรือเบียดเบียนของสงฆ์แม้เพียงเล็กน้อย ด้วยความไม่รู้หรือด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา มองไม่เห็นบาปที่จะตามมา ย่อมได้รับโทษร้ายแรงหนักหนา เพราะเป็นสถานที่ที่คนมีศรัทธาเขาอุทิศถวายไว้ในพระพุทธศาสนา เป็นการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยใจประกอบด้วยจาคะเจตนา เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาสุดประมาณ เมื่อมาทำให้บิดเบือนกุศลเจตนาเจ้าของเดิมเสียฉะนี้ ย่อมได้รับโทษเช่นข้าพเจ้าที่กำลังได้รับอยู่นี่แหละ”
เมื่อภิกษุทั้งหลายได้ฟังคำของเปรต ก็ได้แต่สลดสังเวช และช่วยกันนั่งสมาธิแผ่เมตตาให้กับเปรต เพื่อจะได้หลุดพ้นจากอัตภาพอันแสนทุกข์ทรมานนี้ จากนั้นก็ได้อำลาไป และหลุดพ้นจากป่าออกมาได้
จะเห็นว่า บาปแม้เพียงเล็กน้อยที่ทำเอาไว้ ไม่ได้สูญหายไปไหน ยังคงติดตามเราไปเหมือนล้อที่หมุนไปตามรอยเท้าโค จะสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด จะหลุดได้ก็ต่อเมื่อกรรมที่ทำเอาไว้หมดไป เพราะฉะนั้น เราอย่าได้ประพฤติผิดศีลผิดธรรม อย่าโลภอยากได้ของคนอื่น อย่าทำตามใจกิเลสจนคุ้น แต่ให้ทำความดีจนเคย จะได้ไม่ต้องพลัดไปเกิดในอบายภูมิ ให้คุ้นกับความดี อย่าไปคุ้นเคยกับบาป เดี๋ยวมันจะติดตามตัวเราไปให้ผลข้ามชาติ
เราไปใจอ่อนไม่ได้ ประชาชนก็พากันรู้นะ อย่าพากันเล่นเเต่ทางลัดใต้โต๊ะ มันทำลายความมั่นคง เเล้วพวกโยมก็พากันรู้ เเล้วก็อย่าพากันไปว่าให้คนที่เค้าเอาระเบียบเอาความมั่นคง บางทีหลวงพ่อได้ยินโยมหลายคนพูดว่า หลวงพ่อก็ใจดี เเต่พวกเเม่ชี พวกที่ดูเเลโรงครัว ไม่มีเมตตา เเม่ชี หรือพวกโรงครัวเค้าไม่อาจที่จะให้ของเเจกของใครเค้าได้ ในประวัติศาสตร์เค้าก็รู้ว่า ถ้าไม่ทำให้ดีนี้จะไปเป็นเปรต พวกที่มาเกี่ยวต้องพากันเข้าใจ เพราะระวังไม่ได้ มันตกได้ อยู่ในที่สูง ตกเเล้วมันตายนะ เราเล่นกับไฟ ไฟมันอาจจะไหม้บ้านเราได้ เราอย่าไปโลภ เห็นเค้ามาถวายสังฆทานเล็งตาเเจ่มเเจ้งเหลือเกิน อย่าไปคิดอย่างนั้น ลักษณะอย่างนี้อาการของเปรต เจ้าของยังไม่หนีก็ไปเเย่งกัน
ของสงฆ์อย่าให้พากันทำผิดพลาด ทุกคนมีพี่ มีน้อง มีพวก แต่ความถูกต้องมันไม่มีพ่อ มีน้องไม่มีพรรคไม่มีพวก เราต้องไว้ซึ่งความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความยุติธรรม เป็นพระนิพพาน เราอย่าไปคิดเอง เออเองเราถึงจะได้รับความอนุมัติ เราเป็นผู้ถือมีดคม เราต้องระมัดระวังมีดมันจะบาดตัวเอง ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ได้ มันเกี่ยวข้องกับของสงฆ์ก็ต้องระมัดระวัง เพราะว่ามันบาปง่ายๆ เราดูตัวอย่างแบบอย่างที่เขาตั้งมั่นในความดี
เราก็ต้องระมัดระวัง อย่างพระบางองค์ไม่เข้าใจ ไปเอาของดีๆของสงฆ์ไปรวมไว้ เพื่อจะไปแจกสร้างบารมี มันจะได้บารมีอะไร มันไม่ใช่ของของเรา มันเป็นของสงฆ์ บางคนอย่างที่เขาทำการกุศล พวกนี้ก็ไม่ค่อยเสียสละ ไปหาเอาแต่ของคนอื่นมาแจก อย่างนี้ก็ถือว่าเราไม่ได้เสียสละ ข้อสำคัญคือมันมีเลศนัย ทำเอาหน้าเอาตา เอาชื่อเสียง มันขาดปัญญา ขาดความถูกต้อง เราเห็นคนเขาโลภกัน เราเลยเอาเป็นตัวอย่าง เราไม่ได้เห็นคนที่เขาเสียสละ เราเลยติดนิสัยนะ
ระบบเดี๋ยวนี้เป็นระบบสมัยใหม่ที่ตั้งอาหารเป็นโต๊ะ พระไปตักฉันในบาตร พระต้องควบคุมตัวเเอง เพราะว่าเราไม่ได้เดินอยู่คนเดียว คนข้างหลังต้องเเบ่งให้เสมอกัน เราอย่าไปเม้มให้ลูกศิษย์ให้คนโน่น คนนี้ เราอย่าไปคิดถึงหมาถึงเเมว มากกว่าผู้ที่เป็นสงฆ์ เป็นสามเณร สมัยใหม่ เค้าทำอย่างนี้ ผู้ที่มีปัญญา ไม่รู้จักคิด เอาเเต่ความโลภความหลงเป็นสรณะ บางคนบางท่าน พระก็คิดได้ พระบางรูปก็คิดไม่ได้ เพราะว่ามันโง่ โยมบางคนมันคิดไม่ได้ โยมมันหลง มันไม่ฉลาด เพราะว่าเรามาปฏิบัติธรรม เราไม่ได้มาเป็นเปรตเป็นผี เป็นมาร เป็นยักษ์ เป็นอสูรกาย เมื่อพระตักเสร็จ โยมตักเสร็จเเล้ว ปล่อยไว้สัก ๔๕ นาที ถึงค่อยไปยกไปเก็บกัน เพราะบางคน มีสมบัติผู้ดี ตักน้อยๆ เพื่อจะมาตักอีกรอบสอง เพราะทุกคนมาเพื่อจะมาฝึกขูดเกลาจิตใจตัวเอง ผู้ที่มาทำบุญ ที่มันเเล้วก็เเล้วไป ให้ผู้ที่อยู่ทางโรงครัว หลวงพ่อใหญ่ให้เอาหลักการอย่างนี้ไว้
พระเราจะได้เป็นตัวอย่างแบบอย่างในทางที่ดี ถ้าเอาธรรมะ เอาวินัยเเท้ เราอย่าไปคิดว่า พระในเมืองไทยมันจะไม่สึกเกือบหมดหรอ ไม่ต้องไปสึก ให้เปลี่ยนเเปลงตัวเองใหม่ ให้ศึกษาเเล้วก็ให้ปฏิบัติ คนเรามันเปลี่ยนเเปลงตัวเองได้ ภายในวันเดียวมันก็เปลี่ยนเเปลงตัวเองได้ อย่าไปมีข้อเเม้ปฏิบัติไม่ได้ ร่างกายเป็นอย่างโน่นอย่างนี้ ปฏิบัติไม่ได้ ก็นิมนต์ให้ลาสิกขาไป ไม่ต้องมาอยู่ เพราะอยู่เเล้วมันก็ไม่เกิดประโยชน์ไม่เป็นตัวอย่างแบบอย่างในทางที่ดี อย่าไปคิดว่าศาสนาเป็นสิ่งที่มีเมตตาเยอะ สำหรับคนที่ด้อยพัฒนา สำหรับคนยากจน มันคิดอย่างนี้ไม่ได้ เค้าเรียกว่า มันคิดเข้าข้างตัวเอง มันไม่ได้มีเจตนาที่จะเสียสละ คิดอย่างนั้น เค้าเรียกว่าคิดอย่างคนไม่มีปัญญา พากันปฏิบัติดีๆ พวกนายก พวกรัฐมนตรีก็อย่าให้เค้าเดินขบวนไล่ออก ให้ศึกษา ให้เข้าใจ เเล้วให้เปลี่ยนเเปลงตัวเอง ถ้ามหาเถรสมาคมปฏิบัติได้ พระผู้น้อยย่อมปฏิบัติได้ ถ้าพระผู้นำปฏิบัติได้ พระผู้ตามก็ปฏิบัติได้ เพราะว่ามันอยู่ที่ผู้นำ พอหัวจักรมันวิ่งไปเเล้วตู้พ่วงต่างๆ มันก็ต้องวิ่งตาม
เราต้องยืนหยัดหนักแน่นตั้งมั่นในพระพุทธเจ้า เอาปฏิปทาของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ ให้ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า อย่าพากันถือนิสัยของตัวเอง ตัวเองมันเป็นปุถุชนจะไปถือนิสัยมันทำไม มันพึ่งโผล่มาจากนรกขุมไหน ไปถือนิสัยมันทำไม หมายถึงตัวเองนี้นะ เราต้องเข้าใจ เพราะเราทุกคนต้องพากันแก้ไขตัวเอง คือนำตัวเองเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เอาพระธรรมเป็นสรณะ เอาพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นสรณะ ก็คือตัวเรานี้แหละ เราต้องใจเข้มแข็งต้องมีปัญญา
จิตใจของตนต้องดี ต้องเบิกบาน ต้องมีความสุข เราจะได้เป็นไท เป็นอิสระจากอวิชชา ความหลง เราต้องกลับมาหาศีล หาธรรม หาคุณธรรม อย่าไปกลัวตาย อย่าไปกลัวอดตาย มันจะตายที่ไหน เพราะเราต้องเป็นคนเสียสละ เราถึงจะมีปัญญา เราทุกคนต้องเสียสละ ไม่ตามใจตัวเอง ไม่ตามความคิดตัวเอง มันถึงจะมีสัมมาสมาธิ ปัญญาของเราถึงจะเกิดได้ ศีล สมาธิ ปัญญาถึงได้ไปพร้อมๆ กันเป็นอริยมรรคมีองค์แปดที่สมบูรณ์ ชีวิตของเราจึงจะได้มีความสุขความดับทุกข์คือพระนิพพานได้