แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๓๗ การคอร์รัปชั่นมันก็อันเดียวกับการกินของสงฆ์ ก็บาปพอ ๆ กัน มันทำให้ต้องท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสารไม่จบไม่สิ้น
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้จะได้พูดเรื่องจิตใจ เรื่องพรหมจรรย์ เพราะเรานี้อยู่กับร่างกาย อย่างนี้มันก็หลงๆ ในร่างกาย อยู่กับเวทนาก็หลงเวทนา อยู่กับจิตก็หลงในจิต มันหลง ต้องพากันเจริญสติสัมปชัญญะกัน เพราะงั้นมันจะไม่ได้เสียสละ เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม ทุกคนติดตัวเอง ติดลูก ติดหลาน อยู่ใกล้อะไรก็ติดอันนั้น การพบพระพุทธเจ้า พบพระอรหันต์ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ การที่ได้อยู่ห่างจากคนพาลจึงเป็นมงคลอย่างยิ่ง
ทุกๆ คนก็ไม่มีเจตนาที่จะไปหลงไปอะไรหรอก แต่ว่ามันหลงทาง ถ้าเราไม่เข้มแข็ง หลายคนก็สมาทานเป็นข้าราชการที่จะทำงานเสียสละ แต่มันก็ติดขี้เกียจขี้คร้าน เพราะมันไม่เสียสละ ว่าเป็นนักการเมืองก็ว่าจะไปช่วย สุดท้ายไปตามรุ่นพี่ รุ่นพี่ก็กิน ทีนี้มันก็ติด ผู้ที่มาบวชก็ รวมถึงไวยาวัจกรมัคนายก มันก็ว่าจะเป็นมัคนายกที่ดี สุดท้ายก็เป็นวัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง พระนี้ก็ยังเป็นสามัญชนก็ไปติดในพ่อ ในแม่ บางทีตักอาหารไป อย่างนี้ก็คิดถึงคนที่รู้จัก ก็เม้มอาหารไว้เพื่อให้คนที่รู้จัก ครูบาอาจารย์บางคนจะเป็นพระอริยเจ้าระดับสูงก็ไปไม่ได้ เพราะติดในอะไรอย่างนี้ ถึงมีการมีพรรค มีพวกมีอะไร เพราะว่ามันใจอ่อน วัดทุกวัดมันเสียก็เพราะเจ้าอาวาสใจอ่อน มัคนายกใจอ่อน
คนส่วนใหญ่ก็มีความสงสัยว่า ถ้าทำดีไม่ได้ดี เเต่ทำชั่วก็รวย มีความสงสัยเยอะ คิดว่าข้าราชการเค้าโกงกิน คอร์รัปชั่นเค้าไม่บาปหรอ? เพราะว่านักการเมืองโกงกิน อย่างนี้ไม่บาปหรือ ทำไมล่ะ เห็นทุกคนน่ะ รวยทุกคน พระที่ไม่ได้เอามรรคผลไม่ได้เอานิพพาน ไม่เอาธรรม ไม่เอาวินัยมีเยอะ เเต่ก็ไม่เห็นบาปอะไร เรื่องบาปมันเรื่องจิตเรื่องใจ ทุกหน่วยงาน เเม้เเต่พระเจ้าพระสงฆ์พากันเงินทอนวัดอย่างนี้เป็นต้น บาปนี้มันบาปเเน่ เพราะอันนี้มันเป็นของส่วนรวม ของประเทศ เป็นภาษีอากรของประชาชน พวกกินของสงฆ์มันก็บาปเเน่ มาจากศรัทธาประชาชนจิตใจที่บริสุทธิ์เค้าเสียสละ พวกนี้ยังไม่ตายน่ะ ใจเค้าก็ย่อมเป็นเปรตเป็นผีเป็นอสูรกายเป็นสัตว์นรกอยู่เเล้ว เพราะเงินมันมาจากความเห็นเเก่ตัว เพราะของมาจากความเห็นเเก่ตัว มันไม่ได้มาจากสัมมาอาชีพ อาชีพที่เสียสละ
ประเทศเรามันถึงไปไม่ได้ ถ้าทุกคนเอาความถูกต้อง เอาความเป็นธรรม เอาความยุติธรรม ตัวเราก็จะสงบ ทุกท่านทุกคนน่ะถึงพากันอย่าไปใจอ่อน ทุกวันนี้เราทุกคนมันพากันใจอ่อน เเม้เเต่ในครอบครัว เป็นของสงฆ์ก็ถือว่าส่วนรวม มันทำให้ใจเราไม่เข้าสู่มรรคผลพระนิพพาน สามีก็ไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยา เรื่องค่าใช้จ่าย ภรรยาก็ไม่ซื่อสัตย์อะไรอย่างนี้ วันก่อนนี้ก็มีโยมคนหนึ่งว่า ศีลข้อไหนก็ดีหมด เเต่ผิดที่อำสามีคือเเอบเอาเงินให้น้องตัวเอง ให้ญาติตัวเอง เพราะญาติตัวเองมันยากจน ทำมาอย่างนี้มันก็ไม่สบายใจ เเต่พวกลูกๆ ก็รู้อยู่ว่าเเม่สงสารญาติ อันนี้ก็ถือว่าศีลเราก็ยังไม่บริสุทธิ์ ทุกคนส่วนใหญ่มันใจอ่อน นั่งสมาธิก็ยังใจอ่อน
พวกเป็นข้าราชการก็ต้องใจเข้มเเข็ง พวกนักการเมืองก็ต้องใจเข้มเเข็ง ผู้พิพากษานี้ก็ต้องใจเข้มเเข็ง ตำรวจเราที่เป็นตำรวจไม่ได้น่ะ กลายเป็นโจรของประเทศไทยก็เพราะใจไม่เข้มเเข็ง ทหารอะไรเป็นผู้รักษาความมั่นคงของประเทศ ก็เพราะใจอ่อน ในโครงการต่างๆ มันความมั่นคงของประเทศมันถึงว่าไม่เต็มที่เต็มร้อย เราทุกคนต้องพากันมาสังคายนากันว่า เราต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นที่ตั้ง กลับมาหาพระรัตนตรัย กลับมาหาศีลหาธรรม ถ้างั้นเราจะเป็นตำรวจไม่ได้หรอก เราจะเป็นทหารไม่ได้หรอก เป็นอัยการ เป็นผู้พิพากษา หรือ เป็นครู เป็นอาจารย์ เป็นพ่อ เป็นเเม่ไม่ได้ เพราะเราเป็นคนไม่มีศีล 5 เป็นคนไม่มีคุณธรรม
และข้าราชการก็เหมือนกัน อย่างได้รับมอบหมายให้เป็นข้าราชการ จะเป็นครู เป็นตำรวจ เป็นทหาร เป็นข้าราชการทุกๆ อย่าง ควรจะทำหน้าที่ของท่านให้สมบูรณ์ ตลอดถึงนักการเมือง ต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ เพราะเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เพราะได้รับมอบหมายจากรัฐบาล จากสังคม หรือแม้แต่เราจะเป็นบุคคลที่ขายแรงงาน หรือรับจ้าง เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เราต้องมีความสุขในการการประพฤติการปฏิบัติ เพราะความสุขอยู่ที่เรารู้จักอริยสัจ 4 รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักการดับทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
เราจะไปตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ถ้าเราตามใจตัวเอง ก็รอดูว่าจะ เราจะเสียหายเท่าไหร่ ส่วนรวมจะเกิดความเสียหายเท่าไหร่ ที่เราไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ อาจจะส่งผลให้ประเทศยากจน ทำให้เกิดขโมย มีการโกงกิน การคอรัปชั่น มันไม่ถูก
ผู้ที่เป็นข้าราชการ ทุกอย่าง เราต้องตั้งใจทำงาน มีความสุขกับการทำงาน เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช เหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงบรรทมวันนึง ๔ ชั่วโมง ทรงทำงานวันละ ๒๐ ชั่วโมง เพราะความสุขของท่านคือการเสียสละ ไม่ใช่เรามาเห็นแก่ตัว ถ้าเราไปเห็นแก่ตัว มันจะเสียหาย บางทีนะ เราคิดว่าเราจะไปเป็นข้าราชการ การที่ไม่ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ อย่างนี้เขาเรียกว่า โกงกินหลวง แล้วก็ไม่ทำหน้าที่ให้ดีอย่างมีความสุข แล้วก็โกงกินราษฎร คือพวกที่กินใต้โต๊ะ พวกตำรวจที่เก็บส่วยบนถนนหนทาง คือพวกที่มาจากอบายมุข ที่มันเป็นระบบโกงกินคอรัปชั่นของประเทศไทยเรา มันเป็นการฉ้อราษฎร์บังทั้งหลวง เราเห็นว่า เงินได้มาส่งลูกเราเรียน ทำกิจการต่างๆ มันก็เป็นเงินจากความไม่ถูกต้อง นักวิชาการได้แบ่งคอร์รัปชั่นเป็น ๓ ระดับ คือ
๑. การคอร์รัปชั่นระดับบุคคล โดยการคอร์รัปชั่นของบุคคล เป็นคอร์รัปชั่นขั้นพื้นฐาน ที่มีอยู่ทั่วไปในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งมีสาเหตุมาจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก อันได้แก่ความย่อหย่อนในศีลธรรม และคุณธรรม ความขาดแคลน รายได้ไม่เพียงพอ กับรายจ่าย ความอยากได้ใคร่ดีความกลัวว่าจะน้อยหน้าคนอื่น การแข่งขันในทางวัตถุความมักได้ความเคยชิน และความคิดว่าคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องปกติใครๆ เขาก็ทากันทั้งนั้น โดยเริ่ม จากการรับหรือเรียกร้องสินน้ำใจ ค่าน้ำร้อนน้ำชา ค่าซื้อความสะดวก เงินใต้โต๊ะ เพื่อให้เรื่องต่างๆ ดำเนินไปด้วยความสะดวกและรวดเร็วไม่ติดขัด หากไม่ได้รับเงินพิเศษ หรือการเลี้ยงดู ปูเสื่อ ก็อาจจะเกิดการกักเรื่องหรือกลั่นแกล้งให้เกิดความล่าช้าและความเสียหายได้
๒. การคอร์รัปชั่นระดับสถาบัน คอร์รัปชั่นได้แพร่ขยายเข้าไปสู่สถาบัน กลายเป็นประเพณีปฏิบัติขององค์กร โดยเฉพาะบางองค์กรซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับพ่อค้า นักธุรกิจ และ ประชาชน เกิดเป็นระบบหน้าม้าที่รับติดต่อกับองค์กรเหล่านั้นแทนประชาชน เกิดการกินหัวคิว สินบนการส่งส่วย การฮั้วการประมูล ไปจนถึงลูกเล่นพลิกแพลงต่างๆ ซึ่งส่วนมากคอร์รัปชั่นในระดับสถาบันนี้จะทำกันเป็นทีม มีการแบ่งหน้าที่และผลประโยชน์กันอย่างเป็นขบวนการ ซึ่งเมื่อปล่อยทิ้งไว้นานเข้า ก็กลายเป็นการยากที่จะถอนยวงหรือสืบสาวไปถึงตัวใหญ่ได้
๓. การคอร์รัปชั่นในรูประบบ เป็นคอร์รัปชั่นที่อันตรายที่สุด ซึ่งมักจะเป็นการร่วมมือกันของฝ่ายคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย หรือคอร์รัปชั่นเชิงบริหาร เป็นการโกงในระดับชาติโดย นักการเมืองที่ทำหน้าที่บริหารประเทศ ตัวอย่างที่เห็นได้บ่อย ก็คือโครงการอภิมหาโปรเจ็คต่างๆ การกำหนดคุณสมบัติของการจัดซื้อจัดจ้างให้ตรงกับของหรือบริษัทที่แอบตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้ว หรือที่เรียกว่าล็อคสเป็ค รวมถึงการเรียกเงินปากถุงหรือเปอร์เซ็นต์สำหรับการเซ็นอนุมัติ โครงการต่างๆ การดักซื้อที่ดินราคาถูกเพื่อโก่งราคาขายให้รัฐในการสร้างถนนหรือสถานที่ ราชการเป็นต้น
ต้นเหตุแห่ง การทุจริต คอรัปชั่น แท้จริง คือ กิเลส ความโลภ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ส่วนแนวทางแก้ปัญหา ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือเอาธรรมะ เข้าดับไฟกิเลส โดยเฉพาะ
ประเทศเรามันก็ไปช้า มันเเก้ไขใครไม่ได้ เพราะมันอคติ เเม้เเต่หมวกกันน็อคประเทศไทยก็ยังไม่พากันประพฤติพากันปฏิบัติ พวกตำรวจ ผู้กำกับพากันใจอ่อน เห็นเเก่พี่เเก่น้อง เห็นเเก่พรรคเเก่พวก ไม่เห็นเเก่ส่วนรวม ถ้างั้นน่ะ เราเป็นผู้ใหญ่บ้าน บ้านเราครอบครัวเราอย่างนี้ ถ้าเราไม่เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ อย่างนี้ ครอบครัวเราจะไปได้ยังไง มันก็มีปัญหาหย่าร้าง มีปัญหา ลูกมันไม่เคารพพ่อ เคารพเเม่ ติดยาเสพติด เมาสาว เมาเบียร์ เล่นการพนัน พวกของสงฆ์ พวกของเหล่านี้ พวกฉ้อราษฏร์บังหลวง จิตใจของคนมันหยาบขึ้น ไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป พระเราใจอ่อน ก็เพราะเอาตัวเอาตน ทุกท่านทุกคนต้องจัดการกับตัวเอง เรื่องนี้น่ะ มันเป็นทุกๆ คน เป็นทุกๆหมู่บ้าน เป็นทุกๆ วัด เป็นทุกหน่วยเลย มันต้องพากันเห็นความผิดของตัวเราทุกๆ คน ถ้าเราตามพระธรรมคำสั่งสอน มันก็ไม่อดตายหรอก เราก็ว่า เอ๊...มันเป็นเเบบนี้มันเเก้ได้ไหม มันต้องได้ เพราะคนรุ่นเก่าไม่เอาธรรมะ ไม่เอาอะไร ลูกหลานมันก็ไม่เชื่อถือ มันก็ไม่เชื่อฟัง มันพากันเเต่สงสาร ข้าราชการนักการเมืองเค้าก็ไม่เคารพเชื่อถือ คนที่ไม่ซื่อสัตย์ คนไม่มีสติสัมปชัญญะ คนที่ตกอยู่ในอคติทั้ง ๔
ผู้ที่จะเอามรรคผล เอาพระนิพพาน พระพุทธเจ้าให้เราพากันเเก้ไขตัวเอง เราเอาวัตถุ เอาความเห็นเเก่ตัวมันก็เเค่นั้น เราก็พากันมาหลงขยะ มาเเย่งของ มาโกงกินคอร์รัปชั่นมันก็อันเดียวกับที่กินของสงฆ์ เอาของสงฆ์มันก็บาปพอๆ กันนั่นเเหละ มันก็ทำให้เราทุกคนต้องท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสารไม่จบทั้งสิ้น เราต้องเน้นในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องมีความสุขในการมีศีล มีความสุขในการเสียสละ เราจะได้จัดการเรื่องจิตเรื่องใจในปัจจุบัน มันจะได้ไม่ต้องสงสัยว่าบาปหรือไม่บาป ตายเเล้วเกิด หรือตายเเล้วสูญ ทุกท่านทุกคนต้องพากันจัดการตัวเอง เพราะความสุขความดับทุกข์ มันไม่ได้อยู่ที่รวยหรอก มันไม่ได้อยู่ที่ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรหรอก อยู่ที่เรามีสัมมาทิฏฐิมันความเป็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องในปัจจุบัน เพราะเราทุกคนต้องมาเเก้ที่จิตเเก้ที่ใจ ใจของเราจะได้สงบ ใจของเราจะได้มีปัญญา สงบยังไม่พอต้องมีปัญญา มีปัญญายังไม่พอมันต้องสงบ
คนเราเกิดมามันจะมาเอาอะไร เพราะทุกอย่างมันผ่านมาเเล้วก็ผ่านไป มีหน้ามีตามีเกียรติยศ มันเป็นความหลงเเต่ทุกคน เรากินอันนี้ มันเพิ่มความหลงก็เลยอร่อยไป เราได้ทำโน่นทำนี้ เราก็ไปหลงอารมณ์หลงอะไร มันก็เป็นความอร่อย เป็นความเพลิดเพลินเฉยๆ เลย เราต้องมีสติมีปัญญานะ รู้จักอนิจจังให้มากขึ้น รู้จักอนัตตาให้มากขึ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกอย่างมันผ่านมาผ่านไป อย่างนี้เเหละ ไม่มีอะไรมากกว่านี้หรอก เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติ ใจของเราถึงจะได้สงบ ใจของเราถึงจะได้เย็น
พวกพระก็พากันเอาใหม่ พวกเณรก็พากันเอาใหม่ พวกชีก็พากันเอาใหม่ พวกตำรวจทหารข้าราชการนักการเมือง ก็พากันเอาใหม่ อย่าให้มันเตลิดเบิดเบิงมากไปกว่านี้ เราทุกคนต้องมาทดเเทนคุณเเผ่นดี มาประพฤติพระศาสนาให้เป็นพระศาสนาจริงๆ อย่าให้ศาสนาเป็นเพียงนิติบุคคล ตัวตนอย่างนี้ไม่ใช่นะ เรามาเเก้ไขให้ตัวเองเข้าถึงมรรคผลนิพพาน เราจะได้กตัญญูกตเวทีต่อพ่อต่อเเม่ เราจะต่อยอดเเห่งความเป็นมนุษย์ของเรา เพราะมนุษย์เรานี้พัฒนามาไกลเเล้วเทคโนโลยีจนมีรถมีเครื่องบิน มีคอมพิวเตอร์ มีอะไรอย่างนี้ เเต่ใจของเรากลับตกต่ำลง เรามีพระศาสนาเเต่เราไม่รู้จักพระศาสนา เหมือนปลามันอยู่ในน้ำ มันไม่รู้จักน้ำ นกมันบินอยู่บนฟ้า ไม่รู้จักฟ้าอย่างนี้ เรามีสิ่งที่สำคัญ อยู่ที่ตัวเราอยู่ที่ใจเรา
เรายังไม่รู้ ศาสนาทุกศาสนาก็ต้องไปเหมือนกัน เราอย่ามาทะเลาะกันเลย เราเป็นพุทธเป็นคริสต์เป็นอิสลามเป็นพราหมณ์เป็นซิกซ์อะไรต่างๆ กลายเป็นระบบสังฆเภท หรือว่าประชาชนสังฆเภท พระสังฆเภท ศาสนาสังฆเภทนี้ไม่เอา เพราะเราต้องคืนเสียซึ่งการเสียสละซึ่งตัวตนทุกคนจะได้มีความสุข สักกายทิฏฐิมันทำให้เราทุกคนนี้เห็นเเก่ตัว ทำให้ทุกคนเเตกเเยก ไม่มีความสมัครสมานสามัคคี มันต้องเดินขบวน มันเสียหาย เหมือนทุกยุคทุกสมัย ตั้งเเต่เรายังไม่เกิดมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ถ้าเราไม่เอาความถูกต้อง ไม่เอาความยุติธรรม ความเป็นธรรม ทุกคนต้องมีเมตตามีกรุณา ต้องสงสารกัน อย่างให้ความเห็นเเก่ตัวนี้ ใจทุกคนมันมีเหตุผลเยอะ เพราะความเห็นเเก่ตัวมันมีเหตุผลเยอะ ถ้าเราเสียสละ มันถึงจะเหนือเหตุเหนือผล ถ้าเราไม่เสียสละ สติสัมปชัญญะเราไม่มีหรอก ถ้าสมาธิก็เรียกว่ามิจฉาสมาธิ สติก็มิจฉาก็มิจฉาสติ ปัญญาก็มิจฉาปัญญา เราต้องพากันภาวนา พากันปฏิบัติ
คนเราน่ะ ถ้าเรามีความสุขในการประพฤติปฏิบัติเนี่ย มันก็จะไปของมันไปเรื่อย มนุษย์เราก็จะไม่ขาดแคลนข้าวของเงินทอง หรือของกินของใช้สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ชีวิตก็มีความสุขมีความอบอุ่น เป็นสุคโต เราก็ไม่ต้องไปโลภ ไปโลภอยากได้ของคนอื่น เพราะมันทำร้ายระบบสมองสติปัญญาของเรา ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้เข้าถึงปัจจุบันธรรม เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ต้องระเหเร่ร่อนผลัดถิ่นไปหาเงินหาสตางค์ที่อื่น เราอยู่ที่ไหนก็ทำหน้าที่ของเราที่นั้น เพียงแต่ว่ามีปัญหาว่า เมื่อเรารวยเรามีกินมีใช้อย่าไปหลงในวัตถุ แค่ความเป็นมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ เราจะได้เหนือวิทยาศาสตร์ ที่มีกินมีใช้ ไม่หลง
พวกความโลภของคนน่ะ มันทำให้สามีภรรยามีทะเลาะกัน เพราะสามีก็ต้องเสียสละ ภรรยาก็ต้องเสียสละ มันถึงจะไปได้ สามีภรรยาจะต้องมีศีลเสมอกัน คือพากันมาเสียสละ อย่าไปหลงอบายมุขอบายภูมิ ต้องเป็นคู่บารมีที่มา อย่าเป็นคู่ที่แต่งงานมาแล้วต้องการทางเพศเฉยๆ อย่างนี้ไม่ถือว่ามีศีลเสมอกัน อย่างนั้นมันระดับเดียวกับสัตว์เดรัจฉาน พวกนี้ไม่มีกตัญญูกตเวทีต่อพ่อตาแม่ยาย ต่อพ่อแม่สามี ไม่มีกตัญญูกตเวทีต่อครอบครัว
คนเรานะเมื่อไม่เสียสละ ศีลมันไม่มีละก็สมาธิก็ไม่เกิด เพราะศีลนี่คือระบบความประพฤติ มันเป็นสมาธิธรรมชาติ มันก็จะเป็นปัญญาธรรมชาติไปในตัวมัน แล้วถ้าเรามีศีลมีอะไร ก็พอไว้วางใจกันได้ ถ้าไม่มีศีลก็ไม่ไว้วางใจเพราะการมีศีลสำหรับประชาชน ก็เป็นโสดาบัน ทุกคนก็จะใจเย็นใจดีใจสบาย ใจมีความสุข ครอบครัวอบอุ่น มันไม่ต้องไปหาความสุขที่ไหน ความสุขมันอยู่ที่ตัวบุคคลคนนั้น ไม่ต้องไปหาความสุขที่อื่น เพราะของไม่มีก็ทำขึ้นได้ ต้นไม้ทุกต้นก็ปลูกขึ้นได้ อะไรทุกอย่างก็ทำขึ้นได้ น้ำไม่มีก็ทำน้ำขึ้นได้ เราพึ่งตัวเองในการเสียสละของตัวเอง ไม่ทำแบบเห็นแก่ตัว ทำแบบที่เสียสละ การเสียสละ มีความสุข ไม่คิดที่จะโลภเอาของใคร มีแต่เป็นผู้ให้ ไม่ต้องไปมีวิธีอะไรมาก อยู่ที่ใจอยู่ที่เจตนา
หิริ ความละอายแก่ใจในการทำบาป โอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อผลแห่งบาป
ธรรมทั้งสองประการนี้ พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า เป็น โลกปาลธรรม คือธรรมที่รักษาคุ้มครองโลก คือหมู่สัตว์ให้อยู่ร่วมต่อกันอย่างปกติสุขตามสมควร นอกจากจะเรียกว่าเป็นโลกปาลธรรมแล้ว ยังถือว่าเป็น เทวธรรม คือ ธรรมที่จะสร้างคนให้เป็นเทพบุตรเทพธิดาด้วยร่างกายที่เป็นมนุษย์นี่เอง หากเราสังเกตให้ดีจะพบว่า หิริโอตตัปปะ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจของคนทุกคน ในลักษณะที่ค่อยเกิดขึ้นมาตามลำดับท่านจึงเรียกธรรมสองประการนี้ว่า “มโนธรรม” คือธรรมที่เกิดมีอยู่ภายในจิต หิริ โอตตัปปะ เป็นมโนธรรมนี้เองที่แยกให้แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน
ฝ่ายกฎหมายนั้น บัญญัติขึ้นเพื่อควบคุมความประพฤติผิด ทางกาย กับวาจาเท่านั้น หาได้ไปควบคุมถึงใจ ซึ่งเป็นตัวควบคุมกายกับวาจาไม่ อีกประการหนึ่งความผิดทางกฎหมายจะเกิดขึ้นตามเงื่อนไขของกฎหมายได้ ก็ต่อเมื่อการกระทำผิดเช่นนั้น จะต้องฟังให้ได้ว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย มีประจักษ์พยานหลักฐานมากพอที่จะถือว่าเป็นความผิดได้จึงตัดสินได้ว่าเป็นความผิดหากว่าความสานึกผิดว่าอะไรผิด อะไรถูก เกิดจากหิริโอตตัปปะแล้ว ไม่จาเป็นจะต้องมีคนเห็นหรือไม่เห็น ใครจะทักท้วงหรือไม่ก็ตาม คนที่มีหิริโอตตัปปะ จะสำนึกได้ด้วยตัวเองว่า อะไรควรเว้นอะไรควรกระทำในด้านการสร้างความดีก็ เช่นกัน ผู้ที่มีหิริโอตตัปปะ พร้อมที่จะทำความดี โดยไม่จำเป็นว่าใครจะเห็นหรือไม่ก็ตาม เมื่อเป็นความดี ก็พร้อมที่จะกระทำ อย่างที่พูดกันว่า "ปิดทองหลังองค์พระปฏิมา"
ความปั่นป่วนสับสนวุ่นวายในปัจจุบัน จนส่วนย่อยถึงสังคมโลกจะพบว่า การกระทำในลักษณะที่ขาดความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม ได้เกิดจานวนขึ้นมาก จนสร้างความหวั่นไหวได้เกิดขึ้นแก่คนทั่วไปทั้งสถานการณ์ของสังคมประเทศและโลก โลกปาลธรรมทั้งสองประการยิ่งมีความจำเป็นมากขึ้น ที่คนจะต้องสร้างให้บังเกิดขึ้นในจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับอำนาจ เงิน สังคม ราชการ ยิ่งขาดหิริโอตตัปปะไม่ได้เลย โลกจึงจำเป็นต้องมีกฎหมาย และหิริโอตตัปปะ ควบคู่กันไป เพื่อจะสนับสนุนกัน หากขาดทั้งสองอย่าง หรือขาดหิริโอตตัปปะแล้ว ก็มีแต่ความเสียหาย “ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาโลกาวินาศ มนุษยชาติจะเลวร้ายกว่าเดรัจฉาน”
โลกของเรานี้ได้รับการคุ้มครองด้วยธรรม จึงทำให้สังคมมนุษย์มีความสงบสุข ธรรมที่คุ้มครองโลกอยู่นี้ เรียกว่า “หิริ โอตตัปปะ”
หิริ คือ ความละอายที่จะทำความชั่ว โอตตัปปะ คือความกลัวต่อผลของความชั่ว หิริโอตตัปปะนี้เป็นธรรมของผู้มีคุณธรรม ที่จะนำพาเราก้าวไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เพราะผู้จะเป็นเทวดาได้ ต้องมีคุณธรรม คือหิริ โอตตัปปะอยู่ในใจ ท่านจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เทวธรรม” คือธรรมที่จะทำให้เราได้เป็นเทวดา อีกทั้งเทวธรรมนี้ คือธรรมคุ้มครองโลก หากคนทั้งโลกมีหิริ โอตตัปปะ ละอายต่อการทำบาปและกลัวต่อผลของบาป ก็จะไม่ทำบาปอกุศล จะตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ มนุษย์ทั้งหลายก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สันติภาพของโลกย่อมจะบังเกิดขึ้น เมื่อมนุษย์พากันประพฤติธรรม ธรรมะก็จะคุ้มครองมนุษย์ ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข
มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงภาวะได้ด้วยแรงกรรมคือความประพฤติของตนเอง เช่น ถ้าใครประพฤติตนเป็นคนขี้ลักขโมย เขาก็จะเปลี่ยนภาวะเป็นโจรทันที ถ้าใครขยันศึกษาเล่าเรียน เขาก็จะเป็นบัณฑิต ถ้าใครบวชแล้วรักษาศีล ๒๒๗ ข้อ เขาก็จะเป็นภิกษุ และถ้าใครมีความละอายใจที่จะทำชั่ว พร้อมทั้งกลัวผลร้ายที่จะเกิดขึ้นหลังจาทำชั่วนั้น คุณธรรมในใจเช่นนี้ พระท่านเรียกว่า หิริโอตตัปปะ จะมีสภาพเหมือนเกราะอันเหนียวแน่นป้องกันความชั่วทั้งปวงได้ ผู้มีสภาพจิตเช่นนี้จะเปลี่ยนภาวะเป็นเทวดาทันที ดังพุทธพจน์บทหนึ่งว่า
“หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา
สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเร
ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยหิริโอตตัปปะ (ละอายชั่วกลัวบาป) มั่นคงอยู่ในกุศลธรรมคือธรรมที่ขาว สงบระงับบาปได้แล้ว ท่านเรียกว่า ผู้มีธรรมของเทวดาในโลก”
การเป็นเทวดาในโลก หรือจะเรียกว่าเป็นเทวดาเดินดินดังหัวเรื่อง เป็นเรื่องใกล้ตัว พิสูจน์ง่ายและรับประกันได้แน่นอนว่าถ้ามีคุณธรรมดังที่แสดงไว้นี้ เราก็สามารถเป็นเทวดาได้ทันที ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า และที่สำคัญที่สุดก็คือ มนุษย์เป็นเทวดาเดินดินกันมากเท่าใด โลกก็จะมีความสงบร่มเย็นมากขึ้นเท่านั้น
เราต้องมาเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ดำให้มันเป็นสิ่งที่ขาว สิ่งที่เทาก็ให้มาเป็นสิ่งที่ขาว เพื่อเราจะเดินไปพร้อมกัน ทั้ง ข้าราชการ นักการเมือง ทหาร ตำรวจ เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง
พระธรรมสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่ทุกคนๆจะต้องพากันมาตั้งใจ เพราะความถูกต้องและความไม่ถูกต้องไม่ได้เป็นพี่น้องกับใคร มันก็เป็นไปตามกฎแห่งกรรม เราต้องใจตั้งเจตนามันถึงจะเข้าระบบของศีล เพื่อตัดกรรมตัดเวรเพื่อพระนิพพาน เพราะว่าศีลนี้คือ พื้นฐานของสมาธิที่มันเป็นกฎแห่งกรรมเป็นกฎของธรรมชาติ ที่มนุษย์ที่จะต้องพึงประพฤติพึงปฏิบัติ เราทำตามใจตัวเองทำตามอารมณ์ตัวเอง ธรรมชาติของสมาธินี้มันจะไม่เกิดเลย เพราะว่าฐานรองรับ เรามันไม่มี
เราต้องพัฒนาใจของเราให้เปรียบเสมือนแผ่นดิน ให้หนักแน่นตั้งมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อย่าให้โลกมันเหนือธรรม เราจะได้ผ่านโลกด้วยพระธรรม ตัดกระแสวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตของเรานี้ประเสริฐมาก ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ เพื่อมรรคผลเพื่อพระนิพพาน จะมีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน สวรรค์ ความเป็นมนุษย์ที่ร่ำรวยเราก็ต้องได้อยู่แล้ว เป็นสวรรค์มีแต่ความสุขความสบายเราก็ต้องได้อยู่แล้ว อันนี้เป็นทางผ่านที่เราจะก้าวไป พระพุทธเจ้าถึงให้เราสมาทานหยุดทำอทินนาทาน เราถึงจะได้รับผลประโยชน์ในการดำรงชีพ จิตใจของเราถึงจะเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม
เราต้องพัฒนาใจของเราให้เปรียบเสมือนแผ่นดิน ให้หนักแน่นตั้งมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราจะได้ผ่านโลกด้วยพระธรรม ตัดกระแสวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตของเรานี้ประเสริฐมาก ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ เพื่อมรรคผลเพื่อพระนิพพาน จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ เราก็ต้องได้อยู่แล้ว อันนี้เป็นทางผ่านที่เราจะก้าวไป พระพุทธเจ้าถึงให้เราสมาทานหยุดทำอทินนาทาน เพื่อให้สัมมากัมมันตะ การงานชอบ การกระทำชอบ และสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีวิตโดยชอบ บริสุทธิ์บริบูรณ์ เป็นหนทางอันประเสริฐเพื่อความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง