แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันอังคารที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๓๖ เราต้องอยู่เหนือเหตุผลและความเห็นแก่ตัว อย่าให้ใจมัวหมอง ต้องพัฒนาให้เป็นใจสีขาว ด้วยเอาธรรมเป็นที่ตั้ง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้จะได้พูดเรื่องจิตใจ เรื่องพรหมจรรย์ เพราะเรานี้อยู่กับร่างกาย อย่างนี้มันก็หลงๆในร่างกาย อยู่กับเวทนาก็หลงเวทนา อยู่กับจิตก็หลงในจิต มันหลง ต้องพากันเจริญสติสัมปรัชญญะกัน เพราะงั้นมันจะไม่ได้เสียสละ เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม ทุกคนติดตัวเอง ติดลูก ติดหลาน อยู่ใกล้อะไรก็ติดอันนั้น การพบพระพุทธเจ้า พบพระอรหันต์ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ การอยู่ที่ห่างจากคนพาล ทุกๆ คนก็ไม่มีเจตนาที่จะไปหลงไปอะไรหรอก แต่ว่ามันหลงทาง ถ้าเราไม่เข้มแข็ง หลายคนก็สมาทานเป็นข้าราชการที่จะทำงานเสียสละ แต่มันก็ติดขี้เกียจขี้คร้าน เพราะมันไม่เสียสละ ว่าเป็นนักการเมืองก็ว่าจะไปช่วย สุดท้ายไปตามรุ่นพี่ รุ่นพี่ก็กิน ทีนี้มันก็ติด ผู้ที่มาบวชก็ รวมถึงไวยาวัจกรมัคนายก มันก็ว่าจะเป็นมัคนายกที่ดี สุดท้ายก็เป็นวัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง พระนี้ก็ยังเป็นสามัญชนก็ไปติดในพ่อ ในแม่ บางทีตักอาหารไป อย่างนี้ก็คิดถึงคนที่รู้จัก ก็เม้มอาหารไว้เพื่อให้คนที่รู้จัก ครูบาอาจารย์บางคนจะเป็นพระอริยเจ้าระดับสูงก็ไปไม่ได้ เพราะติดในอะไรอย่างนี้ ถึงมีการมีพรรค มีพวกมีอะไร เพราะว่ามันใจอ่อน วัดทุกวัดมันเสียก็เพราะเจ้าอาวาสใจอ่อน มัคนายกใจอ่อน
จะได้ปรารภเรื่อง เปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อให้พระ และประชาชน ตลอดถึงตำรวจ ทหาร ข้าราชการ นักการเมือง นักการเมืองได้พากันเข้าใจ ในเรื่องกินของสงฆ์ กินของหลวง ของแผ่นดิน เรื่องโกงกินคอรัปชั่น
เรื่องเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร (ในอดีต) ในอดีตกาล ในศาสนาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปุสสะ นับถอยหลังแต่ภัททกัปนี้ไป ๙๒ กัป พระปุสสพุทธเจ้านั้นมีพระกนิษฐภาดาต่างพระมารดากัน ๓ พระองค์ ทั้ง ๓ พระองค์นี้ มีขุนคลัง (ภัณฑาคาริโก) และขุนส่วย (นิยุตตกปุริโส) คนเดียวกัน
พระราชโอรสทั้ง ๓ พระองค์นั้น มีพระประสงค์จะบำรุงพระศาสดา ผู้ทรงเป็นกนิษฐภาดาตลอดเวลา ๓ เดือนในพรรษา จึงทูลขอพระบรมราชานุญาตจากพระราชา พระราชาก็ทรงอนุญาตให้พระราชโอรสทั้ง ๓ พระองค์นั้น ได้ส่งพระราชหัตถเลขาไปยังขุนส่วยในชนบท ว่าให้จัดการสร้างที่พักสำหรับพระศาสดาเสร็จแล้วให้ทูลให้ทราบ
พระราชโอรสทั้ง ๓ ได้นำเสด็จพระศาสดาไปยังชนบทของพระองค์ (คำว่าชนบทในที่นี้หมายถึงเมืองใหญ่เป็นแคว้นทีเดียว อย่างแคว้นโกศล บางทีก็เรียกโกศลชนบท แคว้นหนึ่งๆ ของอินเดียนั้นใหญ่มาก ปัจจุบันนี้ก็เหมือนกัน บางแคว้นเช่นอุตตรประเทศ เพียงแคว้นเดียวมีพลเมืองเกือบ ๒๐๐ ล้านคน มากกว่าพลเมืองในประเทศไทยเราถึงสามเท่าตัว) แล้วทรงมอบวิหาร คือที่อยู่ถวาย แล้วทรงมอบหมายงานการบริการพระพุทธเจ้า และพระสงฆ์สาวก ให้ขุนคลังและขุนส่วยจัดการรับเป็นภาระ เพราะ พระองค์เองจะทรงผนวช ๓ เดือน แต่ทรงรับเพียงศีล ๑๐ นุ่งห่มผ้ากาสายะเหมือนกัน สั่งเสร็จแล้วทรงสมาทานศีล ๑๐ ประทับอยู่ในวิหารตลอดเวลา ๓ เดือน พร้อมด้วยบุรุษบริวาร ๑,๐๐๐ คน
ขุนคลัง ขุนส่วย และภริยา มีศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสดา ได้ทำทุกอย่าง และถวายทานด้วยความเคารพ แต่บริวารของเขาประมาณ ๑๑,๐๐๐ คนนั้น บางพวกละโมบโลภลาภ ได้ทำอันตรายแก่ทาน คือกินของที่เขาเตรียมไว้สำหรับถวายพระเสียก่อนบ้าง เอาแจกลูกหลานเสียบ้าง เอาไฟเผาโรงอาหารเสียบ้าง พวกนี้ตายแล้วเกิดในนรกหมดทุกคน
ส่วนพระราชโอรสทั้ง ๓ พร้อมด้วยบุรุษพันคน ขุนคลัง ขุนส่วยได้บังเกิดในสวรรค์ ขณะที่ทั้งสองพวกเสวยกรรมที่แตกต่างกัน คือพวกหนึ่งเสวยทุกข์อยู่ในนรก อีกพวกหนึ่งเสวยสุขในสวรรค์นั้น เวลาได้ล่วงไป ๙๒ กัป ครั้นมาถึงสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า พวกนรกมาเกิดในหมู่เปรต ครั้งนั้นพวกมนุษย์ถวายทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วอุทิศกุศลผลทานนั้นแก่ญาติของตน ด้วยนึกในใจหรือเปล่งวาจาว่า “ขอทานนี้จงสำเร็จแก่พวกญาติของข้าพเจ้าด้วยเถิด”
เปรตที่เป็นญาติของคนเหล่านั้นก็ได้เสวยสมบัติ เปรตที่เคยกินของถวายพระได้เห็นดังนั้นจึงทูลถามพระกัสสปพุทธเจ้าว่า เมื่อใดและทำอย่างไรพวกตนจึงจะได้สมบัติอย่างนั้นบ้าง พระกัสสปพุทธเจ้าตรัสบอกว่า “ในเวลานี้พวกเจ้ายังไม่ได้ แต่ต่อไปภายหน้า ญาติของพวกเจ้าจักเป็นพระราชาพระนามว่าพิมพิสาร พระองค์จักถวายทานแด่พระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วอุทิศผลให้แก่พวกเจ้าในกาลนั้นแหละพวกเจ้าจะได้สมบัติ
เปรตพวกนั้นรอพระเจ้าพิมพิสารอยู่ถึงหนึ่งพุทธันดร (ช่วงระหว่างพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งถึงองค์หนึ่ง) มาในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมนี้พระราชโอรสทั้ง ๓ พร้อมทั้งบริวาร จุติจากสวรรค์แล้วเกิดในสกุลพราหมณ์แคว้นมคธ คือชฎิล ๓ พี่น้องมีอุรุเวลกัสสปเป็นต้น
ขุนคลังเป็นมหาเศรษฐีชื่อวิสาขะ ภรรยาของเขามาเป็นนางธรรมทินนา (ภรรยาของเขาอีกครั้ง) ขุนส่วยมาเป็นพระเจ้าพิมพิสาร
ครั้นพระศาสดาเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เสร็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารและบริวารที่สวนลัฏฐิวันให้ได้สำเร็จโสดาปัตติผลแล้ว ในวันรุ่งขึ้น พระราชทูลนิมนต์พระศาสดา และพระสงฆ์สาวกไปเสวยในพระราชนิเวศน์ พวกเปรตทั้งหลายยืนล้อมอยู่ (โดยไม่มีใครเห็นตัว) ด้วยหวังว่า “บัดนี้พระราชาจักทรงอุทิศส่วนกุศลแก่เรา”
พระราชาถวายทานแล้วมัวแต่ทรงดำริถึงที่ประทับของพระศาสดาว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้าควรประทับที่ไหนหนอ” จึงมิได้ทรงอุทิศทานแก่ใครๆ เลย เปรตพวกนั้นหมดหวังในเวลาราตรีจึงเปล่งเสียงอันน่ากลัวใกล้ พระราชนิเวศน์
รุ่งเช้าพระราชาเสด็จไปเฝ้าพระศาสดาทูลถามถึงมูลเหตุแห่งเสียงนั้น “อย่ากลัวเลย มหาบพิตร” พระศาสดาตรัส “เสียงนั้นมิได้เป็นอันตรายแก่พระองค์ เป็นเสียงเปรตซึ่งเคยเป็นพระญาติของพระองค์ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่าปุสสะ” และแล้วพระศาสดาได้ทรงเล่าเรื่องทั้งปวง ให้พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบโดยตลอด “หากหม่อมฉันถวายทานอุทิศให้ เปรตเหล่านั้นจะพึงได้รับผลหรือพระเจ้าข้า?”
“ได้แน่ มหาบพิตร” พระศาสดาตรัสรับรอง
พระราชาได้ทูลอาราธนาพระศาสดาให้เสวยในพระราชนิเวศน์ในวันนั้น พวกเปรตก็มายืนอยู่ในที่ต่างๆ ด้วยหวังว่า พระราชาจักอุทิศส่วนกุศลให้แก่ตน เปรตเหล่านั้นเสวยผลแห่งความริษยาและความตระหนี่ของตนอยู่ บางพวกมีหนวดและผมรุ่มร่าม หน้าดำเส้นเอ็นหย่อนยาน อวัยวะน้อยใหญ่ห้อยย้อย ผอม เนื้อตัวหยาบดำเหมือนต้นตาลที่ถูกไฟป่าไหม้ บางพวกเปลวเพลิงติดอยู่ที่ท้องแล้วแลบออกทางปาก บางพวกไม่ได้รสอย่างอื่นเลย นอกจากรสคือความหิวกระหาย แม้ได้น้ำและอาหารก็ไม่อาจดื่มกินได้ เพราะมีท้องเหมือนภูเขาแต่ช่องคอเท่ารูเข็ม บางพวกได้ของสกปรกเช่นน้ำเลือดน้ำหนองอันไหลออกจากแผลของเปรตตนอื่นๆ กินอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนดื่มน้ำอมฤต พระศาสดาได้ทรงบันดาลด้วยอิทธาภิสังขาร ให้พระราชาทอดพระเนตรให้ร่างเปรตเหล่านั้น พระราชาทรงถวายน้ำทักษิโณทก ทรงอุทิศว่า “อิทํ เม ญาตีนํ โหตุ = ขอทานนี้จงสำเร็จผลแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าด้วยเถิด”
ขณะที่พอพระราชาทรงอุทิศจบนั่นเอง สระโบกขรณีที่ดาดาษด้วยปทุมชาติก็เกิดขึ้นเพื่อเปรตเหล่านั้น (อยู่ในโลกทิพย์มนุษย์ธรรมดามองไม่เห็น) ได้อาบและดื่มน้ำในสระ ระงับความลำบาก และความกระวนกระวายได้ มีวรรณะเปล่งปลั่งผ่องใส
พระราชาพิมพิสารถวายอาหารแด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขและทรงอุทิศให้อีกพวกเขาได้ดื่มยาคูและอาหารอันเป็นทิพย์แล้ว มีอินทรีย์กระปรี้กระเปร่าคล่องตัวเมื่อพระราชาถวายผ้าและเสนาสนะและอุทิศให้อีก สิ่งเหล่านั้นอันเป็นทิพย์ก็เกิดขึ้นแก่เปรตทั้งหลาย พระราชาทอดพระเนตรเห็นสมบัติอันเกิดแก่เปรตเหล่านั้น เพราะการอธิษฐานของพระศาสดาแล้ว ทรงมีพระหฤทัยปราโมชเบิกบาน
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวย พระกระยาหารเสร็จแล้วทรงอนุโมทนา เพื่อจะทรงแสดงให้ประจักษ์ว่า มีเปรตมายืนอยู่ในที่นั้นๆ จึงตรัสคาถาที่ ๑ ว่า ๑. เปรตทั้งหลายพากันมาสู่เรือนของตนๆ ยืนอยู่ภายนอกฝาบ้าง ที่ทางสามแพร่งสี่แพร่งบ้างที่บานประตูบ้าง เพื่อทรงแสดงผลแห่งกรรมของเปรต จึงตรัส คาถาที่ ๒
๒. (บางคราว) แม้จะมีข้าวน้ำและขัชชโภชนาหารเป็นอันมากที่เขาจัดแจงเตรียมไว้ให้มีศีล แต่ญาติของเปรตเหล่านั้น แม้สักคนเดียวก็มิได้ระลึกถึง ทั้งนี้เพราะกรรมของเปรตเหล่านั้นบันดาลให้เป็นไป เพื่อทรงสรรเสริญทานที่พระราชาถวายอุทิศให้ญาติ จึงตรัสคาถาที่ ๓
๓. แต่ชนเหล่าใดมีใจอนุเคราะห์ ชนเหล่านั้นย่อมให้ข้าวน้ำอันสะอาด ประณีตตามกาลอันสมควรแล้วอุทิศกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว เพื่อทรงแสดงทานที่ถวายอุทิศให้เปรต จึงตรัสว่า
๔. ขอทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายขอญาติทั้งหลายจงประสบสุข (อิทํ โว ญาตีนํ โหตุ สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย) เพื่อทรงแสดงว่าบุญที่ญาติอุทิศให้นั้น ย่อมได้แก่เปรตทั้งหลาย ตรัสว่า
๕. ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว มาประชุมร่วมกันในที่ถวายทานอนุโมทนาด้วยความเคารพว่า
๖. พวกเราได้สมบัติ เพราะญาติเหล่าใด ขอญาติเหล่านั้นจงมีอายุยืนนาน ญาติทั้งหลายได้ทำการบูชาเรา (คือการทำบุญอุทิศให้) และเขาผู้ให้ทานก็ไม่ไร้ผล เพื่อทรงแสดงการไม่มีแหล่งเกิดแห่งทรัพย์สมบัติในเปรตโลก ตรัสว่า
๗. ในเปรตโลก หรือเปรตวิสัยนั้น ไม่มีกสิกรรม ไม่มีการเลี้ยงโค ไม่มีการค้าขายเปรตทั้งหลายย่อมเลี้ยงชีพอยู่ด้วยทานที่บุคคลอุทิศให้ไปจากโลกมนุษย์อย่างเดียวเพื่อทรงอุปมาให้เห็นชัดจึงตรัสคาถาที่ ๘-๙
๘. - ๙. นำฝนตกลงบนที่ดอน ย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่มฉันใด ทานที่บุคคลให้แล้วแต่โลกมนุษย์นี้ ย่อมสำเร็จผลแก่เปรตทั้งหลายฉันนั้นเหมือนกัน ห้วงน้ำเต็มแล้ว ย่อมทำสาครให้เต็มเปี่ยมฉันใด ทานที่บุคคลให้แล้วแต่โลกนี้ ย่อมสำเร็จแก่เปรตทั้งหลายฉันนั้น (อุนฺนเม อุทกํ วุฏฺฐํ ยถา นินฺนํ ปวตฺตติ เอวเมว อิโต ทินฺนํ เปตานํ อุปกปฺปติ. ยถา วาริวหา ปูรา ปริปูเรนฺติ สาครํ เอวเมว อิโต ทินฺนํ เปตานํ อุปกปฺปติ) เพื่อทรงแสดงความมีน้ำใจของผู้อยู่ในโลกมนุษย์ จึงตรัสคาถาที่ ๑๐
๑๐. กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิต เมื่อหวนระลึกถึงอุปการะอันท่านทำแล้วแก่ตนในกาลก่อนว่า “ผู้นั้นได้ทำสิ่งนี้แก่เรา ได้ช่วยทำกิจของเราพวกนั้นเป็นญาติของเรามิตรและเพื่อนของเรา” ดังนี้แล้วพึงทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วเหล่านั้นเพื่อทรงแสดงการไร้ประโยชน์ในการเศร้าโศกถึง จึงตรัสคาถาที่ ๑๑
๑๑. การร้องไห้ก็ตาม ความเศร้าโศกก็ตามความคร่ำครวญอย่างอื่นก็ตาม ไม่จำเป็นต้องทำ เพราะไม่สำเร็จประโยชน์อะไรแก่ผู้ล่วงลับไปแล้วถึงจะร้องไห้เศร้าโศกอย่างไร ญาติทั้งหลายก็คงอยู่ตามสภาพของตน เพื่อทรงแสดงความมีประโยชน์ของทักษิณาจึงตรัสคาถาที่ ๑๒
๑๒. ทักษิณา คือการทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย ที่พระองค์ถวายแล้วนี่แล ชื่อว่าได้ตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์ย่อมสำเร็จประโยชน์ตามควรแก่ชนผู้ล่วงลับไปแล้วเหล่านั้นตลอดกาลนาน เพื่อทรงสรรเสริญพระราชาในพระคุณตามที่เป็นจริงตรัสคาถาที่ ๑๓
๑๓. ญาติธรรมนี้อันพระองค์ได้ทรงกระทำให้เป็นตัวอย่างแล้ว การบูชาเพื่อผู้ล่วงลับไปอันพระองค์ทรงกระทำแล้วอย่างโอฬารพระองค์ได้ทรงให้กำลังแก่ภิกษุทั้งหลายแล้วและได้ทรงขวนขวายในบุญมิใช่น้อย”
กล่าวกันว่า พระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องนี้อยู่ถึง ๖ วันมีเทพยดาและมนุษย์ผู้สังเวชในโทษแห่งเปรตวิสัยได้สำเร็จมรรคผลเป็นอันมาก
พระสูตรนี้ ชื่อว่าติโรกุฑฑสูตรในขุททกปาฐะขุททกนิกาย ๒๕/๙ และในเปรตวัตถุก็มี ชื่อติโรกุฑฑเปรตวัตถุ
“อยากเป็นเปรตเป็นมรรคทายก อยากตกนรกเป็นสมภาร” โบราณจึงเปรียบ การเป็นไวยาวัจกร นั้นมีโอกาสเกิดเป็นเปรต เพราะอาจจะเห็นเงิน แล้วเกิดความโลภ อยากได้ และ เบียดบังยักยอกเข้าพกเข้าห่อเป็นของตนเอง
แต่ถ้า ไวยาวัจกรของวัด เป็นผู้ที่มีความเที่ยงตรง ซื่อสัตย์ และขยันขันแข็งแล้วละก็ เขาเหล่านั้นมีสวรรค์เป็นที่ไป เป็นเทพบุตร เทพธิดา ทุกคน เพราะเขาได้ทำบุญแบบไวยาวัจมัย นั่นคือ การขวนขวายช่วยเหลือกิจการงานของทางศาสนา อันนับเป็นหนึ่งในบุญกริยาวัตถุ ๑๐ หรือ วิธีในการทำบุญ ๑๐ แบบ ตามพระธรรมวินัย
ส่วนอยากตกนรกให้เป็นสมภารนั้น หมายถึง การเป็นสมภารนั้นถ้าเป็นไม่ดี ขาดสติ จากความเป็นผู้ใหญ่ ก็มีแนวโน้มที่จะต้องตกนรกอยู่มาก เพราะการเป็นสมภารเจ้าอาวาสนั้น มีโอกาสทำผิด หรือ มีสิ่งยั่วยวนให้ผิดจากพระธรรมวินัยมาก หรือ จะมองอีกมุมหนึ่งก็คือ มีโอกาสได้ฝึกตนมากนั่นเอง
ดังนั้น โบราณจึงมีคำเปรียบเทียบชุดนี้ไว้สอนใจ ไวยาวัจกร และ สมภารให้ระวังตัวไม่ให้ทำชั่ว เพราะมี เปรตภูมิ และ นรกภูมิรออยู่
พวกเงิน พวกทอง พวกอาหาร ที่อยู่ที่อาศัย ยารักษาโรค มันมีขึ้นมันไม่เข้าใครออกใคร มันทำให้พระภิกษุสามเณร พากันทำผิดธรรม ผิดพระวินัย ที่พระพุทธเจ้าให้เสียสละหมดไม่เอาอะไร อย่างนี้แหละ ไม่ให้ภิกษุสามเณรไม่รับปัจจัยด้วยตนเอง หรือว่าให้ผู้อื่นเก็บไว้เพื่อตน แล้วอาหารก็ให้ยินดีฉันแต่พอวันๆ ไม่ให้เก็บสังทานอะไรไว้ เพราะเราต้องเสียสละ ไม่ต้องพากันกลัวอดตาย ไม่ต้องรับเงินรับทอง ไม่ต้องไปสะสมอะไร ถ้าเราเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ประชาชนเค้ามีตาเค้าก็รู้ มีหูก็ฟัง การประพฤติการปฏิบัติของเรามันเป็นธนาคาร
คำว่า พระศาสนา คือธรรมะ ธรรมะที่จะมีได้ ก็มีพระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ ทุกท่านไม่อาจจะทำตามใจ ทำตามอารมณ์ ตามความรู้สึกได้ ชีวิตของท่านคือชีวิตที่มาเสียสละ ท่านถึงจะสามารถเป็นพระอริยเจ้าได้ ตั้งแต่เบื้องต้น จนถึงพระอรหันต์สำหรับผู้ที่มาบวช สำหรับประชาชนทุกคนก็ต้องถือพรหมจรรย์เบื้องต้น คือพากันรักษาศีล ๕ ศีล ๕ ต้องตั้งใจด้วยเจตนา ต้องสมาทาน เราเอาให้มันถึงจิต ถึงใจ ถึงเจตนา เหมือนเราจะเดินทางไกล เราอยู่ประเทศไทยเราก็ต้องไปสนามบินสุวรรณภูมิ หรือสนามบินดอนเมือง เพื่อเดินทางไกลไปตางประเทศ การปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน ศีลก็คือยาน สมาธิคือความตั้งมั่น ในภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ใจอ่อน ปัญญาเราต้องมาเสียสละ เพราะว่าวัฏฏะสงสารนี้ไม่ใช่สิ่งที่รื่นรมย์ ไม่ใช่ความเพลิดเพลิน เราต้องพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ เพราะลมหายใจเข้า หายใจออก มันก็ล้วนแต่ของไม่เที่ยง อยู่ด้วยการหายใจ อยู่ด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถ อยู่ด้วยการอาหาร พักผ่อน ภาวนาให้เกิดวิปัสสนา การประพฤติการปฏิบัติเรามันเห็นแก่ตัว ยินดีในตัวในตน มันยินดี มันหลงในตัวเอง หลงในพ่อในแม่ หลงในญาติพี่น้อง ญาติวงศ์ตระกูล พวกนี้ต้องเสียสละ ถ้าไม่เสียสละแล้วศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดไม่ได้
คนเราถ้าเราไม่เสียสละ อคติทั้ง ๔ ก็ย่อมมีแก่เรา ถ้าเราไม่เสียสละอย่างนี้ เราก็ทำตามที่เรามันคิด มันเห็น มันเข้าใจอะไรๆ อย่างนี้ ชีวิตเราไปตามความอยาก ความต้องการเค้าเรียกว่า การเวียนว่ายตายเกิด เกิดจากอวิชชา เกิดจากความรู้ เกิดจากความหลง เราต้องเกาะพระธรรม เกาะพระวินัย เรื่องจิต เรื่องใจ มันเป็นของละเอียดอ่อน มันติด มันหลง มันเป็นกาม เพราะเราทุกคนมันเป็นพระไม่ได้ ก็เพราะเราไปหลง เราไปติด เหมือนญาติพระเจ้าพิมพิสาร เป็นผู้ใกล้ชิดในการทำอาหารทำอะไร เอาอาหารไปให้ญาติ ไปให้พี่ให้น้อง ให้พรรคให้พวก นึกว่าไม่สำคัญ นึกว่าของมัน นี้แหละคือเราอดสงสารผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้
วัดทุกวัดในเมืองไทยมันเสียเพราะเรื่องนี้เอง พระนี้ก็อยากเป็นพระอรหันต์ทุกคน เพราะว่ามันใจอ่อน มันติดในตัวในตน มันถึงยังทำผิดศีล ผิดพระวินัย ถ้าเราไม่ตั้งใจดีๆ ไม่เจตนาดีๆ ชีวิตของเราก็ย่อมผิดพลาดแน่นอน พระที่รักษาพระวินัยไม่ได้นี้ก็เพราะว่ามันมีตัวมีตน ทุกท่านทุกคนต้องเข้าใจเรื่องกรรมเรื่องกฏแห่งกรรม เราถึงจะได้พัฒนาใจ เราถึงจะละสักกายะทิฏฐิได้ เราดูสิ ทุกคนก็พากันมีตัวมีตนทุกคน ถึงได้พากันเวียนว่ายตายเกิด ทุกคนก็ไปถือพรรคถือพวก ถือหมู่ ถือคณะ ไม่ได้ถือธรรม เราเกี่ยวข้องอะไรก็เพื่อประโยชน์เพื่อผลประโยชน์ แม้แต่นั้งสมาธิก็เพื่อให้มันสงบ เพื่อให้หมดกิเลส สัมมาทิฏฐิมันก็ยังไม่เข้าใจ ว่าเราทำอย่างนี้ก็เพื่อเสียสละ เพื่อละตัว ละตน ไม่ใช่เพื่อจะเอา เราทุกคนมีมิจฉาทิฏฐิ ถือเอานิพพานเป็นตัวเป็นตน มันจะมีเรื่องอย่างนี้แหละทุกๆ วัด ทุกๆ ครอบครัว อยู่ทุกหนทุกแห่ง แล้วก็พากันทำตามกันทั้งโลก ที่โยมหรือว่าคนดีๆ เค้าต้องดูแลเงินวัด เงินสงฆ์ มันก็ความไม่เข้าใจ ความหลงก็ทำให้วัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง เงินวัดพวกนี้เลยเอาไปให้พรรคพวกตัวเองกู้ เอาเงินไปลงทุนอะไร มีหลายวัดไม่ยอมเอาเงินเข้าธนาคาร แม้แต่ประเทศไทยกองทุนหมู่บ้านอย่างนี้ ก็ไม่ได้เป็นธรรมะ มันก็มีแต่พรรคพวกมีแต่ญาติ มีแต่เพื่อน ของนักการเมืองที่ปฏิบัติงาน ถือว่าความล้มเหลว เพราะว่าเราไม่ได้เข้าถึงความเป็นธรรม ทุกหน่วยงานมันจะมีเปรตประจำหน่วยงาน เราจะเป็นข้าราชการเลยเป็นไม่ได้ เป็นได้แต่ชื่อมัน แต่ความคิด ระบบจิตใจยังเป็นบาปเป็นกรรม ยังไม่ได้มีศีล ๕ อะไร พวกนักการเมืองก็เหมือนกันพวกคนสายพันธุ์นี้ ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย มันไม่ได้เป็นแต่คนนะ มันเป็นไปถึงสัตว์แล้วนะ ถ้าเราไม่เข้าใจน่ะ
อย่างสัตว์อยู่ป่าพวกลิง พวกอะไร เค้าก็ห้ามไปให้อาหาร ให้ผลไม้ ให้ขนม ให้อะไรมัน พวกนั้นมันจะหากินไม่เป็น ปลาที่เราให้อาหารปลาที่ลำห้วย มันก็จะ ไม่ไปทำมาหากินหรอก คอยแต่อาหารที่เราเอาไปให้ ปลาก็คอยกิน จนผู้ไปให้อาหารปลาก็ต้องฉลาด วันไหนไม่ได้เอาอาหารไปให้ ไม่เดินไปตรงนั้น ถ้าไปแล้วพวกปลามันจะผิดหวัง ว่า ทำไมมาวันนี้ไม่ให้ เช่นเราเคยนั่งรถไปให้ มันจำเสียงรถได้ หมานี้ถ้าเราเคยให้อาหารมันตามสายทางหลายปีมันก็จำได้
พวกที่เอาระบบให้ทาน ระบบบริจาคเราก็ต้องฉลาด ถ้าไม่อย่างนั้นนะแย่เลย วัดแต่ละวัดก็มีแต่หมาขี้เรื้อนมีแต่อะไรๆ เพราะสมภารไม่มีปัญญา โยมอุปัฏฐากวัดไม่มีปัญญา เลี้ยงข้าวเลี้ยงอาหารมัน ไม่ได้จัดอาหารให้มันเป็นที่เป็นทาง ก็ต้องให้ให้เป็น ให้ให้ถูกต้อง วัดแต่ละวัดถึงมีปัญหากันไปหมด ไม่มีวัดไหนหรอกไม่มีปัญหา ถ้าคนยังไม่หมดกิเลส ส่วนใหญ่มันจะมีปัญหา เมื่อมีกรรมอย่างนี้ มันก็เป็นกระบวนการของวัฏฏะสงสาร ทุกวัดเลย วัดบ้าน วัดป่า วัดปฏิบัติ มันจะเป็นไปหมด เพราะฉะนั้น เมื่อมันเห็นเยอะ มันก็ไม่กลัวบาปกลัวกรรม ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา พวกที่เราเคยเมตตา เราจัดของให้เค้าน่ะ เค้าก็จะเอาตลอด ถ้าเค้าไม่ได้ เค้าก็จะด่าพระ ด่าแม่ชี ของเค้าเอามาถวายพระแล้ว พวกนี้มันแก่ขึ้น พวกนี้ก็มาถึงก็จะชี้เอาเลย เป็นอย่างนั้นน่ะ บางทีนิสัยมันก็หยาบเกิน เค้าไปทำบุญก็ไปฉันข้าวไม่ลง เพราะว่าเค้ายังไม่ได้กินกัน แย่งกัน จะให้พวกมาทำบุญ ไปแย่งกับพวกเปรตพวกนี้ เค้าก็ไม่ลดตัวไปแย่ง มันเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งนะ แม้แต่คนเกี่ยวข้องกับผีก็ยังกินกับผีนะ กินดอกไม้บาง กินสังฆทานบ้าง กินจัดสถานที่ กินอะไรๆ พวกนี้ พวกที่มาช่วยทำโรงครัว ส่วนรวมก็กินอาหารทางโรงครัว พวกนี้ก็ต้องระวังหมด เพราะเราต้องเข้าใจเรื่องระบบแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
ครั้งหนึ่งหลวงปู่ดุลย์ อตุโล สอนลูกศิษย์ว่า “ผีที่ไหนเคยหลอกพระ มีแต่พระนั่นแหละหลอกผี และตั้งกระบวนการหลอกผีเป็นการใหญ่เสียด้วย คิดดูให้ดีนะ วัตถุสิ่งของที่ชาวบ้านเขาเอามาบริจาคทำบุญนั้น แทบทั้งหมดล้วนทำเพื่ออุทิศส่งไปให้ผีทั้งนั้น ผีพ่อแม่ปู่ย่าตายายญาติพี่น้องเขา แล้วพระเราเล่าประพฤติตนเหมาะสมแล้วหรือ มีคุณธรรมอะไรบ้าง ที่จะส่งผลให้ถึงผีได้ “ระวังอย่ามาเป็นพระหลอกผี”
แม่แต่พระ ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยเจ้าที่ต้นๆ พระโสดาบัน พระสกิทาคามีอย่างนี้เป็นต้น ดังขึ้นมีชื่อเสียงขึ้น พวกญาติพี่น้อง พวกพรรคพวก มารุมเอาของ มารุมขอของแล้วก็ใจอ่อน จิตใจก็ไม่ก้าวหน้า
การที่เราเกี่ยวข้องอะไรเราต้องมีปัญญา มันทำให้พระเรานี้ ทำให้ภิกษุนี้ไม่ได้เป็นพระ มีลูกศิษย์ หรือว่ามีญาติอย่างนี้แล้วก็เอาอาหารเพื่อนภิกษุสามเณรยังไม่ได้ฉันก็เม้มไว้เพื่อให้ญาติๆ หรือว่าให้คนที่เรารู้จัก อย่างนี้มันก็เป็นเปรต พวกที่ทำโรงครัว พวกนี้มันต้องคิดดูดีๆ ทุกคนไม่หวงหรอก ไม่อันนี้หรอก ทุกคนมันมีเหตุหมด พระเทวทัตก็มีเหตุผลมันถึงปรงพระชนม์ พวกเราฆ่าสัตว์ตั้งแต่ตัวเล็กจนถึงตัวใหญ่ก็เพราะมีเหตุผล ทุกคนจะไปโกงกินคอรัปชั่น จะไปปล้นไปอะไรต่างๆ ก็เพราะมีเหตุผล ผิดลูกผิดเมียผิดอะไรมันก็มีเหตุผล โกหกหลอกลวงก็มีเหตุผล กินเหล้าเมาเบียร์ก็มีเหตุผล ถ้าไม่มีเหตุผลมันไม่ทำหรอก
ฟ หลวงพ่อทุยท่านถึงบอกว่าเอ้ย อาหารเยอะๆ มาทำพิธีให้มันถูกต้อง อย่าไปยกไปนู้นไปนี้ ตามอัธยาศัยไม่ได้ ต้องทำพิธีเพื่อให้พระได้อปโลกน์แจกจ่ายก่อน เพราะท่านเห็นอาหารเยอะแยะมันไปไหนหมด ท่านกลัวว่าพวกนี้จะเป็นเปรตกัน เราอาจจะเห็นด้วยอะไรด้วย แต่ว่าคนอื่นส่วนใหญ่เค้าไม่เห็นด้วยที่เอาของไปให้ ไปแจก โดยที่ของเค้าน้อมมาอย่างหนึ่งแล้วเอาไปอย่างหนึ่ง เราไปทำเหมือนหลวงตามหาบัวท่านแจกของไม่ได้หรอก เพราะเราทุกคนเป็นพระเป็นเณรที่คิดอยากจะเอาของไปแจกใครไปทำอะไรก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเรายังไม่ได้เป็นพระอริยสงฆ์อะไร เรายังมีอคติอยู่ ใครอยู่ในวงการอะไรย่อมถนัดที่จะทำมาหากินกับคนในวงการนั้น ทั้งการหากินแบบสุจริตและทุจริต ทำงานอยู่สำนักพุทธศาสนาจึงย่อมต้องหากินกับวัดกับสงฆ์พุทธศาสนาเป็นปกคิธรรมดา ดังภิตไทยโบราณว่า “พระกินผี สังฆการีกินพระ” ส่วนสังฆการีทุกวันนี้ “กินเงินทอน” เพราะว่าทั่วประเทศเลยนะ เราเห็นเค้าทำอย่างนู้นอย่างนี้ก็ชั่งเค้า คนโบราณอย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีกับนางวิสาขาอย่างนี้ โอ้...พวกนี้ดินวัดติดเท้าออกไปนอกวัดก็ยังไม่ได้
เราต้องละซึ่งตัวซึ่งตน ทิ้งความยึดมั่นถือมั่นระบบครอบครัวออกจากใจเรา จะไปใจอ่อนไม่ได้ พระเสียเพราะอะไร? เสียจากตัวอย่างไม่ดี เสียเพราะใจอ่อน เสียเพราะพี่-น้อง พรรคพวกของเรา เสียเพราะเราใจอ่อน บวชมาแล้ว ฉันท์ข้าววันละครั้งก็ยังกลัว จะไม่ไปรับเงินรับปัจจัยเป็นของส่วนตัว ก็ยังกลัวว่าตัวเองทำไม่ได้ แล้วก็ทำไม่ได้ ทำไม่ได้ก็จะบวชทำไม ศีลข้อที่ ๒ ก็ไม่มีแล้ว แล้วจะไปสอนใคร เพราะเราไม่ได้เสียสละซึ่งสักกายะทิฏฐิ ทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน ต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติ เราต้องกระดากใจบ้าง ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ที่ประชาชนเค้ากราบไหว้ สมควรที่ให้เขายกมือไหว้แล้วหรือยัง ตัวเองก็ยังไหว้ตัวเองไม่ได้ จะให้คนอื่นมาไหว้ได้อย่างไร เราต้องสมัครสมานสามัคคีเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่ดีให้ดี ทุกๆคนที่มาบวชเป็นภิกษุ ให้เป็นพระเป็นพระธรรมพระวินัย เราจะไปกลัวว่าศาสนาคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ จะทำให้เราเสื่อมมันไม่ใช่หรอก พระผู้ใหญ่น่ะ พาเสื่อม เมื่อพระผู้ใหญ่ทำผิด พระผู้น้อยก็ยิ่งอินทรีย์อ่อน มันก็ต้องทำผิด เราจะไปดื้อตาใสหลับตาเหมือนหมีกินผึ้ง คงไม่ได้หรอก ว่างแบบปล่อยวางผิดๆ อย่างนั้น มันไม่ถูก เราต้องว่างจากตัวจากตนถึงจะถูก
เราต้องพัฒนาใจของเราให้เปรียบเสมือนแผ่นดิน ให้หนักแน่นตั้งมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อย่าให้โลกมันเหนือธรรม เราจะได้ผ่านโลกด้วยพระธรรม ตัดกระแสวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าถึงให้เราสมาทานหยุดทำอทินนาทาน ถึงเราจะรับผลประโยชน์ในการดำรงชีพ จิตใจของเราถึงจะเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม