แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๒๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๓๓ นิพพานไม่ได้อยู่ไกล อยู่ในปัจจุบันนี้เอง เป็นนิพพานน้อยๆ จนกว่าจะสมบูรณ์ด้วยการปฏิบัติต่อเนื่อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ เข้าใจยังไม่พอ ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ การดำเนินชีวิตนี้เป็นเรื่องของเรา ไม่มีใครประพฤติไม่มีใครปฏิบัติได้ พระพุทธเจ้าที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่พระนิพพาน ท่านได้ตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อมสิ้นเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด อันนี้เป็นคำพูดที่สำคัญ ที่เราทุกคนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารก็เพราะว่า “ไม่รู้ ไม่เข้าใจ” รู้เเต่พากันประมาท เหมือนภิกษุใบลานเปล่า รู้มากสอนคนอื่นเป็นพระอรหันต์หลายร้อยหลายพัน เเต่เพลิดเพลินในการสอนคนอื่นบอกคนอื่น ตั้งอยู่ในความประมาท คิดว่า เราเป็นคนรู้ ปฏิบัติเอาเมื่อไหร่ก็ได้
เราเกิดมา จากพ่อจากเเม่ ที่เป็นสามัญชน เป็นผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ย่อมอยู่ในท่ามกลางสิ่งเเวดล้อม ที่ทำให้เราไม่มีสัมมาทิฏฐิ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ เรารู้เราเห็นทางตา ได้ฟังทางหู ได้เกี่ยวข้องได้สัมผัส ย่อมเป็นสาเหตุให้ เราทุกคนเกิดความหลง เพราะเค้าได้พากันทำทั้งโลกทั้งบ้าน จนสิ่งเหล่านั้นเป็นประชาธิปไตย เราเลยเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา เห็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เป็นเรื่องธรรมดา เราได้เกิดมา เราได้รับเอาข้อมูลเต็มๆ เหมือนเราไปรับเอาเชื้อโควิด อย่างร้อยเปอร์เซ็น
มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ เราทุกคนต้องพัฒนาใจ พัฒนาวัตถุ พัฒนาเทคโนโลยีไปตามหลักเหตุผล ไปตามหลักวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจเพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อที่เราจะต้องพัฒนาทั้งกาย ทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ในชีวิตประจำวัน ทุกๆ ท่าน ต้องเห็นความสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไปประมาท จะไปเพลิดเพลินไม่ได้ การประพฤติการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าให้เราเน้นที่ปัจจุบัน เน้นลงที่ใจ ตั้งใจสมาทาน มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไปต่างประเทศ เราก็ต้องไปนั่งเครื่องบิน อย่างประเทศไทยของเราก็ต้องไปนั่งเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง การที่เราไปนั่งเครื่องบินที่สนามบิน เรียกว่า เราประพฤติปฏิบัติศีล เรามีความตั้งมั่นในการเดินทาง เรียกว่า สมาธิ เราเสียสละสิ่งที่เป็นอดีตออกไปให้มันเป็นเลข 0 เรียกว่า ปัญญา
การที่พัฒนาอนาคต ก็คือการพัฒนาปัจจุบันนี้เเหละ เพราะสิ่งนี้ สิ่งนั้นมันถึงมี มันจะเลื่อนของมันไปเอง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บอกว่าตายเเล้วเกิด หรือ ตายเเล้วสูญ ถ้าเราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มันจะตัดภาระที่เราคิดว่า ตายเเล้วเกิดเเละตายเเล้วสูญ เพราะมันดับไม่เหลือเเห่งวิจิกิจฉาความลังเลสงสัยเเล้วในปัจจุบัน นี้คือการทำที่สุดเเห่งกองทุกข์ของเราทุกๆคน เราทุกท่านทุกคนอย่าพากันอยู่ไปลอยๆ อานาปานสตินั้นเป็นสิ่งที่เราจะต้องใช้กับเราทุกคนในชีวิตประจำวัน ทุกเมื่อ ทุกอิริยาบถ หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าก็ให้มันสบาย ออกสบาย เราจะได้ ตัดเรื่องอดีต ตัดเรื่องอนาคต ใจของเราจะได้อยู่กับเนื้อ จะได้อยู่กับตัว จะได้มีความสุข ในการเสียสละ ในการทำงาน การทำงานกับการปฏิบัติธรรมต้องเป็นอันนึงอันเดียวกัน จะเเยกกันไม่ได้ นิพพานไม่ได้อยู่ไกล อยู่ในปัจจุบันนี้เอง เป็นนิพพานน้อยๆ จนกว่ามันจะสมบูรณ์
ถ้าเราทำอะไรต่างๆ เพื่อจะเอาจะมีจะเป็น หรือเพื่อไม่เอาไม่มีไม่เป็น อาการจิตอย่างนี้เค้าเรียกว่า ร่างกายเรายังไม่ตาย ใจเราเค้าเป็นเปรตเป็นผีเป็นยักษ์เป็นมารเป็นอสูรกาย การมีเซ็กซ์ทางร่างกาย นานๆ ครั้ง เเต่เราทุกคนที่มันมีปัญหาใหญ๋ที่มันเวียนว่ายตายเกิด เพราะมันมีเซ็กซ์ทางจิตใจที่เรายินดียินร้าย ที่เรารักเราชอบเราเกลียด เรียกว่า มีเซ็กซ์ทางจิตใจ อันนี้ คือ อวิชชา คือ ความหลง คือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวในตน
เราต้องรู้จักอารมณ์ ถ้าไม่มีอารมณ์ไม่มีความคิด นิพพานก็ไม่มี สิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เค้าเอาพระนิพพานมาให้เรา ให้เราพากันรู้จัก เราอยากเพียงเอาความสุข ในเรื่องกินเรื่องนอน การพักผ่อน ท่องเที่ยว อันนี้มันความสุข เพื่อบรรเทาทุกข์เป็นความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ไม่มีความบีบคั้นรุนเเรงมากเกิน ให้พากันเข้าใจ ใจของเราต้องมีปัญญา มีวิปัสสนา เพราะสิ่งต่างๆ ความสุข ความดับทุกข์พวกนี้มันตั้งอยู่ในความไม่เที่ยง ไม่เเน่ อยู่ในความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
ให้ทุกท่านทุกคนพากันรู้จัก ในวาระจิตต่างๆ ในการกระทำทุกๆ อย่าง เราอย่าไปมองข้าม ในความคิด ในการกระทำ ในคำพูด ทุกอย่างมันสำคัญหมด สิ่งเล็กๆ น้อยๆ สิ่งใหญ่มันสำคัญหมด เรามีตาเราก็เห็นอยู่เเล้ว เรามีหูได้ฟังเราก็รู้อยู่เเล้ว ที่ๆ เราเห็นอย่างนี้ ที่ประชาชนพากันผิดพลาด กว่าจะรู้ว่าตัวเอง ตกต่ำสู่อบายภูมิ มันเเก้ไขบางอย่างก็ไม่ได้ บางอย่างก็เเทบจะเเก้ไขไม่ได้ เราจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ เป็นพระเจ้าอารมณ์ไม่ได้ เราต้องเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ต้องไม่มีนิติบุคคล ดูตัวอย่าง อย่างพระของหลวงพ่อหลายๆ รูป นึกว่าไม่สำคัญอะไร ไปปล่อยกายวาจาใจไปตามอารมณ์มันผิดพลาดเสียหาย ไปประมาทไป นึกว่าไม่สำคัญ เเต่กรรมเป็นสิ่งที่มีจริง นรกมันเป็นสิ่งที่มีจริง สวรรค์เป็นสิ่งที่มีจริง เเต่ปัจจุบัน ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม เราย่อมยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธรรมอารมณ์ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ทุกคนเพลิดเพลิน ไม่ให้ทุกคนประมาท ต้องจัดการกับตัวเองให้ดีๆ เต็มที่ในปัจจุบัน เห็นพระเป็นอย่างโน่น เห็นประชาชนเป็นอย่างนี้ ก็น่าสงสาร สิ่งที่ไม่น่าเกิด ก็ให้มันเกิด เพราะความประมาท ความเพลิดเพลิน ไม่เห็นความสำคัญ ในการมีศีล มีสมาธิ ในการเจริญปัญญาวิปัสสนา เรียกว่า ไม่ได้ปฏิบัติอริยสัจสี่ให้ถูกต้อง
ทุกท่านทุกคนต้องพากันมีสติสัมปชัญญะ ต้องพากันเสียสละ เราไม่เสียสละเนี่ยเเหละ มันสักกายทิฏฐิ มันหลงงมงาย ในตัวในตน ชีวิตของเราถ้าเราตามพระพุทธเจ้า ชีวิตของเราจะสงบ จะเย็นยิ่งกว่าเเอร์คอนดิชั่น มันจะมีความสุข ความดับทุกข์ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ
เหมือนกล่าวไปเมื่อวานนี้ว่า คนเป็นล้านๆ หรือ หลายล้าน มีความเข้าใจว่า มีเงินน่ะดี ถูกต้อง มีเงินน่ะดี เเต่เราต้องมีปัญญา การได้เงินมา ต้องได้เงินมาอย่างพระอริยเจ้า ได้มาจากการเสียสละละตัวละตน เมื่อเราเสียสละอย่างนี้น่ะ ไอ้พวกเงินพวกสตางค์ มันก็มาของมันเอง โดยใจของเราไม่ต้องเป็นเปรตเป็นผีเป็นยักษ์เป็นมารเป็นอสูรกาย เราจะได้มีเงินอย่างถูกต้อง โดยถูกต้อง เเต่การมีเงินมีทรัพย์สมบัติ มันช่วยเราได้ในชีวิตประจำวัน เเละก็ช่วยเราได้ถึงเพียงแค่เชิงตะกอน ที่เค้าเอาเราไปเผา เเล้วเอาเงินเรานั้นส่งให้ลูกให้หลาน ถ้าเรารวยอย่างไม่ถูกต้อง เงินนั้นมันจะส่งเราถึงนิพพานไม่ได้ คนทั้งโลกถืงว่ายังมีปัญญาน้อยอยู่ พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีท่านมองได้ไกล ต้องพัฒนาใจ
เราทุกคนจะเคารพตัวเองได้ ไม่ใช่ว่าตัวเองมีเงินมาก ที่เคารพตัวเองได้ ก็เพราะตัวเองมีศีลมีธรรม ตัวเองไม่หลง ไม่ประมาท ลูกหลานมันจะเคารพนับถือเรา ก็เพราะเรามีศีลมีธรรมมีคุณธรรม ถ้าไม่อย่างนั้น เค้าไม่ได้เคารพเราหรอก เค้าสงสารเรา เราเป็นผู้มีอุปการคุณ ให้เข้าใจ เราจะได้หาความสุขความดับทุกข์ ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ในชีวิตประจำวันของเรา เราอยู่ที่บ้านอยู่ที่ทำงาน อยู่ที่ไหน เราก็ปฏิบัติใจของเรา ปฏิบัติวาจาของเรา ปฏิบัติปัญญาของเรา ค้นคว้าในการเสียสละ เราจะได้ส่งไม้ผลัดส่งคุณธรรมให้ลูกหลานของเรา เราให้เเต่วัตถุข้าวของเงินทอง เราไม่ได้เป็นเเบบอย่างให้ลูกให้หลานเลย ตระกูลของเรามันเสื่อม ตระกูลของเรามันตั้งอยู่ไม่ได้ ความมั่นคงของตระกูลเรา ถ้าไม่เอาศีลเอาธรรม ไม่เอาพระนิพพาน มันตั้งอยู่ไม่ได้ไม่กี่ชั่วโคตรหรอก
เราจะเป็นใครอยู่ที่ไหน อย่างพระ ถ้าเราเอาพระธรรม เอาพระวินัย เอาพระนิพพาน ทุกคนยอมรับเราได้ ทุกคนไหว้เราได้ ไม่ว่าพ่อ ไม่ว่าเเม่ ไม่ว่าคฤหบดีเศรษฐี เค้ามีความสุขที่จะไหว้เรา ถ้าเราสละเสียซึ่งตัวซึ่งตน มีเเต่พระธรรม มีเเต่พระวินัย ผู้ที่เป็นพระเจ้า เป็นพระสงฆ์ เป็นเณรพากันเข้าใจอย่างนี้ ผู้ที่มีความผิดพลาด ก็พากันตั้งต้นใหม่ เหมือนกับพระบวชใหม่เนี่ยเเหละ พระบวชเก่าบวชใหม่มันก็ต้องปฏิบัติในปัจจุบันนี้เเหละ เพราะว่ามันไม่มีเก่า ไม่มีใหม่อะไร มันมีเเต่ปัจจุบันนี้นะ ทุกท่านทุกคนต้องใจสงบใจเย็น อย่าไปวิ่งตามอารมณ์ อย่าไปวิ่งตามความคิด เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ใจของเราก็จะสงบ ใจของเรามันก็จะเย็น เราอย่าไปคิดว่า การประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ย ปฏิบัติถึงไหนมันถึงจะหยุดได้ คิดอย่างนั้น คิดมาก็ผิดเเล้ว เราต้องรู้จักความคิด รู้จักอารมณ์ เราจะให้ความเห็นเเก่ตัวเป็นเจ้าเรือน เราอย่าไปหลงในวิปัสสนูปกิเลส อย่าเอาความสุขเเบบโง่ๆ อย่าเอาความว่างจะพระธรรม จากพระวินัย อย่าเอาความว่างจากมรรคผลพระนิพพาน
ทุกท่านทุกคนต้องปฏิบัติตัวเองให้เป็นพระ เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ถ้าเราไม่เอาตัว ไม่เอาตน ไม่เอาทิฏฐิมานะ เรื่องทั้งหลายมันก็จบกัน เหมือนสังฆปริณายกองค์ที่ ๕ กับ สังฆะปริณายกองค์ที่ ๖ ของนิกายเซน ในประเทศจีน ผู้ที่ยังไม่เข้าใจธรรมะก็ไปเขียนโศลก เขียนโคลงไว้ ว่าใจของเราเปรียบเสมือนกระจกเงา กิเลสก็จรมาเหมือนฝุ่น ถ้าเราหมั่นเช็ดถู มันก็ไม่มีฝุ่นอะไร อันนี้มันเป็นเพียงระดับของสมาธิ เเต่ท่านเว่ยหล่าง ได้มาเห็นเเล้วก็ฟังคนอ่าน ท่านก็รู้เลยว่า ใจของผู้นี้อยู่ในระดับของสมาธิ ท่านก็เลยให้คนที่รู้หนังสือเขียนให้ “โพธิ์มิใช่ไม้ คันฉายมิใช่แท่น ความจริงไร้ทุกสิ้ง ไยต้องเปื้อนธุลี” นี้คือใจของผู้ทำวิปัสสนา เราต้องพากันเข้าใจ พากันรู้จัก
ท่านเว่ยหล่าง พระสังฆปริณายกองค์ที่ ๖ ของพุทธศาสนานิกายเซน เดิมชื่อฮุ่ยเน่ง (Hui Neng) ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๑๑๘๑ สมัยยุคราชวงค์ถัง เดิมเป็นชาวเมืองน่ำเฮี้ยง แล้วต่อมาได้ไปอยู่ที่กวางตุ้ง บิดาได้ถึงแก่กรรมในขณะที่ท่านยังเล็กอยู่ และมารดาก็เลี้ยงท่านมาในสภาพที่ยากจนทนทุกข์ ทั้งสองคนได้ย้ายจากกวางตุ้งไปอยู่กวางเจา ต้องทำงานในเรือกสวนไร่นา ช่วงเวลาว่างก็จะตัดไม้ ผ่าฟืนและหาบไปขายในตลาด ท่านเว่ยหล่างอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่มีความเฉลียวฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณและมีความจำเป็นเลิศ
ในหนังสือ "สูตรของเว่ยหล่าง" ที่แปลโดยท่านพุทธทาสภิกขุ มีข้อความที่ท่านเว่ยหล่างเล่าอัตชีวประวัติเอาไว้ว่า "บิดาของอาตมาเป็นชาวเมืองฟันยาง ถูกถอดจากตำแหน่งข้าราชการ ถูกเนรเทศไปอยู่อย่างราษฎรสามัญที่ซุนเจาในมณฑลกวางตุ้ง อาตมาโชคร้ายโดยที่บิดาไปถึงแก่กรรมเสียแต่ในขณะที่อาตมายังเล็กเหลือเกิน และละทิ้งมารดาไว้ในสภาพที่ยากจนทนทุกข์ เราสองคนจึงย้ายไปอยู่ทางกวางเจา และอยู่ที่นั่นด้วยความทุกข์ยากเรื่อยมา วันหนึ่ง อาตมากำลังนำฟืนไปขายที่ตลาดเพราะเจ้าจำนำคนหนึ่งเขาสั่งให้นำไปขายเขาถึงที่ร้าน ได้พบชายคนหนึ่งกำลังบริกรรมสูตรสูตรหนึ่งอยู่แถวหน้าร้านนั่นเอง พอได้ยินข้อความแห่งสูตรเท่านั้น ใจของอาตมาก็ลุกโพลงสว่างไสวในพุทธธรรม อาตมาจึงถามชื่อคัมภีร์ที่เขากำลังสวดอยู่ ก็ได้ความจากชายคนนั้นเองว่า สูตรนั้นชื่อ "วัชรสูตร" (วชฺรจฺเฉทิกสูตร หรือสูตรอันกล่าวด้วยเพชรสำหรับตัด) อาตมาจึงไล่เลียงต่อไปว่าเขามาจากไหน ทำไมจึงจำเพาะมาท่องบ่นแต่สูตรนี้ ชายคนนั้นตอบว่าเขามาจากวัดตุงซั่น ตำบลวองมุย เมืองคีเจา เจ้าอาวาสในขณะนี้มีนามว่า "หวางยั่น" (ฮ่งยิ้ม) เป็นพระสังฆปริณายก (แห่งนิกายเซน) องค์ที่ห้า..."
เมื่อท่านเว่ยหล่างเกิดความลุกโพลงแห่งปัญญาขึ้น ได้ไต่ถามที่ไปกับอุบาสกผู้นั้น ทราบว่าเป็นสานุศิษย์ของพระสังฆปริณายกองค์ที่ ๕ แห่งนิกายเซน และชายผู้นั้นยังมอบเงินอีก ๑๐ ตำลึง แก่ท่านเว่ยหล่างเพื่อนำไปให้มารดาไว้ใช้สอย และชายผู้นั้นยังได้แนะนำให้ท่านเว่ยหล่างเดินทางไปศึกษาที่วองมุยด้วย เมื่อได้จัดแจงให้มีคนช่วยดูแลมารดาเสร็จแล้ว ท่านเว่ยหล่างก็ออกเดินทางไปที่เมืองคีเจา ณ ตำบลวองมุย และได้เข้าไปนมัสการพระสังฆปริณายกองค์ที่ ๕ พร้อมกับกราบเรียนท่านว่า
"กระผมเป็นคนเมืองซุนเจา แห่งมณฑลกวางตุ้ง เดินทางมาแสนไกล เพื่อทำสักการะเคารพแด่คุณพ่อ และกระผมไม่ต้องการอะไร นอกจากธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะอย่างเดียวเท่านั้น"
ท่านเจ้าอาวาสตอบว่า "เป็นชาวเมืองกวางตุ้ง หรือเป็นคนป่าคนเยิง แล้วเธอจะหวังเป็นพุทธะได้อย่างไรกัน"
ท่านเว่ยหล่างกล่าวว่า "แม้จะมีคนชาวเหนือและคนชาวใต้ก็จริง แต่ทิศเหนือหรือทิศใต้นั้น หาได้ทำให้ความเป็นพุทธภาวะซึ่งมีอยู่ในคนนั้นๆ แตกต่างกันได้ไม่ คนป่าคนเยิงจะแตกต่างจากคุณพ่อก็แต่ในร่างกายเท่านั้น แต่ไม่มีความผิดแปลกแตกต่างกันในส่วนธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะของเราทั้งหลาย"
เพราะเหตุนี้ ท่านพระสังฆปริณายกองค์ที่ ๕ เข้าใจเลยว่า เว่ยหล่าง คนป่า คนเขาทางใต้ คนนี้ไม่ธรรมดา จึงรับท่านเว่ยหล่างไว้เป็นศิษย์ และให้ไปอยู่ในครัว ทำงานโรงครัว มีการผ่าฟืนและตำข้าว เป็นต้น เพื่อมิให้ใครมาจ้องมองและทำอันตรายอะไรแก่เขา ท่านเว่ยหล่างทำงานอยู่ในวัดประมาณ ๘ เดือน จนกระทั่งวันหนึ่งท่านเจ้าอาวาสขอให้ศิษยานุศิษย์เขียนโศลกมาส่งท่าน เพื่อวินิจฉัยว่าผู้ใดจะเข้าใจสภาพธรรมได้อย่างถ่องแท้บ้าง หากโศลกของผู้ใดแสดงนัยว่าผู้เขียนเป็นผู้ "หลุดพ้น" แล้ว ผู้นั้นจะได้รับการสถาปนาเป็นพระสังฆปริณายกองค์ต่อไป
ศิษย์ร่วมสำนักไม่มีใครกล้าพอที่จะเขียนโศลกธรรมได้ ยกเว้นสาวกรูปหนึ่งชื่อ ชินเชา หรือ เสิ่นซิว (หัวหน้าศิษย์) ได้ผูกเป็นคำกวีกล่าวถึงอรรถธรรมที่ตัวเห็นแล้ว ไปเขียนไว้ที่ผนังช่องทางเดินของท่านเจ้าอาวาสว่า “กายของเราคือต้นโพธิ์ ใจของเรา คือ กระจกเงาอันใส เราเช็ดมันโดยระมัดระวังทุกๆ โมงยาม ไม่ให้ฝุ่นละอองจับ”
ครั้นเวลาเที่ยงคืน พระสังฆปริณายกได้ให้คนไปตามตัวชินเชามาที่หอ แล้วถามว่าเขาเป็นคนเขียนโศลกนั้นใช่หรือไม่ ชินเชาได้ตอบว่า "ใช่ขอรับ กระผมมิได้เห่อเหิมเพื่อตำแหน่งสังฆปริณายก เพียงแต่หวังว่าคุณพ่อจะกรุณาบอกให้ทราบว่าโศลกนั้นแสดงว่ามีแววแห่งปัญญาอยู่ในนั้นบ้างสักเล็กน้อยหรือหาไม่"
พระสังฆปริณายกได้ตอบว่า "โศลกของเจ้าแสดงว่าเจ้ายังไม่ได้รู้แจ้งจิตเดิมแท้ เจ้ามาถึงประตูแห่งการบรรลุธรรมแล้วเป็นนาน แต่เจ้ายังไม่ได้ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป การแสวงหาความตรัสรู้อันสูงสุดด้วยความเข้าใจอย่างของเจ้าที่มีอยู่ในขณะนี้นั้นยากที่จะสำเร็จได้..."
"เจ้ากลับไปก่อนเสียดีกว่า ไปคิดมันอีกสักสองวัน แล้วเขียนโศลกบทใหม่มาให้ฉัน ถ้าโศลกของเจ้าแสดงว่าเจ้าเข้าพ้นประตูไปแล้ว ฉันจะมอบผ้ากาสาวพัสตร์ และธรรมะ (แห่งนิกายธยานะ) ให้แก่เจ้าสืบทอดไป"
ผ่านไปสองวัน บังเอิญเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านบริเวณที่ท่านเว่ยหล่างตำข้าวอยู่ เด็กคนนั้นได้เดินท่องโศลกของท่านชินเชาที่จำมาจากฝาผนังอย่างดังๆ ท่านเว่ยหล่างแม้ไม่รู้หนังสือ เคยถูกพระสังฆปริณายกหยอกว่าเป็น "คนป่าคนเยิง" แต่กระนั้นเมื่อได้สดับโศลกนี้ของเพื่อนร่วมสำนักท่านก็รู้ได้ในทันทีว่า ผู้เขียนยังไม่ไปถึงไหนในวิถีแห่งการตรัสรู้จึงเกิดธรรมฉันทะอยากเขียนโศลกขึ้นมาบ้าง เมื่อสบโอกาส ท่านจึงวานให้เสมียนคนหนึ่งได้ช่วยเขียนโศลกของท่านเองบ้าง โศลกของท่านกล่าวว่า "ไม่มีต้นโพธิ์ ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสะอาด เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว ฝุ่นจะลงจับอะไร"
ผู ถี เปิ่น วู๋ ชู่ว์ (ไม่มีซึ่งต้นไม้ ไยจะมีต้นโพธิ์ได้)
หมิง จิ้ง อี้ เฟ่ย ไถ (ไร้ซึ่งกระจกเงา)
เปิ่น ไหล วู๋ หยี่ วู่ (แต่เดิมในเมื่อไม่มีอะไร)
เหอ ชู่ เหร่อ เฉิน อัย (แล้วจะมีที่ไหนให้ฝุ่นมาจับเกาะได้)
“โพธิ์มิใช่ไม้ คันฉายมิใช่แท่น ความจริงไร้ทุกสิ้ง ไยต้องเปื้อนธุลี”
เมื่อเสมียนเขียนโศลกนี้ลงที่ผนังแล้ว ทั้งพวกศิษย์และคนนอกทุกคนที่อยู่ที่นั่น ต่างพากันประหลาดใจอย่างยิ่ง จิตใจเต็มตื้นไปด้วยความชื่นชม เขาพากันกล่าวแก่กันและกันว่า "น่าประหลาดเหลือเกิน! ไม่ต้องสงสัยเลย เราไม่ควรตัดสินใครว่าเป็นอย่างไรด้วยการเอารูปภายนอกเป็นประมาณ มันเป็นไปได้อย่างไรกันหนอ ที่เราพากันใช้สอยโพธิสัตว์ผู้อวตาร ให้ทำงานหนักให้แก่เรามานานถึงเพียงนี้"
พระสังฆปริณายกเห็นคนเหล่านั้นพากันเต็มตื้นไปด้วยความอัศจรรย์ใจ ท่านจึงเอารองเท้าลบโศลกของท่านเว่ยหล่างทิ้งเสีย เพื่อไม่ให้พวกคนที่มักริษยาพากันทำร้ายท่านเว่ยหล่างได้ ซึ่งการกระทำนั้นของพระสังฆปริณายกทำให้คนเหล่านั้นพอใจที่จะคิดว่าแม้ผู้ที่เขียนโศลกอันนี้ ก็ยังไม่ใช่เป็นผู้ที่เห็นแจ้งจิตเดิมแท้เหมือนกัน!
ต่อมาพระสังฆปริณายกจึงเรียกท่านเว่ยหล่างไปพบกลางดึกคืนหนึ่ง และเทศนาจนท่านเว่ยหล่างหมดความสงสัยในพุทธธรรม พร้อมมอบบาตรและจีวรให้เป็นพระโพธิธรรมสังฆปริณายกองค์ที่หก ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ออกบวชเลย แล้วบอกให้หนีออกจากวัดไปทางตอนใต้นานถึง ๑๕ ปี บางทีไปหลบอยู่กับพรานป่าบ้าง เป็นต้น ต่อมาพระพุทธศาสนานิกายเซ็น ในประเทศจีน จึงมีการแบ่งแยกออกเป็นสองแขนง คือ สายเหนือ กับ สายใต้ โดย ท่านชินเชา เป็น ตัวแทนของสายเหนือ และท่านว่ยหล่าง เป็นตัวแทนของสายใต้
ฝุ่นละอองก็คือกิเลส ถ้าจะจัดเป็นระดับ ท่านจัด ๓ ระดับคือ
ระดับอนุสัย เป็นกิเลสที่ซึมลึก นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานเป็นพื้นของจิต ถ้าไม่กระทบอย่างแรงก็ไม่แสดงตัวออกมา ท่านเปรียบเหมือนตะกอนที่นอนก้นตุ่ม น้ำในตุ่มนั้นจะมองดูใสน่าดื่ม แต่ถ้ากวนน้ำในตุ่มอย่างแรง ตะกอนนั้นก็จะฟุ้งขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นดื่มกินไม่ได้ ถ้าพูดตามหลักวิชา คนที่ยังมิได้เป็นอรหันต์ทุกคนมีกิเลสระดับนี้ทั้งนั้น
ระดับปริยุฏฐานะ แปลตามตัวว่ากิเลสที่กลุ้มรุมจิต เป็นกิเลสประเภทที่ทำให้จิตฟุ้งซ่าน กลัดกลุ้มคุกรุ่นภายใน แต่ยังไม่สำแดงออกมาเป็นพฤติกรรมการล่วงละเมิด ยกตัวอย่างเรื่องโกรธ ถ้าเป็นเพียงความขัดใจที่แฝงลึกเป็นพื้นของจิตท่านเรียกมันว่า ปฏิฆะ (ความขัดเคือง, ความขุ่นข้องลึกๆ) ถ้ามันถูกยั่วยุมันก็จะสำแดงออกมาเป็น โกธะ (ความโกรธ ความเดือดดาล) ถ้าระงับไว้ไม่อยู่ก็จะกลายเป็น โทสะ (ความกราดเกรี้ยวหรือบันดาลโทสะ) พอถึงขั้นนี้ไม่ใช่ยืนหน้าบูดหน้าเบี้ยวเฉยๆ ต้องถึงขั้นลงไม้ลงมือชกต่อย ทุบตีไปตามเรื่อง
ระดับวีติกกมะ หมายถึงกิเลสที่ควบคุมไม่อยู่แล้ว มันต้องแสดงออกมาเป็นพฤติกรรม ยกตัวอย่างในเรื่องความรัก หนุ่มเห็นสาวสวยน่ารักไปหมดทุกอย่าง นึกชอบลึกๆ ในใจเป็นอนุสัยนอนเนื่องอยู่ในจิต วันดีคืนดีก็ครุ่นคิดคำนึงกระสับกระส่ายด้วยความคิดถึง จิตใจมันว้าเหว่ว้าวุ่นพิกล ฝันถึงทั้งหลับและตื่น นี่เป็นปริยุฏฐานะ วันดีคืนดี (น่าจะเรียกวันร้ายคืนร้าย) สบโอกาสเหมาะอยู่สองต่อสองลับหูลับตาคน หนุ่มทำมิดีมิร้ายสาว เพราะอดรนทนไม่ไหวแล้ว ขั้นนี้เรียกว่าวิติกกมะ เห็นหรือยังว่า ถ้าปล่อยกิเลสมันฟุ้งออกมาจนถึงขั้นวิติกกมะแล้ว คนดีๆ ก็กลายเป็นอาชญากร พระก็กลายเป็นอลัชชี ท่านจึงสอนวิธีระงับกิเลสแต่ละขั้นๆ ไว้ว่า กิเลสอย่างละเอียดละได้ด้วยการเจริญวิปัสสนา อย่างกลางละได้ด้วยเจริญสมาธิ อย่างหยาบละได้ด้วยรักษาศีล
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ มีใจปราศจากธุลี หมดจดจากกิเลส เครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ทั้งหยาบ และละเอียด ซึ่งเป็นใจที่ผ่องแผ้วใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ใจของท่านหวั่นไหว หรือเศร้าหมองได้
ส่วนคนเราธรรมดา แม้ทำจิตไม่ได้ถึงขั้นของพระอริยเจ้า แต่ก็ต้องคอยพยายามระวังจิตของเราอย่าให้ตกลงไปในอำนาจความรัก ความชัง และความหลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นผู้ปกครองยิ่งต้องระวังมาก เอียงมากคนที่อยู่ใต้ปกครองก็แย่ ผู้ปกครองเหมือนยานพาหนะ รถ เรือ ส่วนผู้อยู่ใต้ปกครองเหมือนผู้โดยสาร ถ้ารถเรือมันเอียงมาก ผู้โดยสารก็อยู่ไม่เป็นสุข ท่านจึงสอนวิธีระงับกิเลสแต่ละขั้นๆ ไว้ว่า กิเลสอย่างละเอียดละได้ด้วยการเจริญวิปัสสนา อย่างกลางละได้ด้วยเจริญสมาธิ อย่างหยาบละได้ด้วยรักษาศีล ดังนั้นจึงต้องคอยระวังจิตให้ดี อย่าให้ธุลีเข้ามาครอบงำจิตใจของเราได้ การที่ไม่ให้ธุลีเข้าครอบงำจิตใจนี่แหละท่านว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง
จิตใจของพระอริยเจ้า ของพระอรหันต์ เป็นจิตใจที่มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เป็นจิตใจที่กระทบผัสสะเสียสละแล้วก็ปล่อยวางเป็นจิตใจที่เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม เป็นจิตใจที่รู้ตื่นเบิกบาน แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะติดข้างอยู่ในใจ เพราะรู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง ท่านอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว จิตใจนั้นรู้จักสมมุติ จิตใจเป็นวิมุตติ
อย่างเรายังติดในตัวในตน ในพ่อในแม่ ในบ้านในลาภยศสรรเสริญ แต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ใจท่านไม่มีไม่ติด อันนี้เป็นความสุข เป็นความดับทุกข์ที่สมบูรณ์ ไม่มีการประพฤติ ไม่มีการปฏิบัติแล้ว ท่านฉันภัตตาหาร ทำอะไรต่างๆ ก็ไม่ได้เพื่อตัวท่าน เพื่อสุขภาพร่างกายทรงอยู่ได้ เพื่อช่วยเหลือคนอื่น เพื่อเผยแผ่ ท่านเดินจงกรมอยู่ได้เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง พระอรหันต์ท่านเข้าสมาธิ เพื่อพักผ่อนสมองเฉยๆ ไม่ใช่เพื่ออะไร เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนเฉยๆ ไม่ได้เกี่ยวกับจิตใจ เพราะจิตใจท่านเป็นนิโรธแล้ว คือ ความดับทุกข์อยู่แล้ว จิตใจท่านเป็นนิพพานตลอดกาล พระที่หมดกิเลสสิ้นอาสวะ ท่านต้องเสียสละ ขยันกว่าพวกเราอีก เพราะพวกเรามันยังเห็นแก่ตัวอีก ท่านใช้ร่างกาย เหมือนใช้รถยนต์ ใช้อุปกรณ์ต่างๆ จะไม่มีตัวท่าน จะตาย จะอยู่ก็ไม่สำคัญ
เหมือนท่านเจ้าคุณพุทธทาส ท่านเผยแผ่ธรรมะ ก็มีความสุขทั้งวันทั้งคืน จนวาระสุดท้าย วันเวลาคือการทำงาน คือการเสียสละ หลวงปู่ชาก็เหมือนกัน เราเห็นท่านไม่หยุด เราเลยไปตั้งเวลาให้ท่านรับแขกเวลานั้น จำวัตรเวลานี้ ความเป็นจริงแล้วถ้าท่านเสียสละ ท่านถึงจะแข็งแรง เพราะสมองคนเราถ้าเรามีความสุข ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิ คิดอย่างนี้ ก็ไม่ทำให้เสียสมอง ที่มันเสียสมอง เพราะมันยังทุกข์ใจ มีความยึดมั่นถือมั่น มันถึงเสียสมอง ถ้าสมองมีความสุข มีสัมมาทิฐิ สมองมันไม่เสีย สมองดี พวกคนแก่เห็นไหม ไม่ทำอะไร ไม่เสียสละ มีแต่ความยึดมั่นถือมั่น มันเป็นอัลไซเมอร์ เอาเงินร้อย เงินพันมานับอยู่อย่างนั้น ด้วยความยึดมั่นถือมั่น
เราต้องพากันเข้าใจ พากันรู้จัก ทุกท่านทุกคน ถ้าไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึก ทุกอย่างมันก็จะดีเอง เราดูตัวอย่างอย่างหลวงปู่คำภา ท่านเอาพระธรรม พระวินัย เอามรรคผลนิพพาน ทุกอย่างมันก็ดีเอง ทุกคนก็เเย่งกันไป ประพฤติ เเย่งกันไปดูเเล ไปอุปัฏฐาก ต่างจากผู้ที่ทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเองยิ่งเเก่ก็ยิ่งมีปัญหา ไม่มีใครอยากจะยกมือไหว้ ไม่มีใครอยากอุปถัมภ์อุปัฏฐาก นี้เเสดงถึงกรรมใดใครก่อ เราก็เห็นเป็นตัวอย่าง อย่างพระทั้งหลายทั้งปวง เค้าถึงพากัน ทำผิดศีลทำธรรม ทำเดรัจฉานวิชากัน พากันขายพระ ขายเหรียญ ขายตะกรุด ขายอะไรกัน ทำมาหากิน ไปเรียนวิชา ดูหมอ ดูโหราศาสตร์อย่างนี้ เพราะว่า มันไม่ได้สร้างธนาคารความดี ไม่ได้สร้างความดี มันไม่ได้ตั้งธนาคารในกายวาจาใจตัวเองไว้ มันเลยเห็นปรากฏการณ์เหมือนเราเห็นกันอยู่ ที่เราเห็นพระ เห็นเณร ที่กรรมใครใครก็ก่อ มันเป็นความประมาท ความเพลิดเพลิน ไม่เห็นความสำคัญในปฏิปทา ไม่เห็นความสำคัญในศีล ในข้อวัตรปฏิบัติ ไม่มีใครสร้างปัญหาให้เรานะ อย่าไปว่าคนอื่นเค้าอย่างโน่นอย่างนี้ เค้าไม่เคารพ ไม่อะไรหรอก ไปว่าสมัยทุกวันนี้มรรคผลนิพพานมันหมดไปเเล้ว ก็ไปทำอย่างนี้มรรคผลนิพพานก็ต้องหมด
เราต้องพากันเข้าใจ ผู้ที่บวชก็เข้าใจ ผู้ที่ไม่ได้บวชก็เข้าใจ ทุกท่านทุกคนต้องพากันปฏิบัติตน ต้องภาวนาตนเน้นมาที่ตัวเรา ไม่ว่าเราจะเป็นประชาชน หรือว่าเป็นพระวัดป่า เป็นพระวัดบ้าน เป็นประชาชนที่มีศีลห้า ก็ไม่มีปัญหา ให้พากันเข้าใจ เรื่องวิทยาศาตร์ เเล้วก็เข้าใจเรื่องธรรม เรื่องโลกุตตรธรรม เราจะได้ไม่หลงอยู่ในโลกธรรม ชีวิตของเราก็จะได้เจริญงอกงาม เราต้องพึ่งธรรมะอย่างนี้ เมื่อเราประพฤติปฏิบัติได้ สิ่งที่เป็นส่วนของพ่อของเเม่ ก็อยู่ในร่างกายของเราอยู่เเล้ว เลือดเนื้อของเรา ครบประการ ๓๒ คือส่วนของพ่อของเเม่หมด เราจะได้เอาร่างกายนี้ เราจะได้กตัญญูกตเวทีต่อพ่อต่อเเม่ เราถึงจะสมควรให้พ่อให้เเม่กราบ ให้ประชาชนกราบ ถ้าใครยังมีความเห็นผิด เข้าใจผิด ให้พากันเข้าใจใหม่ อย่าให้จิตใจมันหยาบ จิตสกปรก จิตใจมันโง่ จิตใจมันหลงงมงาย เราต้องสารภาพบาป เเสดงอาบัติโดยอธิษฐานใจ ถ้าเราไม่อธิษฐานใจ ไม่ตั้งใจมันไม่ได้
ศาสนามันจะได้เป็นขาขึ้น ถ้ามันเเก้ที่ตัวเอง มันพัฒนาตัวเอง เรียกว่าขาขึ้น ศาสนาขาลง ที่เราไปสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ เเล้วก็เอาเป็นที่ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไปบอก ไปสอนประชาชาน อันนี้เค้าเรียกว่าขาลงเเล้ว ไม่ใช่เจตนาของพระพุทธเจ้า เราจะได้มีที่อยู่คือ พระนิพพาน ที่มันต้องมีที่อยู่ในใจของเรา เราเป็นคนไม่มีที่อยู่นะ ใจของเรามันเร่ร่อน เศรษฐีหมื่นล้าน เศรษฐีที่เเสนล้าน เศรษฐีเป็นโกฏิๆ ล้าน ถือว่ามันเป็นเศรษฐีภายนอก ถ้าเราไม่พัฒนาใจไปพร้อมๆกัน นี้คือความล้มเหลวของความประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ