แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๑๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๓๐ น้อมใจพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ให้เยอะ เพื่อใจของเราจะไม่ติดไม่หลงในสังขาร
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราเกิดมามีสังขารร่างกายไม่เกินร้อยปี ก็ต้องจากโลกนี้ไป อย่างทุกคนเค้ามาบวชเค้ามาอะไรอย่างนี้ เค้าก็ยังไม่ได้เตรียมใจที่ละสังขารปล่อยวาง พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีมา ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป สมบูรณ์เเล้ว ในพระชาติสุดท้ายพระมารดาของท่านประสูติแล้ว ก็ต้องลาละสังขารสิ้นพระชนม์จากไป เพราะเป็นพระครรภ์บริสุทธิ์ ไม่สามารถจะรองรับใครได้อีก เพราะว่าผู้ที่จะเป็นเเม่พระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีมาถึงแสนชาติ พระพุทธเจ้ามีบารมีสมบูรณ์เเบบในพระชาติสุดท้ายจนเสด็จออกบวช ทรงปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง
พระเราก็เหมือนกัน ต้องปล่อยวาง สิ่งภายนอกหมด เพื่อทำสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ตัดเรื่องอดีต เเละ อนาคต ก็คืออยู่กับปัจจุบันนี้เเหละ มันจะทำลายความยึดมั่นถือมั่น มันต้องตัด ทุกคนต้องมาตัดสักกายทิฏฐิ ไม่อ่อนเเอ ถ้าเรามาบวชต้องปล่อยวาง หรือผู้ไม่มาบวชที่จะพัฒนาตัวเองเป็นพระอริยเจ้าต้องปล่อยวาง อย่างหลวงปู่มั่นหนีจากบ้านจากอะไร จนญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล นึกว่าท่านตายไปเเล้ว อย่างหลวงพ่อชา หนีจากบ้านจนญาติพี่น้องนึกว่าตายไปเเล้ว เลยทำบุญอุทิศให้ อย่างหลวงพ่อกัณหา ออกจากบ้านทำความเพียรอย่างยิ่งยวดหลายปีไม่ได้กลับบ้าน
คนเราเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องวาระจิต ไม่ควรที่จะให้คิดครั้งที่หนึ่ง คิดครั้งที่สอง คิดครั้งที่สาม ไม่ควรที่จะให้ทำงานต่อไป มันต้องมีสัมมาสมาธิ ถ้านั้น เราปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพราะเเต่ละคน รู้สึกว่าเค้าจะตามใจตัวเอง เค้าจะวางเเผน วางแผนอย่างนี้ เค้าจะไม่ได้ปฏิบัติธรรมกันเลย เพราะอย่างพระผู้เฒ่าที่เเก่เเล้ว เค้าต้องวางเเผน เพื่อจะละญาติ ละตระกูล วางเเผนที่จะละธาตุละขันธ์ ถ้างั้นวันนึงคืนนึงเค้าจะหมกหมุ่นกับเรื่องอย่างนี้ เพราะอย่างพระบางรูปคิดเเต่เรื่องญาติ เรื่องอะไรๆ ของเค้า เค้าก็โทรอยู่อย่างนั้น อารมณ์อย่างนี้มันไม่ได้ อารมณ์อย่างนี้มันต่อภพ ต่อชาติ ไม่สามารถที่จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ได้ จึงต้องน้อมใจสู่พระไตรลักษณ์ให้เยอะ เพื่อใจของเราจะไม่ติดไม่หลง ทุกคนต้องเเก้จิตเเก้ใจของตัวเราเอง พระอริยเจ้าหลายองค์ ไปบวชเเล้วเป็นพระอรหันต์ จนพ่อเเม่จำลูกตัวเองไม่ได้ ทุกคนต้องรู้จักปลงสังขาร ปล่อยวางสังขาร ดังเช่น พระรัฐบาลได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้า ว่าเป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางเป็นผู้ออกบวชด้วยศรัทธา
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปสู่แคว้นกุรุ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ สาวกเป็น บริวาร ประทับอยู่ที่ถุลลโฏฐิตนิคมนั้น ขณะนั้น ชาวบ้าน ซึ่งประกอบด้วยพราหมณ์ และคฤหบดี จำนวนมาก ได้ทราบข่าวการเสด็จมา ก็พากันไปเฝ้าพระบรมศาสดา และมีชายหนุ่มชื่อรัฐบาลไป ด้วย ได้ถวายบังคม แล้วนั่งในที่อันสมควรแก่ตน ส่วนบรรดาชนอื่น ๆ เหล่านั้น บางพวกถวาย บังคม บางพวกได้แต่พูดจาปราศรัย บางพวกเพียงแต่ประนมมือไหว้ และบางพวกก็ประกาศชื่อ โคตรของตน
พระพุทธองค์ ทรงแสดงพระธรรมเทศนา โปรดชาวบ้านทั้งหลายเหล่านั้น ให้เกิด ความเลื่อมใสทั่วกัน ครั้นจบพระธรรมเทศนา ประชาชนทั้งหลาย พากันกราบทูลลากลับสู่บ้าน ของตน ๆ ส่วนนายรัฐบาลนั้น เกิดศรัทธาเลื่อมใสอย่างแรงกล้า เมื่อประชาชนกลับกันหมดแล้ว จึงได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลขออุปสมบท พระศาสดาตรัสถามว่า "ดูก่อนรัฐบาล มารดาบิดาอนุญาตการบรรพชาอุปสมบทของท่านแล้วหรือ?" "ยังไม่ได้ขออนุญาตเลย พระองค์ผู้เจริญ"
พระตถาคตเจ้าส่งสายพระเนตรอันเปี่ยมด้วยความกรุณามายังรัฐบาลกุลบุตร พร้อมตรัสว่า "รัฐบาล ตถาคตไม่อาจบวชกุลบุตรที่บิดามารดาไม่อนุญาตได้"
รัฐบาลกุลบุตรผู้มีดวงเนตรอ่อนโยน แต่แฝงไว้ซึ่งความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ ได้กราบทูลพระสุคตขึ้นว่า "พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำทุกอย่างเพื่อให้มารดาบิดาอนุญาตให้ออกบวชจนได้"
พระจอมมุนีทรงแสดงอาการดุษณีด้วยความเจนจบในเหตุการณ์ทั้งในอดีตและอนาคต ฝ่ายรัฐบาลลุกจากอาสนะถวายบังคมกระทำประทักษิณ แล้วกลับสู่เคหะของตน เข้าไปหามารดาบิดา แจ้งความคิดของตนให้ท่านทราบพร้อมด้วยอาการตกตะลึง ท่านทั้งสองกล่าวว่า "ลูกเอย...เจ้าเป็นบุตรคนเดียวของพ่อแม่ เป็นที่รักดังดวงใจ เจ้ามีแต่ความสุข ได้รับเลี้ยงดูมาอย่างเป็นสุข ไม่เคยได้สัมผัสกับความทุกข์ร้อน เจ้าจักทนต่อความลำบากในเพศบรรพชิตได้อย่างไร ลูกเอย เจ้ายังหนุ่มมีเกศาดำเป็นมันขลับ จงหาความสุขเยี่ยงฆราวาส จงบริโภค จงอยู่ให้บำเรออย่างสำราญ และทำบุญไปด้วยก็ย่อมได้ เราทั้งสองจะอนุญาตให้เจ้าบวชไม่ได้ ไม่อยากพลัดพรากจากเจ้าแม้ชั่วครู่เดียว จะกล่าวไยถึงจะยอมให้เจ้าไปบวช ซึ่งเป็นการแยกกันกิน แยกกันอยู่ แม้มัจจุราช - เจ้าแห่งความตาย พ่อแม่ก็ไม่ปรารถนาให้มาพรากตัวเจ้าไป เมื่อเป็นดังนี้ สิ่งใดเล่าจะมีอำนาจดึงลูกไปจากแม่ ทั้งๆ ที่เราทั้งสองยังมีชีวิตอยู่"
รัฐบาลกุลบุตรเฝ้าอ้อนวอนมารดาอยู่หลายครั้ง แต่ท่านทั้งสองก็คงยืนกรานเช่นเดิม และกล่าวเพิ่มเติมว่า "ลูกเอย เชื่อแม่เถอะ การบวชไม่ประเสริฐอะไรเลย ถ้าลูกจะปรารถนาทำความดีอยู่ในเพศฆราวาสก็ทำได้ และอาจทำได้มากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะมีทรัพย์สินสมบัติเป็นเครื่องอำนวยให้ทำความดีได้โดยสะดวก สมบัติของเราก็มีอยู่มาก ใช้ไปอีกกี่ชั่วคนก็ไม่หมด"
รัฐบาลกุลบุตรตอบว่า "ข้าแต่ท่านมารดา พูดถึงทรัพย์สินสมบัติ ซึ่งเรากระหยิ่มว่ามีอยู่มากนั้น เมื่อนำไปเทียบกับสมบัติบรมจักร หรือรัชสมบัติของพระศาสดาแล้ว ก็นับว่าเป็นส่วนเล็กน้อยเหลือเกิน พระองค์ผู้มีสมบัติมากถึงปานนั้น ยังทรงสละออกผนวชได้ พูดถึงความสุขเล่า ลูกได้ฟังมาจากพระศาสดาพระองค์นั้นว่า โลกียสมบัติและโลกียสุขเป็นสิ่งไม่ยั่งยืนถาวร มีความทุกข์ความร้อนใจ ซ่อนเร้นพัวพันอยู่ด้วยเสมอ สู้อริยทรัพย์และโลกุตตรสุขไม่ได้ ลูกเชื่อพระองค์ เพราะพระองค์ได้ผ่านความสุขทั้งสองอย่างเป็นอันมากมาแล้ว ทั้งโดยปริมาณและคุณภาพ พูดถึงการทำความดี จริงอยู่จะอยู่ในเพศบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ก็ทำความดีได้ แต่โอกาสที่จะกำจัดทุกข์ให้สิ้นเสร็จเด็ดขาดโดยสิ้นเชิงนั้น บรรพชิตย่อมมีโอกาสมากกว่า และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า มิฉะนั้นแล้ว เหตุไฉนเล่า พระบรมศาสดาผู้สมบูรณ์ด้วยความสุขทุกอย่างเยี่ยงราชโอส จะพึงสละโลกียสมบัติ และโลกียสุขออกบวช
ข้าแต่ท่านมารดา ลูกได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะออกบวชให้ได้ หรือมิฉะนั้นก็ความตาย ลูกจะเลือกเอาอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ ถ้ามารดาบิดาไม่ปรารถนาจะเห็นลูกในเพศบรรพชิต ก็คงจะได้เห็นความตายของลูกเป็นแน่แท้"
ท่านทั้งสองคะเนน้ำใจว่า เด็กหนุ่มอย่างรัฐบาลคงมิได้ตั้งใจอะไรจริงจังนัก เพียงแต่ตื่นไปชั่วคราว แล้วคงจะกลับใจเอง จึงมิได้พูดอะไรอีก แต่ท่านทั้งสองเข้าใจผิด รัฐบาลกุลบุตรผู้มีบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว เป็นผู้มีภพสุดท้ายแล้ว ไม่มีอะไรสามารถเหนี่ยวรั้งไว้ได้ ประหนึ่งผลไม้ซึ่งสุกเต็มที่ มีขั้วเหี่ยวแล้ว จะต้องหล่นอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าไม่อาจเข้าใจกันได้โดยวาจาแล้ว รัฐบาลกุลบุตรจึงตัดสินใจขออนุญาตมารดาบิดาด้วยการอดอาหาร นอนบนพื้นอันปราศจากเครื่องลาด ตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า ตรงนี้แหละจะเป็นที่ตัดสินการบวชหรือการตายของเรา วันเวลาล่วงไปถึง ๗ วัน รัฐบาลไม่ยอมแตะต้องอาหารเลยแม้แต่น้อย ท่านทั้งสองมีความกังวลห่วงใยต่อการกระทำของลูกเป็นอันมาก แต่ด้วยทิฐิประการหนึ่ง และด้วยความอาลัยรักอีกประการหนึ่ง ทำให้ท่านทั้งสองทำใจแข็ง ไม่ยอมอนุญาตให้รัฐบาลออกบวช ท่านทั้งสองมาเฝ้าปลอบประโลมให้รัฐบาลบริโภคอาหาร และหาความสุขเยี่ยงคนหนุ่มทั้งหลาย แต่รัฐบาลก็มิได้สนใจเลย มุ่งมั่นแต่บรรพชาอุปสมบทเท่านั้น
สหายของรัฐบาลกุลบุตรได้ทราบข่าวเรื่องนี้ พากันมาช่วยพูดให้รัฐบาลเปลี่ยนใจ แต่ก็หาสำเร็จไม่ จึงชวนกันเข้าไปหามารดาบิดาของรัฐบาล อ้อนวอนท่านทั้งสองให้อนุญาตรัฐบาลออกบวชโดยให้เหตุผลว่า ถ้าไม่ยินยอมรัฐบาลกุลบุตรจะต้องตายแน่ แต่ถ้ายินยอมให้บวชท่านมารดาบิดายังพอมีโอกาสได้เห็นเขาในเพศบรรพชิต รัฐบาลเคยมีความสุข อาจทนอยู่ในเพศนั้นได้ไม่นานนักก็คงจะกลับมายังเรือนของตนเอง ขอได้โปรดอนุญาตให้เขาบวชเถิด มารดาบิดาเห็นสมจริงตามเหตุผลแห่งสหายของลูก จึงยินยอมและกล่าวว่า "ลูกเอย พ่อและแม่รักเจ้าดังดวงใจ ไม่อาจทนดูความตายของเจ้าต่อหน้าต่อตาได้ ลุกขึ้นเถิดลูกรัก เราทั้งสองอนุญาตให้เจ้าบวช เมื่อบวชแล้ว ขอให้มาเยี่ยมพ่อแม่บ้าง"
รัฐบาลได้ยินคำอนุญาตของมารดาบิดา ดีใจเป็นที่ยิ่ง ลุกขึ้นกราบท่านทั้งสองด้วยความเคารพรัก และซาบซึ้งในพระคุณของท่านทั้งสอง เขาบำรุงร่างกายให้มีกำลังพอสมควรแล้ว จัดเครื่องอัฐบริขารเรียบร้อยแล้ว ออกจากเรือนมุ่งไปสู่ที่ประทับของพระศาสดา ในขณะที่มารดาบิดาและปิยชนอื่นๆ มีหน้านองด้วยน้ำตานั่นเอง
เขาได้บวชสมปรารถนา มีความชื่นชมกับเพศใหม่ ที่สงบสงัดจากบาปอกุศล รู้สึกโปร่งใจปราศจากความระแวงในภัยอันตรายที่จะพึงมีเยี่ยงฆราวาส เมื่อพระรัฐบาลบวชแล้วได้ครึ่งเดือน พระศาสดาทรงละถุลลโกฏฐิตนิคมไว้เบื้องหลัง เสด็จจาริกไปสู่นครสาวัตถีราชธานีแห่งแคว้นโกศล ประทับอยู่ ณ เชตวนาราม
ณ ที่นั้นเอง พระรัฐบาลหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรอย่างมอบกายมอบใจให้กับธรรม ไม่อาทรต่อชีวิต ไม่นานนักก็ได้บรรลุธรรมอันเป็นที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ที่กุลบุตรผู้ออกบวชปรารถนากันยิ่งนัก ได้เห็นได้รับด้วยตนเองด้วยปัญญาของตนเอง รู้ชัดว่า บัดนี้ความเกิดของเราสิ้นสุดแล้วกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย
เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พระรัฐบาลระลึกถึงปฏิญญาที่ให้ไว้แก่มารดาบิดา จึงได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทูลลาไปเยี่ยมมารดาบิดา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูจิตใจของพระรัฐบาล ทรงทราบว่า มีจิตใจมั่นคงไม่แปรปรวนแล้ว จึงอนุญาตตามความประสงค์
ครั้นจาริกถึงถุลลโกฏฐิตนิคมแล้ว พระรัฐบาลเข้าไปพักอาศัย ณ พระราชอุทยานชื่อมิคาจีระ ของพระเจ้าโกรัพยะ เวลาเช้าได้ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาต เที่ยวบิณฑบาตในถุลลโกฏฐิตนิคม ตามลำดับตรอก ได้เข้าไปยังนิเวศน์ของบิดา ขณะนั้นท่านบิดากำลังให้ช่างกัลบกสางผมอยู่ที่ซุ้มประตูกลาง ได้เห็นพระรัฐบาลกำลังเดินมาแต่ไกล จำไม่ได้จึงเปรยขึ้นกับช่างกัลบกว่า "สมณะศีรษะโล้นพวกนี้แหละ ที่ชักนำเอาบุตรสุดที่รักคนเดียวของเราไปบวช" พระรัฐบาลไปยืนอย่างสำรวมอยู่ที่ประตูเรือน ไม่ได้การต้อนรับ ไม่ได้อาหาร ได้แต่คำด่าว่าเสียดสีเท่านั้น ท่านได้เดินกลับออกไปด้วยกิริยาสำรวมทำนองเดียวกับตอนที่เข้ามา จิตใจท่านได้พ้นจากความหวั่นไหวในโลกธรรมแล้ว
ขณะที่พระรัฐบาลเดินออกไปภายนอกนั้น มีหญิงรับใช้แห่งญาติของท่านคนหนึ่ง กำลังนำขนมบูดไปทิ้ง พระรัฐบาลได้เห็นแล้วกล่าวกับนางว่า "น้องหญิง ถ้าท่านจะทิ้งสิ่งนั้น ก็ขอจงทิ้งลงในบาตรของข้าพเจ้าเถิด" หญิงรับใช้จึงเทขนมลงในบาตร พร้อมสังเกตลักษณะของพระเถระ จำลักษณะมือเท้า และเสียงได้ จึงได้รีบกลับเข้าไปหามารดาของท่านรัฐบาล เล่าเรื่องให้ฟังโดยตลอด
มารดาของท่านตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก พูดกับหญิงนั้นว่า "ถ้าข้อความที่เจ้าพูดนั้นเป็นความจริง เราจะทำเจ้าให้เป็นไท ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป" ดังนี้แล้ว รีบไปหาผู้เป็นบิดาของลูก กล่าวว่า "รัฐบาล รัฐบาลลูกของเราได้มาถึงที่นี่แล้ว"
ขณะนั้นพระรัฐบาลกำลังฉันขนมบูดอยู่ใกล้ฝาเรือนแห่งหนึ่ง ท่านบิดาได้เข้าไปหาท่านรัฐบาล เมื่อเข้าใกล้ก็จำได้ เห็นอาหารของลูกเช่นนั้น ก็มีน้ำตานองหน้ากล่าวว่า "พ่อรัฐบาล คนอย่างพ่อควรหรือที่มานั่งกินขนมบูด เรือนของท่านก็มี มารดาบิดายังมีชีวิตอยู่ ไฉนจึงประพฤติเหมือนคนห่างเหินไม่รู้จักกัน" คฤหบดียืนจับที่ขอบปากบาตรของพระเถระ แล้วกล่าวคำข้างต้น เมื่อบิดายืนจับที่ขอบปากบาตรอยู่นั้น พระเถระก็ฉันขนมนั้น ขนมนั้นส่งกลิ่นบูดเหม็นเหมือนฟองไข่เน่า เป็นเช่นกับรากสุนัข เล่าว่าปุถุชนก็ไม่อาจกินขนมเช่นนั้นได้ แต่พระเถระ ฉันเหมือนกับอาหารปกติ ครั้นฉันเสร็จแล้วจึงกรองน้ำด้วยธมกรก ล้างบาตร ปาก และมือ แล้วท่านพระรัฐบาลเงยหน้าขึ้นหน่อยหนึ่ง มองดูคหบดีผู้บิดา และคหปตานีผู้มารดาแล้วกล่าวว่า "อาตมภาพหลีกออกจากเรือนแล้ว เป็นอนาคาริกมุนี - ผู้ไม่มีเรือน เมื่อเป็นดังนี้ จักอ้างเอาเรือนใดเล่า เป็นของตน อนึ่งเมื่อสักครู่ใหญ่ที่ผ่านมานี้เอง อาตมภาพได้ไปยืนที่ประตูเรือนของท่านแล้ว ไม่ได้รับการต้อนรับ ไม่ได้คำตอบ ได้แต่เพียงคำด่าว่าเสียดสีเท่านั้น"
"ไปเถิดลูกรัก" ท่านบิดาพูดขึ้น "ไปเรือนของเรา ขาทนียะโภชนียาหารมีอยู่บริบูรณ์เหมือนสมัยเมื่อลูกยังอยู่" ด้วยอาการที่เคร่งขรึม แต่มีกระแสเสียงแจ่มใส พระรัฐบาลตอบว่า "อย่าเลยคหบดี สำหรับวันนี้อาตมภาพทำภัตตกิจเสร็จแล้ว" เพราะเป็นผู้ถือเอกาสนิกังคธุดงค์ (ฉันมื้อเดียว) อย่างอุกฤษฏ์
"ท่านรัฐบาล ถ้าอย่างนั้น ขอท่านได้โปรดรับนิมนต์เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้เถิด"
พระเถระ โดยปกติเป็นผู้ถือสปทานจาริกังคธุดงค์อย่างอุกฤษฏฺ์ (บิณฑบาตตามลำดับบ้าน) จึงปกติจะไม่รับนิมนต์เพื่อฉันภิกษาในบ้านในวันรุ่งขึ้น แต่ที่รับก็เพราะประสงค์จะอนุเคราะห์มารดา เพราะมารดาของท่านเฝ้าคิดถึงแต่พระลูกชายแล้ว ก็เกิดความโศกอย่างใหญ่ ร้องห่มร้องไห้มีดวงตาฟกซ้ำ เพราะฉะนั้น พระเถระคิดว่า ถ้าเราจักไม่ไปเยี่ยมมารดานั้น หัวใจของมารดาจะพึงแตก จึงรับด้วยความอนุเคราะห์
พระรัฐบาลรับนิมนต์ด้วยอาการดุษณี ท่านทั้งสองทราบว่าพระลูกชายรับนิมนต์แล้ว จึงรีบไปยังนิเวศน์ของตน สั่งให้ตกแต่งสถานที่ในบ้านอย่างดียิ่ง ตามที่นิยมกันในเวลนั้นว่าเป็นลิศ แล้วให้ขนเงินและทองมากองไว้เป็นกองใหญ่ แบ่งเป็นสองกอง คือเงินกองหนึ่ง ทองกองหนึ่ง แต่ละกองท่วมศีรษะ ให้ปิดกองเงินกองทองนั้นด้วยเสื่อลำแพนแล้วให้ปูลาดอาสนะไว้ท่ามกลาง ขึงม่นไว้โดยรอบ เรียกหญิงอดีตภรรยาของพระรัฐบาลทุกคนมาแนะนำว่า "เมื่อสมัยที่รัฐบาลบุตรของเราครองเรือน ชอบเครื่องประดับชุดใดของเจ้า เจ้าจงประดับชุดนั้นในวันพรุ่งนี้"
หญิงเหล่านั้นรับคำของบิดาอย่างง่ายดาย ทุกคนได้เตรียมเครื่องแต่งตัวและพัสตราภรณ์ที่เห็นว่าดีที่สุด เพื่อล่อตาล่อใจพระรัฐบาล นางหารู้ไม่ว่า ใจของพระรัฐบาลนั้น อันอารมณ์ใดๆ จะหลอกล่อให้หวั่นไหวมิได้อีกแล้ว แต่...แม้นางจะทราบ การได้แต่งกายสวยงามก็เป็นความรื่นรมย์ใจของหญิงโดยธรรมชาติ การได้เครื่องประดับจึงเป็นสิ่งชื่นชูใจของสตรีทั่วไป จะมียกเว้นอยู่บ้างก็ไม่มากนัก
ครั้นล่วงราตรีแล้ว ท่านเจ้าของบ้านทั้งสองได้สั่งให้ตกแต่งขาทนียะโภชนียาหารอย่างประณีตเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้คนไปบอกภัตตกาลแก่พระรัฐบาล พระเถระไปยังนิเวศน์แห่งบิดาตน นั่งบนอาสนะที่เขาตกแต่งไว้อย่างดีท่ามกลางกองเงินกองทอง บิดาของท่านสั่งให้เปิดกองเงินและกองทองนั้นพร้อมกล่าวว่า "ท่านรัฐบาล... ทรัพย์กองนี้เป็นของมารดา กองนี้เป็นของบิดา กองนี้เป็นของปู่ ทั้งหมดรวมกันเป็นของท่านแต่ผู้เดียว ขอท่านได้บอกคืนสิกขามาเป็นคฤหัสถ์ ใช้สอยทรัพย์สมบัติเหล่านี้และทำบุญตามที่ต้องการเถิด"
พระรัฐบาลมองดูกองเงินกองทองด้วยสายตาที่ไม่อาลัย ไร้ความไยดีอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "ท่านบิดา ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ อาตมภาพไม่เคยเห็นก็หามิได้ อาตมภาพเคยทราบและเคยเห็นตั้งแต่ก่อนออกบวชแล้ว มันยังไม่สามารถเหนี่ยวรั้งอาตมภาพไว้ได้ ก็ไฉนเล่าบัดนี้อาตมภาพจะมานิยมยินดีกับสิ่งที่ไร้สาระนี้ บัดนี้อาตมภาพได้รับสิ่งที่มีรสเลิศกว่าคือธรรมรสแล้ว ขอทรัพย์สมบัติเหล่านี้จงเป็นของผู้ที่ต้องการเถิด อาตมภาพไม่ต้องการ"
มารดาได้กล่าวขึ้นว่า "เหตุไฉนท่านจึงกล่าวว่าทรัพย์สมบัติ เหล่านี้เป็นสิ่งไร้สาระ มันเป็นสิ่งที่คนทั้งหลายแสวงหามิใช่หรือ ถ้ามันไร้สาระจริงแล้ว เหตุไรคนจึงแสวงหากันนัก ถึงกับต้องแย่งชิงฆ่าฟันกันก็มาก?"
"ก็เพราะเหตุที่คนทั้งหลายไร้ปัญญาจักษุ" พระรัฐบาลตอบ
"มีความคิดวิปลาส คลาดเคลื่อน เห็นสิ่งที่ไร้สาระว่าเป็นสาระ และกลับเห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ จึงหมกมุ่นพัวพันอยู่กับอสาระ ทอดทิ้งสิ่งที่เป็นสาระเสีย เสมือนคนเขลาเข้าไปในป่าต้องการแก่นไม้ เอาแต่กิ่งและใบไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น เขาย่อมไม่สำเร็จประโยชน์ด้วยกิจที่ต้องทำด้วยแก่นไม้ อนึ่งท่านทั้งสองกำลังประสบทุกข์โทมนัสอยู่บัดนี้ ก็เพราะทรัพย์สมบัตินี้มิใช่หรือ ถ้ามันเป็นสิ่งมีประโยชน์แท้จริงแล้ว ไฉนจึงให้ความทุกข์แก่ท่านถึงปานนี้ จริงอยู่ชาวโลกย่อมต้องอาศัยทรัพย์สมบัติเลี้ยงชีพ มันมีประโยชน์ต่อเมื่อรู้จักใช้ แต่ถ้ามีมันแล้วยอมตนลงเป็นทาสของมัน ต้องทุกข์ร้อน วิตกกังวลด้วยทรัพย์สมบัติต่างๆ ไม่รู้จักสิ้นสุดแล้ว จะมีประโยชน์อันใด ถ้าโยมทั้งสองเดือดร้อนนัก เพราะเหตุแห่งทรัพย์สมบัตินี้ ก็ให้ขนไปทิ้งแม่น้ำเสียเถิด จะได้ปลอดโปร่ง เบากายสบายใจ อนึ่งเล่าคนอนาถาไร้ที่พึ่ง อดอยากแร้นแค้นในบ้านเมืองนี้ก็ยังมีมากนัก ถ้าท่านทั้งสองจะแจกจ่ายเอื้อเนื้อให้แก่เขาบ้าง ชื่อว่าได้ทำทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ ย่อมได้รับความชื่นสุขเป็นเครื่องตอบแทน อาตมภาพคิดว่าดีกว่าเก็บไว้เป็นกองพะเนินอย่างที่เห็นอยู่นี้ ซึ่งในที่สุดโยมทั้งสองก็จะต้องละทิ้งทรัพย์ทั้งปวงไป และนำไปไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว เมื่อความตายมาถึงเข้า
"ท่านผู้มีพระคุณ" พระรัฐบาลพูดต่อ "จงรีบเถิด รีบขวนขวายแปรสิ่งที่ไม่มีสาระให้เป็นสาระ ทำสิ่งที่ติดตามตนไปไม่ได้ให้กลายเป็นสภาพที่ติดตามไปได้ทุกภพทุกชาติ ท่านเอย จะกล่าวไยถึงทรัพย์สมบัติภายนอกเล่า แม้แต่ร่างกายอันเป็นที่ยึดมั่นหวงแหนว่าเป็นของเรามาตั้งแต่ปฐมวัย จวบจนสิ้นลมปราณเพราะชรา ก็ไม่มีใครสามารถนำไปได้ ต้องทิ้งไว้เป็นเหยื่อของหมู่หนอนและฝูงวิหคนกกา หรือมิฉะนั้นก็พระเพลิง บัดนี้ท่านทั้งสองอันชรามาเยือนแล้วเหมือนใบไม้เหลืองจวนหล่น ขอให้รีบทำที่พึ่งแก่ตนเถิด"
เมื่อได้ฟังดังนี้ ภรรยาเก่าของพระรัฐบาลคร่ำครวญเข้ามาจับที่เท้าของท่าน แล้วรำพันว่า "ท่านผู้เจริญ นางฟ้าทั้งหลายที่เป็นเหตุให้ท่านประพฤติพรหมจรรย์นั้นเป็นเช่นไร ท่านจึงไม่สนใจไยดีต่อโลกมนุษย์เสียเลย"
"ดูก่อนน้องหญิง" พระรัฐบาลตอบ น้ำเสียงแสดงความเป็นผู้ไม่มีอาลัย "เรามิได้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อต้องการนางฟ้า แต่ต้องการความบริสุทธิ์หมดจดจากความเศร้าหมองทั้งปวง" เมื่อได้ยินดังนี้ หญิงเหล่านั้นถึงกับสลบล้มลงด้วยความเสียใจ อนึ่ง นางได้ยินคำว่า "น้องหญิง" จากปากของพระรัฐบาล อันเป็นการแสดงว่า ไม่มีความเยื่อใยแล้ว ทำให้นางมีความรู้สึกทันทีว่า การที่จะให้พระรัฐบาลหวนกลับมาครองเรือนนั้นเป็นอันสิ้นหวัง ท่ามกลางใบหน้าซึ่งชุ่มโชกไปด้วยน้ำตานั่นเอง พระรัฐบาลเอ่ยขึ้นว่า "ดูก่อนคหบดี ถ้าจะพึงให้โภชนะแก่อาตมภาพก็จงให้เถิด อย่าให้อาตมภาพต้องลำบากเลย" ด้วยการเตือนนี้ ทุกคนมีสติระลึกได้ว่า ได้นิมนต์พระรัฐบาลมาฉันอาหารที่บ้าน มิได้นิมนต์มารับทรัพย์มรดก จึงช่วยกันถวายอาหารอันประณีตที่ได้เตรียมไว้แล้วด้วยมือของตน พระรัฐบาลฉันอาหารเสร็จแล้ว ชักมืออกจากบาตรแล้ว ได้ยืนขึ้นเตรียมจะไป ก่อนจาก ท่านได้กล่าวถ้อยคำเป็นเครื่องเตือนใจไว้ว่า "ดูเอาเถิด ดูอัตภาพอันคุมกันเข้าอย่างวิจิตร แต่มีความกระสับกระส่ายกระวนกระวายไม่ยั่งยืนมั่นคง เป็นที่ประสานขึ้นแห่งกระดูกมีหนังเป็นเครื่องห่อหุ้ม แพรวพราวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นที่ดำริถึงของคนเป็นอันมาก แต่ไม่เป็นที่ต้องการของผู้แสวงหาฝั่งคือนิพพาน ท่านเป็นดังพรานเนื้อวางบ่วงไว้ แต่เนื้อไม่ติดบ่วงพรานเนื้อจึงคร่ำครวญเสียใจ เราเป็นเหมือนเนื้อตัวนั้น กินแต่อาหารแล้วจากไป"
กล่าวดังนี้แล้ว พระรัฐบาลจึงเข้าไปยังพระราชอุทยานมิคาจีระของพระเจ้าโกรัพยะ นั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง
เมื่อพระเจ้าโกรัพยะทรงทราบดังนั้น จึงได้เข้าไปนมัสการและตรัสขึ้นว่า "ท่านผู้เจริญ เหตุวิบัติ ๔ ประการ ทำให้บุคคลออกบวช กล่าวคือ ความแก่ ความเจ็บป่วย ความเสื่อมจากโภคทรัพย์ และความเสื่อมญาติ ข้าพเจ้าไม่เห็นความวิบัติแม้ประการเดียวในท่าน เหตุไฉนท่านจึงออกบวชประพฤติพรหมจรรย์"
พระรัฐบาลถวายพระพรว่า "มหาบพิตร พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงธัมมุทเทสไว้ ๔ ประการ ซึ่งอาตมภาพได้ฟังแล้ว ได้รู้เห็นแล้ว จึงออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ ธัมมุทเทส ๔ ประการนั้นคือ
๑. โลกอยู่ภายใต้การครอบงำของชรา ก้าวเข้าไปสู่ชราไม่ยั่งยืน (อุปนียติ โลโก อทฺธุโว)
๒. โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่ (อตาโณ โลโก อนภิสุสโร)
๓. โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป (อสฺสโก โลโก สพ ปหาย คมนียํ)
๔. โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา (อูโน โลโก อติตฺโต ตณหาทาโส)
มหาบพิตร อาตมภาพได้ฟัง ได้รู้เห็นธัมมุทเทสทั้ง ๔ ประการนี้แล้วจึงออกบวช"
ท่านพระรัฐาละได้กล่าวคำนี้แล้ว ภายหลังได้กล่าวคาถาประพันธ์นี้อื่นอีกว่า “เราเห็นมนุษย์ทั้งหลายในโลก ที่เป็นผู้มีทรัพย์ ได้ทรัพย์แล้วย่อมไม่ให้เพราะความหลง โลภแล้วย่อมทำการสั่งสมทรัพย์และยังปรารถนากามทั้งหลายยิ่งขึ้นไป พระราชาทรงแผ่อำนาจชำนะตลอดแผ่นดิน ทรงครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นที่สุดมิได้ทรงรู้จักอิ่มเพียงฝั่งสมุทรข้างหนึ่ง ยังทรงปรารถนาฝั่งสมุทร ข้างโน้นอีก พระราชาและมนุษย์เหล่าอื่นเป็นอันมาก ยังไม่สิ้นความทะเยอทะยาน ย่อมเข้าถึงความตาย เป็นผู้พร่องอยู่ ละร่างกายไปแท้ ความอิ่มด้วยกามย่อมไม่มีในโลกเลย
อนึ่ง ญาติทั้งหลายพากันสยายผมคร่ำครวญถึงผู้นั้น พากันกล่าวว่า ได้ตายแล้วหนอ พวกญาตินำเอาผู้นั้นคลุมด้วยผ้าไปยกขึ้นเชิงตะกอนแต่นั้นก็เผากัน ผู้นั้น เมื่อกำลังถูกเขาเผา ถูกแทงอยู่ด้วยหลาวมีแต่ผ้าผืนเดียว ละโภคสมบัติไปญาติก็ดี มิตรก็ดี หรือสหายทั้งหลายเป็นที่ต้านทานของบุคคลผู้จะตายไม่มี ทายาททั้งหลาย ก็ขนเอาทรัพย์ของผู้นั้นไป ส่วนสัตว์ย่อมไปตามกรรม ที่ทำไว้ ทรัพย์อะไรๆ ย่อมติดตามคนตายไปไม่ได้ บุตรภรรยาทรัพย์และแว่นแคว้นก็เช่นนั้น
บุคคลย่อมไม่ได้อายุยืนด้วยทรัพย์ และย่อมไม่กำจัดชราได้ด้วยทรัพย์ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตนี้ว่าน้อยนัก ว่าไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ทั้งคนมั่งมี ทั้งคนยากจน ย่อมกระทบผัสสะ ทั้งคนพาล ทั้งนักปราชญ์ ก็กระทบผัสสะเหมือนกัน แต่คนพาลย่อมนอนหวาดอยู่ เพราะความที่ตนเป็นพาลส่วนนักปราชญ์อันผัสสะถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว
เพราะเหตุนั้นแลปัญญา จึงประเสริฐกว่าทรัพย์ ปัญญาเป็นเหตุถึงที่สุดในโลกนี้ได้ คนเป็นอันมาก ทำบาปกรรมเพราะความหลงในภพน้อยภพใหญ่เพราะไม่มีปัญญาเครื่องให้ถึงที่สุดสัตว์ที่ถึงการท่องเที่ยวไปมาย่อมเข้าถึงครรภ์บ้าง ปรโลกบ้าง ผู้อื่นนอกจากผู้มีปัญญานั้นย่อมเชื่อได้ว่า จะเข้าถึงครรภ์และปรโลก หมู่สัตว์ผู้มีบาปธรรม ละโลกนี้ไปแล้วย่อมเดือดร้อน เพราะกรรมของตนเองในโลกหน้า เปรียบเหมือนโจรผู้มีความผิด ถูกจับเพราะโจรกรรม มีตัดช่อง เป็นต้น ย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตนเอง ฉะนั้น ความจริง กามทั้งหลายวิจิตร รสอร่อยเป็นที่รื่นรมย์ใจ ย่อมย่ำยีจิต ด้วยรูปมีประการต่างๆ
มหาบพิตร อาตมาภาพเห็นโทษในกามทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นจึงบวชเสียสัตว์โลกทั้งหลาย ทั้งหนุ่มทั้งแก่ เมื่อสรีระทำลายไป ย่อมตกตายไป เหมือนผลไม้ทั้งหลายที่ร่วงหล่นไป มหาบพิตร อาตมภาพรู้เหตุนี้จึงบวชเสีย ความเป็นสมณะ เป็นข้อปฏิบัติอันไม่ผิด เป็นผู้ประเสริฐแท้ ดังนี้แล”
เมื่อพระรัฐบาลกล่าวจบลง พระเจ้าโกรัพยะจึงตรัสว่า "อัศจรรย์จริง ท่านรัฐบาล อัศจรรย์จริง ข้อที่ท่านกล่าวว่า สัตวโลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่ก็ดี สัตว์โลกไม่มีอะไรเป็นของตน ล้วนต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไปก็ดี สัตว์โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ไม่อิ่มไม่เบื่อ เป็นทาสของตัณหาก็ดี ล้วนเป็นความจริงที่น่าอัศจรรย์ทั้งสิ้น พระธรรมของพระผู้มีพระภาคเป็นสวากขาตธรรม - ธรรมที่พระศาสดาตรัสไว้ดีแล้วโดยแท้ เป็นนิยยานิกธรรม = ธรรมที่นำสัตว์ออกจากทุกข์ได้โดยแท้"
พระเจ้าโกรัพยะทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ทรงสดับธัมมุทเทสอันเป็นสัจธรรมที่อำนวยประโยชน์แก่ผู้เพ่งธรรมมิใช่น้อย
พระรัฐบาลอาศัยราชอุทยานมิคาจีระตามสมควร แล้วก็จาริกไปตามอัธยาศัยประดุจเนื้อที่ไม่ติดบ่วง เที่ยวไปในป่าได้อย่างเสรีตามปรารถนา
เหมือนนกน้อย ล่องลอยไป ในนภา เหมือนมัจฉา แหวกว่ายใน ชลาสินธุ์
เหมือนเนื้อทราย ในไพรสัณฑ์ เที่ยวหากิน คือนักบวช สละสิ้น ค้นหาธรรม
ไม่มีห่วง กังวลใจ ให้ใฝ่หา ไม่มีทรัพย์ สิ้นเงินตรา แลน่าขำ
ไม่มีห่วง กังวลใด ให้จดจำ มีเพียง “คำ พระศาสดา” พาดำเนิน ฯ