แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๒๘ ร่างกายเลือดเนื้อเป็นของพ่อเเม่ เราเอาร่างกายไปใช้ในสิ่งที่ดี เพื่อมรรค ผล นิพพาน จึงเป็นการบูชาคุณท่านอย่างสมบูรณ์
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้เป็นวันเเม่เเห่งชาติ เป็นวันวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งในวันนี้พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๙๐ พรรษา โดยเริ่มใช้วันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นมา ประเทศไทยเรามีวันสำคัญ วันชาติ วันพ่อ วันเเม่ วันรัฐธรรมนูญ วันครู วันเด็ก วันทางพระศาสนา อย่างวันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา วันคริสต์มาสของคริสต์ เป็นต้น
เเม่นี้เป็นตำเเหน่งที่สำคัญ ทุกคนเกิดมาเป็นผู้หญิง ถือว่าเป็นเเม่ ต้องปฏิบัติหน้าที่ของความเป็นเเม่ให้สมบูรณ์ ทุกวันนี้เรา เราจะไม่ค่อยได้เคารพเเม่เท่าที่ควร ส่วนใหญ่เราจะสงสารเเม่ เพราะเเม่เป็นผู้ที่มีบุญคุณเป็นผู้ที่เลี้ยงเรามาตั้งเเต่เราอยู่ในท้อง เมื่อคลอดออกมา เเม่ก็เลี้ยงเรามาเเล้วจนเติบใหญ่ เลี้ยงให้เติบโต ให้เรามีการเลี้ยงการศึกษาอย่างดี มีมรดกตกทอด ผู้หญิงทุกคนนั้นคือจะเป็นเเม่ทางร่างกายได้ทุกคน เเต่จะเป็นเเม่ทางจิตใจหมายถึงเเม่ทางธรรม เเม่ทางจิตใจเป็นผู้มีศีลห้า เป็นผู้ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ต้องเป็นผู้ที่ปิดอบายมุขปิดอบายภูมิ เพราะลูกเค้าจะเคารพเราได้ ก็เพราะว่าเราตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ตั้งมั่นในความเป็นธรรม ความยุติธรรม เรียกว่า มีพรหมวิหารสี่ เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ใหญ่ด้านวัตถุภายนอก เเละก็ให้คุณธรรมทางจิตทางใจ การพัฒนาเเม่ต้องพัฒนาทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ที่เอาธรรมะเป็นหลัก เราจะเอาเเต่เพียงกายอยู่กินพักผ่อน ดูหนัง ฟังเพลง ระดับนี้มันเท่ากับสัตว์เดรัจฉาน เปรต ยักษ์มาร อสูรกาย สัตว์นรก อย่างนี้ยังไม่เพียงพอ ลูกหลานเค้าไม่เคารพเรา ถึงจัดให้เราพยายามปลุกระดมทุกอย่าง เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่ คนทำงานรุ่นใหม่ เค้าเคารพคนในผู้หลักผู้ใหญ่ในคนรุ่นพ่อรุ่นเเม่ แต่ก็ยากที่จะให้เค้าเคารพนับถือ เพราะเราไม่มีศีลไม่มีธรรม เค้าเพียงพากันสงสาร ผู้อุปการะคุณเฉยๆ เราพากันคิดก่อนทำ คิดก่อนพูด คิดก่อนทำงาน คิดก่อนใช้เงิน ใช้สตางค์ เอาสัมมาทิฏฐิ เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง พากันประพฤติ พากันปฏิบัติ ดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวัน
ถ้าเราพากันปฏิบัติได้สักรุ่นหนึ่ง อย่างนี้มันจะพากันต่อกันไป จากเด็กรุ่นนี้จนไปถึงคนเเก่ ภาพรวมของคนที่เกิดมาก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดี เราต้องเห็นความสำคัญในการพัฒนาจิตใจพัฒนาคุณธรรม เพราะความดับทุกข์ที่เเท้จริง มันอยู่ที่ปัจจุบัน มันไม่ได้อยู่ที่รวยเป็นมหาเศรษฐี มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เรามีความสุขได้ทุกอาชีพ ที่มันไม่มีความผิด อาชีพที่ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ที่ไม่มีอบายมุข อบายภูมิ เพื่อละความเห็นเเก่ตัว
ทุกคนจะเป็นเเม่ได้ ก็ต้องสมาทานธรรมะ สมาทานความดี ต้องเข้าสู่การสมาทาน เพื่อประพฤติปฏิบัติตัวเอง ผู้ปฏิบัติตัวเองมันก็ต้องทำความดีความถูกต้องไป จนกว่าจะหมดลมหายใจ สมาทานเเล้วต้องปฏิบัติ การปฏิบัติเค้าปฏิบัติถึงตลอด 24 ชั่วโมง เเม้เเต่นอนก็ต้องสมาทาน สมาทานว่าเวลาเรานอนก็ต้องเสียสละ อย่าไปคิดอะไร ถ้าเราไปคิดอะไร เราก็คอร์รัปชั่น ถือว่าคอร์รัปชั่นเวลานอน เวลาในชีวิตของเรา
คือ เราต้องสมาทานความดี สมาทานมีความตั้งมั่น เสียสละ เราต้องละความเห็นเเก่ตัว ตัวเองถึงจะเคารพตัวเองได้ คนอื่นถึงจะเคารพผู้อื่นได้ เราไม่มีศีล ใครจะเคารพเราได้ เราต้องปรับปรุงเราหมด เราทุกคนต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติ อย่างนี้ ทั้งอยู่บ้าน ทั้งอยู่ที่สำนักงาน ต้องปรับปรุงเปลี่ยนเเปลงตัวเอง อย่าให้ความเห็นเเก่ตัวมันเหลืออยู่ อย่าให้ความคิดมันคิดหลายๆ ครั้ง มันโผล่ขึ้นมา เราก็รู้รู้หน้ารู้ตาอยู่เเล้ว มิจฉาทิฏฐิความยึดมั่นถือมั่น เ มันไม่ใช่ความทุกข์ยากความลำบาก ที่ว่าทุกข์ยากลำบากมันความเห็นเเก่ตัว มันไม่ใช่ธรรมะ ไม่อยากรักษาศีลห้า ไม่อยากเสียสละ เป็นคนไม่มีศีลไม่มีธรรมเป็นคนเห็นเเก่ตัว ตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันยิ่งเป็นโรคจิต โรคประสาท โรคฟุ้งซ่าน โรคซึมเศร้า เรามีเเต่ความวุ่นวาย โรคไม่มีความสงบ ตกนรกทั้งเป็น เราไม่ได้เอาอริยมรรคมีองค์ ๘ เข้ามาใช้ เข้ามาทำงานให้มีความสุขในปัจจุบัน เป็นคนที่วิ่งตามเงา มันไม่มีวันทันสักทีหรอก ถ้าเราวิ่งมันก็วิ่งนำหน้าเราไปเรื่อย
วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติทุกท่านทุกคนระลึกถึงแม่... 'แม่' คือผู้ประเสริฐ 'แม่' คือผู้ให้ ให้ทั้งทางกายให้ทั้งใจ 'แม่' จึงเหมือนพระอรหันต์ เหมือนพระพรหม เหมือนเทวดาของลูก นี้คือคุณธรรมของความเป็นแม่ "แม่พิมพ์ทั้งทางกาย แม่พิมพ์ทั้งทางใจ"
ผู้ที่เป็นแม่บางคนก็เป็นอาม่าเป็นยาย บางคนก็ยังเป็นแม่อยู่ บางคนก็ในอนาคตต้องเป็นแม่ ความดีทุกอย่างมาจากคุณแม่ทั้งนั้น ถ้าบุคคลใดได้แม่ที่ดี ได้แม่ที่ ตั้งอยู่ในคุณธรรมของความเป็นแม่ วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ ท่านถึงให้เราทุกคนระลึกถึงพระคุณของแม่... ส่วนใหญ่น่ะเราเป็นลูก เราเกิดมาเราเป็นผู้เอา เราเอาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ออกจากท้องแม่ก็เอาจากแม่มาเรื่อยๆ แม้แต่ใหญ่โตเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ยังเอาจากพ่อจากแม่อีก
พระพุทธเจ้าท่านให้เราระลึกนึกถึงพระคุณของ 'แม่' เพราะแม่ทุกคนก็แก่ก็ชรา บางคนก็แก่มากแล้ว ไม่เหมือนครั้งก่อน ภาระหน้าที่ของทุกๆ คนก็ต้องดูแลเลี้ยงดูแม่ ทั้งทางร่างกาย อำนวยความสะดวกสบาย ดูแลจิตใจ
"ถ้าเราไม่มี 'แม่' ทุกอย่างเราก็ไม่มี ที่เรามีทรัพย์สมบัติ ข้าวของเงินทอง มีอะไรต่างๆ ตลอดถึงมีหน้ามีตาในสังคม... ต้นเหตุก็มาจาก 'แม่' ทั้งนั้น "
ทุกท่านทุกคนน่ะมีหน้าที่ มีการมีงาน มีครอบครัว สิ่งสำคัญเราทิ้งไม่ได้ลืมไม่ได้ ก็คือ 'แม่ของเรา' แม่ของเราบางคนก็อยู่ต่างจังหวัด อยู่ชนบท แต่จิตใจ ท่านนั้นรักเรา ห่วงเรา คิดถึงเรา วันแม่แห่งชาติปีนี้ ก็ได้มีกิจกรรมต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นจิตใจให้ทุกท่านทุกคนได้มีความสำนึก เพื่อกระตุ้นให้เกิดมีคุณธรรม ที่ได้พากันมานอนวัดมาทำบุญนี้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ให้ทุกคนระลึกเสมอว่าเราจะทำความดีทุกอย่างเพื่อแม่ มอบความดีมอบสิ่งดีๆ ให้กับแม่ บางคนยังเป็นเด็กยังไม่ได้เป็นแม่ บางคนก็เห็นภัยในวัฏฏสงสารว่าการแต่งงานนี้มีภาระ เป็นการสร้างปัญหาให้กับตนเองนี้มากขึ้น แต่ทุกท่านทุกคน ก็ถือว่า...ได้ทำความดี เป็นแบบเป็นตัวอย่างให้กับครอบครัว ให้กับสังคมประเทศชาติ เพราะสังคมมวลมนุษย์ทั้งหลายนี้ต้องการคนดี ต้องการแบบพิมพ์ที่ดี
มนุษย์ คือผู้ประเสริฐ มนุษย์ คือผู้มีจิตใจสูง น้อมนำกระทำแต่สิ่งที่ดีๆ ให้กับตนเอง เป็นแบบ... เป็นฉบับ... เป็นตัวอย่างให้กับครอบครัวให้กับสังคมได้
พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ประเสริฐ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ บำเพ็ญความดี บำเพ็ญบารมี ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ท่านได้เอาพระธรรมคำสั่งสอนที่ท่านได้ตรัสรู้แล้วมาบอกเรา สอนเรา ได้ตรัสหลักการกฎเกณฑ์แก่เราทั้งหลาย สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มีอยู่ในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้ทั้งหมด ถ้านอกเหนือจากธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่อาจจะเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ที่แท้จริงได้ เราปฏิบัติได้ทุกกาลทุกเวลา ทุกยุค ทุกสมัย ทันเหตุการณ์ไม่ล้าหลัง เราทุกๆ คน สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันในหน้าที่การงาน
“ท่านให้ปรับตัวเราเอง...เข้าหาธรรมะ อย่าให้ปรับธรรมะ...เข้ามาหาเรา”
เราทุกๆ คนน่ะ ยังมีความคิดเห็นผิด ยังมีความเข้าใจผิด มีความคิดไม่ก้าวไกล มีความคิดไม่รอบคอบ เป็นคนใจอ่อน เป็นคนอ่อนแอ ถึงมีความจำเป็นต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเป็นตัวอย่างเอาพระธรรมคำสั่งสอนเป็นข้อวัตรปฏิบัติ
ศีล ๕ คือข้อวัตรปฏิบัติของเราทุกๆ คน ศีล ๘ ก็สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ คือศีลสำหรับบรรพชิต สำหรับนักบวชที่จะต้องมีรูปแบบปลงผมห่มจีวร 'ศีล' นี้จึงเป็นกฎเกณฑ์ที่จะนำเราทุกคนเข้าสู่ความสุข...ความดับทุกข์ คือ 'พระนิพพาน' ที่เราไม่รักศีล ไม่ชอบศีล ไม่อยากรักษาศีลก็เพราะเราทุกคนกำลังตามใจตัวเอง เอาความอยากเอาความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่ "ความอยาก ความต้องการของเราทุกๆ คน เปรียบ เสมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ..."
เราทุกๆ คนนี้สร้างปัญหาให้กับตัวเอง สร้างปัญหาให้กับคนอื่น เพราะความอยากความต้องการ แม้แต่ได้มาจากการเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่น ได้มาจากความฉลาดของตัวเองที่ทำอาชีพบนความยากลำบากของบุคคลอื่น แต่ทุกท่านทุกคนก็ยังมองเห็นว่าตนเองเป็นคนดีทำไปด้วยความสุจริต
"พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราปรับใจเข้าหา 'ศีล" ทุกๆ คนก็พากันคิดว่าถ้ารักษาศีลมันจะมีความสุขได้อย่างไร มันจะรวยได้อย่างไร คนที่รักษาศีล ๕ คนที่ซื่อสัตย์สุจริตมันไม่รวย มีแต่จน เราจะปฏิบัติอย่างนั้นทำอย่างนั้นไม่ได้ "ความคิดของเราอย่างนี้ เป็นความคิดเห็นที่ยังไม่ถูกต้อง"
"ผู้ที่เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ บุคคลผู้นั้นย่อมไม่วิ่งตามกิเลส ไม่ให้กิเลสมันเผาชีวิตจิตใจตั้งแต่ยังไม่ตาย เรายังไม่ตาย ก็ถูกกิเลสมันเผาแล้วทั้งเป็น"
เรามาคิดดู...เรามาพิจารณาดู...ถ้าเรารวยเราเป็นมหาเศรษฐีแต่ถ้าใจของเราไม่สงบ เราจะเอาความสุขความดับทุกข์มาจากที่ไหน เพราะความสุขความดับทุกข์ที่แท้จริงมันอยู่ที่ใจสงบ ใจที่มีศีลมีธรรม
อย่างเรามีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีเงิน มีสตางค์ มีบ้าน มีรถ มีลาภ ยศ สรรเสริญ ครอบครัวเรามันก็ไม่สงบ เพราะอันนั้นมันเป็นวัตถุ 'ตัวที่สงบ' ก็คือตัว 'ใจ' ของเราไม่มีความอยาก ไม่มีความต้องการ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราพากันปฏิบัติพัฒนาจิตใจ ทุกๆ คน จะไม่ได้ถูกกิเลสมันเผา
"ให้พากันมาเป็นผู้ให้มาเป็นผู้เสียสละ อย่าพากันเอา แม่นี้ต้องเป็นผู้ให้...เป็นผู้ไม่เอา แม่ถึงจะมีความสุข ถ้าแม่เป็นผู้เอา แม่ยังอยากให้เป็นอย่างโน้น...อย่างนี้...แม่ก็ถูกเผาทั้งเป็น เพราะเรามีความอยาก"
พ่อเเม่ก็อยู่ที่เรา ร่างกายเลือดเนื้อก็เป็นของคุณพ่อคุณเเม่ เราเอาร่างกายไปใช้ในสิ่งที่ดี คิดดีๆ พูดดี ทำดีๆ เอามรรคผลนิพพาน เค้าเรียกว่าเรากตัญญูกตเวทีเเล้ว บางคนจะไปเลี้ยงเเม่ทางกายก็ยังไม่เพียงพอ ต้องเลี้ยงเเม่ทางจิตใจ เค้าถึงว่าการมาบวชทำให้พ่อเเม่ได้บุญเยอะ มันได้เปลี่ยนเเปลงตัวเอง จากคนไม่ดีเป็นคนดี จากคนดีเเล้ว ดียิ่งๆ ขึ้นไป เเล้วก็ช่วยเหลือเเม่ เพราะเราทำดีปฏิบัติดีประพฤติดี เรามีความมั่นคงทางธุรกิจที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำบุญทำกุศล พ่อเเม่ก็มีความสุข พ่อเเม่ก็ไว้วางใจ พ่อเเม่ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ไม่คิด ไม่ต้องไปฟุ้งซ่าน ไม่ต้องเป็นโรคจิตโรคประสาทกับเรา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด เพราะถ้าไม่มีพวกท่านที่ได้ให้อัตภาพนี้แก่ผม ผมคงไม่มีโอกาสมานั่งบรรยายธรรมะอยู่ตรงนี้ ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่มีโอกาสที่ได้มาเจอพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ที่นำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบอกมาสอน เพื่อให้ผมได้มีโอกาสมาเปลี่ยนภพภูมิ พวกท่านเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ไม่มีถูก ไม่มีผิด เราจะประพฤติปฏิบัติธรรมแค่ไหนก็ทดแทนไม่มีทางหมด เคยได้ยินเพลงเขาบอกว่า “บวชเรียนพากเพียรจนสิ้น หยดหนึ่งน้ำนมกินทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย” หยดน้ำนมก็คือเลือดในตัวของแม่ที่กลั่นออกมาด้วยความรัก ความห่วงใย ที่คอยเลี้ยงดูเราให้เติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช” ที่แม้จะทรงเป็นพระมหากษัตริย์ แต่ในฐานะที่ทรงเป็น “ลูก” ก็ทรงมีความกตัญญูกตเวทีต่อ “แม่” อย่างหาที่เปรียบมิได้ ลูกๆ ทุกคน ก็รู้กันแล้วว่า ความหวังของแม่ที่มีต่อลูกมี ๓ หวังคือ
ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้ ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ
ในหลวงของเรานอกจากจะเป็นยอดพระมหากษัตริย์ของโลกแล้ว ในหลวงของเรายังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วย ความหวังของแม่ทั้ง 3 หวังในหลวงปฏิบัติได้ครบถ้วน สมบูรณ์ เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดให้แก่พวกเรา
หวังที่ ๑ “ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้”
ใครเคยเห็นภาพที่สมเด็จย่าเสด็จฯ ไปในที่ต่างๆ แล้วมีในหลวงทรงประคองเดินไปตลอดทาง ตอนที่สมเด็จย่าเสด็จฯ ไปไหนเนี่ย มีคนเยอะแยะ มีทหาร มีองครักษ์ มีพยาบาล ที่คอยประคองสมเด็จย่าอยู่แล้ว แต่ในหลวงทรงตรัสว่า “ไม่ต้อง คนนี้เป็นแม่เรา เราประคองเอง”
ตอนเล็กๆ แม่ประคองเรา สอนเราเดิน หัดให้เราเดิน เพราะฉะนั้น ตอนนี้แม่แก่แล้ว เราต้องประคองแม่เดิน เพื่อเทิดพระคุณท่าน ไม่ต้องอายใคร เป็นภาพที่ประทับใจมาก เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านกตัญญูต่อแม่ ประคองแม่เดิน ประชาชนที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จสองข้างทางยกมือขึ้นสาธุ แซ่ซ้อง สรรเสริญ กษัตริย์ยอดกตัญญู
ลองหันมาดูพวกเราส่วนใหญ่ เวลาออกไปไหนแต่งตัวโก้ ลูกชายแต่งตัวโก้ ลูฏสาวแต่งตัวสวย แต่เวลาเดินไม่มีใครกล้าประคองแม่ กลัวไม่โก้ กลัวไม่สวย ข้าราชการแต่งเครื่องแบบเต็มยศ ติดเหรียญตรา เหรียญกล้าหาญเต็มหน้าอก แต่เวลาเดินไม่กล้าประคองแม่ กลัวไม่สง่า กลัวเสียศักดิ์ศรี ประคองแม่เป็นเรื่องของคนใช้ หลายคนให้ประคองแม่ ไม่กล้าทำ อาย
เวลาทำดี ไม่กล้าทำ อาย เวลาทำชั่ว กล้าทำ ไม่อาย
หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่าเสร็จสิ้นลงแล้ว ราชเลขาฯ ของสมเด็จย่ามาแถลงในที่ประชุมต่อหน้าสื่อมวลชนว่า ก่อนสมเด็จย่าจะสิ้นพระชนม์ปีเศษ ตอนนั้นอายุ ๙๓ ในหลวงเสด็จฯจากวังสวนจิตรไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน
ไปทำไม ไปกินข้าวกับแม่ ไปคุยกับแม่ ไปทำให้แม่ชุ่มชื่นหัวใจ เสด็จฯไปกินข้าวเย็นกับแม่ สัปดาห์ละกี่วันทราบไหม สัปดาห์ละ ๕ วัน
มีใครบ้าง? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่ สัปดาห์ละ ๕ วัน หายาก... ในหลวง มีโครงการเป็นร้อย เป็นพันโครงการ...มีเวลาไปกินข้าวกับแม่... สัปดาห์ละ ๕ วัน พวกเราซี ๗ ซี ๘ ซี ๘ ร้อยเอก...พลตรี...อธิบดี...ปลัดกระทรวง ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่...บอกว่า งานยุ่ง แม่บอกว่า...ให้พาไปกินข้าวหน่อย... บอกว่าไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ... ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว... แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ...เห็นตัวเองหรือยัง?
พ่อแม่...พอแก่แล้ว ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ฝนตก น้ำเซาะ อีกไม่นานโค่น...พอถึงวันนั้น...เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว... ในหลวงจึงตัดสินพระทัย ไปกินข้าวกับแม่ สัปดาห์ละ ๕ วัน เมื่อตอนที่สมเด็จย่าอายุ ๙๓ สัปดาห์หนึ่งมี ๗ วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ ๕ วัน อีก ๒ วันไปไหน...? ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์...องคมนตรี บอกว่า... ในหลวง...ถือศีล ๘ วันพระ... ถือศีล ๘ ต้องงดข้าวเย็น...เลยไม่ได้ไปหาแม่... วันนี้เพราะถือศีล อีกวันหนึ่งที่เหลือ... อาจจะกินข้าวกับพระราชินี...กับคนใกล้ชิด แต่ ๕ วัน...ให้แม่
ทุกครั้ง ที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า... ในหลวงต้องเข้าไปกราบ ที่ตัก...แล้วสมเด็จย่า ก็จะดึงตัวในหลวง ..เข้ามากอด... กอดเสร็จก็หอมแก้ม...
ใครเคยเห็นภาพสมเด็จย่าหอมแก้มในหลวงบ้าง ตอนสมเด็จย่าหอมแก้มในหลวง อาจารย์คิดว่า แก้มในหลวงคงไม่หอมเท่าไหร่ เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม แต่ทำไม สมเด็จย่าหอมแล้ว “ชื่นใจ” เพราะท่านได้กลิ่นหอมจากหัวใจในหลวง “หอมกลิ่นกตัญญู” ไม่นึกเลยว่า...ลูกคนนี้ จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้
ตัวแม่เองคือ สมเด็จย่า... ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดาสามัญชน เป็นเด็กหญิงสังวาลย์ เกิดหลังวัดอนงค์ เหมือนเด็กหญิงทั่วไป เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้ ในหลวงหน่ะ เกิดมาเป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า ปัจจุบันเป็นกษัตริย์ เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว
แต่ในหลวง... ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก้มลงกราบคนธรรมดาที่เป็นแม่ หัวใจลูก...ที่เคารพแม่...กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว
คนบางคน พอเป็นใหญ่เป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่ เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ เป็นชาวนา เป็นลูกจ้าง ไม่เคารพแม่ ดูถูกแม่
แต่นี่...ในหลวง เทิดแม่ไว้เหนือหัว นี่แหละคือความหอม นี่คือเหตุที่สมเด็จย่า หอมแก้มในหลวงทุกครั้ง...ท่านหอมความดี หอมคุณธรรม หอมกตัญญูของในหลวง หอมแก้มเสร็จแล้ว...ก็ร่วมโต๊ะเสวย... ตอนกินข้าวนี่ ปกติ แค่เห็นลูกมาเยี่ยม นี่ลูกมากินข้าวด้วย โอย...ยิ่งปลื้มใจ แม่ทั้งหลาย ลองคิดดูซิ...
อะไรอร่อยๆ ในหลวงจะตักใส่ช้อนแม่... อันนี้อร่อยแม่ลองทาน... หยิบผักมาม้วนๆ ใส่ช้อนแม่... รู้ว่าแม่ชอบทานผัก... เอ้าแม่ แม่ทานนะ ของที่แม่ชอบ แทนที่จะกินแค่ ๓ คำ ๔ คำ ก็เจริญอาหาร กินได้เยอะ พราะมีความสุขที่ได้กินข้าวกับลูก มีความสุขที่ลูกดูแลเอาใจใส่ กินข้าวเสร็จแล้ว...ก็มานั่งคุยกับแม่... ในหลวงดำรัสกับแม่ว่ายังไง...ทราบไหม...? ตอนในหลวงเล็กๆ... แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ... "อยากฟังแม่สอนอีก" เป็นยังไงบ้าง? เป็นกษัตริย์...ปกครองประเทศ อยากฟังแม่สอนอีก...
พวกเรา เป็นยังไง...? เรารู้มาก...เราเรียนสูง... เราคิดว่า เรามีปริญญา...แม่จบ ป.๔ เวลาแม่สอน...ตะคอกแม่ ตวาดแม่ กระทืบเท้าใส่แม่ เบื่อจะตายอยู่แล้ว...เมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที...รำคาญ...พูดจาซ้ำซาก ...เราเยียบย่ำ หัวใจแม่...
ในหลวงจะเอากระดาษมาจด... พอสมเด็จย่าสอน.. มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่จำได้แม่น สมเด็จย่า เล่าว่า ตอนเรียนหนังสือที่ Swiss ในหลวงยังเล็กอยู่ เข้ามาบอกว่า อยากได้รถจักรยาน เพื่อนๆ เขามีจักรยานกัน แม่บอกว่า "ลูกอยากได้จักรยาน... ลูกก็เก็บสตางค์ ที่แม่ให้ไปกินที่โรงเรียนไว้ซิ" เก็บมาหยอดกระปุก วันละเหรียญ...สองเหรียญ... พอได้มากพอ ก็เอาไปซื้อจักรยาน... นี่คือสิ่งที่แม่สอน...
แม่สอนอะไร...ทราบไหม...? ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน พอลูกขอ... รับกดปุ่ม ATM ให้เลย ประเคนให้เลย... ลูกก็ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย...เหลิง...และหลงตัวเอง พอโตขึ้น ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ... .ก็ได้...ยิงตำรวจ ยังได้...เพราะหลงตัวเอง... พ่อตนใหญ่ เห็นไหม ตามใจ เทิดทูน จนเสียคน...
แต่สมเด็จย่านี่...เป็นยอดคุณแม่ สร้างคุณธรรมให้แก่ลูก...ลูกอยากได้ ลูกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้ไปหย่อนกระปุก... แม่สอน ๒ เรื่อง คือ ให้ประหยัด ให้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง ใครสอนลูกให้ประหยัดได้... คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก พอถึงวันปีใหม่...สมเด็จย่าก็บอกว่า "ปีใหม่แล้ว เราไปซื้อจักรยานกัน" "เอ้า...แกะกระปุก ดูซิว่ามีเงินเท่าไหร่?" เสร็จแล้ว สมเด็จย่าก็แถมให้...ส่วนที่แถมนะ มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก... มีเมตตาให้เงินลูก ให้...ไม่ได้ให้เปล่า...สอนลูกด้วย สอนให้ประหยัด สอนว่า อยากได้อะไร ต้องเริ่มจากตัวเรา...คำสอนนั้น...ติดตัวในหลวงมาจนทุกวันนี้...
เขาบอกว่า...ในสวนจิตรเนี่ย คนที่ประหยัดที่สุด คือ ในหลวง ประหยัดที่สุด...ทั้งน้ำ...ทั้งไฟ...เรื่องฟุ้งเฟื้อ...ฟุ่มเฟือย...ไม่มี...เป็นอันว่า...ภาพนี้ชัดเจน
หวังที่ ๒ “ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา” ดูว่าในหลวงทรงทำกับแม่ยังไง?
สมเด็จย่าประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ในหลวงเสด็จฯ ไปเยี่ยมแม่ตอนตี ๑ ตี ๒ ตี ๔ เศษๆ จึงเสด็จฯ กลับ ทรงไปเฝ้าแม่วันละหลายชั่วโมง แม่พอเห็นลูกมาเยี่ยมก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ทีมแพทย์ที่รักษาสมเด็จย่า...เห็นในหลวงมาเยี่ยม มาประทับ ก็ต้องฟิตตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือกันตลอดว่า จะถวายยายังไง...จะเปลี่ยนยาไหม...? จะปรับปรุงการรักษายังไง...ให้ดีขึ้น... ทำให้สมเด็จย่า...ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด... กลางคืน ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่า คืนละหลายชั่วโมง ไปให้ความอบอุ่นทุกคืน
ลองหันมาคูตัวเองซิ...ตอนพ่อแม่ป่วย...โผล่หน้าเข้าไปดูหน่อยนึง ถามว่า...ตอนนี้...อาการเป็นยังไง...? พ่อแม่...ยังไม่ทันได้ตอบเลย ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องไปแล้ว...โผล่หน้าไปให้เห็น พอแค่เป็นมารยาท...แล้วก็กลับ... เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู... เราไม่ได้ไปเพื่อทดแทนพระคุณท่าน...น่าอายไหม...?
ในหลวงเสด็จไปประทับกับแม่ตอนแม่ป่วย...ไปทุกวัน ไปให้ความอบอุ่น ประทับอยู่วันละหลายชั่วโมง นี่คือ...สิ่งที่ในหลวงทำ
คราวหนึ่ง ในหลวงป่วย สมเด็จย่าก็ป่วย ไปอยู่ศิริราชด้วยกัน อยู่คนละมุมตึก ตอนเช้าในหลวงทรงเปิดประตูออกมา พยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่าออกมารับลม ผ่านหน้าห้องพอดี ในหลวงพอเห็นแม่ รีบออกจากห้องมาแย่งพยาบาลเข็นรถ มหาดเล็กกราบทูลว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว
ในหลวงมีรับสั่งว่า “แม่ของเรา ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น เราเข็นเองได้”
นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นกษัตริย์ ยังมาเดินเข็นรถให้แม่ ยังมาป้อนข้าวให้แม่ ป้อนยาให้แม่ ให้ความอบอุ่นแก่แม่ “เลี้ยงหัวใจแม่”
หวังที่ ๓ “เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ”
วันนั้น ในหลวงเฝ้าสมเด็จย่าอยู่จนถึงตี ๔ ตี ๕ เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน จับมือแม่ กอดแม่ จนกระทั่งแม่หลับ จึงเสด็จฯ กลับ พอไปถึงวัง เขาโทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์ ในหลวงรีบเสด็จ กลับไปศิริราช เห็นสมเด็จย่านอนหลับตาอยู่บนเตียง ในหลวงตรงเข้าไปคุกเข่า กราบลงที่อกแม่ พระพักตร์ในหลวงตรงกับหัวใจแม่ “ขอหอมหัวใจแม่เป็นครั้งสุดท้าย” ซบหน้านิ่งอยู่นาน แล้วค่อยๆ เงยพระพักตร์ขึ้น น้ำพระเนตรไหลนอง ต่อจากนี้จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว เอามือมากุมมือแม่ไว้ มือนิ่มๆ ที่ไกวเปลนี้แหละที่ปั้นลูกจนได้เป็น “กษัตริย์” เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง “ชีวิตลูก...แม่ปั้น” มองเห็นหวีปักอยู่ที่ผมแม่ ในหลวงจับหวี ค่อยๆ หวีผมให้แม่ หวี หวี หวี หวี ให้แม่สวยที่สุด แต่งตัวให้แม่ ให้แม่สวยที่สุด ในวันสุดท้ายของแม่ เป็นภาพที่ประทับใจที่สุด พระองค์เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู...หาที่เปรียบมิได้อีกแล้ว “พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู”
เมื่อพ่อแม่มีพระคุณมากมายปานนี้ ลูกจึงควรมีคุณธรรมต่อท่าน คุณธรรมของลูกเริ่มที่รู้จักคุณพ่อแม่ คือรู้ว่าท่านดีต่อเราอย่างไร สูงขึ้นไปอีก คือตอบแทนคุณท่าน ในทางพระพุทธศาสนา ได้บรรยายคุณธรรมของลูกไว้อย่างสั้นๆ แต่เก็บความไว้ได้อย่างครบถ้วน คือคำว่า กตัญญู กตเวที คุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นลูกรวมอยู่ใน ๒ คำนี้
กตัญญู หมายถึง เห็นคุณค่าท่าน คือเห็นด้วยใจ ด้วยปัญญา ว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าปากท่องพระคุณพ่อแม่ปาวๆ ไปเท่านั้น
กตเวที หมายถึง การทดแทนพระคุณของท่าน ซึ่งมีงานที่ต้องทำ ๒ ประการ คือ
๑. ประกาศคุณท่าน ๒. ตอบแทนคุณท่าน
คนเราทุกคนคือตัวแทนของพ่อแม่ตนทั้งนั้น เลือดก็แบ่งมาจากท่าน เนื้อก็แบ่งมาจากท่าน ตลอดจนนิสัยใจคอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่าน ความประพฤติของตัวเรานี่แหละ จะเป็นเครื่องประกาศคุณพ่อแม่อย่างชัดแจ้งที่สุด ไม่ใช่อยู่ที่หนังสือแจก ไม่ใช่อยู่ที่หีบศพบนเชิงตะกอน แต่อยู่ที่ตัวเรานี่เอง หากพิมพ์ข้อความไว้ในหนังสือแจกว่า คุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม แต่ตัวเราเองประพฤติสำมะเลเทเมา คอร์รัปชั่นทุกครั้งที่มีโอกาส ศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจรักษาก็ผิดที่ไป สดุดีคุณพ่อแม่ว่าเป็นคนดี สุภาพเรียบร้อย แต่ตัวเรา ผู้เป็นลูกกลับประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล อย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนักลง กลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในการกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษ ให้เครื่องพิมพ์ ให้ช่างเรียงพิมพ์ แสดงกตเวทีแทน แล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็ประจานแก่ ชาวบ้านว่าพ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกไม่เป็นประสา
ไม่ว่าเราจะตั้งใจประกาศคุณท่านหรือไม่ ความประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่านหรือประจานท่านอยู่ตลอดเวลา คิดเอาเองก็แล้วกันว่า เราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเราด้วยเกียรติยศชื่อเสียง หรือจะใจดำถึงกับประจาน ผู้บังเกิดเกล้าด้วยการทำตัวเป็นพาลเกเรและประพฤติต่ำทราม
การตอบแทนคุณท่าน แบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ
๑. เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่าน เลี้ยงดูท่านตอบเมื่อยามท่านชรา ดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่านให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อท่านเจ็บป่วย
๒. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ
แม้ว่าเราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว ยังนับว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ท่านมีต่อเรา ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต้องการจะสนองพระคุณท่านให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำดังนี้
๑. ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็พยายามชักนำให้ท่านตั้งอยู่ในศรัทธาให้ได้
๒. ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ทาน ก็พยายามชักนำให้ท่านยินดีในการบริจาคทานให้ได้ ๓. ถ้าท่านยังไม่มีศีล ก็พยายามชักนำให้ท่านรักษาศีลให้ได้
๔. ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ก็พยายามชักนำให้ท่านทำสมาธิภาวนาให้ได้
เพราะว่าการตั้งอยู่ในศรัทธา การให้ทาน การรักษาศีล การทำสมาธิภาวนาเป็นประโยชน์โดยตรงและเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวบิดามารดาผู้ปฏิบัติ เองทั้งในภพนี้ภพหน้า และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งคือเป็นหนทางไปสู่นิพพาน
ต้นไม้ที่ได้รับการดูแลให้น้ำให้ปุ๋ย ไปบำรุงลำต้นจนสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลาแล้ว ย่อมออกดอกออกผลให้แก่เจ้าของฉันใด คนที่ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เมื่อมีโอกาสย่อมตอบแทนคุณพ่อแม่และผู้มีอุปการคุณฉันนั้น ทองคำแท้หรือไม่ โดนไฟก็รู้ คนดีแท้หรือไม่ ให้ดูตรงที่เลี้ยงพ่อแม่ ถ้าดีจริงต้องเลี้ยงพ่อแม่ ถ้าไม่เลี้ยงแสดงว่าไม่ดีจริง เป็นพวกทองชุบ ทองเก๊