แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันพรุ่งนี้ เป็นวันเเม่เเห่งชาติ เเม่เป็นสิ่งที่สำคัญของชีวิต ทุกอย่างมาจากพ่อจากเเม่ ถ้าพ่อเเม่ดี ลูกก็ดี ถ้าพ่อเเม่เป็นยังไงลูกก็เป็นอย่างนั้น ทุกท่านทุกคนต้องรู้จัก คำว่าเป็นเเม่ เเม่นี้คือเเม่พิมพ์ เเม่เเบบ เเม่น้ำ เเม่ธรณี เเม่นี้คือ ผู้นำ ทุกคนเกิดมา ก็ต้องมาพัฒนาความเป็นเเม่เป็นพ่อ ต้องดูเเลทั้งกายทั้งใจไปพร้อมๆ กัน กายเราก็มีภาระในเรื่อง ต้องให้อาหาร จนกว่าอายุขัยของเราต้องจบไป จิตใจของเราต้องพัฒนาคุณธรรม เพราะร่างกายนี้เรามาใช้ส่วนใหญ่ไม่เกินร้อยปีก็ต้องจากไป ทุกคนต้องเข้าใจอย่างนี้ ต้องพัฒนาตัวเองปฏิบัติตัวเอง เราต้องพากันเข้าใจ
เราจะยากดีมีจนขึ้นอยู่ที่ตัวเราเอง ทุกท่านทุกคนต้องพากันเเก้ไขตัวเอง โดยทั้งกายทั้งใจ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง เราจะไปโทษใครก็ไม่ได้ เราจะได้เป็นไม้ผลัดส่งให้ลูกให้หลาน เราต้องเห็นความสำคัญในความคิดของเรา ในคำพูดของเรา การกระทำทุกอย่างต้องกลับมาเเก้ไขตัวเอง เรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ ถือเป็นหลักการณ์ต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องมันจะมีปัญหาในภายหลัง มันทำให้ครอบครัวมีปัญหา ทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองมีปัญหา ทุกท่านทุกคนต้องพัฒนากันหมด เรียกว่า มีความเห็นเหมือนกัน มีความประพฤติเหมือนกัน ทั้งผู้ที่อยู่วัด อยู่บ้าน อยู่ที่ทำงาน ที่ครอบครัว อย่างนี้ ต้องประพฤติต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ต้องตั้งมั่นในความดี ดีทั้งกาย ดีทั้งวาจา ดีทั้งใจ มีหลักการวิชาการ ทำตามหลักเหตุหลักผล เหนือเหตุเหนือผล ก็คือ เราเสียสละเราไม่หลงเราไม่ติด ที่ดีก็คือ เราเอาศีลเอากฏหมายบ้านเมือง เราไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึก อย่างนี้ทุกคนเข้าใจ ทุกคนก็รับได้ ถ้าเราเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ทุกคนก็รับได้ พระพุทธเจ้าไม่ให้เราพากันซิกเเซก ซิกเเซกยังไงเราก็ไปไม่ได้ เพราะมันไปไม่ถูก เราเป็นคนเก่งคนฉลาดเราก็ต้องเป็นคนดี เราเป็นคนไม่ฉลาด เราเรียนลัดเป็นคนดีเป็นคนซื่อสัตย์ เดี๋ยวความดี ความซื่อสัตย์ก็จะนำเราไป
ในตัวเราต้องไม่มีอบายมุข อบายภูมิ ในครอบครัวเราต้องไม่มีอบายมุข อบายภูมิ อะไรเป็นอบายมุข อบายภูมิ เราไม่เอาธรรมเป็นหลัก ไม่เอาธรรมเป็นใหญ่ไม่เอาธรรมเป็นที่ตั้ง เค้าเรียกว่าอบายมุข ลงสู่ที่ต่ำเรียกว่าอบายภูมิ ครอบครัวเราต้องไม่มีอบายมุข อบายภูมิ ครอบครัวเราต้องตั้งมั่นในพระรัตนตรัย กราบพระไหว้พระ สวดมนต์ไม่กินเหล้า ไม่กินเบียร์เล่นการพนัน ต้องขยัน เสียสละ ให้มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมชัดเจน หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน รู้ความคิด รู้อารมณ์ว่าอันนี้ไม่คิด ถ้ามันคืดให้มันคิดครั้งเดียวก็พอ อย่าไปคิดสองสามครั้ง เพื่อไม่ให้กำลังเค้า ไม่ให้เสบียงเค้า เค้าจะไปรบเค้ามีเสบียงนะ บางทีรบกันนานๆ ถ้าฝ่ายไหนไม่มีเสบียงฝ่ายนั้นก็จะเเพ้ การปฏิบัติ ปฏิปทา เรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ เราต้องกลับมา ใจของเราจะได้สงบ ใจของเราจะได้เย็น
พ่อเเม่ก็อยู่ที่เรา ร่างกายเลือดเนื้อก็เป็นของคุณพ่อคุณเเม่ เราเอาร่างกายไปใช้ในสิ่งที่ดี คิดดีๆ พูดดี ทำดีๆ เอามรรคผลนิพพาน เค้าเรียกว่าเรากตัญญูกตเวทีเเล้ว บางคนจะไปเลี้ยงเเม่ทางกายก็ยังไม่เพียงพอ ต้องเลี้ยงเเม่ทางจิตใจ เค้าถึงว่าการมาบวชทำให้พ่อเเม่ได้บุญเยอะ มันได้เปลี่ยนเเปลงตัวเอง จากคนไม่ดีเป็นคนดี จากคนดีเเล้ว ดียิ่งๆ ขึ้นไป เเล้วก็ช่วยเหลือเเม่ เพราะเราทำดีปฏิบัติดีประพฤติดี เรามีความมั่นคงทางธุรกิจที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำบุญทำกุศล พ่อเเม่ก็มีความสุข พ่อเเม่ก็ไว้วางใจ พ่อเเม่ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ไม่คิด ไม่ต้องไปฟุ้งซ่าน ไม่ต้องเป็นโรคจิตโรคประสาทกับเรา
เราจะเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่เป็นคนเเก่ ถ้าเรามีศีลทุกคนก็เคารพ ถ้าเรามีธรรมทุกคนก็เคารพ ถ้าเรามีปัญญาเสียสละ ไม่หลงงมงายในตัวตน ไม่หลงงมงายในสิ่งภายนอก มีสติมีปัญญา มีพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน โอ้ย... มีความสุขมีความดับทุกข์อย่างนี้ เราต้องกลับมาหาตัวเองนะ ทุกคนต้องสมาทานทุกคนต้องประพฤติการปฏิบัติ อย่าไปทำเหมือนเเต่เก่า มันไม่มีจุดยืนอะไร คนเราต้องเปลี่ยนเเปลงตัวเอง ไม่ใช่เปลี่ยนเเปลงไม่กี่นาทีนะ เปลี่ยนเเปลงยิ่งๆ ขึ้นไป จนพระนิพพานอยู่ในจิตใจของเรามันจะสมบูรณ์ เราเปลี่ยนเเปลงเบื้องต้นถือว่าเป็นอริยมรรค ให้มันเป็นอริยผล ทุกคนต้องกลับจิตกลับใจ กลับกายกลับตัว กลับหางกลับหัว กลับชั่วมาเป็นดี
กราบพระไหว้พระ มันไม่ใช่กราบเเต่ภายนอก ต้องจิตใจนี้เเหละ ต้องละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป เห็นคุณเห็นประโยชน์ในการที่จะปรับปรุงเเก้ไข อย่าไปขอโอกาสขอเวลาไปเรื่อยอย่างนี้ไม่ได้ มันติดนะ ภาชนะนี้มันติดนะ ถ้าไม่ใช่น้ำยาดีๆ ล้าง การที่จะชำระล้างได้ ด้วยสัมมาทิฏฐิ เอาศีลล้าง สมาธิล้าง เอาปัญญาล้าง ให้ทุกท่านทุกคนมีสติมีสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้ารู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าสบายออกสบายมีความสุข ในการเสียสละ พระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ก็จะมีกับเราทุกคน เราไม่ต้องไปหาพระภายนอก หาพระในตัวเรา ปฏิบัติในตัวเรา มีความสุขอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้
พระพุทธเจ้า คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หมายถึงผู้ที่ไม่มีทุกข์อะไรในโลกนี้ มีแต่ความสุขมีแต่ความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านก็ได้เมตตาตรัสพระธรรมคำสั่งสอนให้ทุกๆ คนได้ประพฤติปฏิบัติ ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ย่อมมีอยู่ในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านชี้ทาง บอกทางให้ทุกท่านทุกคนได้ประพฤติปฏิบัติ ถ้านอกเหนือไปจากอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้วไม่อาจเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง
พระพุทธเจ้าท่านได้เมตตาสอนเรื่องความทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ "เพราะเราทุกคนเกิดมาในโลกนี้ มันมีความทุกข์ทั้งทางกาย มีความทุกข์ทั้งทางใจ ทุกข์ทางกายนั้นมันแก้ไขไม่ได้ แก้ได้เพียงแต่บรรเทาทุกข์ แต่ทุกข์ทางใจ' นั้นแก้ไขได้"
มีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า... "ตายแล้วเกิดอีกมั้ย...? พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกถึงเหตุผล... "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นก็ต้องมี" ท่านไม่ได้ตรัสว่า ตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ หมายความว่า ถ้าเรามีความโลภ ความโกรธ ความหลงภพชาติ เราก็ย่อมมี ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นย่อมเกิดแต่เหตุ ถ้ามันจะดับก็ดับที่เหตุ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอน... ปัญหารีบด่วน คือเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดของความทุกข์ สมมุติว่าไฟมันกำลังไหม้เรา เราไม่จำเป็นต้องไปถามคนอื่นเค้า ถ้าเค้าตอบปัญหาของเราได้ เราถึงจะเอาไฟออกจากตัวเรา ปัญหาของเรามันมีชัดเจนอยู่แล้วคือเรื่องของ 'ความทุกข์'
ทุกท่านทุกคนนี้มีความทุกข์ ใครไม่มีความทุกข์นั้นเป็นไปไม่ได้เลย เป็นคนจนก็ทุกข์อย่างคนจน เป็นคนรวยก็ทุกข์อย่างคนรวย เป็นเทวดาก็ทุกข์อย่างเทวดา เป็นพระอินทร์พระพรหมก็ทุกข์อย่างพระอินทร์พระพรหม
อะไรคือความทุกข์...? ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้แหละคือความทุกข์ มันเป็นกองเพลิงใหญ่ มันเผาใจเผากายของทุก ๆ คนอยู่ ตลอดเวลา แต่เราทุกคนนั้นมองไม่เห็น หรือมองเห็น แต่ไม่รู้จะเอาออกได้อย่างไร
คนเราทุกคนนั้นท่านว่า มันไม่มีทุกข์อะไรหรอก มันไม่มีเรื่องอะไรหรอก แต่เราทุกคนไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง เพราะความเห็นผิด คิดผิด ทำผิด คิดว่าได้ทำตามใจทำตามอารมณ์นั้นมันจะมีความสุข มีความดับทุกข์น่ะ แต่ที่ไหนได้ มันสร้างปัญหาให้กับตัวเองทั้งนั้นเลย เปรียบเสมือนเปลวไฟเพียงนิดเดียวนี้เราเอาฝืนเอาถ่านเอาน้ำมันไฟเติมเข้า ยิ่งเติมก็ยิ่งเป็นเพลิงกองใหญ่ "มนุษย์เราแสวงหาความดับทุกข์ ทำทุกอย่างเพื่อความดับทุกข์แต่มันทำไม่ถูกก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์ให้กับตัวเอง สร้างปัญหาต่างๆ นานาให้กับตัวเอง"
พระพุทธเจ้าท่านรู้เรื่องปัญหา ท่านได้แก้ปัญหาได้แล้ว ท่านก็พาพวกเราแก้ไขปัญหาหรือประพฤติปฏิบัติ ความสุขหรือความดับทุกข์ของเราทุกๆ คนนั้นมันอยู่ที่จิตใจสงบ สมมุติว่า เราเป็นคนรวย เป็นมหาเศรษฐี เป็นผู้มีอำนาจของสังคมประเทศชาติ ตลอดถึงมีอำนาจระดับโลกน่ะ ถ้าใจของเรามันไม่สงบก็ถือว่าเราไม่มีความสุข เราดับทุกข์ไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ "ความอยาก ของทุกๆ คนนั้นน่ะ... มันไม่รู้จักพอ มันอิ่มไม่เป็น มันถมเท่าไหร่ ก็ไม่รู้จักเต็ม"
เค้าเอาดินไปถมทะเล ถมมหาสมุทรก็ยังมีวันเต็ม ถ้าเราตามความอยากของเราน่ะมันไม่มีวันเต็ม พระพุทธเจ้าท่านพาเราทุกๆ คนหยุด...หยุดความอยาก...หยุดความโลภ ความโกรธ ความหลง
ให้ทุกคนมามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีจิตใจสงบเย็น อยู่กับเนื้อกับตัวทุกๆ อิริยาบถ มีความตั้งใจมั่นไว้ชอบ ไม่วิ่งตามอารมณ์ ไม่วิ่งตามความคิด ปกติใจของเรานี้มันรวดเร็วว่องไว มันคิดวินาทีเดียวไปถึงต่างประเทศแล้วหรือไปได้ทั่วโลกแล้ว อาการจิตตัวนี้แหละมันเผาตัวเอง ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะที่แข็งแรงสมบูรณ์เราก็แก้ปัญหาตัวเองไม่ได้
แบบอย่างตัวอย่างของเรามีอยู่แล้ว คือ พระพุทธเจ้า ศรัทธาในพระพุทธเจ้า ศรัทธาในพระธรรม ศรัทธาในพระอริยสงฆ์
ทุกอย่างก็น้อมมาหาจิตหาใจ เพราะปัญหาต่างๆ ของเราทุกๆ คนมันอยู่ที่ 'ใจ' เรามาแก้ที่จิตที่ใจ มาปรับที่จิตที่ใจเหมือนเรามาแก้ที่คลื่นโทรทัศน์หรือวิทยุน่ะ ถ้ามากเกินมันก็ไม่ได้ ถ้าน้อยเกินก็ไม่ได้ มันต้องอยู่ที่ทางสายกลาง 'ทางสายกลาง' ก็ได้แก่ ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง
"ศีลทุกข้อนี้ คือ ทางสายกลาง ศีลที่เราปฏิบัตินี้ มุ่งตรงต่อมรรคผลนิพพาน" 'ศีล' ก็แปลว่าความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่มีตัวไม่มีตนถ้าเราปฏิบัติตามศีล เราต้องปรับตัวเข้าหาศีล
'สมาธิ' ก็ได้แก่ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เป็นความสงบ เป็นความเย็น เป็นสิ่งที่ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น
'การปฏิบัติธรรม' ของเรานี้ เราก็ทำหน้าที่ของเราเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพียงแต่เรามาปรับบางอย่างให้ 'เข้าหาศีล เข้าหาสมาธิ เข้าหาปัญญา'
ตั้งแต่ก่อนเราไม่รู้การประพฤติการปฏิบัติน่ะ เช่น เรานั่งอยู่อย่างนี้ แต่ก่อนเราก็ปล่อยให้ใจของเราคิดไปโน่นไปนี่ มีความต้องการอย่างโน้นอย่างนี้ ไอ้ความคิดอย่างนี้แหละมันกำลังเผาเรา เราคิดแล้วเราต้องการอย่างนั้นแล้ว เรามันจะได้อะไร นอกจากเราถูกเผาทั้งเป็น
พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เรามาปรับเพื่อให้ใจของเรามีความสุข ใจของเราสงบเย็น มนุษย์เรานี้แหละถ้าปฏิบัติถูกต้อง จิตใจจะไม่มีความทุกข์เลย
"จิตใจ' ของเรานี้ มันก็มีหน้าที่คิดโน่นคิดนี่ คนไม่ตายก็คิดน่ะ ถ้ามันคิดอย่างนี้เราจะไปทำตามความคิดทำตามอารมณ์ไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านให้เรายินดีในสิ่งที่เรามีอยู่ เรานั่งก็ยินดีในที่เรานั่ง เรานอนก็ยินดีกับเรานอน เราเดินก็มีความยินดีในการเดิน เราทำการทำงานก็ให้ยินดีในการทำงานทุกคนต้องมีความสุข ต้องทำจิตใจของตัวเองให้มันมีความสุข "ให้มัน 'ดับทุกข์' ให้ได้...ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ในปัจจุบัน"
ใหม่ๆ ใจของเรามันก็อาจจะร้อนอาจจะกระวนกระวาย แต่ถ้าเราฝึกบ่อยๆ ด้วยการปฏิบัติน่ะ อีกไม่นานอินทรีย์บารมีของเราจะแก่กล้า จะดีขึ้นแน่นอน
'ใจ' ของคนน่ะมันหยาบมาก
'ใจ' ของคนมันร้อน เพราะถูกแรงเหวี่ยงของกิเลส
เด็กๆ น่ะเกิดมาจิตใจยังบริสุทธิ์ดี เมื่อเติบโตขึ้นทีนี้แหละถูกกิเลสครอบงำ มันเถียงพ่อเถียงแม่ มันก้าวร้าว เถียงผู้หลักผู้ใหญ่ ยิ่งเรียนมากก็ยิ่งรู้มาก กิเลสมันก็มาก จิตใจมันก็ยิ่งหยาบ กิเลสมันเป็นของหยาบของไม่ดี มันเป็นของร้อน จิตใจของเราก็เหมือนกันน่ะมันเป็นกองไฟกองเพลิงเผาตัวเอง ให้ทุกคนพากันรู้ตัวเองว่าตัวเองนี้กำลังมีปัญหา ต้องแก้ที่จิตที่ใจนะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่สายเกินแก้ มันยังไม่แก่ เพราะเรายังไม่ตาย
การปฏิบัติธรรมในทุกอิริยาบถ หน้าที่ของเราทุกอย่างน่ะ พระพุทธเจ้าท่านให้เราเอามาเป็นเรื่องปฏิบัติธรรม ให้มันย่นย่อมาที่ปัจจุบันเพื่อให้มันละเอียด 'ปัจจุบันนี้' เราต้องพูดแต่สิ่งที่ดีๆ ทำแต่สิ่งที่ดีๆ คิดแต่สิ่งที่ดีๆ แก้ทั้งกายแก้ทั้งใจไปพร้อมๆ กัน แก้ปัญหาตัวเองไปเป็นเปราะๆ ปัญหานี้เน้นมาที่จิตที่ใจ ท่านไม่ให้เราพากันขาดสติ ขาดสตินาทีหนึ่ง... ก็เท่ากับเราเป็นคนบ้านาทีหนึ่ง...
ปฏิบัติธรรมะนี้มันไม่ใช่เรื่องเครียดนะ ถ้าเราทำไปแล้ว มันจะมีความสุขมีความดับทุกข์ไปในตัวโดยอัตโนมัติ เราอย่าไปมองไกลนะ ต้องมองมาที่ตัวเราในปัจจุบัน การปฏิบัติที่ถูกต้องน่ะจิตใจที่จะเข้าถึงมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพานสมบัติมันต้องเริ่มต้นจากจิตใจของเราในชีวิตประจำวันจนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพานที่ถาวร ในเมื่อเรายังไม่ตาย ถ้าเรารอจะตายจะเข้าพระนิพพานน่ะมันยังไม่แน่... ให้ทุกท่านทุกคนเน้นมาที่เรื่องมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ในเรื่องจิตเรื่องใจในปัจจุบันนี้มันแน่นอน...
ทุกๆ คนน่ะที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระธรรมคำสั่งสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ปฏิบัติเข้าถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ที่ไม่มีทุกข์ด้วยประการทั้งหลายทั้งปวง
ตัวเราก็มีความสุข เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ภรรยาบุตรธิดาก็ต้องมีความสุขมีความดับทุกข์น่ะ ครอบครัวเราต้องมีความอบอุ่น เราทำมาหากินตัวเราเองก็มีความสุข ครอบครัวเราก็มีความอบอุ่น ต้องเข้าถึงธรรมะ ต้องเข้าถึงการปฏิบัติอย่างนี้ถึงจะใช้ได้...ถึงจะถูกต้อง ถ้าเราถูกเผาทางจิตใจทั้งเป็นแล้ว มันก็ย่อมเผาภรรยาบุตรธิดาไปด้วย
เราให้แสงสว่างกับตัวเอง ให้แสงสว่างทางครอบครัว เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐถือว่าเป็นผู้เกิดมาด้วยความสว่างไสว เราต้องมาเพิ่มความสว่างให้กับตัวเองมากขึ้นตลอดจนถึงครอบครัว
ร่างกายนี้ถึงแม้เราจะทานอาหารพักผ่อนบำรุงรักษาต่างๆ นานา เค้าก็ต้องแก่เค้าก็ต้องเฒ่า สุดท้ายก็เป็นอากงอาม่าลาละสังขารไปในที่สุด เพราะเค้าเป็นวัตถุอย่างหนึ่งที่ได้เกิดขึ้น ได้ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องดับไป ทุกท่านทุกคนน่ะไม่ได้มีตัวไม่ได้มีตนนะ มีตั้งแต่ธรรมชาติที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไปน่ะ ที่เรามาสมมุติว่าเราเป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นเด็ก เป็นคนเฒ่าคนแก่ มีแต่พวกเรามาตั้งเอาเองมาสมมุติเอาเองทั้งนั้น... พระพุทธเจ้าท่านถึงไม่ให้เรามาหลงในตัวในตน หลงในวัตถุข้าวของเงินทอง มันเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน อย่าให้ตัวให้ตนมันบังจิตใจของเรา "ที่ผ่านๆ มาน่ะ...เราก็ได้ตายจากความเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาว มาจนหลายท่านหลายคนเข้าถึงวัยชราแล้ว ทุกอย่างมันไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน"
พระพุทธเจ้าท่านถึงไม่ให้เราไปยึดมั่นถือมั่นอะไร สิ่งที่ดีๆ ที่เรารักเราชอบ มันก็ต้องจากไป อย่างพ่ออย่างแม่ปู่ย่าตายายน่ะเรารักเราชอบเราหวงแหน มันก็จากไป สิ่งที่เราเกลียดที่เราไม่รักไม่ชอบ ไม่ปรารถนาทุกอย่าง มันก็จากไป มันมีอะไรบ้างที่มันไม่จากเราไป สิ่งต่างๆ ล้วนแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปทั้งนั้น เราอย่าให้เปรต อสุรกาย ยักษ์มารมาเผาเรา อยู่ในจิตในใจ มันเกิดอารณ์อะไรขึ้นเราก็เฉยๆ ไว้ 'สมาธิ' ของเราต้องแข็งแรงน่ะถึงจะไม่ให้มันเข้ามาปรุงแต่งใจของเราได้
สิ่งที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบันน่ะ จะเป็นรูป เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส สรรเสริญนินทาน่ะ มันต้องเกิดแก่เราแน่นอน ในชีวิตประจำวัน แล้วแต่อะไรที่จะมาเกิด เราพยายามรู้จักรู้แจ้ง ให้ตั้งมั่นไว้ อย่าหวั่นไหว อย่าไปปรุงแต่งอะไร อดเอาทนเอาเดี๋ยวทุกอย่างมันก็ผ่านไป ความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง การที่เราเข้ามาสงบระงับสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่ปรุงแต่งอะไรน่ะ เป็นความสุขอย่างยิ่ง
เราอย่าเป็นคนใจอ่อน อ่อนไหวตามอารมณ์ หัวเราะร้องไห้ตามสิ่งต่างๆ มันจะมาสัมผัสกับเราในชีวิตประจำวันนั้น มันก็หน้าเก่าๆ นั่นแหละ แต่เราจำหน้ามันไม่ได้ มันก็ความดีความไม่ดีนั้นแหละ สิ่งที่ได้นั้นแหละสิ่งที่เสียนั้นแหละ สิ่งที่ชอบสิ่งที่ไม่ชอบนั้นแหละ มันหน้าเก่าแต่เราไม่รู้จัก มันมีหลายทางหลายรูปแบบ
"ความสงบนี้มันมีกับทุกๆ คนนะ ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะเป็นโยมหรือว่าเป็นพระ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติกัน" พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรามองข้ามสิ่งที่ดีๆ ที่มันกำลังเกิดกับเราในพรรษานี้พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกๆ คนตั้งใจ ไม่ว่าผู้นั้นเป็นพระ ผู้นั้นเป็นญาติเป็นโยม เพราะทุกอย่างมันอยู่ที่กาย วาจา ใจทั้งหมด ทุกท่านทุกคนต้องสมาทานตั้งใจเอา ถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติเราก็เสียเวลาบริโภคอาหารปัจจัยสี่ก็เสียเปล่า ถ้าเรามัวไปแต่คิดว่า...เดี๋ยวก่อนๆ เพราะเรายังหนุ่มยังแข็งแรงอยู่ อีกหลายปีข้างหน้าเราค่อยปฏิบัติ ถ้าเราคิดอย่างนี้แหละ ท่านว่า... เรามีความเห็นผิด เดี๋ยวนี้เป็นปัจจุบัน แล้วอีกหลายวันก็เป็นปัจจุบันไปเรื่อย เพราะดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ที่มันให้กาลให้เวลาว่าวันพรุ่งนี้หรืออีกหลายๆ วัน แต่หัวจิตหัวใจของทุกๆ คน มันก็ยังเป็นปัจจุบันอยู่อย่างนั้น ถ้าเราไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติเดี๋ยวนี้ มันก็จะผัดวันประกันพรุ่ง
ต้องสมาทานต้องตั้งใจ อันไหนไม่ดีก็ทิ้งให้หมด เปลี่ยนเอาสิ่งที่ดีๆ เมื่อเราตัดอาหารเค้าไม่ทำตามกิเลสน่ะ ใจของทุกท่านก็จะมีทุกข์ เพราะมันได้ตามใจแล้วเราไม่ทำตามใจเค้า เค้าก็เป็นทุกข์ เมื่อมันเป็นทุกข์แล้วเราต้องมาไปเรื่อยๆ แก้ที่ใจของเรา ให้ใจของเราสงบ ให้ใจของเราเกิดปัญญา อย่างเรารักษาศีล ๘ อย่างนี้นะร่างกายมันหิว เมื่อมันหิวแล้วใจมันก็ไม่สงบ นี่เรายังแก้ที่กายไม่ได้เราก็มาแก้ที่ใจ ให้ใจมันสงบ บอกเค้าสอนเค้าว่าไม่ต้องไปคิดมาก คิดมากเราก็ไม่ได้ทานแล้วเพราะเราถือศีล ๘ ทำใจให้สงบ ฝึกสมาธิให้ใจเย็น เมื่อใจของเราสงบ ปัญหาต่างๆ มันก็ไม่มี เพราะปัญหาที่เรามีทุกอย่างอยู่ที่ใจของเราไม่สงบ "สงบทางกายมันก็ระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องเลื่อนขั้นเลื่อนฐานะมาสงบ 'ใจ' เพราะกายมันไม่จีรังยั่งยืน"
ทั้งพระภิกษุสามเณรพระพุทธเจ้าท่านก็ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ถึงจะมีผลใหญ่ เป็นอานิสงส์ใหญ่ เป็นบุญวาสนาบารมีของเรา ญาติโยมก็พากันตั้งอกตั้งใจ
ประพฤติปฏิบัติธรรม ถือว่า...ทุกท่านทุกคนมาสร้างบุญสร้างบารมี มาสร้างความดีร่วมรวมกัน มีความรักมีความเมตตากันมากๆ ที่ไหนมีเมตตาที่นั่นก็มีความสุขความสงบความอบอุ่น แต่ละคนแต่ละท่านนั้นอินทรีย์บารมีมันไม่เหมือนกัน บางคนก็ย่อหย่อนอ่อนแอก็ช่างหัวเขานะ เรามันเป็นคนเก่งคนฉลาดน่ะมันมองเห็นคนอื่นเน๊อะ
"มองเห็นคนอื่นมันก็ไม่สำคัญ เท่ากับมองเห็นตัวเอง"
ช่วงนี้เข้าพรรษามาจะครบ ๑ เดือน พระภิกษุสามเณรกับอุบาสกอุบาสิกาที่อยู่วัดก็พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้มันดีให้มันเต็มที่ ผู้ที่กลับไปบ้านไปทำงานก็ประพฤติปฏิบัติอยู่ที่บ้านที่ทำงาน แล้ววันเสาร์วันอาทิตย์หรือวันหยุด มีโอกาสมีเวลาก็พากันมาวัด แต่การประพฤติปฏิบัตินั้นก็ถือสถานที่แห่งนั้นๆ ทุกหนทุกแห่งเป็นการประพฤติปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราคิดว่าอยู่ที่บ้านที่ทำงานนั้นปฏิบัติไม่สะดวก สิ่งแวดล้อมไม่อำนวย ถ้าเราคิดอย่างนั้นเราคิดผิดน่ะ เพราะเราต้องแก้กาย วาจา ใจของเราอยู่ทุกหนทุกแห่งถึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง การประพฤติการปฏิบัติน่ะ มันถึงจะครบ ในการดำเนินชีวิตของเราถึงจะเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพราะในบ้านในสังคมทุกคนก็ต้องการคนดีอยู่แล้ว แต่เรามันมีความคิดเห็นผิด มีความเข้าใจผิดว่ารักษาศีลปฏิบัติธรรมนั้นเราจะเป็นคนเสียเปรียบ ถูกเพื่อนเอาเปรียบ การดำรงชีวิตก็ไม่ค่อยจะร่ำรวยน่ะ...เราพากันคิดอย่างนั้นถ้าเราเป็นคนดี เป็นคนเสียสละ เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว เป็นคนมีศีลมีธรรมน่ะ ในสถานที่นั้นๆ ก็ย่อมเกิดมงคลเป็นมงคล เราจะได้มีทั้ง...โภคทรัพย์และอริยทรัพย์ไปในตัว ในชีวิตประจำวันเราก็มีความสุข ผู้ที่อยู่ในครอบครัวหรืออยู่ในที่ทำงานเค้าก็มีความสุข เป็นการที่เราได้แชร์ความสุขให้กันและกันเป็นอย่างดียิ่ง
ทุกท่านทุกคนบอกว่าไม่มีเวลานั้นไม่จริง เพราะการปฏิบัติธรรมมันเป็นอัตโนมัติอยู่ในตัวทุกอณู ในการประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธินี้สำคัญ เราจะไปบอกว่าเราไม่มีเวลา เราเหนื่อยจากการทำงานนั้นไม่ได้นะ เรามาคิดดูเวลาเราดูโทรทัศน์นั้นน่ะ ดูหนังดูละคร ฟังเพลงดูคอนเสิร์ตในโทรทัศน์...ทำไมเรามีเวลานี้เพราะจิตใจของเรามันไม่เห็นคุณค่าในความดีความประเสริฐนะ ทุกท่านทุกคนต้องทำได้ปฏิบัติได้
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็มารวมอยู่ที่จิตใจของเรานั้นแหละ เราพยายามสร้างกายของเรา สร้างวาจาของเรา สร้างใจเราให้มันเป็นพระ พระแปลว่าผู้เสียสละ เห็นภัยในวัฏสงสาร พระคือผู้ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ไม่มีลูก ไม่มีหลาน ไม่มีทรัพย์สมบัติ อะไรๆ ที่มันมีอยู่มันเป็นของชั่วคราว เหมือนลมผ่านมาผ่านไป เหมือนพยับแดดเดี๋ยวมันก็ไม่มี
พระพุทธเจ้าให้เราฝึกใจอย่างนี้ๆ ทุกๆ วัน อินทรีย์บารมีของเราจะค่อยๆ แก่กล้าขึ้น นี่เป็นงานของเราทั้งทางกายทางจิตใจในชีวิตประจำวัน เราปฏิบัติแบบนี้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม
ทุกๆ คนต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ไม่มีใครมาปฏิบัติแทนเราได้ เราถือว่าเราเป็นคนมีบุญ มีชีวิตอยู่ที่เรายังไม่ตาย มัจจุราชคือความตายยังให้โอกาสเราได้ทำความดี สร้างบารมี ด้วยเหตุนี้เราถึงต้องปฏิบัติเดินตามรอยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า