แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
จังหวัดนี้สำคัญอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด, นายก อบจ., สส., สว., สำคัญอยู่ที่ผู้บังคับการตำรวจ, ผู้การทหาร, สำคัญอยู่ที่เจ้าคณะจังหวัด, ในอำเภอหนึ่ง ความสำคัญก็อยู่ที่นายอำเภอ, ผู้กำกับ, เเละเจ้าคณะอำเภอ ระดับตำบลก็สำคัญอยู่ที่กำนัน, นายก อบต., นายกเทศบาล, เจ้าคณะตำบล ถ้าหมู่บ้าน ก็สำคัญอยู่ที่ผู้ใหญ่บ้าน อบต.ประจำหมู่บ้าน สำคัญอยู่ที่เจ้าอาวาส สำคัญอยู่ที่ ผอ.โรงเรียน ถ้าที่ครอบครัว ความสำคัญอยู่ที่พ่อ อยู่ที่เเม่ ถ้าวัดก็สำคัญอยู่ที่เจ้าอาวาส ผู้นำจึงเป็นผู้ที่สำคัญเพราะเป็นหัวจักร เป็นผู้ที่นำขบวน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ กัลยาณมิตร “กัลยาณมิตร” เป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ พระพุทธเจ้า และ ครูอาจารย์ เป็น“กัลยาณมิตร” ของเรา
“พระพุทธเจ้านั้นทรงเป็นพระศาสดา เป็นพระบรมครู การที่เป็นพระบรมศาสดา หรือเป็นพระบรมครู ก็คือ เป็นครูอาจารย์ ฐานะความเป็นครูอาจารย์ของพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองในพระสูตรหนึ่ง มีพุทธพจน์ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราเป็นกัลยาณมิตรของสัตว์ทั้งหลาย อาศัยเราผู้เป็นกัลยาณมิตร สัตว์ทั้งหลายที่มีความเกิด มีความแก่ มีความตายเป็นธรรมดา ก็พ้นไปได้จากความเกิด ความแก่ ความตาย สัตว์ทั้งหลายผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เป็นธรรมดา ก็พ้นไปได้จากโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส”
อันนี้หมายความว่า พระพุทธเจ้านั้น ทรงเป็นกัลยาณมิตรของสัตว์ทั้งหลาย คือของพวกเราทั้งหลาย การที่พระองค์ทรงสั่งสอนธรรมนั้น ทรงทำหน้าที่ของกัลยาณมิตร พระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตรผู้สูงสุด พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ตลอดจนพระเถระ ครูอาจารย์ต่างๆ ก็ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ลดหลั่นกันลงมา
กัลยาณมิตรนั้น ทำหน้าที่อย่างไร แปลตามตัวอักษร กัลยาณมิตร ก็คือ เพื่อนที่ดี พระพุทธเจ้าก็เป็นเพื่อนที่ดีของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เพื่อนที่ดีเป็นผู้ที่ห้ามปรามจากความชั่ว แนะนำให้ตั้งอยู่ในความดี สั่งสอนให้เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยฟัง สิ่งใดที่เคยรู้เคยฟังแล้ว ก็ทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้เป็นต้น
แม้แต่เพื่อนที่เรียกว่า เป็นมิตรสหายธรรมดา ถ้าหากว่าเป็นคนดีจริงๆ ก็สามารถทำหน้าที่กัลยาณมิตรอย่างนี้ได้ เป็นแต่ว่าทำได้ในสัดส่วนแตกต่างกันไป แม้แต่ในหลักทิศ ๖ ส่วนที่ว่าด้วยเรื่องมิตร ก็มีคำสอนทำนองนี้ ในเรื่องของมิตรแท้มิตรเทียม มิตรสหายทั่วๆ ไป ที่เราคบหานี้ ก็ต้องทำหน้าที่อย่างนี้ และพระพุทธเจ้าทรงทำหน้าที่นี้จนถึงที่สุด จนกระทั่งว่า ไม่ใช่เฉพาะจะห้ามปรามไม่ให้ทำความชั่ว ให้ตั้งอยู่ในความดีธรรมดาเท่านั้น แต่ทรงทำจนกระทั่งว่าให้เว้นอกุศล ให้บำเพ็ญกุศลเจริญขึ้นไปจนเลยโลกียกุศลไปถึงโลกุตรกุศล จนกระทั่งหลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ทั้งปวง พระพุทธเจ้าทำหน้าที่กัลยาณมิตรอย่างนี้ ก็คือการที่ทรงมาช่วยเหลือเรานั่นเอง เราเรียกว่าพระองค์ช่วยเหลือเรา”
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของชาวศักยะชื่อสักระ ในแคว้นสักกะของชาวศากยะทั้งหลาย ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นกึ่งหนึ่งแห่งพรหมจรรย์เทียวนะ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ก็ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียว ดูกรอานนท์ อันภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญ... จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคมีองค์ ๘.
ดูกรอานนท์ ก็ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี ย่อมเจริญ... ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างไรเล่า?
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ย่อมเจริญสัมมาสังกัปปะ… สัมมาวาจา…สัมมากัมมันตะ… สัมมาอาชีวะ… สัมมาวายามะ… สัมมาสติ… สัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี ย่อมเจริญ... ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างนี้แล.
ดูกรอานนท์ ข้อว่า ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียวนั้น พึงทราบโดยปริยายแม้นี้ ด้วยว่าเหล่าสัตว์ผู้มีชาติเป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากชาติ ผู้มีชราเป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากชรา ผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากมรณะ ผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เพราะอาศัยเราผู้เป็นกัลยาณมิตร ดูกรอานนท์ ข้อว่า ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียวนั้น พึงทราบโดยปริยายนี้แล.”
พระพุทธเจ้าให้เราเดินสองอย่าง ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ มีการพัฒนาเทคโนโลยี มีการพัฒนาการงาน ทุกด้าน เเล้วก็พัฒนาจิตใจ ผู้นำถึงมีทั้งความรู้ มีทั้งความประพฤติที่ดี เพราะความรู้นี้ต้องคู่กับคุณธรรม ผู้นำทุกคน ที่เป็นประชาชนที่ยังไม่ได้บวช ต้องมีศีล 5 ผู้นำทางบรรพชิตหนึ่ง ต้องมีศีล 227 ที่มาในพระปาติโมข์ ที่มาในพระวินัยปิฏก 21,000 พระธรรมขันธ์ ประเทศไทยเรามันยังไม่สมบูรณ์ มีการเรียนการศึกษาก็พอสมควร เเต่ในด้านการประพฤติการปฏิบัติทางจิตใจ ทางคุณธรรม ถือว่ายังใช้ไม่ได้ ยังสอบไม่ผ่าน ยังไม่ใช่ระดับที่จะทำให้บ้านเมือง ครอบครัวอยู่ร่มเย็นเป็นสุขได้
ทุกท่านทุกคนต้องพากันมาเสียสละ เพราะความเสียสละ นี้เป็นการพัฒนาใจ การเสียสละนี้เป็นการพัฒนาการเรียนการศึกษา เเละการประพฤติการปฏิบัติ ที่เรียกว่าศีล ในสังคมพุทธ หรือ สังคมอิสลาม ก็ย่อมไม่มีอบายมุข ไม่กินเหล้า ไม่เจ้าชู้ ไม่เล่นการพนัน ในสังคมคริสต์ ก็ยังบกพร่องเรื่องเหล้า เรื่องเบียร์ เรื่องสิ่งเสพติด ถ้าเราไม่เสียสละ เราก็เป็นคนไม่มีศีล เป็นคนไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา คนที่ไม่มีศีล คนที่ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ใครเค้าจะนับถือ อย่างผู้ว่าอย่างนี้ หรือตำรวจทหาร หรือข้าราชการนักการเมืองต่างๆ เจ้าคณะจังหวัด อำเภอ ตำบล จนถึงระดับเจ้าอาวาส หรือ เป็นพ่อ เป็นเเม่ ในครอบครัว ถ้าไม่มีศีลทุกคนก็ไม่สามารถไว้วางใจได้
โลกเรามีความจำเป็นต้องพัฒนาทั้งการเรียนการศึกษา ความเข้าใจ ต้องพัฒนาความประพฤติ ทั้งเทคโนโลยี เเละ พัฒนาทางจิตใจ ในการละความเห็นเเก่ตัว ถึงจะเข้าถึงความสงบ ความร่มเย็นได้ ชาติ ศาสน์กษัตริย์ ถึงจะมีความเจริญที่ถาวรเเละมั่นคงยิ่งๆ ขึ้นไป พระพุทธเจ้าให้เราทุกคนพากันมาเสียสละ ตื่นขึ้นมา เมื่อมีลมหายใจอยู่ ต้องคู่กับการเสียสละ ถ้าเราทำตามใจทำตามอารมณ์ ทำตามความรู้สึก เราก็เป็นคนไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา เป็นคนที่ไม่เสียสละ การเสียสละพระพุทธเจ้าให้พวกเราทุกคนมาเน้นในปัจจุบัน เพราะอดีตปฏิบัติไม่ได้ เเล้วอนาคตก็ยังมาไม่ถึง จึงต้องเน้นปฏิบัติในปัจจุบัน ต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกๆ คนต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ เราอย่าพากันมาติดอยู่ในความสุขความสบาย อยู่ในความเห็นเเก่ตัวนี้ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เมื่อเราปฏิบัติในปัจจุบัน มันเป็นการที่เเก้ไขตัวเอง เป็นการพัฒนาตัวเอง คนอื่นเค้าก็ย่อมมองเรา เพราะเค้ามีตามีหูมีจมูกมีลิ้นมีกายมีใจ ทุกท่านก็จะได้มีทรัพย์ เเล้วก็มีอริยทรัพย์ ชีวิตของเราถึงจะไม่เสียโอกาส ความเหน็ดความเหนื่อย ความยาก ความลำบาก ในเรื่องธาตุเรื่องขันธ์มันเป็นเทวทูต มาบอกเรา ว่าทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกท่านทุกคนต้องพากันพัฒนาตัวเอง ต้องเเก้ปัญหาเรื่องจิตเรื่องใจของตัวเอง
ทุกท่านทุกคนอย่ามาอาศัยส่วนที่เรารับราชการ เพื่อที่ทำมาหาอยู่หากินเพื่อหาเลี้ยงชีพ อย่ามาอาศัยการเมืองเพื่อทำมาหากิน อันนี้ไม่ใช่ ต้องพากันเข้าใจ ถ้าทำอย่างนั้น มันไม่ใช่ความเป็นธรรม ความยุติธรรม เราต้องพากันมาเสียสละ ทุกท่านทุกคนต้องสมาทาน ต้องตั้งใจ ไม่สมาทานไม่ตั้งใจไม่ได้ ขนาดการสมาทาน ตั้งเเล้วตั้งอีกมันก็ไม่ได้ เเล้วก็ต้องทำติดต่อต่อเนื่อง ต้องทำหลายวัน หลายอาทิตย์ เพราะเราทุกคนสมาธิไม่ตั้งมั่น จะเข้าสมาธิ จะเป็นสมาธิ ห้านาที สิบนาทีอย่างนี้ก็ไม่ได้
ทุกท่านทุกคนต้องมีความสุขในการดำรงชีวิต ในการประพฤติการปฏิบัติต้องอาศัยลำเเข้งอาศัยปลีเเข้งของตัวเอง โดยอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ไม่ต้องมีข้อเเม้ใดๆ ทั้งสิ้น สถาบันครอบครัวเราถึงจะได้เกิดความมั่นคง สถาบันทางวัดทางโรงเรียนถึงจะเกิดความมั่นคง เราพากันประมาท ก็เพราะความไม่รู้ ประมาทเพราะพากันติดสุขติดสบาย เเล้วก็มุ่งหาประโยชน์จากอาชีพ ไม่มีใครมาเสียสละ ทุกท่านทุกคนต้องพากันทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ถ้าไม่สมบูรณ์ ก็ไม่ควรจะเป็นผู้ว่าราชการ ไม่ควรเป็นเจ้าคณะจังหวัด ไม่ควรที่จะรับตำเเหน่ง สส. สว. สจ. สท. อบต. ไม่สมควร ถ้าเป็นเเล้วก็มีเเต่เกิดความล้มเหลว เป็นการทำลายความมั่นคงโดยที่ประเทศไทยเราได้ทำมาติดต่อต่อเนื่อง
ผู้พิพากษา อัยการ เจ้าหน้าที่ตุลาการ ทำหน้าที่ความเป็นธรรม ความยุติธรรม ไม่มีอคติทั้ง 4 ไม่ให้ระบบข้าราชการ หรือ นักการเมืองที่ยังไม่ได้เอาความถูกต้องเป็นหลักครอบงำได้ เพราะศาลยุติธรรมมันต้องดีกว่าศาลพระภูมิ ศาลพระภูมิเค้าเซ่นไหว้ดีกว่าอำนวยความสะดวก
ระบบต่างๆ ที่เราทำกันมาอะไรก็ล่าช้า ไม่ทันเวลา ทำงานไม่รวดเร็ว เป็นข้าราชการก็ต้องเสียสละ เป็นนักการเมืองก็ต้องเสียสละ เป็นพระก็ต้องเสียสละ เป็นพ่อเป็นเเม่ต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละ ตัวเราก็ไม่เคารพนับถือเรา ทุกท่านทุกคนต้องสมาทาน ประชาชนที่เป็นข้าราชการนักการเมือง เป็นอะไรต่างๆ ต้องมีศีล 5 ถ้าเราไม่มีศีล 5 ไม่ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย คือเราเอาตัวตนเป็นหลัก เป็นที่ตั้งนี้มันไม่ได้ มันจะซิกเเซกยังไงมันก็ไม่ได้ มันต้องเข้าสู่ระบบ ความเป็นธรรม ความยุติธรรม ทางจิตใจ เราทุกคนต้องมีสติ มีสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม ให้ชัดเจน หายใจเข้า หายใจออกก็รู้ชัดเจน รู้ว่าอันไหนมันผิด เราสมาทานไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ พวกเหล้าพวกเบียร์ พวกการพนัน อะไรต่างๆ เราต้องสมาทานหยุดละเลิก เราจะเอาเเต่ทางตัวตนนี้ไม่ได้ เราต้องเอาธรรมะ คือธรรมาธิปไตย เเม้สังคมเรามันจะเป็นประชาธิปไตย เเต่ประชาธิปไตยนั้นก็ถือว่า มันยังเป็นนิติบุคคลอยู่ ไม่ได้เข้าถึงระดับธรรมะ เมื่อตัวเราเองยังบอกยังสอนปฏิบัติตัวเองยังไม่ได้ แล้วเราจะไปเเก้ไขใคร ทุกคนก็ต้องมีสักกายภาพ ในการประพฤติการปฏิบัติเริ่มต้นจากผู้นำ จากพระเจ้าพระสงฆ์ จากพ่อ จากเเม่ เราอย่าไปใจอ่อน พวกเหล้าพวกเบียร์ พวกการพนัน สมาทานหยุดกันหมด ในตัวเรา ครอบครัว หมู่บ้านของเรา ถึงจะได้มีความมั่นคง การประพฤติการปฏิบัติ มันจะติดต่อต่อเนื่อง
ทำไมเราก็ไม่ไว้ใจตัวเอง เหมือนผู้ที่มาบวช มาบวชเเล้วก็ไม่ตั้งมั่นในพระวินัยทุกข้อ ทั้งระบบความคิด ก็ไม่เเน่ใจว่าตัวเองจะบวชต่อไป หรือจะสึก บวชไปเรื่อยๆ อย่างนี้เค้าเรียกว่า ลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าเราทุกคนตั้งมั่นมันก็จะไปเรื่อยๆ เพราะว่ามันจะเป็นปัจจุบันธรรม ถ้าเราทำอย่างนี้ มันถึงจะมีความสุข เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง ผู้ที่เป็นพระเป็นเณร เค้าถึงจะมีความสุข ไหว้เราได้สนิทใจ เราจะทำใจของเราให้สะอาด กายของเราสะอาด ที่อยู่ที่นอนก็ทำให้สะอาด มันจะไม่เป็นเหมือนที่เรามองวัดในประเทศไทยขณะนี้ ที่อยู่ที่อาศัย ศาลา ห้องน้ำ ห้องสุขาก็สกปรก เพราะมาจากจิตใจของเราก็สกปรก ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้านนั้นไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า เราต้องมาเสียสละ เราปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าเราปฏิบัติไม่ได้ เราก็สมควรที่จะลาสิกขาไป ไม่สมควรที่จะให้ประชาชนยกมือไหว้ มันต้องทำได้ เราต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก อย่าเอาสามัญชน หรือเอาสมมุติสงฆ์เป็นหลัก ไม่เกิดประโยชน์อะไร
เมื่อผู้นำเป็นหลัก ผู้นำเข้มเเข็ง ผู้นำเอาธรรมะเป็นหลัก ทุกอย่างมันก็จะมีเเต่ความเจริญ ความเสื่อมมันก็จะไม่มี ทุกครอบครัวรู้จักกราบพระไหว้พระ นั่งสมาธิ ท่องพุทโธ อย่างนี้ให้มันได้สัก ครึ่งชั่วโมงก็ยังดี เราทำอย่างนี้ก็เพื่อจะเสียสละ เราไม่ต้องทำอย่างอื่น เพื่อฝึกสมาธิ เพราะการควบคุมตัวเองที่ดีที่สุด คือ ควบคุมด้วยอานาปานสติ ข้าราชการทุกข้าราช ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่ นักการเมืองพากันทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่ อย่าให้เหมือนที่ผ่านมา ที่ผ่านมาถือว่าล้มเหลว ที่เราเห็นเเก่ตัวมาหากิน ทางราชการโดยที่ใจไม่ได้เสียสละ ทำงานเพื่อเงิน ข้าราชการหรือว่าคนไหนทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ เต็มร้อย หรือว่านักการเมือง หรือเป็นพระเจ้าพระสงฆ์ เป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นผู้พิพากษา ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ เต็มร้อย เราจะได้ไม่ได้ระเเวงกัน
ความเป็นธรรม ความยุติธรรมเป็นธรรมะ เป็นโครงสร้างในการดำเนินชีวิตของเราทุกๆ คน ไม่มีอคติ เป็นทางปฏิบัติเรียกว่าอริยมรรค ที่ประกอบด้วยองค์แปดประการ เป็นทั้งสติและทั้งสัมปชัญญะ
ในสถานีวิทยุที่ เหมือนดอกเห็ดในประเทศไทยนี้ ที่เข้าสู่รากหญ้า พวกนี้เป็นสิ่งที่ต้องพากันคิดพิจารณา คำเทศน์ คำสอน ที่ออกไปต้องให้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ตามเจตนาของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เราไปเทศน์เพื่อดึงศรัทธาหาประโยชน์จากประชาชน เช่น พากันไปสอนตั้งแต่ธรรมบท ไปสอนตั้งแต่นิทาน ไปสอนอะไร เพื่อให้ประชาชนเค้าถวายทานบริจาค เพราะว่าจัดเป็นการมอมเมาประชาชน ในสิ่งที่ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เจตนา ไม่ใช่เรื่องอริยสัจ 4 เรื่องมรรคมีองค์ 8 พระสารีบุตรที่ชวนอาจารย์สัญชัยไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่สัญชัยปริพาชกกล่าวปฏิเสธโดยให้ความเห็นว่า ตนเป็นถึงเจ้าลัทธิใหญ่ มีศิษย์สาวกมากเป็นหนึ่งในหกของแคว้นมคธ (ซึ่งขณะนั้นเป็นลัทธิที่ใหญ่กว่าพระพุทธศาสนามาก) การไปเป็นศิษย์ของผู้อื่น ก็เท่ากับลดตัวเองลงไปเป็นตุ่มให้ผู้อื่นใส่น้ำอาบ โลกนี้มีคนโง่มากกว่าคนฉลาด คนฉลาดจะไปหาพระพุทธเจ้า ส่วนคนโง่เขลาจะมาหาเรา ท่านทั้งสองจงไปเถิด
คนโง่มีมาก ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็จะเอาธรรมะที่ไม่ใช่อริยมรรค ประชาชนต้องพากันเข้าใจ มันถึงจะแก้ปัญหาได้ ถ้างั้นมันจะทำให้เรางมงาย ธรรมะที่สถานีวิทยุ ธรรมะจะออกสู่อย่างนี้ เค้าก็ต้องเอาเขียนอะไร ทำอะไร เค้าก็ต้องเอาตรวจก่อน แม้แต่ทุกวันนี้ ที่ขึ้นธรรมมาส แสดงต่อส่วนรวมออกอากาศ เค้าก็ต้องมีโพย
พระที่ออกสถานีวิทยุแต่ละเสียง พวกนี้ต้องระมัดระวัง เพราะอันนี้มัน คำพูดมัน ถ้าพูดไปมันแก้ไขไม่ได้ เราต้องเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ออกมา เราอย่าพากันมาทำธุรกิจ อย่าไปกลัวอด กลัวอะไรเนอะ เราต้องเดินตามพระพุทธเจ้า เพราะเราไม่ใช่ไปเพิ่มอวิชชา เพิ่มความหลง เพิ่มให้ประชาชนฟัง เราไม่ต้องกลัวอดตาย เพราะดูแล้วหลายปีมานี้มันเสียหาย ธรรมะจะออกมันต้องให้มาตรฐาน ครูบาอาจารย์ออกไปให้มาตรฐาน อย่าให้มันไปทางหลงงมงาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระสังฆราช ท่านต้องการให้ประชาชนเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะเราทุกคนมายืนอยู่เวทีนี้ เวทีในการที่จะมาพัฒนาตัวเอง พัฒนาคนอื่น เหมือนหลวงแสดงธรรม ท่านบอกว่าสอนคนอื่น 5% ถึง สอนตัวเอง 95%
ศาสนาก็คือความเป็นธรรม ความยุติธรรม ความประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ต้องดำเนินไปตามธรรมะ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเอง ต้องปรับตัวเองเข้าหาธรรม ธรรมะนั้นคือพระพุทธเจ้า เราจะเคารพนับถือตัวเองได้ เพราะเราเอาธรรมะเป็นหลักเป็นใหญ่ คนอื่นจะเคารพกราบไหว้ ไว้วางใจเราได้ ก็เพราะเราเอาธรรมะ
ถ้าโลกเราเอาธรรมะทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหา เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ความเห็นของผู้ที่เวียนว่ายตายเกิด เรายังมีความเห็นผิดเข้าใจผิด คิดว่าเรียนหนังสือ ก็เพื่อจะมีอยู่ มีกิน มีใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิที่สมบูรณ์ เราเรียนหนังสือเพื่อเสียสละ มีความสุขในการเสียสละ เราถึงจะไม่มีโทษ สิ่งที่เรามี มีเงิน มีทอง มีบ้าน มีรถ มันเป็นเพียงผลที่เราได้เสียสละ เราถึงจะได้พัฒนากาย พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ความสุขความดับทุกข์ ความเป็นธรรม ความยุติธรรม มันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะอดีตก็ปฏิบัติไม่ได้ อนาคตก็ปฏิบัติไม่ได้ เราต้องเข้าถึงสติสัมปชัญญะในปัจจุบัน เมื่อปัจจุบันเราเป็นฐานรองรับอนาคตแล้ว เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้ถึงมี มันจะเลื่อนไปเอง ไม่มีบุคคลใดที่จะถึงอนาคตได้ มันจะเป็นปัจจุบันอย่างนี้ เราปฏิบัติไป เหมือนเราปลูกต้นไม้ เราให้น้ำ ให้ปุ๋ย ให้แสงแดด ให้ออกซิเจน ต้นไม้ก็จะเจริญเติบโตไปเป็นปัจจุบันธรรม เราทำยังไงก็เป็นอย่างนั้น
ธรรมะนี้ถึงเป็นสิ่งเดียวกับวิทยาศาสตร์ ที่เหนือกว่าวิทยาศาสตร์ก็คือเราไม่หลงในรูป เสียง กลิ่น รศ ลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่หลงในความเอร็ดอร่อย เราเสียสละเพื่อให้ใจของเรา มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ที่จะเลื่อนไปเรื่อยในปัจจุบัน เพราะความรู้ความเข้าใจ ทุกท่านทุกคนต้องเอาประพฤติมาปฏิบัติ ทุกคนต้องเข้าใจ ไม่เข้าใจจะพากันเครียด ทำงานก็เพื่อเงินเพื่อสตางค์ ไม่มีหนี้ไม่มีสินมันเป็นโรคเครียด โรคซึมเศร้า โรคฟุ้งซ่าน โรคทรัพย์จาง ก็คือไม่มีความสุขในปัจจุบัน ไม่เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง เราไม่ได้ปรับจิตใจเข้าหาธรรมะ เราไปปรับจิตใจเข้าหาอวิชชา เข้าหาความหลง มันก็ยิ่งไปใหญ่
ประเทศที่แพ้สงครามอย่างญี่ปุ่นที่พัฒนาเทคโนโลยีอย่างเดียว ก็เลยพากันเครียดเพราะไม่ได้พัฒนาใจ อย่างประเทศเกาหลีพัฒนาเทคโนโลยีก็ไปเร็วแต่ก็เครียด หลายๆ ประเทศเน้นแต่ทางวัตถุ ไม่ได้พัฒนาใจ มันเลยตั้งอยู่ในอคติ ไม่ได้เอาธรรมเป็นหลัก เป็นใหญ่ เราๆ ท่านๆ อย่าไปเข้าใจผิด ท้อแท้ว่าทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ มันทำได้ เพราะอันนี้เป็นความสุข เป็นความดับทุกข์ ที่ว่าทำไม่ได้ ก็เพราะว่าเราไปคิดอย่างนั้น มันคือความหลง เราอย่าไปเชื่อเพราะว่าที่เราเวียนว่ายตายเกิดก็เพราะเหตุผลต่างๆ คนที่เขาฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ปล้นธนาคารทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเอง คนที่เขาทำนู้น ทำนี่ ทุกอย่างก็มีเหตุผลของเขา พระเทวทัตก็มีเหตุผลถึงได้ปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะพระพุทธเจ้าก็คือพระพุทธเจ้า
ประเทศไทยนี้จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ไหม “ได้” ลองคิดดูว่าทุกวันนี้ เทคโนโลยีทำให้คนเราสามารถรู้ข่าวสารกันในวันเดียวหรือไม่กี่ชั่วโมง น่าจะดีกว่าสมัยก่อน กว่าจะรู้เรื่องก็หลายวัน ให้ทุกคนมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องเหมือนๆ กัน เราเป็นทางเดียวกันเรียกว่า สาราณียธรรม อย่าให้ความรู้ความเข้าใจ ไปอยู่ในหนังสือ ต้องไปอยู่ในใจ อยู่ในภาคประพฤติปฏิบัติ ทุกคนต้องตั้งใจ ต้องสมาทาน เราต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ ทุกคนต้องกลับมาหาสติ สัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม กลับมาหาพระรัตนตรัย กลับมาหาความเป็นธรรม ความยุติธรรม
ให้เข้าใจคำว่าปล่อยวาง คำว่าปล่อยวางนี่คือการละสักกายทิฏฐิละการยึดมั่นถือมั่น ละความเห็นแก่ตัว เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นหลัก ไม่เอาตัวตนเป็นหลัก ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ไม่เสียสละนึกว่าปล่อยวางจะไม่เสียสละ คนเราถ้าเสียสละมันเป็นกลไลแห่งความเป็นธรรม ความยุติธรรมมันถึงจะเกิดได้ สังคมที่ต้องมีการปกครองที่เป็นประเทศชาติบ้านมือง สิ่งที่ถูกต้องที่สุดก็คือธรรมะ เราอย่าไปเอาคนส่วนมาก เราต้องเอาความถูกต้อง ว่าประชาชนต้องการอันนู้นอันนี้ มันไม่ได้ ต้องเอาความเป็นธรรม ความยุติธรรม
ถ้าเอาพรรคพวก ยกตัวอย่างกันสังคายนาครั้งที่ ๒ พระอรหันต์เอาธรรมเอาวินัย ภิกษุปุถุชนเยอะแยะมาขับไล่พระอรหันต์ ถึงได้เกิดการสังคายนาขึ้น การปกครองตัวเองต้องเอาธรรมะ การปกครองคนอื่นก็ต้องเอาธรรมะ ธรรมะเป็นสิ่งที่จัดการเพียงตัวเอง มันไม่ได้จัดการคนอื่น ถึงได้ต้องมีกฏหมาย กฏหมายทางการปกครองครอบครัว ปกครองประเทศ เมื่อผู้ที่เป็นข้าราชการไม่ได้เอาธรรมะ เอาความเห็นแก่ตัว ไม่ขับเคลื่อนตัวเอง ไม่เสียสละ มาหาผลประโยชน์จากราชการ ไม่มีความสุขในการทำงาน มีความสุขแค่จะได้เงิน ได้สตางค์ ได้บ้าน ได้ยศ สรรเสริญ ผู้ที่สมัครเป็นนักการเมืองกลไลมันเลยไปไม่ได้ เพราะเกิดความไม่บริสุทธิ์ เรียกว่าการทุจริต โครงการ เลยไม่มีความสุขในการทำงาน งานคือความสุข งานคือการเสียสละ เมื่อเราไม่มีความสุขในการทำงาน เราก็เลยต้องวิ่งเต้นหาตำแหน่ง ในส่วนข้าราชการถึงมีเป็นประจำ ทุกหน่วยงาน ทางนักการเมืองก็ซื้อสิทธิ์ ซื้อเสียง มันเลยเป็น เปรตใหญ่ เปรตเล็ก มหาเปรต ประจำ เราต้องพากันเข้าใจ เดี๋ยวนี้ทุกคนต้องรู้กันเพราะการสื่อสารก็พร้อม
ต้องพัฒนาทั้งใจและเทคโนโลยี เพราะความสุขไม่จำเป็นต้องเป็นมหาเศรษฐี มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง อยู่ที่เราเสียสละ ใครทำหน้าที่อะไรก็ให้มีความสุขอยู่อย่างนั้น อย่าไปคิดที่จะเอาเปอร์เซนต์เหมือนที่ผ่านมา เราทำตามโจร ตามมหาโจรอย่างนี้ไม่ได้ ทำอย่างนี้มันไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี ถามว่า กินเงินทางราชการนี่บาปไหม? มันบาปมากเท่ากับกินของสงฆ์ว่ากินของส่วนกลาง กินของส่วนร่วม ยังไม่ตายก็กลายเป็นเปรต ที่ทำอย่างนี้ได้มันก็มีแบ๊คอยู่เบื่องหลัง โจรทางส่วนราชการก็มีแบ๊ค โจรทางการเมืองก็มีแบ๊ค โจรทางพระศาสนามันก็มีแบ๊ค ไม่อย่างนั้น มันไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นระบบของโครงสร้างที่ปฏิบัติมา เรียกว่าเป็นการสืบทอด เรียกว่า “วัฒนธรรม” ก็ไม่ถูก เพราะมันเป็นโจร เรียกว่า “วัฒนะโจร” มากกว่า
ถ้ามันเป็นอย่างนี้ ทุกคนจะไปจัดการเขาไหม? “ไม่ต้อง” จัดการตัวเองก่อน ผู้ที่เป็นผู้นำในจังหวัด ในอำภอ ในตำบล ก็จัดการตัวเองก่อน ผู้ที่เป็นพิพากษาอัยการก็จัดการตัวเองก่อน ผู้ที่เป็นทหารตำรวจ ต้องจัดการตัวเองก่อน อย่าไปจัดการคนอื่น ถ้าเราจัดการตัวเองหลายๆ คนรวมกัน ก็เท่ากันเราจัดการผู้นำทุกภาคส่วนที่มีอยู่ในประเทศไทย ก็จัดการตัวเองพร้อมกันทั้งประเทศ นี่มันไม่จัดการตัวเอง เป็นจัดการคนอื่น มันก็ผิดหลัก ใครเขาจะมีศรัทธาในตัวเรา อย่างมากก็จะเป็นผู้ที่เดินทางเอกสาร
โครงสร้างของศีลนั้นช่วยเหลือเรา อนุเคราะห์เราให้เข้าถึงธรรมะ ให้มีฐานตั้งแห่งธรรมะ ทุกคนมีบ้าน มีประเทศ มีถิ่นที่อยู่อาศัย เพราะว่ามีที่ดินเป็นของตัวเอง 'ศีล' ถึงเปรียบเสมืนแผ่นดินที่จะให้ความดีทั้งหลายทั้งปวง เกิดแก่ใจของเราได้ พระภิกษุสามเณร หรือญาติโยมน่ะ ที่ไม่เห็นความสำคัญในเรื่องศีล ในการรักษาศีล ชื่อว่าเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความประมาท เป็นผู้ที่ปิดโอกาสตัวเองที่ประเสริฐ ที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ความสุข ความดับทุกข์ของเรานั้นอยู่ที่ใจสงบ อยู่ที่ใจไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ถ้าเรามาหลงในความสุขความสะดวกสบาย ก็เท่ากับ บุคคลคนหนึ่งที่ได้รับจ้างค่าแรงมาทำงานน่ะเท่ากับเรารับจ้าง เพราะเราพากันมาหลงในวัตถุ ที่มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน ที่มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป
มีปัญหาอยู่ว่า "เราทำอย่างไรมันถึงไม่เครียด...?" เพราะชีวิตนี้ ตั้งแต่เช้าจนนอนหลับน่ะเราพากันอยู่ด้วยความเครียด ความเครียดนั้น มันเกิดจากที่เราไม่มีสติ เราไม่มีสัมปชัญญะในปัจจุบัน จิตใจของเรานั้นมันอยู่กับอดีต แล้วก็อยู่กับอนาคต เราฝึกทำใจของเราให้สบาย ทำใจของเราไม่ให้มีทุกข์ เสียสละให้เต็มที่ อย่าไปออม ให้ตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในสมาธิ ปัญญาของเราถึงจะเกิดได้
ฝึกไป ปฏิบัติไป... ถ้าเราอยากมี... อยากเป็นน่ะ เราไม่สร้างเหตุสร้างปัจจัยนั้นมันเป็นไปไมได้ "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นก็ถึงมี" ปัญหาในโลกนี้มันมี เพราะเราไปแก้ไม่ถูกน่ะ คนที่แก้ปัญหาถูกต้อง คือต้องมาแก้ที่จิตที่ใจของตัวเอง แก้ที่ การกระทำของตัวเอง แก้ที่คำพูดของตัวเองน่ะ
พากันฝึกสมาธินะ สมาธิก็คือความตั้งมั่นในความดี เราคิดดีๆให้มันติดต่อกันหลายวัน หลายเดือน หลายปี เหมือนไก่มันฟักไข่ก็ 3 อาทิตย์ เราดูแลต้นไม้แต่ละพันธุ์ก็ตามเดือน ตามปี มันต้องดีสม่ำเสมอ สมาธิเราต้องตั้งมั่น แต่สมาธิที่เรานั่งตอนเช้า ตอนเย็นก็ต้องมี หายใจเข้าก็ให้รู้ชัดเจน หายใจออกก็ให้รู้ชัดเจน หายใจสบาย หายใจออกสบาย ปล่อยวางทุกอย่าง อยู่กับลมหายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย ถ้าเราจะเจริญสมถะก็เพียงแต่หายใจเข้าให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้ หายใจเข้ายาว ออกยาว ก็ให้รู้ ถ้าเราจะเจริญวิปัสสนาหายใจเข้าก็ให้รู้ว่าไม่เที่ยง หายใจออกก็ให้รู้ว่าไม่เที่ยง ทุกอย่างมันก็ไม่เที่ยง มันล้วนแต่เปลี่ยนแปลงไป ทุกสภาวะธรรม เปรียบเหมือนกระแสไฟที่มันมาถี่ ปัญญาต้องเอามาใช้ในปัจจุบัน ปัญญาให้พัฒนาทั้งเทคโนโลยี ทั้งจิตใจไปพร้อมๆ กัน ถ้าเราพัฒนาแต่เทคโนโลยีมันจะไปทางเห็นแก่ตัว ต้องพัฒนาทั้ง IQ, EQ, RQ มันมีอยู่ในชีวิตประจำวัน เราไปแยกกันไม่ได้
ทุกๆ ท่านทุกคนต้องทำให้ได้ ต้องปฏิบัติให้ได้ การประพฤติปฏิบัตินั้นไมใช่ของยาก ไม่ใช่ของง่าย แต่เป็นการประพฤติการปฏิปัติให้ถูกต้อง แล้วก้าวไปด้วยความดี ด้วยการเสียสละ โดยที่เราทั้งหลายไม่หวังอะไรตอบแทน เราก็จะได้ทั้งทรัพย์ ได้ทั้งอริยทรัพย์น่ะ
พระพุทธเจ้าให้เราทุกคนน่ะเข้าใจเรื่องธรรมะ ถ้าใครปฏิบัติ ตามอริยมรรค ท่านผู้นั้นก็จะเข้าถึงความสุข ความดับทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิต หรือคฤหัสถ์ หัวใจของเราทุกคนจะเข้าถึงความเป็นพระได้ด้วยกันทุกท่านทุกคน "ถ้าที่ไหนมีการประพฤติปฏิบัติ โลกนี้ก็จะไม่ว่างจากพระอริยเจ้า หรือพระอรหันต์..."