แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๑๙ การเรียนการศึกษาต้องไปพร้อมด้วยการปฏิบัติ จึงจะขจัดความเห็นแก่ตัวได้
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เมื่อวานนี้ได้พูดให้พุทธบริษัทเกิดสัมมาทิฐิ มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง เเล้วจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง เรื่องมีความเข้าใจผิดในเรื่องตายเเล้วเกิด หรือ ตายเเล้วสูญ เพราะคนส่วนใหญ่มีความลังเลสงสัยว่า ตายเเล้วเกิด หรือ ตายเเล้วสูญ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใหม่ๆ มีสงฆ์สาวก ที่ส่งไปเผยเเผ่ ไปทางละ ๑ รูป ในกาลต่อมาอุปติสสะได้พบพระอัสสชิที่กรุงราชคฤห์ ก็เกิดความเลื่อมใส จึงได้ถามว่า ผู้ใดเป็นศาสดาของท่าน ศาสดาของท่านสอนว่าอย่างไร พระอัสสชิซึ่งเป็นพระอรหันตสาวกของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไม่นานตอบว่า ศาสดาของท่านคือพระสมณโคดมพุทธเจ้า แต่ตัวท่านเป็นพระใหม่ ยังรู้ธรรมไม่มาก สอนใครไม่ได้ แต่ท่านบอกหัวข้อธรรมว่า “เย ธัมมา เหตุปปะภะวา เตสัง เหตุ ตะถาคะโต เตสัญจะ โย นิโรโธจะ เอวัง วาที มะหาสะมะโณ” แปลได้ว่า “ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าตรัสบอกถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น พร้อมทั้งความดับแห่งเหตุของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณเจ้ามีปกติตรัสสอนอย่างนี้” อุปสิสสะผู้ที่บำเพ็ญสาวกบารมีญาณมาเต็ม ได้ฟังอย่างนี้จึงเกิดดวงตาเห็นธรรม เข้าใจพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า บรรลุพระโสดาบัน หลังจากนั้นจึงนำข้อธรรมไปบอกแก่โกลิตตะตามสัญญาที่ให้ไว้แก่กัน เมื่อโกลิตตะได้ฟังก็พระโสดาบันเช่นกัน ต่อมาอุปติสสะรู้จักในชื่อพระสารีบุตรผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาและเป็นเลิศในทางมีปัญญามาก ส่วนโกลิตตะคือพระโมคคัลลาน์ผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและเป็นเลิศในทางมีฤทธิ์มากนั่นเอง
เรื่องสัมมาทิฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญ โครงสร้างประเทศไทยเราเอาพระพุทธศาสนาเป็นที่ตั้งมาหลายร้อย หลายพันปี โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้อุปภัมถ์สนับสนุน การประพฤติการปฏิบัติ ที่หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายที่จะเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ได้ก็เอาธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เพราะตามหลักเหตุผลที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้มันถึงมี เราทุกคนพากันตั้งอก ตั้งใจ เเต่ละคนอย่าให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่า นักบวช ข้าราชการ นักการเมือง ก็ต้องปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ เราไปตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความคิดไม่ได้ อันนี้มันเป็นสัญชาตญาณในการเวียนว่ายตายเกิด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกๆ พระองค์ จนถึงองค์ปัจจุบัน ท่านต้องการให้ชาติศาสน์กษัตริย์มีความมั่นคง จะมีความมั่นคงได้ ทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง คนส่วนใหญ่ไม่ได้เอาธรรมเป็นหลัก ไม่ได้เอาธรรมเป็นใหญ่ ไม่ได้เอาธรรมในการดำรงชีวิต ทำตามใจตัวเอง บ้านเมืองเราจึงมีปัญหาอย่างนี้ เมื่อเรามีกายมีใจอย่างนี้ เราต้องพัฒนาทั้งเทคโนโลยี ในการหากิน พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เป็นทางสายกลาง เพราะชีวิตของเรานี้ไม่ถึงร้อยปีก็ต้องเเก่เจ็บตายพลัดพรากในที่สุด เราต้องส่งไม้ผลัดให้ลูกหลาน ที่หลายร้อยปีมานี้เราพัฒนามาตั้งเเต่ภายนอก ถ้าเราพัฒนาภายนอก จิตใจของเราอยู่ในระดับมนุษย์รวย หรือเทวดา หรือเป็นพรหม ไม่สามารถเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะสัมมาทิฏฐิมันไม่สมบูรณ์
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นใหญ่ จึงได้สนับสนุนอุปภัมถ์อุปัฎฐากพระ จึงเเต่งตั้งฐานันดรศักดิ์ให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ให้เป็นสมเด็จ ให้เป็นพระราชาคณะชั้นต่างๆ เพื่อบริหาร เพราะในการสอบนักธรรมตรีโทเอก จนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค เพื่อให้ทุกคนมีสัมมาทิฏฐิ เเล้วเอาความรู้ความเข้าใจมาพากันปฏิบัติให้เคร่งครัด ไม่ใช่เพียงเรียนเพียงศึกษาเป็นนักปรัชญาอย่างนี้ มันไม่ได้ ปีสองปีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านกระตือรือร้นมาก ท่านมีการเเต่งตั้งสมณศักดิ์โดยไม่ได้เอาวันเฉลิมพระชนมพรรษา โดยพิจารณาตำเเหน่งว่าองค์ใดปฏิบัติดีจึงให้ตำเเหน่ง เมื่อพระเจ้าอยู่หัวท่านต้องการให้ชาติศาสน์กษัตริย์มีความมั่นคง ทุกคนจึงต้องพากันมาเข้าใจ
พระพุทธเจ้าท่านให้เราเข้าใจ ให้มีสัมมาทิฏฐิ เข้าใจในการปฏิบัติ ยิ่งรู้มากเรียนมาก็ยิ่งปฏิบัติให้เคร่งครัด เพราะคนที่เป็นผู้ปกครองคือหัวจักร เราอย่าไปทำตามรุ่นพี่ที่เรียนที่ศึกษาเพื่อเอาปริญญาตรีโทเอก เพื่อสึกไปเป็นฆราวาสเป็นหลัก ต้องพัฒนาตัวเองให้เคร่งครัด ถึงจะสมควรเป็นผู้ปกครอง เมื่อเราโชคดีที่ได้สมเด็จพระสังฆราชที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเเต่งตั้งมา เราก็ต้องรู้สิ่งที่มีคุณค่า พากันเปลี่ยนเเปลงตัวเอง จากเเต่ก่อนคิดว่าบวชมาเพื่ออัพเดทให้ตัวเอง บวชมาเพื่อมีลาภมียศมีสุขมีสรรเสริญอย่างนี้ ก็ไม่เอา เราจับเอาที่เศรษฐีจ้างลูกไปฟังธรรมะ เเล้วก็เข้าใจธรรมะ เเล้วก็ไม่รับค่าจ้าง
ทุกท่านทุกคนต้องอบรมบ่มอินทรีย์ให้กับตัวเอง ประชาชนประเทศก็ต้องรู้จักธรรมะ รู้จักพระวินัย รู้จักศาสนา ว่าอันไหนเป็นศาสนา อันไหนเป็นตัวเป็นตน วัดที่เเท้จริง คือข้อวัตรข้อปฏิบัติ คือธรรมวินัยที่เราทุกคนต้องปฏิบัติเพื่อมุ่งมรรคผลพระนิพพาน ศีลทุกข้อ พระวินัยทุกข้อ สิกขาบทน้อยใหญ่ คือข้อวัตรข้อปฏิบัติ ที่เป็นอริยมรรคมีองค์ ๙ พวกที่สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ หลายร้อยล้าน หลายสิบล้านนี้ ถึงว่ายังไม่ใช่วัด ยังไม่ใช่ศาสนา ถ้าเราไม่พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติมันก็เป็นที่อยู่ของนกพิราบ ของจิ้งจก ตุ๊กเเก เพียงเเต่เป็นวัฒนธรรมให้คนทั้งหลายไปกราบไหว้เฉยๆ ถ้าเราทุกคนมีวัดมีข้อวัตรมีข้อปฏิบัติอย่างนี้ มันจะเปลี่ยนเเปลงตัวเองได้ เมื่อเปลี่ยนเเปลงตัวเองได้มันถึงเปลี่ยนสังคมได้ พระเรานี้อยุ่กับชุมชนอยู่กับรากหญ้า อยู่กับชาวบ้านก็ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เพราะทุกคนก็มีตามีหูที่รู้เห็น ก็เข้าใจอยู่ การเผยเเผ่มันถึงจะไปได้ คนเราที่เค้าไม่เคารพนับถือเรา ก็เพราะเราไม่มีศีล เป็นคนไม่มีสมาธิ เป็นคนปัญญา เอาตัวตนเป็นที่ตั้งอยู่
เพราะว่าวัดของเรา พระทุกรูปใจต้องสะอาด วาจาต้องสะอาด กายต้องสะอาด กุฏิวิหารเจดีย์ต้องสะอาด ที่ปรากฏให้เห็นอย่างนี้มันสกปรกทั้งกายทั้งใจให้เห็นนี้มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะว่าเราปฏิบัติผิด เมื่อหลายสิบปีก่อน ที่เรามาจากบ้านนอก มาจากชนท เพื่อเเสวงหาความรู้ ความยากจนของเรา บางทีก็เพื่อที่จะมาเอาความรู้ในการเรียนการศึกษาเพื่อจะทำมาหากิน หาเลี้ยงชีพ ถึงพากันเรียนนักธรรมตรีโทเอก จนถึงมหาเปรียญเก้า หลายๆ ท่านเป็นคนดีของประเทศไทย เรียนรู้เรียนเข้าใจ สึกออกไปไม่เอาศีลเอาธรรมก็มี
ประเทศไทยเราก็พัฒนามาไกลระดับนี้เเล้ว เราสมควรจะมาทดเเทนคุณเเผ่นดิน ไม่ว่าเราจะเป็นคนเมืองกรุง คนต่างจังหวัด ต้องมาเอาธรรม เอาพระวินัยร้อยเปอร์เซ็น เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ต้องมาเเก้ไขที่ตัวเอง ต้องพากันมาสมาทานความดี เรียกว่าศีล เพราะเราเอาความรู้ความเข้าใจนี้ ไปบอกไปสอนไปเดินเอกสารนี้ มันไม่ได้ มันล้มเหลว ตัวเราก็ไม่เคารพตัวเรา คนอื่นเค้าก็ไม่เคารพ เพราะเราไม่เข้าถึงพระศาสนา เราไม่เข้าถึงการประพฤติการปฏิบัติ การสร้างวัดสร้างวา หรือสร้างวัตถุ ที่เราได้เงินได้ปัจจัยมาจากการขายพระ การขายรูปขายเหรียญครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติชอบ เเต่อันนี้มันมีเเต่ความดีของพระพุทธเจ้า มีเเต่ความดีของพระอริยเจ้า ถึงเอาเเต่เอกสาร ที่มันเป็นโหราศาสตร์มาจากศาสนาอื่น มาอัพเดท มาค้ามาขายกัน มันไปกันใหญ่ พากันไปเรียนเป็นหมอโหราศาสตร์กัน ทำนายทายทัก ชื่อเสียงโด่งดังทั่วบ้านทั่วเมืองอย่างนี้ มันไม่ใช่ศาสนา มันไม่ใช่การมาเสียสละ เพราะทำเพื่อที่จะเอาจะมีจะเป็น
ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าในภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นวัดในอำเภอ วัดป่า วัดอะไร มันอยู่ที่ตัวบุคคล เราถึงจะเเก้พระศาสนาได้ เราจะเอาเเต่พระเดช คือ อำนาจเเต่เราไม่มีพระคุณ คือเราไม่มีคุณธรรมมันเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับไม่ได้ วัดทุกวัด ถึงต้องมีการทำวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิ เดินจงกรม ทำวิปัสสนา เพราะสังขารชีวิตนี้ก็ไม่ถึงร้อยปีก็ต้องจากโลกนี้ไป เราจะได้พัฒนาทั้งเทคโนโลยี พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เราถึงจะบอกสอนลูกสอนหลาน สอนภิกษุสอนสามเณรได้ วัดทุกวัดต้องสะอาด เราจะเอาความสุขเเค่สะดวกสบายเเค่วัตถุมันเป็นสิ่งที่เสียหาย วัดทุกวัดจะเป็นวัดในกรุงเทพ วัดในต่างจังหวัด วัดในจังหวัด วัดในอำเภอ ไม่สมควรที่จะมีโทรทัศน์ มันผิดศีล เพราะศีล ๘ ก็บอกอยู่เเล้ว ว่าไม่ให้ดูโทรทัศน์ ไม่ให้ฟังเพลง มันเป็นกามคุณ ที่วัดไม่สมควรที่จะมี นี้มันมีเยอะ ในกรุงเทพ อยู่ในตัวจังหวัด หรือ ตัวอำเภอ มีเยอะจนมันเป็นประชาธิปไตยไปเสียเเล้ว มันเป็นความเสียหาย เป็นการทำลายความมั่นคงของประเทศไทย ผู้ที่บวชก็ต้องเข้าใจประชาชน ผู้ที่มาบวชทำไม่ถูก อย่างนี้ไม่สมควรที่จะให้เค้ากราบเค้าไหว้ ไม่สมควรที่จะไปรับข้าวของเค้า และการทำอัญชลีกราบไหว้ เเม้เเต่เริ่มมีโทรศัพท์มือถือ มีคอมพิวเตอร์ มีเเท๊ปเล็ตก็ต้องเอาไปใช้ในสิ่งที่จำเป็น
หลายสิบปีมาที่มันไม่ได้ผลเพราะว่าชนชั้นผู้นำ ไม่ได้ปฏิบัติเป็นตัวอย่างแบบอย่าง การเผยเเผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าถึงล้มเหลว จะพยายามที่จะไปเเก้ไขตั้งเเต่คนอื่นอย่างนี้ ทุกวันนี้มีความเข้าใจผิดกันมาก เหมือนที่กล่าวเมื่อวาน มีความสงสัยว่า ตายเเล้วเกิด หรือ ตายเเล้วสูญ เพราะปฏิบัติเเล้วก็ไม่เห็นใครได้บรรลุธรรม ก็เพราะว่าไม่มีการปฏิบัติ ธรรมะเลยอยู่ในหนังสือ อยู่ในตำราหมด มีเเต่ยินดีที่จะเป็นพื้นๆ เป็นมนุษย์รวย เเค่ระดับเทวดา การเทศน์การสอนเพื่อที่จะเอาเงินประชาชน เอาสิ่งของประชาชน ไม่ได้ประกาศพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็พากันวิตกกังวลกลัวพระศาสนามันจะเสื่อม ถ้าเราทำอย่างนี้มันเสื่อมเเน่ ก็เพราะไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ เราไปห่วงก็เเต่นารีพิฆาต ห่วงเเต่การถูกศาสนาอื่นมากลมกลืนอย่างนี้ ไม่มีใครทำให้ศาสนาเราเสื่อมได้ ตัวเราเองนี้เเหละที่จะพากันทำให้ศาสนาเสื่อม
ทุกวันนี้สิ่งที่หยาบช้า สิ่งที่น่าเกลียดก็คือ ประชาชนเค้าเห็นพระ เข้าร้านค้า เข้าเเม็คโครโลตัส เข้าบิ๊กซีพอๆ กับประชาชน ทั้งที่สถานที่เเห่งนี้มันเป็นที่อโคจร ทั้งที่เราเป็นคนบอกเองสอนเองเเล้วก็ทำเอง มันก็จริงอยู่ที่นักเรียนนักศึกษาต้องไปซื้ออุปกรณ์ ซื้อหนังสืออย่างนี้ เเต่เราก็ต้องระมัดระวัง เพราะว่าเราเรียนหนังสือก็เพื่อฉลาด เราศึกษาก็เพื่อฉลาด สิ่งไหนควรคิด สิ่งไหนควรพูด สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนควรไป ไม่ควรไป คำว่า พุทธะ เเปลว่า ฉลาด เเล้วก็ปฏิบัติตามความฉลาด เเล้วก็เห็นพระภิกษุสามเณรพากันขับรถมอเตอร์ไซต์ ขับรถจักรยาน ขับรถยนต์มากขึ้น เพราะว่าพระผู้ใหญ่ไม่เคร่งครัด ไม่เข้มข้น เมื่อตัวเองอ่อนเเอ ไปบอกคนอื่นมันก็ยาก เพราะในเมืองไทย ที่เป็นเถรวาทไม่สมควรที่จะขับรถทุกชนิด นอกจากพระผู้เฒ่านั่งรถกอล์ฟ อาพาธนั่งรถเข็น
ที่พูดนี้ก็ไม่ได้พูดเพื่อให้มันสะใจ ก็พูดให้ทุกคนได้กตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า เพื่อที่ได้ปรับปรุงเเก้ไขสิ่งที่ไม่ดีก็ให้มันดี ที่ว่านี้ไม่ได้ว่าให้พระ เพราะอันนี้ไม่ใช่กิจของพระ ไม่ใช่กิจของสมณะ มันเป็นกิจของชาวบ้าน ไปขับรถขับเรือ เข้าเเมคโครโลตัส นี้ไม่ได้ว่าให้พระ เพราะพระท่านคือพระธรรมพระวินัย การเรียนการศึกษานี้กับการปฏิบัติมันต้องไปพร้อมๆ กัน หลายปีที่ผ่านมา การเรียนการศึกษาทิ่งการปฏิบัติไป การปฏิบัติมันไม่มี พวกที่จบการเรียนการศึกษา จบปริญญาตรีเค้าถึงไปให้เข้าคอร์สกรรมฐาน ผู้ที่ได้เป็นเจ้าคุณพากันปฏิบัติมาอย่างนี้ เลยเอามติเก่ามติเดิม ทำอย่างนี้ไม่ได้ เสียหาย มันไม่เป็นปัจจุบัน การเรียนการศึกษานี้เราจำเป็นต้องเรียนต้องศึกษา เพราะเราไม่เรียนเราไม่ศึกษา มันเห็นเเก่ตัว เมื่อเราเรียนเราศึกเราก็ต้องปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน เราถึงจะเกิดความเคารพนับถือเเก่ตนเองได้ ถ้าไม่อย่างนั้น ใจของเรามันป่วย คนเราถ้าไม่ปฏิบัติ ตามพระธรรม ตามพระวินัย จิตใจของทุกคนมันป่วย มันซบเซามันผอมโซ ไม่มีอาหาร มันเห็นเเต่กามเเต่เกียรติ เเต่ยศ มันไปไม่ได้ การศึกษาต้องไปพร้อมกัน
ผู้ที่เข้าใจธรรมะเเต่ไม่ปฏิบัติ เหมือนพระโปฐิละท่านโปฏฐิละเป็นผู้ทรงจำพุทธวจนะได้มาก เป็นอาจารย์ของภิกษุทั้งหลายจำนวนหลายร้อย (ว่ากันว่า ๕๐๐ รูป) วันๆ ได้แต่สั่งสอนลูกศิษย์ลูกหา ไม่เคยคิดสั่งสอนตัวเองเลยว่า จะหาที่สิ้นสุดทุกข์แก่ตนได้อย่างไร
พระพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธประสงค์จะเตือนเธอ เวลาท่านไปเฝ้าพระพุทธองค์พร้อมภิกษุทั้งหลาย พระองค์จะตรัสกับท่านว่า “อ้อ คุณใบลานเปล่า นั่งสิ คุณใบลานเปล่า” เวลาท่านกราบทูลลากลับ พระองค์ก็จะตรัสว่า “คุณใบลานเปล่า จะกลับแล้วหรือ” อะไรอย่างนี้เป็นต้น
ท่านโปฏฐิละ คิดว่า เราเป็นถึงอาจารย์ใหญ่ เชี่ยวชาญในพระพุทธวจนะบอกธรรมแก่พระสงฆ์ถึง ๑๘ คณะใหญ่ ทำไมหนอ พระบรมศาสดายังตรัสเรียกเราว่า “ใบลานเปล่า” นี่คงหมายความว่า เราได้แต่บอกได้แต่สอนคนอื่น ไม่ได้สอนตัวเองเลย ไม่เช่นนั้นพระองค์คงไม่ทรงเรียกเราอย่างนี้
ท่านได้สำนึกตัวขึ้นมา เพราะพระพุทธองค์ตรัสเตือน จะเรียกว่าโดยตรงก็ได้ โดยอ้อมก็ได้ พระองค์มิได้ตรัสตรงๆ แต่ถ้อยคำมันบ่งค่อนข้างชัด “ใบลานเปล่า” ใครฟังก็เข้าใจทันทีว่า มีแต่ใบลาน ไม่มีพระธรรมจารึกไว้เลย
คนที่หลงตัว มัวเมาว่าตนเก่ง ตนดี ก็ต้องมีผู้เตือนอย่างนี้แหละ จึงจะสำนึกได้ จะรอให้เขาเตือนตนเองคงยาก
ท่านโปฏฐิละก็เช่นกัน เมื่อสำนึกตนได้ ก็บอกลาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย เข้าไปวัดป่าเพื่อขอปฏิบัติกรรมฐาน ไปกราบพระอาจารย์ผู้เฒ่ารูปหนึ่ง กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ โปรดเป็นที่พึ่งของกระผมเถิด สอนธรรมให้ผมด้วยเถิด”
พระเถระกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ท่านพูดอะไรเช่นนั้น ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญพระพุทธวจนะ พวกเราได้รู้แนวการปฏิบัติก็เพราะท่านเป็นคนช่วยบอกช่วยสอน”
พระเถระนักปฏิบัติ ๓๐ รูป ที่ท่านโปฏฐิละเข้าไปมอบตนเป็นศิษย์ ไม่ยอมรับ ต่างออกตัวไปตามๆ กัน ว่ากันว่า เพื่อขจัดทิฏฐิมานะของท่านให้หมดไป พระนักปฏิบัติทั้งหลาย ดูเหมือนจะมองออกว่า คนระดับอาจารย์ใหญ่ มีลูกศิษย์ลูกหามากมายนั้น ทิฏฐิมานะย่อมฝังรากลึก เพื่อให้แน่ใจว่า หมดพยศจริงๆ จึงจะยินดีสอนกรรมฐานให้ ทางเดียวที่จะรู้ว่าหมดพยศจริงหรือไม่ คือส่งให้ไปหาสามเณร จึงส่งท่านไปยังสามเณรน้อยนิรนามรูปหนึ่ง ขณะกำลังนั่งสอยจีวรอยู่
ท่านโปฏฐิละเข้าไปหาสามเณรประคองอัญชลี (ยกมือไหว้) กล่าวว่า ท่านสัตบุรุษโปรดเป็นที่พึ่งให้ผมด้วย สอนธรรมให้ผมด้วย
สามเณรน้อยตกใจ ร้องว่า “ท่านอาจารย์ ท่านพูดอะไรอย่างนั้นผมเป็นสามเณรมิบังอาจสอนอะไรให้แก่ท่านได้ ท่านเป็นถึงอาจารย์ใหญ่”
“ได้โปรดเถิด พ่อเณร ผมไม่มีที่พึ่งอีกแล้ว” ท่านอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร
สามเณรน้อยกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ถ้าผมบอกให้ท่านอาจารย์ทำอะไรท่านอาจารย์ยินดีทำตามไหม” สามเณรน้อยยื่นเงื่อนไข
ความจริงสามเณรน้อยมิใช่ธรรมดา เป็นสามเณรอรหันต์ ย่อมรู้ว่าจะสอนนักวิชาการแสนรู้จะต้องทำอะไร
“ยินดีทำตามทุกอย่างครับ พ่อเณร” พระโปฏฐิละตอบ
“ท่านอาจารย์ เห็นสระน้ำข้างหน้าไหม”
“เห็นครับ”
“นิมนต์ท่านอาจารย์เดินลงไปยังสระน้ำนั้น ก้าวลงอย่างช้าๆ จนกว่าผมจะสั่งให้หยุด” อรหันต์น้อยสั่ง
พระเถระเดินลงสระน้ำอย่างว่าง่าย จนจีวรเปียกน้ำแล้วเดินลงไปตามลำดับ สามเณรน้อยเห็นพระเถระเอาจริง จึงสั่งให้หยุด ให้ขึ้นมา แล้วกล่าวสอนว่า
“ท่านอาจารย์ ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ ๖ ช่อง เหี้ยตัวหนึ่งวิ่งเข้าวิ่งออกตามช่องทั้ง ๖ นั้นเสมอ บุคคลประสงค์จะจับเหี้ยตัวนั้น จึงอุดช่อง ๕ ช่อง เปิดไว้เพียงช่องเดียว คอยเฝ้าอยู่ใกล้ช่องนั้น เมื่อเหี้ยออกช่องอื่นไม่ได้ ก็ออกมาทางช่องนั้น เขาก็จับเหี้ยตัวนั้นได้ตามประสงค์ เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้แหละ ท่านอาจารย์”
สามณรน้อยอรหันต์กล่าวเป็นปริศนาธรรม
พระเถระผู้พหูสูต ฟังแค่นี้ก็ “get” ทันที ท่านเข้าใจว่า ในกายของเรานี้มีอายตนะ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันเป็นดุจ “ช่อง” ให้จิตเราเข้า-ออกๆ อยู่เสมอด้วยความเคยชิน เป็นที่ตั้งใจแห่งรัก โลภ โกรธ หลง ผูกพันไว้กับทุกข์ตลอดเวลา เมื่อต้องการบังคับจิตให้อยู่ในอำนาจ ก็ต้องปิด “ช่อง” (ทวาร) ทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เปิดไว้ช่องเดียว คือ จิต คอยเฝ้าดูจิตตลอดเวลา บังคับให้มันอยู่กับที่เป็นสมาธินานๆ ไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อทำได้ดังนี้ก็จะสามารถทำจิตให้อยู่ในอำนาจได้ ไม่ตกเป็นทาสให้กิเลสตัณหามันเสือกไสไปตามปรารถนาของมัน
พูดให้สั้นก็คือ พระเถระนึกได้แล้ว จะพ้นทุกข์ต้องฝึกฝนจิตของตนด้วยการปฏิบัติกรรมฐานนั่นแหละ จึงเริ่มปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง แล้วก็ก้าวหน้าในการปฏิบัติไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงแผ่รัศมีไปตรงหน้าท่าน ขณะท่านนั่งสมาธิอยู่ ดังหนึ่งปรากฏพระวรกายตรงหน้า ตรัสคาถา (โศลก) สอนว่า
“โยคา เว ชายเต ภูริ อโยคา ภูริสงฺขโย เอตํ เทวธาปถํ ญตฺวา ภวาย วิภวาย จ ตถตฺตานํ นิเวเสยฺย ยถา ปญฺญา ปวฑฺฒติ
ปัญญาเกิดมีได้ เพราะตั้งใจพินิจ เสื่อมไป เพราะไม่ตั้งใจพินิจ เมื่อรู้ทางเจริญ และทางเสื่อมของปัญญาแล้ว ควรทำตนโดยวิถีทางปัญญาจะเจริญ”
พระดำรัสสั้นๆ นี้ กระจ่างแก่พระโปฏฐิละเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุด ท่านก็ได้บรรลุพระอรหัต ถึงจุดหมายปลายทางแห่งชีวิตแล้ว
ที่เรามีการเรียนการศึกษา แต่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติก็คือบุคคลคนเดียวกับพระโปฐิละ จะเรียนเเต่ทางโลกีย์ ทางโลก ทางอะไร ถึงเเม้จะออกไปเป็นอนุศาสนาจารย์ เป็นคุณครูถึงว่าไม่ค่อยได้มาตรฐาน เพราะเป็นคนไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป คนเราถ้าไม่มีความละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาปมันไม่ได้ ดูเเล้วธรรมะออกสู่สังคม มันไม่ค่อยมีธรรมะอะไรเลย มีเเต่พูดให้เค้าให้ทาน เพื่อเอาสิ่งของประชาชน มันมีเเต่ทรุดกับเสื่อม ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่ใครทำให้ศาสนาเสื่อม คือตัวเราทุกคนที่ไม่เห็นความสำคัญการประพฤติการปฏิบัติ คิดอยู่ในใจพระผ้าดำอยู่ในป่าเค้าประพฤติปฏิบัติกัน เราเป็นพระผ้าเหลือง เราทำอย่างนี้ เห็นเค้าทำกันมาร้อยปี คิดอย่างนี้มันไม่ได้ เมื่อเรามีจิตมีเจตนาไม่มุ่งมรรคผล พระนิพพาน เรานี้เเหละคือโจร โจรใหญ่ เมื่อเราเป็นโจรใหญ่ เราจะไปบอกประชาชนได้ยังไง
หากการเรียนการศึกษา ถ้าไม่มีการประพฤติปฏิบัติ ทำให้ใจเราเศร้าหมอง สิ่งภายนอกเลยเศร้าหมองตามไปด้วย ชีวิตมันก็เลยไม่มีชีวิตชีวา เพราะว่าขาดเจตนา ขาดความตั้งใจที่จะประพฤติปฏิบัติ บวชก็เหมือนไม่ได้บวช เพราะใจมันไม่ได้เป็นพระ ใจเป็นแต่เพียงภิกษุ ใจมันเป็นเพียงผู้ขอ เพราะใจมันไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เรากราบพระพุทธรูปเราก็ไม่มีความสุข เรานั่งภาวนาใจมันก็ไม่สงบ ผู้ที่บวชมาเขาถึงว่าผ้าเหลืองมันร้อน จริงๆ ผ้าเหลืองไม่ได้ร้อนหรอก แต่ใจเรามันบาป ใจเรามันเป็นอกุศล ถูกเผาทั้งเป็น การเรียนการศึกษา พระพุทธเจ้าท่านให้เรานำไปประพฤติปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นเราก็จะยิ่งทำผิดไปเรื่อย แล้วเราจะมีความสุขได้ยังไง เพราะเราเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ต่ออาชีพของเราคือนักบวช ใจของเราไม่ซื่อสัตย์ต้องหน้าที่การงาน งานของเราคือการประพฤติพรหมจรรย์ งานของเราคือรักษาศีล สิกขาบทน้อยใหญ่ เพื่อกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า เพราะว่าอาหารบิณฑบาต เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่ที่อาศัย สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย เป็นอริยทรัพย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหมด การประพฤติปฏิบัติของเราถือว่าเป็นการคอรัปชั่น เพราะไม่ตั้งใจปฏิบัติเอามรรคผลนิพพาน เป็นการคอรัปชั่นในเครื่องแบบ ภิกษุในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้หรือต่างประเทศก็เป็นอย่างนี้ จะเป็นยังไงก็ชั่งหัวมัน เพราะเราบวชเพื่อเอาพระนิพพาน เราถือนิสัยของพระพุทธเจ้า เราถือพระวินัยของพระพุทธเจ้า
เราจะได้ภูมิใจ การบวชเรียนบวชศึกษาก็ยังไม่เพียงพอ ต้องเอาการเรียนการศึกษามาประพฤติปฏิบัติให้ศีล สมาธิ ปัญญา มันไปพร้อมๆ กับการเรียนการศึกษา มันถึงจะถูกต้อง มันทำได้ปฏิบัติได้เพราะความเห็นแก่ตัวมันไม่ปฏิบัติมันไม่ได้ ยิ่งเลอะเทอะไปใหญ่ เหมือนโควิด19 มันลุกลามไปเรื่อย เพราะไม่ได้ควบคุมไม่ได้รักษา เราต้องให้สมเกียรติสมศักดิ์ศรี ไม่เกี่ยวกับใครไม่เกี่ยวกับสมองดี สมองไม่ดี ต้องมีความซื่อสัตย์ความกตัญญูกตเวที เพราะเรามาอาศัยพระศาสนาเพื่อมุ่งมรรคผลพระนิพพานยังไม่พอ เราก็ยังได้บริโภคอาหารปัจจัยสี่ของประชาชน
เราก็ต้องพากันกตัญญูกตเวที เพราะข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ล้วนมาจากมหาชนที่เคารพนับถือในพระพุทธเจ้าให้ความอุปถัมภ์ อุปัฏฐาก เขาอยากได้บุญกุศลอยากส่งเสริมพระศาสนา ไม่ใช่บารมีเรานะ
จะหัวดีไม่หัวดีไม่สำคัญ สำคัญที่มุ่งมรรคผลนิพพานจริงๆ เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ต้องเป็นคนซื่อสัตย์ ปฏิบัติตามรอยของพระพุทธเจ้า ใครจะฉลาด ไม่ฉลาด จะหัวดี ไม่หัวดี ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราเป็นคนซื่อสัตย์ คนซื่อสัตย์ต่อพระพุทธเจ้าจะไม่ไปคิดเรื่องอยากได้เงินได้ทอง ไม่มีใจไปคิดเรื่องผู้หญิงเรื่องกินเรื่องเที่ยว คนซื่อสัตย์จะไม่คิดไม่พูดไม่ทำแบบนี้ ต้องเป็นผู้ซื่อสัตย์ เกรงกลัวต่อบาปละอายต่อบาป ไม่คิดเรื่องไปในทางกาม ไม่คิดเรื่องผู้หญิง เรื่องกามคุณ แม้กระทั่งเรื่องเสพเรื่องกินเรื่องเที่ยวที่ผ่านมาก็ตามที ต้องไม่คิด จึงเป็นการพัฒนาไปสู่ความซื่อสัตย์ มันมีอย่างที่ไหนเราบวชเป็นพระยังไม่เกรงกลัวต่อบาปไม่ละอายต่อบาป ยังคิดถึงสาว คิดชอบสาวอยู่ อย่างนี้คือคนไม่ซื่อสัตย์ คิดเรื่องเงินเรื่องทองเรื่องยศตำแหน่งสรรเสริญ ไม่มีใครจะบรรลุธรรมได้เลยถ้าไม่ซื่อสัตย์ อย่างระบบความคิดระบบความเห็นของที่วัดเรา องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ไม่ให้มีโทรศัพท์ เราก็ยังคิดแต่ว่าวัดนั้นก็ยังมีวัดนี้ก็ยังมีวัดนั้นก็ยังโทร เราจะไปเอามาตรฐานของที่อื่นไม่ได้ มันคือการยังยินดีในกาม ใครจะไปทำอย่างนั้นก็ช่างหัวมัน พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้เราคิดไม่ได้ให้เราทำอย่างนี้ ทุกท่านทุกคนต้องเป็นคนซื่อสัตย์ต่อพระพุทธเจ้า ซื่อสัตย์ต่อพระธรรม ซื่อสัตย์ต่อพระอริยสงฆ์ สิ่งไหนไม่ดีต้องไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำถ้าไม่เป็นคนซื่อสัตย์ถึงจะปลงผมห่มผ้าเหลืองแต่ใจก็ ยังเป็นโจรเป็นมหาโจร หมกดาบหมกปืนพกระเบิดเอาไว้ในจีวร เพราะไม่ซื่อสัตย์ทำตามใจทำตามอารมณ์ไม่มีความละอายแก่ใจไม่มีหิริโอตตัปปะ ทำตามผู้ทุศีล ทำตามอลัชชีก็พาตัวของตัวเองให้เป็นผู้ทุศีลเป็นอลัชชีตามไปด้วย
ใจเรานี้คือเมล็ดพันธุ์คือปลูกเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดีไม่บริสุทธิ์เอาไว้สิ่งไม่ดีสิ่ง ไม่บริสุทธิ์จะไปคิดมันทําไม จะไปติดใจ จะไปติดอกติดใจอยู่ในเรื่องกามคุณไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ ทางแห่งพรหมจรรย์จึงต้องสมาทานไม่คิดไม่พูดไม่ทำ ต้องมาสมาทานให้เป็นผู้ที่มีศีลงดงาม ให้เป็นผู้ที่งดงามด้วยศีลด้วยสมาธิและปัญญาที่เสมอกัน เราจึงต้องมาสมาทานเพื่อเป็นผู้ที่มีศีล มีสมาธิมีปัญญา เสมอกันทั้งอาราม มีปัญญาสละคืนความขี้เกียจขี้คร้าน ความเห็นแก่ตัว ทุกคนต้องเป็นหนึ่ง ต้องเป็น เอกไม่เป็นรองใคร เพราะธรรมะเป็นหนึ่งเป็นเอกไม่ได้เป็นรอง ถ้าทำอยางนี้ไม่ต้องกลัวใครว่าเพราะเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ไม่ต้องระแวงภัยจากที่ไหนๆ เราบวชมาเพื่อเสียสละจึงต้อง ตามรอยพระพุทธเจ้าเอาอยางพระอรหันต์ผู้เป็นต้นแบบให้เรา เราต้องพัฒนาตนเองเช่นนี้ปฏิบัติเช่นนี้ อย่าไปคิดว่าทำไม่ได้สมองไม่ดี มันไม่เกี่ยวกันเลย อยู่ที่ความซื่อสัตย์ถ้าคิดพูดทำในสิ่งดีๆ สิ่งที่ออกมาก็จะมีแต่ธรรมะจะได้เป็นพืชพันธุ์ สร้างความดีให้แก่ตนเอง สร้างที่พึ่งให้แก่ตนเองและก็ยังสร้างที่พึ่งให้แก่พระศาสนาให้แก่ญาติพี่น้องแล้วก็ศรัทธาประชาชน ไม่เกี่ยวกับรู้มากรู้น้อย ขึ้นอยู่ที่ความซื่อสัตย์ต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระอริยสงฆ์ เอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นใหญ่ อย่าไป เก็บโจรมหาโจรเอาไว้ในใจ ต้องเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นหลักเป็นใหญ่เอาไว้ในใจ ต้องพากันทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงจะไว้วางใจเรา ครูบาอาจารย์จึงจะไว้วางใจเรา
เพราะทุกวันนี้หาคนไว้วางใจยาก ประชาชนจะกราบก็แค่กราบสัญลักษณ์แค่ปลงผมห่มผ้าเหลืองแต่ใจก็ยังสงสัยอยูว่า เป็นพระจริงหรือเปล่า ใจเป็นพระจริงหรือเปล่า ใจไม่ได้เป็นมหาโจร จึงต้องกลับมาหาธรรมะบ้าง หายใจเข้าหายใจออกให้มี ความสุขสดชื่นเบิกบานกระปรี้กระเปร่า กายก็อย่างหนึ่ง ใจก็อย่างหนึ่ง ใจต้องรู้จักความคิดต้องรู้จักการปรุงแต่ง อย่าให้เล่ห์เหลี่ยมมายาของโจรของมหาโจรมาครอบงำจิตใจ จะได้ไม่เป็นทาสของกิเลส ตัณหาและอวิชชาอีกต่อไป
ธมฺมํ จเร สุจริตํ น นํ ทุจฺจริตํ จเร ธมฺมจารี สุขํ เสติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ.
บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต, ไม่พึงประพฤติธรรมนั้นให้ทุจริต, ผู้มีปกติประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และโลกหน้า.