แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๑๔ มาเสียสละ มาปลุกเสกตัวเอง มาปฏิบัติตัวเองให้เป็นพระ ตามพระธรรมพระวินัย
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
(วันนี้ท่านเจ้าคณะจังหวัด ท่านเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ของจังหวัดนคร ราชสีมา ได้สมัครสมานสามัคคีกันมาทำวัตรหลวงปู่อุทัย มาทำวัตรหลวงปู่กัณหา)
ประเทศไทยเรา การปกครอง เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นการดำเนินชีวิต พร้อมกับเมืองไทย พระมหากษัตริย์ไทย ได้นำพสกนิกรชาวไทยประพฤติปฏิบัติมาเป็นเวลายาวนานหลายร้อยปี ประเทศไทยเรา ก็มีหลายศาสนา เเต่ทุกศาสนา ต้องไปในทางเดียวกัน คือธรรมะ คือมรรคผลนิพพาน สถาบันหลักๆ ของเรา มีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อไปนิพพานพระนิพพาน คือมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึก เอาธรรมะเป็นหลัก เราทุกคนถึงจะดำเนินไปสู่มรรคผลพระนิพพานได้ กฏหมายบ้านเมือง กฏหมายของคณะสงฆ์ ก็ย่อมเอาธรรมะเป็นหลัก พระพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์มีมาพร้อมๆ กัน ตั้งเเต่สมัยครั้งพุทธกาล ประเทศไทยเราหลายปีนี้ถือว่าโชคดี ได้มีสมเด็จพระสังฆราช คือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดราชบพิตร พระองค์ท่านเป็นพระที่มาจากสายป่าสายกรรมฐาน สายลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดสถาปนาให้ท่าน (สมเด็จพระมหามุนีวงศ์) เป็นสมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานในสังฆมณฑลทั่วราชอาณาจักร ถือได้ว่าประเทศไทยเราเป็นประเทศที่โชคดี อย่างสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ท่านเดินรอยตามพระพุทธเจ้า อยู่ในโอวาทสมเด็จพระสังฆราช จึงได้เเนะเเนวบัญชาการให้เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด ให้ปรับปรุงเเก้ไข พระศาสนาให้ดีขึ้น จากสิ่งที่มันคว่ำ ก็ให้มันหงาย จากที่มืดก็ให้สว่าง โดยให้ผู้ทำงานการสงฆ์สมัครสมานสามัคคีกัน เปลี่ยนเเปลง จังหวัด อำเภอ ตำบล อาวาสเเต่ละวัดให้ดีขึ้น เพราะหลายสิบปีที่ผ่านมา พระศาสนาก็ย่อหย่อนอ่อนเเอลงมาก เพราะว่าโลกเราพัฒนาเเต่เทคโนโลยีอำนวยความสะดวก เเต่ทางจิตใจนั้น ไม่ค่อยจะได้พัฒนากัน มันเลยสุดโต่งไม่ได้ไปทางสายกลาง พระพุทธเจ้าของเราท่านให้เราพัฒนาทั้งใจ พัฒนาทั้งสถานะเป็นอยู่หรือว่าเทคโนโลยี เพื่อให้ไปพร้อมกัน ให้สมดุลเป็นทางสายกลาง ทุกอย่างมันถึงจะเป็นคุณ สิ่งที่เป็นคุณ เเล้วไม่เป็นโทษ
(นี้เป็นสิ่งที่ดีมาก ที่ท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัด ท่านพยายามขวนขวาย ที่พาเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล มาทำวัตรพระผู้หลักผู้ใหญ่ พระผู้ที่ท่านทรงธรรมทรงวินัย ปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน เรียกว่า ต้องคิดในสิ่งที่ควรคิด พูดในสิ่งที่ควรพูด ทำในสิ่งที่ควรทำ เพื่อให้สมัครสมานสามัคคีไปในทางเดียวกัน ไม่ให้ทุกคนทำตามอัธยาศัย ทำตามอารมณ์ ทำตามความรู้สึก ที่มันก่อให้ไปในทางที่ต่ำ)
การเเก้ปัญหา พระพุทธเจ้าท่านให้ทุกคนเเก้ที่ตัวของบุคคลคนนั้น เพราะทุกคนนั้นติดความสุขติดความสะดวกความสบาย เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค เพราะติดมาหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นหลายเเสนหลายล้านชาติ ยิ่งปัจจุบันนี้ยิ่งติด ทุกคนต้องพากันเเก้ที่ตัวของบุคคลนั้นเอง เจ้าคณะจังหวัดเเก้เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอเเก้เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบลเเก้เจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาสก็เเก้ที่เจ้าอาวาส เพราะทุกอย่างมันอยู่ที่ผู้นำ เพราะผู้นำนี้คือหัวจักร ให้ทุกท่านทุกคน พากันเข้าใจอย่างนี้ถือว่าดีมากที่สมัครสมานสามัคคีกัน เราจะไปว่าประชาชนไม่ได้ ไปว่าพระที่บวชใหม่ไม่ได้ มันอยู่ที่ผู้นำ เพราะผู้ตาม เมื่อเราไม่เอามรรคผลพระนิพพานอย่างนี้ เค้าก็ไม่สบายใจ เค้าก็ไม่ลงใจ เพราะทุกคนก็มีตาอยู่เเล้ว มีหูอยู่เเล้ว เค้าก็มองเห็นทุกท่านทุกคนต้องพากันมาเสียสละ มาปลุกเสกตัวเอง หรือว่า มาปฏิบัติตัวเองให้เป็นพระ พระนี้คือพระธรรมพระวินัย ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึก
ประเทศไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านเห็นความสำคัญในทางธรรมะทางจิตทางใจทางคุณธรรม ข้าราชที่จะเป็นข้าราชการที่ดี มีคุณธรรม มีนักการเมืองที่ปกครองเเบบประชาธิปไตย ที่เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมมะเป็นใหญ่ ท่านถึงให้ทางคณะสงฆ์มีมหาเถรสมาคม โดยมีสมเด็จพระสังฆราชพระองค์หนึ่ง มีสมเด็จพระราชาคณะ ๑๐ รูป มีกรรมการมหาเถรสมาคม ๒๐ รูป เพื่อจะได้เน้นเรื่องธรรมะ เรื่องวินัย เพื่อจะผลิตข้าราชการที่ดีมีคุณธรรมเป็นข้าราชการของประชาชน ไม่ได้เป็นข้าราชกิน
เพราะพระนี้สำคัญ พระนี้อยู่กับชาวบ้านอยู่กับท้องถิ่น เน้นให้พัฒนาความรู้ความเข้าใจ จึงให้สอบนักธรรมตรี โท เอก สอบมหาเปรียญธรรม ๙ ประโยค เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค กรรมการมหาเถรสมาคม จึงต้องเอาธรรมวินัยเป็นหลัก ร้อยเปอร์เซ็น ไม่มีข้อเเม้ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ให้ทำตามใจ ไม่ให้ทำตามอารมณ์ ไม่ให้ทำตามอัธยาศัย เพราะว่าเจ้าอาวาสก็คือเจ้าอาวาส ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนไม่ใช่เจ้าอารมณ์ คณะอื่นก็เหมือนกัน ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ปกครองกันไม่ได้ เมื่อผู้ที่จะบอกคนอื่นต้องทำได้ปฏิบัติได้มันถึงบอกคนอื่นได้ เพราะทุกคนก็มีตามีหูที่เห็นได้ฟังได้ สัมผัสได้ ผู้นำถึงเเม้จะไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องทำหน้าที่ของพระอรหันต์
เราดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา บางครั้งศาสนาก็เกือบหมดไปจากครอบครัว จากหมู่บ้าน เเต่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติขึ้นมาเป็นตัวอย่างเเบบอย่าง เพราะว่าผู้ที่สอนผู้ที่ประกาศ ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ย่อมเป็นตัวอย่างเเบบอย่างในทางที่ไม่ชัดเจน นักปกครองต้องไปในเเนวเดียวกัน ทุกวัดทำวัตรสวดมนต์ทุกวัน เดินจงกรมนั่งสมาธิ ทำกิจวัตรปฏิบัติวัตร ๑๔ อย่าให้บกพร่อง วัดทุกวัดไม่สมควรที่จะมีโทรทัศน์ โทรทัศน์มันไม่ใช่สาธารณะจะอยู่ที่วัด อยู่ที่อาราม ถ้ามีเท่ากับไม่ได้เป็นวัด เป็นครอบครัว เราจะเห็นได้ วัดในเมือง ที่เป็นวัดบ้านเค้ามีโทรทัศน์กัน อย่างนี้เป็นความไม่ถูกต้องเป็นความเสียหาย เป็นการทำลายความมั่นคงของมนุษย์ที่ควรจะได้รับ
ความสะดวกความสบายถ้าเราไปหลงมันก็เป็นโทษ สิ่งที่เรียกว่ากามคุณมันก็เป็นกามโทษ ถ้าใจขอเราไม่ถึงโลกุตตระ ใจจะเสื่อม พวกมือถือ พวกโทรทัศน์ พวกอะไรอย่างนี้ มือถือก็ยังเอาไว้ทำธุรกิจหน้าที่การงาน เเต่โทรทัศน์เอาไว้บริโภคกามอย่างเดียว บริโภครูปเสียงอะไรต่างๆ ศีลเเปดเค้าถึงไม่ให้ฟังเพลง ไม่ให้ดูโทรทัศน์อะไรอย่างนี้นะ เพราะว่าใจมันจะอ่อนไปตาม เเต่เราคิดดู โทรศัพท์นี้มันก็ยิ่งเป็นส่วนตัว โทรทัศน์ยังเป็นสาธารณะอยู่ ดูหลายคน เราอยู่บ้านอย่างนี้ นอกจากอยู่ในห้องไม่ให้ดูด้วย เเต่ลูกคนรวยก็จะมีห้องใครห้องมัน
โทรศัพท์มือถือมันถึงทำลายพระภิกษุสามเณร หรือว่าผู้ปฏิบัติธรรมในเมืองไทย พังพินาศเลย จนมรรคผลนิพพานหมดจากคนนั้น ถ้าไม่ตั้งใจที่จะเเก้ตัวเอง วัดต่างๆ ถึงไม่สมควรมีโทรทัศน์นะ วัดบ้าน วัดประจำหมู่บ้าน วัดประจำอำเภอ วัดประจำจังหวัด ถ้ามันมีโทรทัศน์เเสดงว่า มันไม่เหลือ ศีลธรรม ไม่เหลือคุณธรรม เปรียบเสมือน พระทานอาหารตอนค่ำ หรือว่าตอนกลางคืน ปกติ เค้าต้องเเอบทาน เเต่ถ้าทานอย่างโจ่งเเจ้ง อย่างนี้ เเสดงว่า มันหมดเเล้ว หมดยางอายเเล้ว เค้าเรียกว่า หมดความเป็นพระเป็นสมณะเเล้ว เราก็เคยเห็นพระวัดบ้าน วัดในเมืองก็พาทำกัน ประชาชนเค้ารู้นะว่าศาสนามันเสียหาย ความเป็นพระ เป็นสมณะมันไม่เหลืออยู่ ใจมันสงบไม่ได้หรอก เพราะมันทำชั่วจนเป็นประชาธิปไตยเเล้ว จนยอมรับว่าเป็นเรื่องธรรมดา ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม มีโทรศัพท์มีโทรทัศน์ ก็เห็นเป็นเรื่องปกติเเล้ว ประเทศไทยนี้เสียหาย ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองที่สมบูรณ์
ถ้าประชาชนยอมรับ คณะสงฆ์ยอมรับว่าเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนี้เสียหายมาก อันนี้เรื่องใหญ่นะ อันนี้มันทำลายความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทำลายมรรคผลพระนิพพานของกุลบุตรลูกหลาน พวกที่คิดอย่างนี้ไม่สมควรมาบวช ไม่สมควรรับไทยทานของประชาชน เมื่อเรามาบวชก็รับไหว้ รับของเค้า รับการอุปถัมภ์อุปัฏฐากดูแล มันทำอย่างนั้นไม่ได้เเล้ว เมื่อสถาบันเราไม่มั่นคงเเล้ว การเมืองก็ยอมไม่มั่นคง ข้าราชการก็ไม่มั่นคง ถ้าเราทิ้งความถูกต้องไป
เพราะเราต้องช่วยกันทั้งวัดบ้านวัดป่า โทรศัพท์มีปัญหามาก เดี๋ยวก็ได้ยินข่าวว่า พระอาจารย์องค์นั้น องค์นี้สึก ๒๐ กว่าพรรษาก็สึก มันมาจากโทรศัพท์ทั้งนั้น มันมีทุกหย่อมของเมืองไทย ของเมืองไทยทุกภาคส่วน ถ้าเเก้ต้องไปเเก้ที่ผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่พาทำก็ไปเอาอย่างนั้น ถ้ามหาเถรสมาคม เอาธรรม เอาวินัย เอามรรคผลนิพพานร้อยเปอร์เซ็นมันไม่มีปัญหาหรอก ถ้าไปเอาแต่ยศ เอาตำเเหน่ง เอาเงิน เอาสตางค์ มันย่อมมีปัญหาเเน่ เพราะว่าไม่ได้เข้าสู่ความถูกต้อง
เมื่อใจของเราไม่ได้ถือพรหมจรรย์ เราจะไปบอกไปสอนเค้าได้ยังไง เเม้เเต่เรามีโทรศัพท์ มีคอมพิวเตอร์ก็ต้องใช้ในที่จำเป็นจริงๆ เพราะการมีโทรทัศน์เท่ากับเรามีภรรยา การมีโทรศัพท์เท่ากับมีภรรยา ต้องระวัง เราจะใช้พวกที่เท่าที่จำเป็น สมกับเป็นพระ เป็นสมณะ ไม่ใช่ไปลดความประพฤติ ลดตำเเหน่งเท่ากับฆราวาสเค้า พระผู้ใหญ่เค้านำไปติดสุขติดสบายติดกามอย่างนี้ไม่ได้นะ
คำว่า “พระ” คือ พระธรรม พระวินัย ทุกวันนี้ประชาชนผู้ที่สนับสนุนหนักใจไม่ไว้วางใจผู้ที่มาบวช เพราะว่าไม่ได้เอามรรคผลพระนิพพาน ไม่ได้เอาพระวินัยร้อยเปอร์เซ็น เพียงเเต่เอาพระพุทธศาสนาหาดำรงเลี้ยงชีพ เค้าอาจจะยกมือไหว้หรือกราบเพราะความจำเป็นด้วยการฝืนจิตฝืนใจ ปัญหาต่างๆ มันไม่ได้อยู่ที่ประชาชน มันอยู่ที่พระเอง เราไม่ได้เอามรรคผลนิพพาน ไม่ได้เอาธรรมวินัย เราจะไปหากินในทางขายพระ ขายเหรียญ ขายตะกรุด ผ้ายันต์ เครื่องรางของขลัง ดูหมอดูดวง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เกิดจากประชาชนเค้าเคารพเลื่อมใส เกิดจากที่เราปลุกระดมเพื่อที่จะขายของได้ พระพุทธเจ้าก็บอกอยู่เเล้วว่าอันนี้ คือเดรัจฉานวิชา
เราจะเอาเงินไหนมาพัฒนา? เมื่อเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทุกๆ คนไว้วางใจที่จะช่วยบำรุงรักษาเหมือนข้าราชการหรือนักการเมือง ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่โกงกินคอร์รัปชั่น ทุกคนพร้อมที่จะช่วยกันเสียภาษี เราถือว่าเราโชคดีมาก มีสมเด็จพระสังฆราช ที่จะให้พระในเมืองไทยเปลี่ยนเเปลงไปในทางที่ดี ถ้าเราไม่เอาธรรมวินัยมรรคผลนิพพาน ชีวิตนักบวชก็จะเป็นชีวิตของโจร ของมหาโจร เป็นชีวิตที่ทำงานบนหัวคน เป็นการทำลายความมั่นคงของความเป็นมนุษย์ ของชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ให้ “เจ้าคณะปกครอง” ทุกท่านได้น้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่เราได้รับความไว้วางใจจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราได้รับความไว้วางใจจากประชาชนชาวไทย ต้องเริ่มที่ปัจจุบันทุกคน ในปี ๒๕๖๕ เราพากันเปลี่ยนเเปลงตัวเอง เราเคยเป็นพระผู้ใหญ่ติดสุขติดสบายมันต้องฝืนต้องทนต้องเจ็บปวดพอสมควร เเต่ทุกคนก็ต้องเสียสละเพื่อเราจะได้เป็นนักปกครองที่ดี เราต้องปรับตัวเองเข้าหาความสมัครสมานสามัคคี อย่างเจ้าคณะอำเภอทุกเจ้าคณะอำเภอต้องสมัครสมานต้องสามัคคีไปในเเนวเดียวกันหมด เจ้าคณะตำบลทุกตำบล เจ้าอาวาสทุกวัด หรือพระลูกวัด ทุกคนต้องปรับเข้าหาธรรมะ เรื่องสมัครสมานสามัคคีนี้สำคัญ ต้องสามัคคีในการทำงานร่วมกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้งแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ถ้าเราขาดความสมัครสมานสามัคคี มันเป็นสังฆเภท สามัคคีกับประชาชน คนอยู่ในวัดเรามีทั้งคนเป็นโรคจิต โรคประสาท คนดีไม่ดีก็ต้องใช้ปัญญา เเต่ก็ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก ถ้างั้นเราจะกลายเป็นคนไม่รับผิดชอบ กลายเป็นคนอ่อนเเอ
พระพุทธเจ้าออกเผยเเผ่ ไม่ได้เสียเงินสักบาท เป็นผู้เสียสละยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ความสุขของพระอยู่ที่ไหน ความสุขของพระอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เเละอยู่เราปฏิบัติถูกต้อง อยู่ที่เราเสียสละ มันจะอยู่ที่ปัจจุบัน เราสร้างเหตุปัจจัยให้ถูกต้อง เราสังเกต ถ้าเราจะมาเอาความสุขในการฉัน การนอน การพักผ่อน การที่ได้บริโภครูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ มันไม่ใช่ ต้องเอาจากการเสียสละ เราดูตัวอย่างอย่างพระอรหันต์ เเล้วก็ผู้ที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ยังไม่รู้จักความสุขความดับทุกข์ที่เเท้จริง ยังไม่รู้จักพรหมจรรย์ ที่เราทำงานเราเรียนเราศึกษา อัพเกรดตัวเอง เค้าถึงเป็นมนุษย์รวย เป็นผู้ที่มีลาภสักการะสรรเสริญเยินยอ ถือว่ายังไม่เข้าถึงเเก่นพระศาสนา หรือ เข้าถึงความดับทุกข์ พระอริยเจ้าท่านมีความสุขเพราะท่านเสียสละ อยู่ที่เสียสละทางจิตใจ เราอย่าไปเข้าใจผิดว่าไม่ได้นอนไม่ได้พักผ่อน โอ้ย...มีเเต่ทำโน่นทำนี้ ไปคิดยังงั้นมันไม่ถูก การไม่นอนไม่พักผ่อนคือการเสียสละ ดูอย่างพระพุทธเจ้าท่านบรรทมวันละ ๔ ชั่วโมง ทำงานเสียสละวันละ ๒๐ ชั่วโมง เรื่องโทรทัศน์ เรื่องขับรถ เรื่องผู้หญิง ใครมีอะไรก็ต้องเปลี่ยนเเปลงตัวเอง
ที่พูดนี้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้พูดลอยๆ ถ้าพระพุทธเจ้ามีพระชนม์อยู่ ทุกคนก็จะไม่มีโทรทัศน์มีอะไรหรอก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นสิ่งที่ต้องเเก้ไข อย่างนั้นจะส่งใครเป็นผู้นำก็เป็นไม่ได้ โครงสร้างมันไม่ดี มันไปเเก้ที่ปลายเหตุ ไม่ได้เเก้ที่ต้นเหตุ ผู้นำถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องอย่างนี้ เมื่อทางผู้ใหญ่ เอามรรคผลนิพพาน เอาความมั่นคงเเห่งชาติ เเห่งพระศาสนา เเห่งพระมหากษัตริย์ ทุกอย่างมันถึงไปด้วยดี มันไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาส่วนรวม เอาธรรมธิปไตยเป็นหลัก เราจะเอาประชาธิปไตย เอาตัวตนเป็นใหญ่นี้มันออกกฏหมายมาทำชั่วได้
เราไม่ต้องกลัวใครในโลก อันไหนไม่ดีก็จัดการไป พวกพระขับรถ ทั้งในวัดนอกวัด ยกเว้นรถสำหรับพระป่วย พวกรถกอล์ฟอย่างนี้ การเข้าห้างเเมคโครโลตัส ไปหาซื้อของ มันไม่เหมาะสม ไม่สมควรอยู่เเล้ว ไม่ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาปมากเกิน รวมทั้งเหล้ายาดองตราพญานาค เหล่านี้ เพราะพระติดเหล้ายาดองกัน ที่โรงงานทำขึ้นมาเป็นยาสำหรับคนแก่ ขวดเล็กๆ คล้ายกระทิงแดง ซึ่งพระจะดื่มไม่ได้ เพราะเป็นน้ำเมาผิดวินัย วัดไหนติดก็ต้องพากันหยุด ถ้าไม่หยุดมันเป็นโลกวัชชะ อาจต้องลาสิกขา เพราะว่าผิดทั้งพระวินัยและกฎมหาเถรสมาคม เมื่อหลายปีก่อนในวงพระกรรมฐาน ทำน้ำหมักสมุนไพรใบคาวตอง ที่ทำมาจาก ผักคาวตอก หญ้าปักกิ่ง บอระเพ็ด น้ำตาลทรายแดง และน้ำเปล่า หมักรวมกัน ปรากฏว่าน้ำหมักนั้นกลายเป็นเหล้า ทำให้พระกรรมฐานเสียหาย เพราะว่ามันไม่ได้เป็นยา กลายเป็นสาโทไป มันเป็นสิ่งเสพติด เพราะมีแอลกอฮอล์เกินกว่าความเป็นยา ให้รู้ว่าผิดพระวินัย จึงต้องเข้าใจ ผู้ที่ถวายทานเค้าจะมีความสุข เค้าได้สนับสนุน จะได้มีความสุข พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านจะได้มีความสุข พระที่มุ่งมรรคผลนิพพาน เค้าจะมีความสุขว่า ผู้นำนี้ไม่ได้มาเป็นผู้นำเพื่อมาทำธุรกิจ ในการบวช ทำธุรกิจในการทำข้าราชการ ทุกคนยินดีที่จะเสียภาษี ทุกคนมีความสุขในการยกมือไหว้ ถวายอุปถัมถ์อุปัฏฐาก
เรื่องพระที่ย่อหย่อนอ่อนเเอ ถ้าเราใจอ่อนอย่างนี้ เค้ารังเกียจทุกคน พระในวัดเค้าก็รังเกียจ ยิ่งเป็นผู้นำถ้าเราใจอ่อน พระเค้ารับไม่ได้ พระหนุ่มเณรน้อยเค้าก็รับไม่ได้ คุณพ่อคุณเเม่ก็ยังไม่รู้ว่าความสุขความดับทุกข์ที่เเท้จริงคืออะไร ไปยัดเยียดก็เเต่ความสุขก็เเต่วัตถุทางภายนอก ไม่ได้พัฒนาใจ เรารู้ไม่จริง การได้พบพระพุทธเจ้าถือเป็นบุญเป็นกุศล เราไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ อันนี้มันเป็นอบายมุข อบายภูมิ เราไปเข้าใจหยาบๆ ยังไม่ละเอียด
เมื่อโลกมันเป็นอย่างนี้ปกปิดไม่ได้ มันมีเเต่ข่าวทุกวัน ข่าวพระทำไม่ดี เพราะว่าสื่อต่างๆ มันรู้กันทั้งโลกเเล้วเดี๋ยวนี้ เมื่อพูดดีๆ พูดถูกต้อง เค้าก็รู้กันทั้งโลก พวกที่เลี้ยงโจรไว้ในตัวเอง มันก็อยู่ยากเหมือนกัน เพราะคนมันฉลาดขึ้น คนบ้านนอกก็ฉลาดขึ้น คนในเมืองฉลาดขึ้น เราต้องกลับมาหาสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้ารู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน พระวัดบ้านจะได้มีงาน พระกรรมฐานก็มีงาน เจริญสติสัมปัชญญะรู้ตัวทั่วพร้อม วัดวาอารามจะได้สะอาดขึ้น ผู้ที่บวชมา วันนึงอย่างน้อยทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น นั่งสมาธิ ทำความสะอาด คงไม่ปล่อยให้สภาพความเป็นอยู่ยิ่งกว่าป่าช้าชนบท หมู่บ้านหนึ่งๆ กว่าจะตายกัน ก็ปล่อยให้รกสกปรก วัดเราถ้าอยู่ในแบบเช่นนั้น เเสดงว่า มรรคผลนิพพานมันไม่มี มันมีเเต่ทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน อย่างนั้นไม่ได้ เสียหายเสียทรัพยากรอย่างนี้
เราต้องฟัง ประชาชนเค้าก็พากันฟัง ให้พากันตื่นเถิดพระภิกษุผู้มาบวชทั้งหลาย เราต้องประชุมกัน วัดไหนก็ทำเหมือนๆ กัน สื่อสารมวลชนก็ถึงกันเร็ว อย่ามาอวดโก้ว่ามีรถ มีอะไรอำนวยความสะดวก อย่างนั้น มันไม่ใช่ เราต้องเข้าสู่ธรรมวินัย
ศาสนาพุทธ เกิดมาพร้อมๆ กันกับประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ ทรงทศพิธราชธรรม การปกครองประเทศไทย ก็เอาธรรมะเป็นหลัก กฏหมายบ้านเมือง รัฐธรรมนูญเอาธรรมะเป็นหลัก เเต่ว่าส่วนใหญ่จะมีเพี้ยนอยู่ก็พวก ขายเหล้าขายเบียร์ เปิดบ่อน ตีไก่ ชนไก่ ประเทศไทยจะตั้งบ่อนคาสิโนหลายครั้ง เเต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ไม่ทรงอนุญาติ ประเทศไทยไม่มีฝิ่น เฮโรอีน กัญชา ปี ๒๕๖๕ นี้เพี้ยนหน่อย กัญชาถูกกฏหมาย มันเป็นการทำลายสมอง สติปัญญา ผู้เป็นรัฐบาลต้องเอาธรรมะเป็นหลัก ต้องเอาธรรมะเป็นใหญ่นะ รัฐบาลทุกรัฐบาลที่มาบริหารประเทศไทย ข้าราชการทุกคนต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ ไม่มีใต้โต๊ะ
ศาสนาทุกศาสนาเสื่อม ศาสนาคริสต์ ศาสนา อิสลาม หรือศาสนาพุทธเสื่อม มันไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเลย อยู่ที่นักบวช ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถึงเป็นธรรมะ ที่ทุกๆ คนจะต้องปฏิบัติกัน ไม่ว่าใครจะถือศาสนาอะไรก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ ไม่อย่างนั้น ศาสนาก็จะอยู่ไม่ได้ เราถือศาสนาพุทธ เราทำอะไรต้องทำจากปัญญา เพราะศาสนาพุทธคือวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เหนือวิทยาศาสตร์ก็คือ เมื่อได้รับผลประโยชน์จากการประพฤติปฏิบัติ จากหลักเหตุผล หลักเเห่งวิทยาศาสตร์ไม่ติดไม่หลง เป็นการเสียสละให้เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม ศาสนาพุทธถึงไม่มีสิ่งที่งมงาย
เรามาคิดดู คนมาบวชในศาสนาพุทธไม่เข้าใจ นึกว่าพวกมาบวช มาปล่อยวาง ไม่ทำอะไร มาอยู่วัดเเล้วไม่ทำอะไร เลยพากันมาบวช มาบวช บ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อ เเถมเอาเงินเอาสตางค์มาถวาย เเล้วก็ยังไหว้อีก พวกนี้มีความเข้าใจผิด พระวินัยก็ไม่รักษา พวกนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ พระบางรูปหรือคนบางคน ไปบวชที่วัดเค้าปฏิบัติเคร่งๆ ตื่นตั้งเเต่ตีสอง กว่าจะได้นอนก็สี่-ห้าทุ่ม ก็เลยกระอักเลือด
ทุกคนก็ต้องเข้าใจเรื่องศาสนา ถ้างั้นก็จะดำเนินชีวิตตกต่ำไปสู่อบายภูมิ พวกที่ขี้เกียจขี้คร้าน กินเหล้า กินเบียร์ เจ้าชู้ เล่นการพนัน เเล้วก็ไปยกย่องตัวเองว่า ตามใจตัวเองคือไทยเเท้ เมื่อเราไม่ปิดอบายมุข ไม่ปิด อบายภูมิ เราจะเอาอะไรเป็นตัวอย่างให้เค้าเห็น ตัวอย่างในการสอนลูกสอนหลาน เราเป็นชาวพุทธที่ถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ไม่สมควรที่จะต้องยากจน มีปัญหา เพราะเรามีความสุขในการเรียน ในการทำงาน ในการเสียสละ เเล้วก็ปิดอบายมุข อบายภูมิ พัฒนาทั้งกายทั้งใจ ไม่น่ามีปัญหาอะไร ในเรื่องกายใจ
ทุกคนต้องเน้นเข้าหาเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องความซื่อสัตย์ เราจะไปเข้าถึงเรื่องจิตเรื่องใจ ใจของเรามันสกปรก วาจาก็สกปรก การกระทำก็สกปรก เพราะใจของเราก็สกปรก ถ้วยโถโอชามก็สกปรก ห้องอยู่ห้องนอน ห้องสุขามันก็สกปรก รอบกุฏิ รอบอาคารก็สกปรก เพราะใจมันสกปรก นี้มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ นึกว่า มาบวช มาปล่อยวาง บางทีก็ไม่รู้เลยว่า เอ๊... มาบวชนี้ทำไม มาหาทุกข์ให้กับตัวเอง มาตื่นตีสอง ตีสามอย่างนี้ มาขยันอย่างนี้ เวลาเค้านอนก็ไม่ได้นอน กลางวันยังกวาดวัด กวาดกุฏิ ถูกุฏิ ห้องน้ำ ห้องสุขา เพราะใจของเรามันสกปรก มันก็เลยคิดไม่ออก อันนี้คือการฝึกตัวเองให้เป็นคนเสียสละ เราทำกุฏิให้สะอาด ทำห้องน้ำให้สะอาด ไม่ได้ทำให้คนเลื่อมใส เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมุ่งมรรคผลนิพพาน ไม่ได้ให้คนเลื่อมใส ถ้าให้คนเค้าเลื่อมใสก็ต้องอาบัติ เพื่อชำระจิตของตน อันนี้เป็นมันเป็นอริยมรรค เป็นเครื่องฝึก เราพากันเข้าใจผิด เข้าใจว่า ทุกวันนี้มรรคผลนิพพานมันไม่มี ที่มันไม่มีเพราะเราไม่ได้ทำตามพระพุทธเจ้า เราไม่ได้เสียสละตามพระพุทธเจ้า เรายังตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง เรายังไปมีเซ็กซ์ทางความคิด ทางอารมณ์ พระพุทธเจ้าท่านก็ห้ามอยู่เเล้ว เดินจงกรมให้เค้านับถือเลื่อมใส นั่งสมาธิให้เค้าเลื่อมใส ทำอะไรทุกๆ อย่างให้เค้าเลื่อมใส อย่างนั้นไม่ถูกต้อง ดังที่พระพุทธองค์ตรัสถึงพรหมจรรย์นี้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติมิใช่เพื่อหลอกลวงคนให้นับถือ มิใช่ประพฤติเพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะ และเสียงสรรเสริญ มิใช่เพื่ออานิสงส์จะได้เป็นเจ้าลัทธิ หรือเพื่อคัดค้านลัทธิอื่นได้ให้ล้มลงไป และมิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ ก็หามิได้ ภิกษุทั้งหลาย ที่แท้พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ เพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อความดับสนิทแห่งทุกข์”
เราทำเพื่อมาเสียสละกัน เพราะเราทุกคนมีความเห็นเเก่ตัวขี้เกียจขี้คร้าน ใจสกปรก เพราะเราไม่อยากละ ไม่อยากเลิก เเม้เเต่นั่งสมาธิก็จมอยู่ในกาม มันอยากได้สมาธิ มันไม่ยอมเข้มเเข็ง ไม่ยอมตัวตรง ไม่ยอมกำหนดลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้ มันจะเอาเเต่อะไร พวกพระก็ให้เข้าใจ พวกเณรก็ให้เข้าใจ พวกเเม่ชีก็ให้เข้าใจ พวกโยมวัดก็ให้เข้าใจ ถ้างั้นมาอยู่วัดก็ไม่ได้ฝึกอะไรเลย เเห่กันไป เเห่กันมา หุงหาอาหารให้เสียเวลาเฉยๆ การที่เป็นเเชมป์มันพอได้ พอฝึกเเล้วระยะหนึ่ง เเต่ที่จะรักษาเเชมป์มันเป็นของยาก ถ้ารักษาเเชมป์นี้ก็ มันอยู่ที่ปัจจุบัน ไม่เกี่ยวกับบวชเก่าบวชใหม่ หรือ ผู้ที่อยู่วัด อยู่บ้าน ทุกคนต้องทำปัจจุบันให้มันชัดเจนขึ้น ด้วยศีล ด้วยธรรม ด้วยพรหมจรรย์
พระพุทธเจ้าท่านได้บัญญัติศีล บัญญัติพระวินัย เพื่อให้บุคคลที่มีอินทรีย์บารมีอ่อน ที่ยังไม่เข้าใจ ยังเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความประมาท ไม่ให้ล่วงละเมิดในสิกขาบท ตั้งแต่พระวินัยที่เบื้องต้น ขนาดกลาง ขนาดหนัก
พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บัญญัติศีล บัญญัติพระวินัยไว้สำหรับพระอรหันต์ ไว้สำหรับสามัญชน ความเป็นพระของเรา ความเป็นเณร ความเป็นอุบาสก อุบาสิกา หรือเป็นตำรวจ ทหาร ข้าราชการนั้น ที่จะเป็นไปเต็มรูปแบบทั้งกายทั้งใจ มันต้องเกิดจากความประพฤติ เกิดจากการปฏิบัติของเราทั้งกาย ทั้งวาจาและทางจิตใจ
เราแต่งตั้งกันได้ก็เพียงแต่งตั้งทางสมมุติ แต่ความประพฤตินั้น จะไม่มีใครแต่งตั้งเราได้ นอกจากตัวของเราเอง 'ความรับผิดชอบ' เป็นคุณสมบัติที่จะนำทางเราไปสู่ความเป็น คนดี เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร
คนเราจะมีคุณธรรมมันจะต้องเป็นคนที่รับผิดชอบ มีความรู้มีความเข้าใจนั้นยังไม่เพียงพอ มันต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าใครมีความรับผิดชอบน่ะ คนๆ นั้นก็ชื่อว่าเป็น 'คนดี' ใครไม่มีความรับผิดชอบ เค้าก็เรียกว่าคนนั้นเป็น 'คนไม่ดี' คนที่รับผิดชอบ คือบุคคลที่เอาตัวรอดในทางที่ดี
คนที่ไม่รับผิดชอบ คือคนที่เอาตัวไม่รอด แม้แต่ตัวเองก็ยังปกครองตัวเองไม่ได้ ด้วยเหตุผลนี้ ไม่ว่าเราได้รับหน้าที่อะไร เราต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ อย่างเต็มร้อย เห็นความสำคัญในสิ่งที่เราได้รับมอบหมาย เราต้องการจัดการ ต้องเคลียร์ อย่าได้ประมาท คนเค้ามองกันว่าคนโน้นรับผิดชอบ คนนี้ไม่รับผิดชอบน่ะ... ความรับผิดชอบนี้จึงเป็นการทำประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
ทำไมเราถึงเคารพพระพุทธเจ้า ทำไมเราถึงฟังพระพุทธเจ้า เพราะว่าท่านเป็นคนมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ทำไมพวกลูกๆ หลานๆ ไม่ฟังพ่อไม่ฟังแม่ ไม่ฟังปู่ย่าตายาย เพราะว่าเป็นคนไม่มีศีล ทำไมเขาไม่ฟังเจ้าอาวาส ไม่ฟังผู้ที่บวชมาก่อน เพราะว่าคนพวกนี้ไม่มีศีล ไม่มีความตั้งมั่น ไม่มีปัญญา ยังทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเอง ด้วยเหตุผลนี้ ผู้ที่มาบวชต้องเข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า เข้าสู่ระบบระเบียบของพระพุทธเจ้า ตัวเองถึงจะเคารพตัวเองได้ คนที่เกี่ยวข้องกับเรา ถึงจะเคารพเราได้ เราก็รู้ว่าคนเก่งมันมีเยอะ แต่คนดีแล้วเป็นคนเก่งด้วยมันหายาก ธรรมะของผู้ปกครองก็ต้องเข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า ทำไมเขายกมือไหว้ พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพราะเขามีความสุข ทำไมไม่ไหว้ พระที่ไม่เอาศีล เอาธรรม เอาแต่เงิน เอาแต่ตังค์ เอาแต่ลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะมีความทุกข์ใจว่าทำไมเราถึงมาไหว้คนอย่างนี้
เรามองดู... ถ้าจะเอาคนส่วนใหญ่ที่เค้าไม่ได้มาตรฐานเป็นประมาณ นั้นไม่ได้ ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เราอย่าไปคิดว่า สมัยโน้นกับสมัยนี้มันไม่เหมือนกัน สมัยไหน... คนก็ย่อมมีความทุกข์ ย่อมมีความไม่สงบ เหมือนกัน ไฟมันก็ยังร้อนอย่างเก่า พริกมันก็ยังเผ็ดอย่างเก่า น้ำตาลมันก็หวานอย่างเก่า พระพุทธเจ้าให้ทุกท่านทุกคนน่ะ ตั้งมั่นใน 'พระรัตนตรัย' คือพระพุทธเจ้า คือพระธรรม คือพระอริยสงฆ์ 'พระอริยสงฆ์' ก็คือตัวเรานี้แหละ...ที่จะประพฤติปฏิบัติ เป็นพระอริยสงฆ์
ใจของคนนั้นมันไม่มีคนเฒ่าคนแก่ ไม่มีคนหนุ่มสาว ไม่มีผู้หญิง ผู้ชาย คือ ใจที่บริสุทธิ์ เป็นผู้หญิง...เป็นผู้ชาย ก็แตกต่างกันที่ไว้ผม มีเครื่องประดับ รักษาผิว เป็นพระ..เป็นโยม ก็แตกต่างกันที่เครื่องนุ่งห่ม กับปลงผม แต่ร่างกาย ก็คือ "ความแก่ ความเจ็บ ความตาย" นั้นเหมือนกัน
ถ้าเราปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร เป็นผู้ที่รับผิดชอบ เป็นผู้ที่เสียสละ หัวใจของเราก็เป็น 'พระอริยเจ้า' ได้ เหมือนกันทุกคน ไม่มีอะไรที่จะมากีดขวาง ขอให้เราตั้งมั่นในพระรัตนตรัย รับผิดชอบให้มันมากขึ้น ทุกอย่างให้มันละเอียดขึ้น เห็นคุณค่าในการเสียสละ เห็นคุณค่าในการที่เราจะต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบ ทุกๆ คนต้องดำเนินด้วยปลีแข้งของตัวเองด้วยการเสียสละในความดี หน้าที่การงาน ชีวิตก็จะพลิกล็อค เปลี่ยนแปลง ถ้าเราเป็นคนเสียสละ คนรับผิดชอบ ที่เราเป็นคนไม่รับผิดชอบเพราะเราไม่เสียสละ เห็นแก่ปาก แก่ท้อง แก่กิน แก่นอน เห็นแก่พวกพ้องบริวาร
คนรับผิดชอบเหมือนแผ่นดิน เป็นที่ให้เราได้ยืน ได้สร้างบ้านที่อยู่อาศัย มีร่างกายให้เราทำความดี ความรับผิดชอบจึงเป็นเยี่ยมที่สุดในโลก
อย่างในโลกนี้ ใครเป็นคนรับผิดชอบที่สุดในโลก...? พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่รับผิดชอบที่สุดในโลก เสียสละที่สุดในโลก เรารับผิดชอบ โลกก็ต้องการ ถ้าเรารับผิดชอบ บ้านก็ต้องการ ที่ทำงานก็ต้องการ เพราะบุคคลนั้นหาได้ยาก
ความงามของคนอยู่ที่ไหน..? ความงามของคนไม่ใช่อยู่ที่หน้าตา ผิวพรรณ ความ งามแท้จริงที่เป็นอมตะ คือ ความรับผิดชอบ
อยู่ในวัดถ้าใครรับผิดชอบ ชื่อว่างามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด เป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ โดยไม่หวังผลตอบแทน ชื่อว่างามแท้จริง ตั้งมั่นในธรรม มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม
ไม่ว่าจะเป็นธรรมยุตหรือมหานิกายก็ต้องสามัคคีกัน ไม่ว่านิกายไหนก็ได้บรรลุธรรมพอกัน ถ้าปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดตามพระพุทธเจ้า อย่างลูกศิษย์หลวงปู่มั่น มีทั้งธรรมยุตมหานิกายก็ได้บรรลุธรรมพอๆ กัน เราต้องสลายระบบสังฆเภทระบบแตกแยกระบบหมู่เฮาออกไปจากใจ พระพุทธเจ้าให้เราละอายต่อบาปกลัวต่อบาป อย่าไปคบค้าสมาคมกับอลัชชี อลัชชีภายนอกยังไม่ร้ายเท่ากับอลัชชีภายใน ที่มักจะอนุโลมขอโอกาสคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีไปเรื่อย ย่อหย่อนอ่อนแอไปเรื่อย สำคัญต้องเข้มแข็งต้องสมาทาน เมื่อหลาย ๑๐ ปีก่อนการประชุมสงฆ์มีแต่ปลุกระดมว่าศาสนาเราถูกทำลาย เนื่องจากทางศาสนาเรามีแต่ระวังภัยภายนอก แก้ภายนอก เราไม่ได้มาแตะต้องตนเองเลยว่า ธรรมวินัยเสื่อมจากใจ ย่อหย่อนอ่อนแอไปแก้แต่ปลายเหตุ ต้นเหตุคือผู้นำผู้ปกครองที่คิดผิดพูดผิดปฏิบัติผิ ดมันเลยแก้ปัญหาไม่ได้ นักปกครองโดยเป็นแต่ผู้เดินเอกสารเท่านั้นเอง สมควรแล้วถึงเวลาแล้วที่ต้องมาแก้ไขที่เรามีในหลวงผู้ทรงทศพิธราชธรรมเป็นองค์เอกอัคนศาสนูปถัมภ์ มีสมเด็จพระสังฆราชผู้ทรงธรรมทรงวินัย ในพรรษานี้เราก็พากันเปลี่ยนแปลงไม่ต้องขอโอกาสอีกต่อไป
คนเราเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกันที่มีความสุข มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม คนสำรวมตัวเอง คือคนปฏิบัติธรรม เพราะไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่าการปล่อยวาง... และสำรวมตนอยู่ในธรรม