แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๓ ปฏิบัติธรรมมีเเต่เเก้ตัวเอง ไม่มีไปเเก้คนอื่น เมื่อเเก้ตัวเองได้เเล้ว ถึงจะบอกในสิ่งที่ถูกต้องกับคนอื่นได้
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระ เณร เเม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ญาติโยมประชาชน ให้มีความตั้งมั่น มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะทางประพฤติปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง 100% ไม่ผิดเพี้ยน ถ้าเรามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติความเครียดก็จะไม่มีกับเรา ความเครียดมันอยู่ที่เรา ไม่อยากประพฤติไม่อยากปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนนั้นถ้าประพฤติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าถือว่าเป็นเก่ง คนฉลาด เป็นคนตั้งมั่น เป็นคนประพฤติปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ปฏิบัติที่สมควร ทุกท่านทุกคนให้พากันมีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าหายใจออกรู้ตัวชัดเจน อยู่ที่ปัจจุบัน
ทุกท่านทุกคนต้องลงรายละเอียดกับตัวเอง เราหยุดทำตามใจตัวเอง หยุดทำตามอารมณ์ตัวเอง หยุดทำตามความรู้สึกของตัวเอง ต้องทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า การดำเนินชีวิตของเรามันจะได้ไปสู่อริยมรรค นี้คือเหตุปัจจัยที่เราจะต้องเปลี่ยนเเปลงอบรมบ่มอินทรีย์ ทุกท่านทุกคนให้เตรียมพร้อม เช่น เข้าศาลาก่อนเวลา ออกบิณฑบาต เตรียมพร้อมก่อนเวลา ต้องเห็นความสำคัญในปัจจุบัน เพราะการปฏิบัติธรรมของเรามันเตรียมพร้อมที่ปัจจุบัน ใจของเราต้องเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นมรรคเป็นผลตั้งเเต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้หมดลมหายใจ
เราทุกคนมีเซ็กซ์ทางความคิด มีเซ็กซ์ทางอารมณ์ เหมือนเเต่ก่อนเราไม่เอา เราต้องมาหยุดตัวเอง อานาปานสติเราต้องมีทุกอิริยาบถ เราเดินเรานั่งเรานอนก็ต้องมี รู้ลมเข้าก็ชัดเจนรู้ลมออกก็ชัดเจน เราทำงาน จึงไปเอาสติไว้กับการทำงาน งานคือความสุขเสียสละรับผิดชอบ คนเราต้องมีความสุขในปัจจุบัน เวลาเราจะพูดก็พูดดีดีในปัจจุบัน อย่าไปซิกเเซกคำพูดอะไร ต้องฝึกตัวเอง เราอย่าทำแบบตัวอยู่นี้ เเต่ใจอยู่ที่อื่นมันไม่ใช่ มันฟุ้งซ่าน ทุกท่านทุกคนต้องเเก้ตัวเองนี้เเหละ เราไม่ต้องไปเเก้คนอื่น ดูเเล้วพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีเเต่เเก้ตัวเอง ไม่มีไปเเก้คนอื่น เมื่อเเก้ตัวเองได้เเล้ว เราถึงจะบอกในสิ่งที่ถูกต้องกับคนอื่นได้ ทำข้อวัตรกิจวัตร ต้องให้เต็มที่ ทุกคนให้กระฉับกระเฉง
คำว่า “ใจเย็น” ไม่ได้หมายถึงต้องทำเชื่องๆ ช้าๆ ซึมๆ อะไร เหมือนกับมัดเท้ามัดมือมัดเเขนมัดขาไว้ หมายถึงถ้าเราใจเย็นได้ต้องเอาพระธรรมพระวินัย เราไม่ได้ทำผิด ใจของมันถึงจะใจเย็น ถ้าเราเป็นหนี้เป็นศีลเค้าน่ะ ถึงทำช้าก็ใจเย็นไม่ได้หรอก ถ้าเราทำผิดใจมันก็จะร้อน คนมีหนี้มีสินใจมันเป็นทุกข์ใจมันก็เลยร้อน การปฏิบัติธรรมเราไม่ต้องกลัวเหนื่อยกลัวยากกลัวลำบาก เพราะกลัวเหนื่อยกลัวยากกลัวลำบาก มันเป็นสิ่งที่ทวนกระเเส ใจมันไม่เป็นไรหรอก เเต่ใจที่ติดสุขติดสบายมันเหนื่อยใจ เราต้องเสียสละ เราอย่าไปสนใจ เพราะธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้านไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
พระบวชในพรรษา เวลาสึกไปจะได้มีฐานะมั่นคงในธุรกิจหน้าที่การงาน มันต้องฝึกต้วเองในปัจจุบัน เมื่อปัจจุบันไม่ผ่าน อนาคตมันจะผ่านได้อย่างไร เราไม่ต้องกลัวความเหนื่อยความเจ็บความเเก่ความตายความพลัดพราก อันนี้ล้วนเเต่เป็นความคิดความปรุงเเต่งของเรา ถึงเวลานอนก็ตั้งใจนอนให้มีความสุข นอนสัก 5 ชม. 6 ชม. เลิกจากทำวัตรเย็นกลับไปนั่งสมาธิ ง่วงนอนก็นอน ถึงเวลานอนก็ให้นอน ถ้าไม่นอนเค้าเรียกว่าคนคอร์รัปชั่นเวลานอน ต้องบังคับตัวเอง เหมือนหลวงปู่มั่น ถึงเวลานอนให้นอน ถึงเวลาตื่นต้องให้ตื่น ถ้าเราไม่บังคับตัวเองไม่ได้หรอก เป็นคนไม่มีเจ้าของ ทุกท่านทุกคน พยายามจัดการกับตัวเองให้เต็มที่
ความเป็นพระไม่สามารถที่จะเป็นพระได้หรอก ถ้าเราไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติ เราไม่ฝึกไม่หัด ปัญญาเราจะเกิดได้เราต้องพิจารณาอนิจจัง พิจารณาสภาวะธรรมให้เห็นตามความเป็นจริงคืออนิจจัง ให้รู้จักอนัตตา เพื่อว่าใจของเราจะได้เป็นอนัตตา
พระเณรญาติโยมวัด หรือ ญาติโยมบ้าน มันต้องรักกัน สามัคคีกัน ถ้าเราทะเลาะวิวาทกัน มันผิด มันเป็นอนันตริยกรรม อย่าให้มันมีสำหรับทุกๆ คน เค้าเป็นบ้าก็อย่าไปบ้ากับเค้า เค้าโง่ก็อย่าไปโง่กับเค้า เราต้องไปเเก้ที่ตัวเอง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่น่าเกลียด มาปฏิบัติธรรมเอามรรคผลนิพพาน ยังไปทะเลาะกัน มันไม่สมควร เเม้เเต่ใจมันคิดก็อย่าไปคิด เราต้องเปลี่ยนเเปลงตัวเองใหม่ เราอย่าไปคิดว่ามันถูกเเล้ว มันไม่ถูกหรอก ปัจจุบันของเราต้องให้ได้มาตรฐาน เค้าเรียกว่าเป็นปูน สเต็งสูงร้อยเปอร์เซ็น ถ้าเหล็กสเต็งร้อยเปอร์เซ็น เพราะเราจะเรียนกี่สิบปริญญา หรือไม่ได้เรียนอะไรเลย มันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้คือการปฏิบัติของเรา ให้ทุกท่านทุกคนจับประเด็นให้ได้ ถ้าปัจจุบันมันเที่ยงเเท้ อนาคตเที่ยงเเท้ มันอยู่ที่ปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันมันลูบคลำก็จะเป๋เเล้ว เราต้องรู้จักความคิดรู้จักอารมณ์ ถ้าไม่งั้นเราจะมีเซ็กซ์ทางความคิดทางอารมณ์ไปเรื่อย กลายเป็นจริต ถ้างั้นมันสงบไม่ได้ ถ้าเราไม่รู้จักความคิด ความคิดมันเป็นธรรมชาติ เป็นอาการขันธ์ทั้งห้า
เราจะพัฒนาชีวิตของเราน่ะ.. ต้องเอาหนทางที่ประเสริฐ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ เป็นสิ่งที่พัฒนา ทุกๆ ท่าน ทุกๆ คนต้องมาพิจารณาตัวเองว่าได้เดินตามอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้วหรือยัง หรือว่าเดินอยู่แต่ว่ามันน้อยเกิน คิดว่าคงจะน้อยเกินน่ะ เมื่อมันน้อยเกินเราจึงจำเป็นต้องปฏิบัติให้มันมาก ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ถึงจะเกิดขึ้นแก่เราได้
สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ไม่ได้หมายถึงสมมุติสงฆ์นะ หมายถึง ผู้ที่ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้นถึงจัดว่าเป็นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามอริยมรรคแล้ว ถึงจะสมาทานตัวเองเป็นพระสงฆ์ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นอริยสงฆ์ได้
การปฏิบัติตามอริยมรรคนี้เราดูๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เราก็ยังไม่ได้พากันประพฤติปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้าเราประพฤติปฏิบัติชีวิตของเราทุกๆ คนก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีแน่นอน
ความดับทุกข์ของมนุษย์เราทุกคนน่ะ มันอยู่ที่เราปฏิบัติตามอริยมรรคทั้ง ๘ ประการนี้นะ เดี๋ยวนี้เรายังมองไม่เห็นน่ะ แต่พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ประเสวิฐท่านตรัสรู้แล้ว และก็เข้าใจหลักการวิชาการว่า ผู้ที่จะเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ที่แท้จริงต้องเดินตามอริยมรรคทั้ง ๘ ประการนี้ ชีวิตของเราทุกคนน่ะ มันประกอบด้วยองค์ ประการนี้ เราต้องเอาองค์ทั้ง ๘ ประการนี้มาใช้ให้มันเต็มที่ เต็มกำลัง เต็มร้อย
เวลาเราเกี่ยวข้องกับอะไร พระพุทธเจ้าท่านให้เราตั้งใจเต็มที่ ต้องแก้ปัญหาให้มันถูกต้อง สมมุติว่าเราป่วยอย่างนี้ เราปวดหัวอย่างนี้ ก็ต้องทานยาแก้ปวดหัว ปวดท้องก็ทานยาแก้ปวดท้อง ต้องเอาสิ่งนั้นๆ มาใช้ให้ทันท่วงที
นี้นะ.... สติของเรามันช้ามาก ปล่อยอะไรไปตามความเคยชิน แก้ปัญหาไม่ทันเหตุการณ์ กว่าจะรู้เนื้อรู้ตัวมันก็ถูกกิเลสมันถล่มทลาย จนหมดกำลังใจ หมดศรัทธาในการประพฤติปฏิบัติว่าเราเป็นคนบุญน้อย วาสนาน้อย นี้สติของเรามันอ่อนนะ สติของเรามันช้านะ อย่างเช่นเรานั่งสมาธิอย่างนี้ มันเผลอปรุงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะว่าสติเรามันอ่อน อย่างเราเดินจงกรม เราเผลอปรุงแต่งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะว่าสติมันอ่อน เราทำความเพียรอยู่อย่างนี้แหละมันเผลอปรุงแต่ง พระพุทธเจ้าท่านให้เราต้องรู้เนื้อรู้ตัวเร็วกว่านี้ รู้อารมณ์เร็วกว่านี้ รู้สิ่งที่ มันเกิดกับใจของเราให้มันรวดเร็วมากกว่านี้อีก ถ้าไม่อย่างนั้นจิตใจของเรามันจะไม่เจริญมันจะไม่ก้าวหน้า
ศีล คือความประพฤติของเรา ความประพฤติของเราต้องดี ไม่ขาดตกบกพร่อง ปฏิปทาของเราต้องสม่ำเสมอคงเส้นคงวาไม่ประมาท ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ไม่มีอนุโลม
กิจวัตรข้อวัตรอะไรต่างๆ นี้ เค้าเรียกว่า ศีล ถึงเวลาทำวัตรก็ทำวัตร ถึงเวลาสวดมนต์ก็สวดมนต์ ถึงเวลานั่งสมาธิก็นั่งสมาธิ ถึงเวลาทำงานก็ทำงาน ถึงเวลาทำอะไรก็ทำตามเวลาทุกอย่าง เค้าเรียกว่า ศีล เค้าเรียกว่า ความประพฤติ อยากทำเราก็ต้องทำ ไม่อยากทำเราก็ต้องทำ ศีลเราต้องมั่นคง ปฏิปทามั่นคง
ถึงแม้มันจะตายก็ช่างมัน หมดลมหายใจก็ช่างมัน เพราะความเป็นสมณะ หรือว่าความเป็นพระอยู่ที่ปฏิปทาอยู่ที่ศีลน่ะ
ศีลยังไม่พอต้องเอาสมาธิเข้ามาช่วย สมาธิเราต้องหนักแน่น ต้องแข็งแรง ต้องตั้งมั่น อันนี้มันดีแล้วมันถูกต้องแล้ว ไม่ต้องหวั่นไหวง่อนแง่นคลอนแคลน รู้ว่าอันนี้มันพูดไม่ได้เราก็ไม่ต้องพูด รู้ว่าอันนี้มันคิดไม่ได้เราก็ไม่ต้องคิด รู้ว่าอันนี้มันทำไม่ได้เราก็ไม่ต้องทำ
สมาธิมันต้องแข็งแรงมาก ฝึกทำใจให้สงบ ฝึกปล่อยฝึกวางอดีต พยายามตั้งมั่นในปัจจุบัน ถ้าเราไม่ตั้งมั่นน่ะชีวิตของเรามันจะล้มเหลว ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดเพราะเราเป็นคนที่สมาธิไม่แข็งแรงแข็งแกร่ง ปล่อยให้จิตใจของเราปรุงแต่ง ปล่อยให้จิตใจของเราโยกคลอนหวั่นไหว
การเจริญสติปัฏฐานในชีวิตประจำวันของเรา คือ เจริญตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มันแข็งแรง ไม่แข็งแรงไม่ได้ "ธรรมะเป็นสิ่งที่ทวนโลกทวนกระแส" ทุกคนต้องจิตใจตั้งมั่น จิตใจแข็งแรง อย่าให้กิเลสมันหลอกเรา ต้องหนักแน่นให้ได้ เราฝึกอย่างนี้เราปฏิบัติอย่างนี้แหละ เดี๋ยวใจของเรามันก็สงบเองเย็นเอง อดทนไว้มากๆ รับผิดชอบไว้ให้มาก ๆ
คนเรากว่าจะได้ดีน่ะมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันไม่ใช่ของกล้วยๆ ความเพียรของเราน่ะเอามาช่วยกัน เพียร...ไม่ให้บาปมันเกิดขึ้นในทุกขณะจิต แล้วก็เพียร...ให้ความดีมันเกิดขึ้น ให้มันตั้งมั่น
ชีวิตของเราทุกคนนั้นน่ะประเสริฐนะ แต่ถ้าเราไม่ได้เดินตามอริยมรรค มันไม่ประเสริฐหรอก อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ประเสริฐมาก ดีมาก ช่วยเหลือเราได้
จิตใจของเราต้องมีความเห็นถูกต้อง เดี๋ยวจะถูกกิเลสมันหลอก เพราะเราเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาด กิเลสมันก็เก่งก็ฉลาดน่ะ มันมาสิงในจิตของเราในสติปัญญาของเรา ทำให้เราเห็นถูกเป็นผิด เห็นผิดเป็นถูก
เหมือนเรายังไม่ถึงพระนิพพานน่ะ พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เราเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เชื่อพระพุทธเจ้าไว้ก่อน เชื่อพระธรรมไว้ก่อน เชื่อพระอริยสงฆ์ไว้ก่อนน่ะ... เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะดีเอง เพราะว่าพระพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้า ถ้าท่านตรัสไว้แล้วมันต้องดีต้องถูกต้อง ทุกอย่าง เราอย่าเอาตัวเราไปตัดสิน ต้องเดินตามพระพุทธเจ้า
การประพฤติการปฏิบัติธรรมน่ะ พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกคนรู้นะว่า เราต้องเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละ ผู้ที่เป็นโยมก็ปฏิบัติที่บ้านที่ทำงาน ผู้ที่เป็นพระ เป็นเณร เป็นแม่ชีก็ปฏิบัติที่วัด แล้วแต่หน้าที่การงานของใครของมัน ถ้าเราจะไปเน้นตั้งแต่ทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรมนั้นน่ะมันยังไม่เพียงพอ ต้องปฏิบัติตั้งแต่เราตื่นขึ้นจนนอนหลับไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่
บางคนก็คิดว่า ปฏิบัติเข้มงวดละเอียดถี่ยิบอย่างนี้ก็ย่อมอึดอัด แน่สิ...มันก็เครียดแน่สิ...!
ความคิดอย่างนี้นะมันเป็นความคิดเห็นที่ไม่ถูกต้อง อันนี้มันเป็นเรื่องจำเป็น เป็นสิ่งที่จำเป็นที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติ
ความคิดอย่างนั้นมันไม่ใช่เรื่องธรรมะ มันเป็นเรื่องของกิเลสที่คิดออกมา กิเลสมันกลัวเราไปลิดรอนสิทธิของมัน มันไม่ได้ตามใจของมัน อย่าให้ระบบความคิด อย่างนี้มาครอบงำจิตใจของเรา มีอิทธิพลครอบงำจิตใจของเรา
ความคิดอย่างนี้ไม่ถูกต้อง เราอย่าไปสนใจ เราต้องปฏิบัติตั้งแต่เช้าจนนอนหลับนั่นแหละ มีปีติมีความสุขทุกอย่าง ที่มันเป็นธรรมะ เป็นข้อวัตรปฏิบัติ สร้างความพอใจให้เกิดขึ้น เราอย่าให้กิเลสมันมาเผาจิต เผาใจของเรา
ถ้าเราปฏิบัติธรรมมันไม่เป็นเหมือนเราคิดหรอกนะ มีแต่ใจของเราสงบ มีแต่ใจของเราเย็น มีแต่เกิดสติ เกิดปัญญา นี้มันเป็นความคิดเห็นผิด เป็นความเข้าใจผิด พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเข้าใจผิดนะ เมื่อเราเข้าใจผิดแล้วเราก็จะเลี้ยงความคิดที่ผิดๆ ไว้
เราต้องทวนความคิดทวนกระแส เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่ทวนกระแส เพราะความหลงเรามันมีมากตั้งหลายภพหลายชาติ เราจะมาผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้ เพราะอันนี้มันเป็นปัญหาเฉพาะหน้า เป็นปัญหารีบด่วน เราจะมาอาลัยอาวรณ์กับความสุขที่มันเป็นวัตถุ ความสุขทางเนื้อหนัง ความสุขที่มันหลอกลวงสัตว์โลกทั้งหลายให้ติดอยู่ แต่ท่านผู้รู้อย่างพระพุทธเจ้า อย่างพระรหันต์หาข้องอยู่ไม่ เราคนหนึ่งนะกำลังเดินทางไม่ใช่เราจะมาลุ่มหลงอาลัยอาวรณ์
ทุกคนน่ะ...ต้องการความสุข ต้องการพระนิพพาน แต่ไม่อยากประพฤติไม่อยากปฏิบัติ ไม่อยากฝืนไม่อยากทน ไม่อยากจะละไม่อยากจะทิ้ง
ทุกคนต้องใจหนักแน่นเข้มแข็งนะ ให้ผ่านปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ใหญ่ๆ ไปทีละเปลาะๆ ทุกขณะจิต มันอาลัยอาวรณ์หัวใจมันสั่น อย่าไป สนใจมัน
พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกๆ คนอดทน พยายามสมาธิแข็งแรงไว้ เราเกิดมาก็เกิดมาคนเดียว เวลาจากโลกนี้ไปก็จากไปคนเดียว เวลาเราเวียนว่ายตายเกิดก็คนเดียวนะ ถึงแม้คนอื่นมันจะเวียนว่ายตายเกิดก็เรื่องของเค้า เรื่องของเราก็ต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
เรื่องกายแข็งแรงนี้ไม่สำคัญ มันสำคัญที่จิตใจที่แข็งแรง จิตใจนี้สำคัญมาก จิตใจของเราต้องมีพลัง ไม่ท้อแท้ ไม่อ่อนแอ เกิดมาชาตินี้ ถ้ามันจะตาย... ก็ให้มันตายเพราะทำความดี ไม่ใช่ตายเพราะถูกกิเลสมันถลุง เพราะเราตามกิเลส มันทุกข์เรายังไม่พอ มันยังทุกข์ ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลเพื่อนฝูงทุกข์น่ะ ถ้าเราทำตามใจตามกิเลส
ถึงคราวแล้วที่จะต้องประพฤติปฏิบัติที่จะต้องต่อสู้... กำลังใจน่ะมันมีมาเป็นพักๆ นะ เดี๋ยวมันก็หายไป พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรามีเป็นพักๆ นะต้องมีตลอดกาล รู้ว่าอันไหนมันผิดไม่ต้องไปคิด รู้ว่าอันไหนมันผิดอย่าไปพูดอย่าไปทำ ต้องเดินหน้าอย่างเดียว งานนี้ถอยหลังไม่ได้ มีแต่เดินหน้าอย่างเดียว ทิ้งทุกอย่างไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ พระนิพพาน
คนอื่นเค้าจะไม่ปฏิบัติก็ช่างหัวเขา เราไม่ต้องสนใจ เราสนใจตัวของเราเอง ถ้าเราแก้ไขปัญหาตัวเองได้ ปัญหาต่างๆ มันก็ไม่มี งานนี้เราหนีไม่ได้ เราท้อแท้ท้อถอยไม่ได้ เราต้องตั้งใจพัฒนาจิตใจของเราเต็มที่ ถ้าเราเรียนทางโลกมันไม่จบ จะได้ปริญญากี่ใบ...มันก็ไม่จบ
เรามันคิดเหมือนปลาเหมือนนกนี่นะ นกมันก็ไม่รู้เรื่องปลา มันคิดว่าปลามันอยู่ในน้ำ มันหายใจได้อย่างไร ปลามันก็คิดเรื่องนกไม่ได้ว่านกมันอยู่บนอากาศบนบก ทำไมมันไม่ตาย เราก็คิดเหมือนกันน่ะว่าถ้าไปพระนิพพานแล้วมันจะมีความสุขได้อย่างไร รูปสวยๆ ก็ไม่มี สิ่งที่เอร็ดอร่อยก็ไม่มี เสียงเพราะๆ ก็ไม่มีน่ะ พระนิพพานมันจะมีความสุข มาจากไหน ความคิดของเรา มันก็คิดได้แต่อย่างนี้น่ะ ถึงพากันเวียนว่ายตายเกิด มันถึงไม่อยากพากันไปพระนิพพาน มันไม่เข้าใจเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านสลดสังเวชในการเวียนว่ายตายเกิด เพราะการเกิดทุกคราวมันเป็นทุกข์ร่ำไป ไม่ว่าเกิดเป็นอะไรมันทุกข์ทั้งนั้น มีแต่พระนิพพานเป็นสิ่งที่ไม่มีทุกข์ ดับทุกข์ได้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า... พระโสดาบันมีความสุขทางจิตใจมากกว่ามหาเศรษฐีที่เป็นปุถุชน ทำไมมันถึงสบายกว่าน่ะ? เพราะความสุขความดับทุกข์ของคน มันอยู่ที่จิตใจสงบ ถ้าเราร่ำเรารวยแต่ใจไม่สงบมันก็เป็นทุกข์อย่างนั้น เพราะหัวใจเรามีแต่เปรต มันมีแต่ความอยากความต้องการ มันเผาเราอยู่ตลอด ยังไม่ตายก็โดนเผาจิตเผาใจ เรียกว่ายังไม่ตายก็ถูกเผาทั้งเป็นแล้ว เรามาคิดดูน่ะ ถ้าเราเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงขึ้นไปอีกเราจะมีความสุขความดับทุกข์มากเท่าไหร่
พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกๆ คน ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ พยายามยินดี...พยายามพอใจ... ในการรักษาศีลประพฤติปฏิบัติธรรม ปล่อยวางสิ่งภายนอกให้มันหมด ปฏิบัติให้เคร่งครัด อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ด่างพร้อย สงบกายวาจาใจอยู่กับความสงบ ปล่อยวางสิ่งภายนอกให้มันหมดน่ะ เคยพูดมากเราก็ไม่พูด เรามีโทรศัพท์มือถือ เราก็ปิดไว้ก่อน ลูกมันจะเป็นอย่างไร พ่อแม่จะเป็นอย่างไร ก็พักผ่อนจิตใจไว้ก่อน
ฝึกปล่อยฝึกวาง ฝึกตัดสิ่งภายนอก ทิ้งสิ่งภายนอกไป มีความสุขกับการเดินจงกรม มีความสุขกับการกวาดวัด กวาดศาลา ดูแลบ้านพัก ดูแลความสะอาดที่อยู่ที่อาศัย เรามีอะไรก็ปล่อยวางให้หมด เราเป็นเถ้าแก่ก็เอาเถ้าแก่ออกจากใจ มียศมีตำแหน่งก็เอาออกจากใจ มียศมีตำแหน่งเราก็ปล่อยวางหมด เป็นผู้หญิงเป็นผู้ชายเราก็ปล่อยวางหมด ไม่เป็นผู้หญิงไม่เป็นผู้ชาย ไม่มีเพศแล้ว ต้องทำใจให้มีความสุข เกิดบุญเกิดกุศลเนอะ... ทำใจให้มันสงบเต็มที่
บางทีเราเกิดมา เราก็ยังไม่ได้รับความสุขในความสงบ คนเราทุกคนต้องฝึกไว้นะ เวลาเจ็บไข้ไม่สบาย เวลาป่วยมา จะได้เอาจิตใจที่ฝึกไปใช้ จะได้มีที่อยู่ที่อาศัยของจิตใจ ถ้าเราอยู่แต่กับสิ่งภายนอกโดยที่ไม่ฝึกจิตฝึกใจนั้นไม่ได้ ไม่ถูกต้อง
เรามาวัดมาอยู่วัดก็ถือโอกาสถือเวลาฝึกใจฝึกสมาธิ ให้มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติธรรมอย่างนี้แหละถูกต้อง เราทำดีแล้วถูกต้องแล้วประเสริฐแล้ว เราพยายามมาเอาความสุขทางจิตทางใจให้มันสงบ ทางจิตทางใจให้มันปล่อยมันวาง เราไม่เอาความสุขทางร่างกาย
ร่างกายของเรานี้แหละ... นั่งนานมันก็ปวดขา เดินนานมันก็เมื่อยล้า ยิ่งแก่ยิ่งเฒ่าก็ยิ่งมีโรคต่างๆ นานา มันช่วยเราได้เพียงเราเอาร่างกายมาสร้างความดี สร้างบารมี สร้างคุณธรรมเท่านั้นนะ ร่างกายของเรามันมีอายุจำกัด ต้องเอาเขามาสร้างความดี สร้างบารมีอย่างที่เรากำลังทำกันอย่างนี้แหละถูกต้อง
ตั้งใจให้ดี สมาทานใจของเราให้ดี เรามาอยู่วัด...ทำใจให้สงบ ตรวจตราดูตัวเองว่า ตัวเองนี้มีความบกพร่องอะไรบ้าง...? ต่อไปนี้จะได้หยุด จะได้ละ จะได้เลิก จะได้ตัดกรรมตัดเวร
มันไม่ใช่มาอยู่วัดแล้วกลับไปก็เหมือนเก่าเหมือนเดิม เคยบ่นเก่ง เคยด่าเก่ง เคยเป็นคนเจ้าอารมณ์ กลับจากวัดไปก็เหมือนเดิม ก็ถือว่าไม่ถูกต้องใช้ไม่ได้
เราก็ต้องหยุดมันใจของเรามันร้อนก็ให้ใจของเรามันเย็นนะ ลูกหลานเค้าจะได้มีความสุข...ว่าเดี๋ยวนี้พ่อแม่ผู้ปกครองของเค้าน่ะ ไม่เหมือนเก่า ใจดีมาก มีคุณธรรม เค้าก็จะได้มีความสุขในการทำการ ทำงานแล้วก็ทำความดีตามเรา
เราอยู่กับโลกกับสังคมเราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เพราะสิ่งต่างๆ นั้น มันเป็นโจทย์ที่ให้เรามาประพฤติปฏิบัติกัน เราทุกคนให้รู้จักนะ นี่คือการประพฤติปฏิบัติของเราเราต้องอยู่กับอานาปานสติให้ได้นะ อวิชชาความหลงมันเผาเรามากเหลือเกิน เราอย่าไปเชื่ออย่าไปหลงอารมณ์หลงความคิด ทั้งอารมณ์ทั้งความคิดมันเป็นนิมิตที่จิตสร้างขึ้นมา มันจะนำเราไปเกิด ความยินดียินร้าย มันเป็นนิมิตทางจิตใจ ความชอบไม่ชอบ มันก็เป็นนิมิตทางจิตใจ เราต้องละลายพฤติกรรมในนิมิต ในความคิด ด้วยมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ไม่ตามอารมณ์ความคิดความรู้สึก กลับมาหาหายใจเข้าหายใจออกสบาย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอารมณ์ เป็นเพียงความรู้สึก ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
เวลาเป็นของมีค่ามีราคา การประพฤติปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน อดีตก็ปฏิบัติไม่ได้ อนาคตก็ปฏิบัติไม่ได้ ปัจจุบันเราต้องเอาศีล สมาธิ ปัญญา มาประพฤติปฏิบัติ มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ เราจะไปทำตามสัญชาตญาณ ชีวิตของเราคือพระ พระคืออะไร พระคือพระธรรม คือพระวินัย ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึก ที่มันเคยชิน เพราะเราทุกคนมีโอกาสมีเวลา เราอย่าให้การบวชมาเป็นทางออกของคนจนที่ไม่มีความสามารถในการทำมาหากิน พากันมาบวช เพื่อดำรงชีพ เราต้องเป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เราต้องมีความสุขในการเสียสละ เริ่มต้นจากมีความสุขในการหายใจ มีความสุขในการทำงานทำการ
อดีตที่ผ่านมาถือว่าเป็นประสบการณ์ ปัจจุบันเราต้องยกใจสู่ธรรมวินัย เข้าสู่มรรคผลพระนิพพาน มีความสุขในการเสียสละ คนเราเสียสละไม่ได้ เขาเรียกว่า สักกายทิฏฐิ มีตัวมีตน เราเสียสละเราก็มีความสุข อันไหนไม่ดีเราไม่คิด อันไหนไม่ดีเราไม่พูด มีความสุขในการทำวัตร ทำกิจวัตร อริยมรรคมีองค์แปด เราคิดดีๆ ก็เป็นธรรม เราพูดดีๆ ก็เป็นธรรมวินัย เรากิริยามารยาทดีๆ ก็เป็นวินัย เราไม่ถือพรรคถือพวก ไม่ถือทิฏฐิมานะ เอาธรรมเอาพระวินัย เราจะได้ไม่ต้องกลัวใคร ไม่มีอะไรให้กลัว เพราะเราคิดดีๆ เราพูดดีๆ เราทำดีๆ จะเป็นปัจจุบันธรรม ต่อยอดไปเรื่อยๆ เป็นธรรมะ เป็นวินัย จะเป็นเหมือนหลวงปู่มั่นได้ เหมือนหลวงพ่อชา เหมือนหลวงตามหาบัว เหมือนเจ้าคุณพุทธทาสได้ เราต้องทำอย่างนี้ ให้มีความสุข
อย่าไปตามใจตัวเอง อย่าไปตามอารมณ์ตัวเอง อย่าไปตามความรู้สึกตัวเอง อย่าไปตามสิ่งแวดล้อม เพราะว่าฐานของพระศาสนามันเปลี่ยน ฐานของโลกมันเปลี่ยน ทุกคนเอาตัวตนเป็นใหญ่ ทำตามอัธยาศัย ทำตามอารมณ์ ทำตามความรู้สึก นึกว่ามันถูกต้อง มันไม่ถูกต้อง มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เราต้องกลับมาหาอานาปานสติ หายใจเข้ามีความสุข หายใจออกมีความสุข คนเรามันไม่ได้อยู่ที่รวยที่จน ไม่ได้อยู่ที่ใคร อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันถึงจะมีความสุขมาก เดินก็มีความสุข นั่งก็มีความสุข นอนก็มีความสุข ต้องพัฒนาอย่างนี้ ที่มันแล้วก็ให้แล้วไป ช่างหัวมัน มันไม่สายหรอก คนเราถึงจะมีชีวิตอยู่แม้แต่ลมหายใจเดียว ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องดีกว่าที่มีอายุเป็นร้อยๆ ปี เราต้องมีความสุข เราจะไปทำอะไรเพื่อจะเอา เพื่อจะมีเพื่อจะเป็น มันโรคประสาทพอแล้ว จะไปเพิ่มโรคประสาทอีก ตัวตนก็มีมากแล้ว จะไปเอาตัวตนมากขึ้นอีก ความเป็นพระแท้จะได้เกิดแก่เรา จักษุจะได้เกิดแก่เรา
ต้องมีสัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่น คนเรานะใจอ่อนไม่ได้ เพราะว่าเราต้องเสียสละซึ่งตัวซึ่งตน เราต้องตั้งมั่นในความถูกต้อง ในความเป็นธรรม ความยุติธรรม เพราะว่าความถูกต้องไม่ได้เป็นพี่เป็นน้องกับใคร มันเป็นธรรม เป็นความยุติธรรม มันประกอบไปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เข้าสู่ความเป็นธรรม ยุติธรรม ไม่ถือพรรคพวก ถือพรรคพวก ใจของเราต้องไปตามหลักเหตุหลักผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ ต้องเหนือวิทยาศาสตร์ คือ จิตใจของเราเป็นธรรม จิตใจของเรารู้จักว่า ความปรุงแต่งมันเป็นความทุกข์ มันจะไปอย่างงี้แหละ พัฒนาไปอย่างนี้แหละ ถ้าเราไปคบพระอรหันต์ คบพระอริยเจ้า ไปปฏิบัติตามท่าน เราก็จะได้เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอริยเจ้า
การประพฤติปฏิบัติธรรมของเราต้องเริ่มพัฒนาที่ใจให้มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง เพื่อจะได้นำไปสู่การปฏิบัติถูกต้อง ต้องเอาทั้งศีล สมาธิและปัญญา มารวมกันในการปฏิบัติธรรม นั่นคืออริยมรรคมีองค์ ๘ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นทางอันประเสริฐ สามารถให้บุคคลผู้เดินไปตามทางนี้ ถึงซึ่งความสุขสงบเย็นเต็มที่ เป็นทางเดินไปสู่อมตะ ถ้าภิกษุหรือใครๆ ก็ตาม พึงอยู่โดยชอบ ปฏิบัติดำเนินตามมรรคาอันประเสริฐประกอบด้วยองค์ ๘ นี้อยู่ โลกนี้จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ เมื่อใดบุคคลเห็นสักแต่ว่าได้เห็น ฟังสักแต่ว่าได้ฟัง รู้สักแต่ว่ารู้ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ เพียงแต่สักว่าๆ ไม่หลงใหลพัวพันมัวเมา เมื่อนั้นจิตก็จะว่างจากความยึดถือต่างๆ ปลอดโปร่งแจ่มใสเบิกบานอยู่ จงมองดูโลกนี้ โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวตนเสีย ด้วยประการฉะนี้ เราจะเบาสบาย คลายทุกข์คลายกังวล ไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่าการปล่อยวางและการสำรวมตนอยู่ในธรรม.