แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๑๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๔๑ เราต้องมาเเก้ที่ตัวเอง การปฏิบัติขัดเกลาใจ ถึงเป็นบุญเป็นกุศลอย่างหาที่สุด หาประมาณไม่ได้
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ความมั่นคงของชาติ ของศาสนา ของพระมหากษัตริย์ มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เเล้วเราก็ปฏิบัติถูกต้อง ศาสนาคือ ธรรมะ ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทุกๆ ท่านทุกคนต้องพากันรู้จัก ต้องพัฒนาทั้งเทคโนโลยี ทั้งใจ ไปพร้อมๆ กัน ทุกๆ คนมีความเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด เพราะพากันไปเเก้ที่คนอื่น ไปเเก้ที่ผู้อื่น ไม่ได้เเก้ที่ตัวเอง เหมือนนิ้วมือมันชี้ออกไปที่ข้างนอก เราต้องมาเเก้ที่ตัวเอง การปฏิบัติถึงเป็นบุญเป็นกุศลอย่างหาที่สุด หาประมาณไม่ได้
กาลเวลามันผ่านไป หลายวันหลายเดือน หลายปี หลายภพ หลายชาติ ทำให้เราเสียเวลา เราต้องเห็นคุณ เห็นประโยชน์ เห็นโทษ ในการที่เราทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ทุกๆ คนมันติดมันหลง ไม่อยากจะเปลี่ยนเเปลง มันเป็นทิฏฐิ เป็นสักกายทิฏฐิ เราเข้าใจถูกครึ่งนึง ผิดครึ่งนึง อย่างเราเข้าใจว่า การเรียนการศึกษาเป็นการพัฒนามนุษย์ถูกต้อง เเต่ว่าไม่ได้พูดเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ การศึกษาทุกมหาวิทยาลัยถึงเป็นสิ่งที่ล้มเหลว เรามีความเห็นผิดเข้าใจผิด ความประพฤติเราเลยผิด ลูกหลานเราเลยเอาเป็นตัวอย่างเเบบอย่าง เช่น เป็นข้าราชการ เราไม่ตั้งใจทำงาน ไม่มีความสุขในการทำงาน เรามีความสุขตั้งเเต่การได้เงินเดือน รุ่นน้องก็ต้องทำตาม อย่างนักการเมืองโกงกิน คอร์รัปชั่น เมื่อลูกเค้าเกิดมา เค้าก็ได้เกี่ยวข้องกับพ่อกับเเม่เค้า เค้าก็เลียนเเบบพ่อเเม่ พ่อเเม่โกงกินระดับนี้ เค้าก็ถือไม่ผลัดวิ่ง เพราะว่าพ่อเเม่เค้าเเก่เเล้วหรือว่าตายไปเเล้ว ยิ่งโกงกินหนักเลย มันไปอย่างนี้ อย่างพระเจ้าพระสงฆ์ก็ทำตามผู้ที่บวชก่อน นึกว่าพระพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้ ผู้ที่มาบวชนี้ต้องพากันเปลี่ยนเเปลงตัวเองใหม่
ผู้ที่ไม่ได้มาบวชอยู่ที่บ้าน เข้าใจพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ต้องพากันเปลี่ยนเเปลงใหม่พากันปฏิบัติ ความเหนื่อยยากความลำบาก มันดี เเต่เราว่ามันยากมันลำบาก เเสดงว่าเราไม่รู้ เพราะความเหนื่อยยากความลำบาก มันเป็นความเหนื่อยยากลำบากทางกาย ที่ใจไปยึดมั่นถือมั่นว่าร่างกายมันเป็นเรา เวทนาเป็นเรา มันเลยมีความยุ่งยาก การที่แก้เมืองไทยที่ถูกต้อง ต้องพัฒนาทั้งใจ พัฒนาทั้งเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กัน ทุกคนต้องพากันมาเเก้ที่ตัวเอง ต้องให้เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ มนุษย์ที่มาตรฐาน อย่าได้เเค่เป็นคน เพราะปัญหาต่างๆ มันอยู่ที่ตรงนี้ เราไม่ต้องไปพึ่งพ่อพึ่งเเม่พึ่งใคร พึ่งความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติที่ถูกต้องในตัวเราในปัจจุบัน ต้องมีการฝึกการปฏิบัติ
เราทุกๆ คนน่ะต้องการความสุขความสงบ เราจะทำอย่างไรเราถึงจะเกิดความสุขความสงบ ความสบายกาย ความสบายใจ พระพุทธเจ้าท่านเมตตาตรัสบอกเราว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มีอยู่ในอริยมรรคองค์ ๘ อันเป็นหนทางที่ประเสริฐ ซึ่งจะนำเราไปสู่ความสุขความดับทุกข์ได้
มรรค ก็ได้แก่หนทางประเสริฐ หรือว่าข้อวัตรปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราทุกๆ คน ที่เราจะมีความสุข ที่เราจะมีความทุกข์ก็ล้วนแต่มาจาก 'กรรม' คือ การกระทำของเราเอง
ในชีวิตประจำวันของเราทุกๆ คนที่จะถึงความสุขความดับทุกข์ได้ เราต้องปฏิบัติตาม 'อริยมรรค' เลือกทำเลือกปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีๆ มันไม่อยากทำก็ต้องทำ ไม่อยากปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติ
ปัญหาต่างๆ ในโลกนี้ที่มันมีหรือไม่มีน่ะ... ล้วนแต่มาจากกาย วาจา ใจของเราทั้งนั้น แต่เราทุกๆ คนน่ะ มันยังมองไม่ออกมองไม่เห็น แล้วยังมีความเข้าใจผิด การกระทำของเรามันถึงทั้งทำผิดทำถูกผสมระคนปนเป เค้าถึงเรียกว่า 'คน' ทำทุกอย่างทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งบาป ทั้งบุญ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสพุทธภาษิตที่เป็นหลักตายตัว
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง
กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ
คนเรามันมีความอยากมาก มีความต้องการมาก มันไม่มีสติยับยั้งชั่งจิตชั่งใจนะ ถ้าเป็นรถนี่อะไรก็ดีหมด แต่ว่าเบรกไม่ดี ยิ่งคนสมัยใหม่ คนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ยิ่งเบรกไม่มีนะ สมาธิไม่มี ในชีวิตประจำวันจิตใจไม่มีความสุข เผาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เค้าเรียกว่าตกนรกทั้งเป็น เพราะว่าความคิดความเห็นนี้มันมาก แต่สมาธิน่ะมันน้อย ปัญญากับสมาธิมันไม่สมดุลกัน มันก็เลยควบคุมตัวเองไม่ได้ จิตใจเลยถูกเผาทั้งเป็น
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราทุกๆ คนฝึกสมาธิ ฝึกปล่อยวาง สิ่งภายนอก เรื่องธุรกิจหน้าที่การงาน ลาภยศสรรเสริญ เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องได้เรื่องเสียต้องปล่อยวางให้หมด แม้แต่ขันธ์ทั้ง ๕ ของเรานี้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ต้องปล่อยวางหมดน่ะ ถ้ามันยังไม่เป็นเราถึงต้องมาฝึก ฝึกให้สมองมันว่าง ฝึกให้ใจของเรามันสงบ ธรรมชาตินี้สร้างสรรค์ให้เราทำงาน ให้เราทานอาหาร ให้เราได้พักผ่อน ธรรมชาติเค้าบริสุทธิ์ดีทุกอย่าง แต่เรามันฝึกพักผ่อนยังไม่เป็น ฝึกปล่อยฝึกวางยังไม่เป็น
ในสังคมโลกเจริญ วัตถุเจริญ ล้วนแต่พากันเป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตกันเยอะ เพราะว่าไม่ได้ฝึกจิตใจสงบ ไม่ได้ฝึกจิตใจปล่อยจิตใจวาง
เราเกิดมาเราก็ไม่ได้เอาอะไรมา เมื่อเราละสังขารเราก็ไม่ได้เอาอะไรไป สิ่งที่เรามาทุกข์มายากมาลำบากอยู่ในเรื่องจิตเรื่องใจนี้ ล้วนแต่เป็นความหลงทั้งนั้นนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอย่างนั้น
ผู้ที่มีเงินมาก มีชื่อเสียงเกียรติยศมาก ถ้าไม่รู้จักทำใจให้สงบ มันก็สู้คนที่เค้ายากจนแต่ค้ารู้จักทำใจให้สงบไม่ได้นะ เพราะความสุขความดับทุกข์มันอยู่ที่ใจสงบ เราจะทานข้าวก็เพื่อให้ใจสงบ อาบน้ำก็เพื่อให้ใจสงบ ทำอะไรก็เพื่อให้ใจสงบ ความสุขที่ปราศจากความสงบนั้น เป็นความสุขที่เร่าร้อนนะ เช่น ความสุขที่ได้ดูหนัง ฟังเพลง เล่น เที่ยวอย่างนี้แหละเป็นความสุขที่ประกอบด้วยยาพิษ
ที่เรามีโอกาสได้มาอยู่วัดมาปฏิบัติธรรมนี้ พระพุทธเจ้าท่านสอนพวกเราให้พากันฝึกสมาธิ พยายามอยู่กับตัวเองทุกๆ อิริยาบถ ไม่ให้อยู่กับการพูด การคลุกคลี พระพุทธเจ้าท่านยังตรัสคำสอนไว้ว่า "ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อคลุกคลีในหมู่คณะ ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า"
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้มีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ พยายามอยู่กับตัวเอง เราเดินเราก็อยู่กับตัวเอง นั่งก็อยู่กับตัวเราเอง นอนก็อยู่กับตัวเราเอง เราทำการทำงานก็พยายามอยู่กับตัวเอง
การถือกัมมัฏฐาน การเข้ากัมมัฏฐาน คือ การมาอยู่กับตัวเอง มารู้ตัวเอง พยายามปล่อยพยายามวางสิ่งภายนอก คนเรามันคิดโน่นคิดนี่ สงสัยโน่นสงสัยนี่เพราะอะไร...? เพราะใจมันไม่สงบ ถ้าใจสงบแล้วมันไม่สงสัยอะไรหรอก
คนเรามันมีเรื่องมาก มีปัญหามากเพราะอะไร...? ก็เพราะใจมันไม่สงบ
ปัญหาของเราทุกคนก็คือต้องทำใจให้สงบ...พยายามสนใจเรื่องสมาธิ เรื่องทำใจให้สงบ เรื่องปัญญาไว้ก่อน เอาใจสงบก่อน เราอย่าไปพากันกลัวปัญญาไม่เกิด
คนเราน่ะอยู่กับเพื่อนกับฝูง อยู่กับการทำงาน แล้วไม่มีโอกาสได้อยู่กับตัวเองเลย
ทำไมคนเราถึงกลัวจน...? เพราะใจมันไม่สงบ
ทำไมถึงกลัวตาย...? ก็เพราะใจมันไม่สงบ
ทำไมคนเรามันถึงกลัวผี...?! ก็เพราะใจมันไม่สงบ ใจของเราเต็มไปด้วยสิ่งภายนอก เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดความปรุงแต่ง
พระพุทธเจ้าพระอรหันต์น่ะ ท่านไม่ตื่นเต้นกับอะไรที่จะเกิดขึ้น อะไรที่จะตั้งอยู่ หรือว่าอะไรที่จะดับไป ท่านไม่ตื่นเต้นเพราะว่าใจท่านสงบ
ที่เราอยากไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ อะไรอย่างนี้ มันเป็นเพราะอะไร...? ก็เพราะว่าใจของเราไม่สงบ
อยู่ในครอบครัวของเรามันมีปัญหาน่ะ เพราะอะไร...? ก็เพราะใจของเราไม่สงบนะ
ในที่ทำงานของเราก็เหมือนกันมันมีปัญหาเพราะอะไร...? ก็เพราะว่าใจของเราไม่สงบ
พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาแก้ที่จิตที่ใจของเรา เพราะว่า...
มนุษย์ ก็แปลว่า ผู้ประเสริฐ มนุษย์ ก็แปลว่า ผู้ไม่มีทุกข์
มนุษย์ ก็แปลว่า ผู้ทำแต่ความดี มนุษย์ แปลว่า ผู้รู้จัก รู้แจ้ง
เรื่องใจสงบนี้ ถึงเป็นสิ่งที่ดีมากเป็นสิ่งที่สำคัญมาก...
อริยมรรคมีองค์ ๘ ส่วนใหญ่เราก็ยังไม่เข้าใจนะ เราคิดว่า การประพฤติปฏิบัติ คือการทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม "การประพฤติการปฏิบัติต้องมีอยู่ในเราทุกๆ การกระทำนะ"
ที่เรามีปัญหาต่างๆ น่ะ ก็เพราะเรามีปฏิปทาที่ขาดตกบกพร่อง ที่มันไม่ดีไม่ถูกต้อง เวลาเราไปทำงานอย่างนี้เราก็ไม่ได้ทำใจเลย เวลาเราพูดอยู่นี้ เราก็ไม่ได้ทำใจเลย เราเลยมีความบกพร่องในการประพฤติปฏิบัติในชีวิตของเรา
แล้วเราก็มีความเข้าใจผิดว่า... "ถ้าเราปฏิบัติตามอริยมรรคน่ะ มันไม่ได้...มันขัดกับการดำรงชีพ ขัดกับการทำมาหากิน...!" เราคิด อย่างนั้นน่ะเราคิดไม่ถูก
ครั้งพุทธกาล เค้าเป็นญาติโยม เค้าเป็นประชาชนน่ะ เค้าเป็นพระอริยเจ้ากันเยอะแยะเลย พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี เค้าอยู่ในบ้านในเมืองในสังคม ครอบครัวเค้าก็มีความสุข ในสถาบันเค้าก็มีความสุข
เราจะไปโทษคนโน้นเค้าไม่ปฏิบัติ คนนี้เค้าไม่ปฏิบัติ เราไปคิดอย่างนั้นมันไม่ได้หรอก เรื่องของเรา...เราก็หายใจเอาเอง เรื่องคนอื่น เค้าก็หายใจของเค้าเอง ทานอาหารพักผ่อนเอง ถ้าเราคิดว่าคนอื่นเค้าไม่ทำไม่ปฏิบัติ เราคิดอย่างนั้นน่ะ เราก็เป็นคนพาล เป็นคนอันธพาล ไปจับผิดคนอื่น ไปเอาดีเอาชั่วคนอื่น เป็นบุคคลตื่นตูมหรือว่าตื่นข่าว แล้วแต่เพื่อนฝูงจะพาไป แล้วแต่สังคมจะพาไป ไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่เป็นตัวของตัวเอง
ถ้าเราทุกๆ คนแก้ตัวเองได้น่ะ... สิ่งภายนอกถึงมันจะมีปัญหา เราก็ไม่มีปัญหา ก็ชื่อว่าเราเกิดมาเพื่อสร้างความดี เพื่อสร้างบารมี เพื่อเสียสละ
ในครอบครัวของเราน่ะเรามีคุณพ่อคุณแม่ มีลูกมีหลาน ถ้าเรามาแก้ที่เรา มาปฏิบัติที่เรา ให้ปฏิบัติตามศีลตามธรรม ตามข้อวัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าสอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะมีความสุขมีความดับทุกข์ของมัน
มนุษย์เราทุกวันนี้ กำลังจะสร้างความพินาศความวิบัติให้กับตัวเองแล้วก็ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ด้วยการไม่ได้ฝึกจิตฝึกใจ ไม่ได้รักษาศีล ทำสมาธิ เจริญปัญญา แก้จิตแก้ใจของตัวเอง
ดูๆ ไปแล้ว ถึงแม้ว่าเราจบ ดร. หลายใบ เป็นผู้เชี่ยวชาญต่างๆ นั้น มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มันดับทุกข์ไม่ได้ ดับได้ก็แค่ภายนอกชั่วครู่ชั่วยาม แต่เรื่องจิตเรื่องใจมันดับทุกข์ไม่ได้
ญาติโยมประชาชนน่ะ มีความเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นโยมเป็นฆราวาสไม่มีโอกาลที่จะได้บรรลุธรรม นี้เป็นความเข้าใจผิดนะ แล้วจะพากันวิ่งไปแต่ทางโลกทางวัตถุอย่างเดียวเนี่ย ฉิบหายแน่ พินาศแน่ล่ะ... ธรรมะไม่กลับมา โลกาย่อมพินาศ... โลกมันจะพินาศ เพราะเราไม่นำจิตใจของเราปฏิบัติธรรม
เราก็รู้ เราก็เห็น เราก็ได้ยินในชีวิตประจำวันมีแต่สิ่งที่มันไม่น่าจะได้ยิน ไม่น่าจะได้ฟัง มีแต่สิ่งที่ไม่ดีทั้งนั้น ที่ทุกๆ คนวิ่งตามวัตถุถึงพากันสร้างบาป สร้างกรรม สร้างเวร
พระพุทธเจ้าท่านให้เราปรับปรุงตัวเองว่าเราบกพร่องที่ไหน...? ต้องปรับที่ใจของเรา ที่วาจาของเรา ที่การกระทำของเรา ต้องปรับที่นี่แหละ อย่าไปปรับที่อื่น ถึงแม้เราจะเคยทำ ถึงแม้เราจะเคยชินเราก็ต้องปรับกาย วาจา ใจของเรา
อดีตที่มันแล้วก็แล้วไป มันแก้ไขไม่ได้ มันจะดีก็แก้ไขไม่ได้ จะชั่วก็แก้ไขไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านให้เราตัดทิ้งอดีตให้หมด แม้แต่มันผ่านไปวินาทีหนึ่ง สองวินาที สามวินาทีก็ให้ทิ้ง พัฒนาตัวเองให้มันดียิ่งๆ ขึ้นไป
เราอย่าไปติดในดีในชั่ว เราก็ตั้งมั่นทำความดีของเราไปเรื่อยๆ ฝึกจิตใจของเราให้มันมีสติสัมปชัญญะ พัฒนาตัวเองเข้าหาธรรมะ เข้าหาความเป็นพระอริยเจ้าน่ะ... โดยที่ไม่ต้องให้ใครมาแต่งตั้ง
ถ้าเราประพฤติปฏิบัติใจของเรามันก็จะสบายเอง ใจของเรามันก็จะสงบเอง เราก็ไม่ต้องไปตามหาอะไรที่ไหนแล้ว
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญหีติ ผู้ประพฤติปฏิบัติก็ย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง
ถ้าใครไม่ทิ้งอดีตเค้าเรียกว่าเป็นคนบาปนะ เป็นคนติดเป็นคนยึดคนถือ
เรื่องอนาคตเราไม่ต้องวิตกกังวลจนนอนหลับไม่สนิท มันเผาตัวเองทั้งนั้น เราพยายามทำให้ดีที่สุดในปัจจุบัน ให้ใจของเราสงบ ให้ใจของเราดี ให้ใจของเราสบาย เนันที่ปัจจุบันนี้แหละ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มันอยู่ตรงนี้แหละ
ทุกคนต้องทำได้ ทุกคนต้องปฏิบัติได้ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องมันก็ไม่ง่ายมันก็ไม่ยาก แต่เป็นสิ่งที่ทำได้แล้วก็มีประโยชน์
ทุกคนน่ะแก่ไปทุกวัน... เฒ่าไปทุกวัน... ร่างกายมันก็ทรุดโทรมไม่แข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บ ต่างๆ นานามันก็มีมากขึ้น สิ่งภายนอกมันเป็นสิ่งที่แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง เรามาแก้ที่จิตที่ใจของเรานี้แหละ ต้องทำใจของเราให้สงบให้ได้ ทำใจของเราไม่มีทุกข์ให้ได้ ต้องแยกกายส่วนที่มันเจ็บออกจากใจ กาย...มันเรื่องเจ็บเรื่องปวดมีโรคภัยไข้เจ็บ แต่ใจน่ะ...มันเป็นของว่างเปล่า
ต้องรู้จักแยกรู้จักแยะ คนเรามันทิฏฐิมานะเยอะอัตตาตัวตนเยอะ มันจะไปเปลี่ยนแปลงสัจธรรมเปลี่ยนแปลงความจริง ไม่อยากให้มันแก่ ไม่อยากให้มันเจ็บ ไม่อยากให้มันตาย แล้วก็แถมยังอยากไปให้คนโน้น เป็นอย่างโน้น คนนี้เป็นอย่างนี้ มันล้วนแต่นำความทุกข์มาให้เราทั้งนั้น มันเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องฝึก ต้องปล่อยต้องวาง
ทุกคนยินดีขอให้ไม่เจ็บไม่ป่วยอายุยืน รูปสวยรูปหล่อแล้วรวย ดีใจอย่างนี้แหละ ความสวยที่แท้จริงมันอยู่ที่ใจนะ ถ้าใจสงบมันถึงเป็นคนสวย ถ้าใจสงบแล้วมองอะไรมันก็ดีไปหมด สวยหมด งามหมด รื่นรมย์หมด ถ้าใจสงบแล้วมันก็รวยหมดน่ะ ถ้าใจสงบมันก็เข้าถึงพระนิพพาน
ให้ทุกท่านทุกคนเน้นมาหาเรื่องจิตเรื่องใจนะ อย่าไปเน้นเรื่องทางกาย ถ้าอย่างนั้นจิตใจของเราจะมีความสับสนเนอะ
พระพุทธเจ้าท่านเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระอานนท์เป็นพระโสดาบันร้องห่มร้องไห้เสียใจ ยืนจับกิ่งไม้พิไรรำพันว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
เรื่องความหวั่นไหวนี้แหละ... ถ้าเราไม่พากันฝึกมันก็หวั่นไหวอย่างนี้ตลอด เดี๋ยวก็ข่าวน้ำท่วม เดี๋ยวก็ข่าวแผ่นดินไหว ข่าวเค้ารบกัน ระเบิดกันฆ่ากัน ประพฤติมิดีมิร้ายกัน ข่าวทั้งโยมข่าวทั้งพระ อะไรอย่างนี้ จิตใจของเราก็หวั่นไหว แม้แต่พระอานนท์เป็นพระโสดาบันแล้ว ท่านก็ยังหวั่นไหว แต่สำหรับพระขีณาสพแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ท่านก็ฝึกสงบของท่านอยู่
เราอย่าไปหวั่นไหว... อยากให้กลางวันเป็นกลางคืนก็เป็นไปไม่ได้ อยากให้น้ำมันไหลขึ้นภูเขาก็ไม่ได้ มีแต่น้ำมันไหลลงจากภูเขาอย่างนี้แหละ ทุกสิ่งทุกอย่างน่ะ เราต้องทำใจให้สงบหมด อย่าให้มันวิพากษ์วิจารณ์ อย่าให้มันสรรเสริญ อย่าให้นินทาคนอื่นเค้า
การไม่ทำบาปทางกาย บางทีก็ทำบาปทางวาจานะ บางทีก็ทำบาปทางใจ เพราะใจไม่สงบ ใจมันหวั่นไหว
ปัจจัยทั้ง ๔ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม บ้าน ที่อยู่ที่อาศัย ยานพาหนะที่อำนวยความสะดวกสบาย ยารักษาโรค เป็นสิ่งที่บรรเทาทุกข์พอไม่ให้บีบคั้นร่างกายให้มากเกินไป อาหารที่เราฉันเราทานน่ะคือยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม สิ่งอำนวยความสะดวกสบายนั้นน่ะเป็นสิ่งที่บรรเทาทุกข์ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ สาระสำคัญของชีวิตคือการประพฤติการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมนั้นน่ะอาศัยอุปกรณ์ประพฤติปฏิบัติคือศีล คือข้อวัตรปฏิบัติ กิจวัตรในชีวิตประจำวัน
การดำรงชีวิตของเรานั้นต้องไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ถ้าเราเข้าใจน่ะทุกสิ่ง ทุกอย่างนั้นคือการปฏิบัติธรรม เราคิดนี้ก็เป็นเรื่องประพฤติปฏิบัติธรรม เราพูดนี้ก็คือเรื่องประพฤติปฏิบัติธรรม เราทานอาหารก็คือเรื่องการปฏิบัติธรรม เราทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม
เมื่อเรายังไม่เข้าใจ ตั้งแต่ก่อนน่ะ เราทำงานก็เพื่อเงิน เพื่อบ้าน เพื่อรถ เพื่อสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย เมื่อเราคิดอย่างนี้จิตใจเราก็ย่อมเป็นเปรต เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นสัตว์เดรัจฉานในชีวิตประจำวันของเรา นี้เรามามีความเห็นให้ถูกต้อง... เราทำงานน่ะ เราทำเพื่อเสียสละ เพื่อเราจะได้ละความโลภ ความโกรธ ความหลง เราทำงานเพื่อเราจะได้อดได้ทน ได้ขยันรับผิดชอบ เราจะได้มีความสุข ความดับทุกข์ที่เราไม่ทำตามสัญชาตญาณ ซึ่งเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ทำให้เราตกอยู่ในอบาย ถ้าเรามีความเห็นความเข้าใจถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะมีแต่คุณ มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ ไม่มีเวร ไม่มีภัย เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะให้เราเข้าถึงภพภูมิมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติของเราได้ในชีวิตประจำวัน
ทุกวันนี้น่ะ เราทุกคนมีความเข้าใจผิด มีความเห็นผิด... ความเข้าใจผิดความเห็นผิดนี้ มันเป็นการทำร้ายตัวเอง เลยพากันทิ้งพระธรรมพระวินัย ทิ้งศีลทิ้งธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าน่ะเป็นสิ่งที่ทวนโลก ทวนกระแส เป็นสิ่งที่ทุกๆ คนจะต้องประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง ด้วยปลีแข้ง ด้วยความสามารถ ด้วยความฉลาด ศีล สมาธิ ปัญญา คือสิ่งเดียวกันน่ะ เปรียบเสมือนมีดเล่มหนึ่ง มีทั้งตัวมีด สันมีด คมมีด พระพุทธเจ้าให้เราเอามาใช้พร้อมๆ กัน ถ้าเราแยกกันมันจะใช้งานไม่ได้ ถ้าเราเอาตั้งแต่สมาธิกับปัญญา มันก็เปรียบเสมือนคนๆ หนึ่งมีตัวกับมีหัว แต่ไม่มีมือไม่มีเท้า
ความล้มเหลวของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ทิ้งศีล เอาแต่สมาธิกับปัญญา เราก็มองๆ ดูทั้งในประเทศต่างประเทศ คำสอนของพระพุทธเจ้ามันลดจากศีล สมาธิ ปัญญา มาเป็น “ปรัชญา” มันใช้การไม่ได้ ดับทุกข์ไม่ได้
เราดูตัวอย่างอย่างหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระผู้อุทิศปฏิบัติเป็นตัวอย่างเป็นแบบอย่าง ท่านก็เป็นลูกของชาวไร่ชาวนา ชาวป่าชาวเขา ไม่มีการเรียนการศึกษา แต่ด้วยบารมีของท่านที่สั่งสมมานานหลายภพหลายชาติน่ะ ในชาติสุดท้ายนี้แหละ ท่านตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน ตามพระวินัยของพระพุทธเจ้า ท่านก็สามารถตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ ตามรอยของพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นก็เหมือนกัน หลายๆ ท่านก็ทำตามแบบอย่างของหลวงปู่มั่น ท่านก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน
เมื่อเราทิ้งพระธรรมพระวินัยไปมากขนาดนี้น่ะ มันก็ไม่มีเหตุมีปัจจัยที่เราจะได้บรรลุธรรม เพราะธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย พระพุทธศาสนานี้สอนละเอียดมาก ทุกแง่มุม
พระทั้งหลายน่ะ โยมทั้งหลายน่ะ ต้องกลับมาย้อนดูตัวเองว่าเราเดินตามพระพุทธเจ้า กันกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าพระที่แท้จริงคือพระธรรม พระวินัย ความเคยชินทุกท่านทุกคนนั้นมันย่อหย่อนอ่อนแอ ถ้าเราไม่เอาจริงเอาจัง เหมือนหลวงตามหาบัวกล่าวสอนไว้ว่า กิเลสน่ะคือความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้ เราตัดมันไปเลย เราซัดมันไปเลย เหมือนนักมวยขึ้นเวทีน่ะ ต่อยมันทีเดียวไม่ให้มันนับสิบน่ะ ให้มันได้หามเปลเลย อย่างนี้ถึงเรียกว่า “ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า” หรือว่า “สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า”
ต้องจับหลักให้ได้ จับประเด็นให้ได้ ให้ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ทุกๆ คนต้องมีสติสัมปชัญญะเป็นตัวของตัวเอง ตัวของตัวเองนั้นได้แก่พระธรรมพระวินัย อย่าให้สิ่งต่างๆ มาครอบงำทำให้เราไขว้เขว ย่อหย่อนอ่อนแอ การประพฤติการปฏิบัติธรรมนั้นน่ะต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ถ้ามันไม่ตายก็ให้มันได้บรรลุธรรม สิ่งที่ทุกท่านที่จะละจะวางที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนี้คือ “สัญชาตญาณ” คือภพภูมิที่ทำให้ตกต่ำ ทุกท่านทุกคนต้องหยุดตัวเอง อย่างจิตใจของเรามันคิดไม่ดีอย่างนี้แหละ มันคิดครั้งที่หนึ่ง ไม่ควรให้มันคิดครั้งที่สอง ถ้ามันคิดครั้งที่สามครั้งที่สี่ มันจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ควบคุมตัวเองไม่ได้
ทุกท่านทุกคนต้องเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร สิ่งไหนเป็นธรรมเป็นวินัยที่ใจเรามันจะย่อหย่อนอ่อนแอ ให้มันคิดครั้งเดียว ครั้งที่สองเราไม่ต้องให้มันคิดน่ะ จับหลักธรรมหลักวินัยให้ได้ เราอย่าไปหลงประเด็นว่าทางสายกลาง มันไม่ใช่ทางสายกลาง มันคือความโลภ ความโกรธ ความหลง
สำหรับพระ มาตุคามได้แก่ สีดำ ถ้าท่านยินดีในมาตุคามนี้หัวใจท่านก็สีดำ ทำไมพระถึงเรียกผู้หญิงว่าสีกา..? เพราะมันทำให้พระใจดำ ใจสกปรก ใจสีกา... เรื่องลาภยศ เรื่องสรรเสริญ ท่านไม่ควรคิด ไม่ควรนึก
สิ่งที่ท่านควรคิดนึกในชีวิตประจำวัน คือคิดเรื่องอสุภกรรมฐาน อิริยาบถทั้ง ๔ น่ะ ท่านควรคิดนึกเรื่องอสุภกรรมฐาน พิจารณาร่างกายให้มากๆ เก็บเล็กผสมน้อยไป อย่างน้อย วันละสองสามครั้ง ทำไมถึงนึกคิด เพราะว่าท่านยังไม่ใช่อนาคามี ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านต้องทำหน้าที่ของท่าน ทำงานของท่าน
คนเราน่ะ ถ้าใจมันยินดีในกาม ปัญญามันเกิดไม่ได้ เพราะกามนั้นเปรียบเสมือนต้นไม้ ที่มันสดอยู่เปียกอยู่แล้วก็เอาไปก่อไฟในน้ำ มันจะติดไฟได้อย่างไร ถ้าเรายังยินดีในกาม หมกหมุ่นในลาภยศสรรเสริญ ปัญญามันจะมีได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ เพราะใจของท่านน่ะ มันจมอยู่ในน้ำ มันรอตั้งแต่จะหมดลมหายใจ เพราะใจมันจมอยู่ในน้ำ
การเดินทางไปพระนิพพานนี้แหละ มันต้องละสิ่งเหล่านี้อย่างเด็ดขาด ให้ใจมันโล่ง ใจมันว่าง รูปก็เป็นรูป เสียงก็เป็นเสียง กลิ่นก็เป็นกลิ่น รสก็เป็นรส ไม่ให้มันเกี่ยวข้องกับจิตใจน่ะ ไม่ให้มันซาบซึมเข้าไปในจิตในใจของเราได้ ทุกท่านทุกคนทำตามสัญชาตญาณทำอย่างไรมันก็ไม่ได้ผล เพราะเราไม่ได้ปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัย มันก็ย่อมหมดกำลังใจ เหมือนกับจมอยู่ในน้ำ ยิ่งมีแต่จะหมดลมหายใจ เพราะมันมีแต่จะเหนื่อยเข้าเหนื่อยเข้า ที่มันแสดงออกมาถึงความท้อใจนี้แหละ
ถ้าเราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้ามันก็เป็นเรื่องง่ายๆ การถือนิสัยถือวินัยของพระพุทธเจ้า จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สำคัญ เพื่อมรรคผล เพื่อพระนิพพาน เพื่อเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์
ในชีวิตประจำวันของเรานี้ ต้องพยายามแก้ที่จิตที่ใจ ไม่ว่าอะไรที่มันจะมาเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าเรื่องดีเรื่องร้าย เรื่องได้เปรียบเสียเปรียบ เรื่องชอบไม่ชอบ ก็แล้วแต่อะไรจะเกิดขึ้น ให้ทำใจให้มันสงบให้ได้ ชีวิตของเรา...ถึงจะเข้าความสงบความดับทุกข์ได้ในชีวิตประจำวัน ถือว่าเราได้เดินตามหนทางที่ประเสริฐ อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงบอก ท่านสอนเราให้ทุกคนเข้าถึงด้วยการประพฤติปฏิบัติ ทุกคนรู้แล้วเข้าใจแล้วก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ ชื่อว่าเราเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า
ไม่ว่าเราจะเป็นพระเป็นโยมเราก็ดับทุกข์ได้ เข้าถึงความสงบได้ทุกคนนั้นน่ะปฏิบัติได้นะ ยิ่งปฏิบัติไปก็ยิ่งมีความสุขมีความดูดดื่ม พยายามสร้างศรัทธาสร้างความเห็นให้ถูกต้อง ว่าชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่อทำความดี เกิดมาเพื่อสร้างบารมีเพื่อมาเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า
เพราะว่าการเวียนว่ายตายเกิดนี้มันเป็นของมีปัญหามาก มันมีความทุกข์จริงๆ ไม่ใช่มีความทุกข์เล่นๆ นะ เรามองเห็นหน้ากันนี่นะ หน้าตาดีๆ แต่งตัวดีๆ แต่ละท่านแต่ละคนมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น... ไม่มีใครไม่มีทุกข์ แต่ละคนน่ะมีเรื่องตั้งหลายอย่าง มันมีปัญหาเยอะ เรื่องลูกเรื่องหลานอะไรต่างๆ มีแต่ “พระนิพพาน” น่ะที่มันไม่มีปัญหานะ