แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๓๗ คนเราถ้าไม่มีตัวไม่มีตน ย่อมมีความสุข มีความดับทุกข์ อยู่ที่ไหนก็สบาย
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เพราะว่าดูโครงสร้างของครูบาอาจารย์รุ่นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ท่านมีความเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า 100% เชื่อมั่นในพระธรรม 100% ท่านมีความเชื่อมั่นในการประพฤติการปฏิบัติของตนเอง 100% ดูท่านเดินเหิน กิริยามารยาท ท่านเป็นผู้ที่สง่างามทุกรูป ไม่มีใครออกไปทางตุ๊ดทางกะเทย ทางย่อหย่อนอ่อนเเอ ดูกิริยามารยาทท่านมุ่งมรรคผลพระนิพพาน โดยที่เรามองดูสิ่งภายนอก ทุกๆ ท่านไม่มีใครกลัวข้อวัตรข้อปฏิบัติ ไม่มีใครกลัวเคร่งครัดในธรรมวินัย รักษาศีลทุกข้อน้อยใหญ่ อันนี้เป็นความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ มุ่งมรรคผลนิพพาน เพื่อพัฒนาจิตใจ มีสติมีสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็รู้ชัดเจนหายใจออกก็รู้ชัดเจน เป็นเอกลักษณ์มองดูเเล้วเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ให้เราทุกคนต้องมองเห็นตัวเองอย่างนั้น ว่าสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าคือท่านเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่เอาธรรมเป็นที่ตั้ง เอาธรรมในการดำเนินชีวิต มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึก อันนี้เป็นความสุขเเท้ เป็นความสุขที่ไม่มีโทษ เพราะการอยู่การกินการฉัน สิ่งที่อำนวยความสะดวกสบาย ดูเเล้วเป็นเพื่อสิ่งบรรเทาทุกข์ เพื่อที่ทุกคนจะได้รักษาธาตุรักษาขันธ์ไป พระก็ดี ประชาชนก็ดี ถ้าเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเข้าสู่ไลน์ สู่ข้อประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้น ชีวิตของเราทุกคนล้มเหลว เราก็จะไม่ได้ส่งไม้ผลัดให้ผู้ที่จะดำเนินต่อ เพราะชีวิตของเราไม่เกิน 100 ปีต้องจากโลกนี้ไป
เราพยายามรู้จักเเก่นเเท้ของชีวิต ทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติให้ได้ เพราะทุกๆ คน ต้องจิตใจเข้มเเข็ง จิตใจที่ประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยการพัฒนาจัดการกับตัวเองในปัจจุบัน เพราะความเป็นพระนั้น ประชาชนไม่ได้บวชก็เป็นพระได้ เพราะศีล ๕ คือศีลประพฤติพรหมจรรย์เบื้องต้น สำหรับผู้ที่ดูเเลเรื่องอาหารการบริโภคที่อยู่ที่อาศัยดำรงตระกูลที่มีสัมมาทิฏฐิ ด้วยโครงสร้างชีวิตของเราที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำเเต่บุญเเต่กุศล มันได้ มันอยู่ได้ เราก็พัฒนาบ้านเราให้อยู่ดี พัฒนายานพาหนะให้ดี คิดก่อนใช้เงินใช้ตังค์ คิดก่อนทำ เพราะมันต้องเกิดจากสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ทางโลก โลกหมายถึงส่วนร่างกาย ธาตุขันธ์กับทางธรรมต้องไปด้วยกัน เพราะความสุขความดับทุกข์ต้องไปด้วยกัน ต้องรู้จัก เราอย่าไปตามความคิดความอารมณ์ เราอย่าไปตามสิ่งเเวดล้อม ให้มีสติ ให้มีสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม
ลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ของเราอย่างดี หายใจก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน ถ้าอย่างนั้นมันจะล่องลอยไปเรื่อย เป็นสัมภเวสีไปเรื่อย ลมหายใจเราเอาไปภาวนาเป็นวิปัสสนาก็ได้ ลมเข้าก็ไม่เที่ยงลมออกก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างมันปรากฏการณ์ในปัจจุบัน ได้เป็นผู้ที่มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เพื่อพัฒนาใจของเรา จนกว่าอายุขัยของเรามันจะเเตกดับ คนเราไม่อยากเเก่ มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่อยากเจ็บ มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่อยากพลัดพราก เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือหลงผิด เราต้องรู้จักความคิด รู้จักอารมณ์ พากันทำอย่างนี้ๆ ในปัจจุบันไปเรื่อยๆ เรียกว่า อริยมรรคมีองค์ 8 เราก็ทำได้ปฏิบัติได้
ทุกท่านทุกคนต้องให้เก่งเหมือนกันทุกคน ถ้าไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึก มันเก่งทุกคนนั้นเเหละ มันเก่งแบบเป็นทาสของอวิชชาความหลง คือทำตามใจตัวเองไม่ได้ ต้องเอาธรรมเป็นหลัก เพราะอัตตาธิปไตยก็คือตัวตน อัตตาธิปไตย พวกนี้ทั้งโลก เป็นปุถุชน หรือว่า เป็นคนหลง ไปตามไม่ได้ ต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ต้องพากันทำอย่างนี้ๆ ทุกคนต้องเข้มเเข็ง พระพุทธเจ้า ท่านบอกท่านสอนเเล้ว เราเป็นพุทธบริษัท ทุกคนก็เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตาม ไม่เกี่ยวกับนักบวช ไม่เกี่ยวกับผู้ไม่ได้บวชหรอก สงฆ์สาวกคือผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ประชาชนก็คือมีศีลห้า เค้าเรียกว่า สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่
พระก็ต้องไปในเเนวเดียวกัน เเต่พระได้เปรียบกว่า เพราะพระไม่มีภาระอันใด อย่างทุกวันนี้ก็ถือว่าดี สื่อสารมวลชนก็รู้กันทั้งประเทศ รู้กันทั้งโลก อันไหนไม่ดีเราก็อย่าไปคิด อย่าไปพูด อย่าไปทำ เพราะอันนั้นเป็นอาหารของวัฏฏะสงสาร อันไหนดี เราถึงต้องคิดพูดทำ เราต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าหายใจออกรู้ชัดเจน ต้องฝึก กราบพระไหว้พระเดินจงกรมนั่งสมาธิ สำหรับผู้ที่อยู่วัด ผู้ที่อยู่บ้านให้มีความสุขในการทำงาน ตอนเช้าตอนเย็นก็กราบพระ นั่งสมาธิ คือตั้งใจไว้ดีๆ เพื่อสติ เพื่อสัมปชัญญะสมบูรณ์ วันไหนๆ เราก็ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ วันไหนเราก็หายใจทุกวัน ทานอาหารทุกวัน ต้องทำอย่างนี้ เราทำไปมันจะชำนิชำนาญ เพราะความผิดก็ย่อมเป็นครู ความถูกก็ย่อมเป็นครู ถ้าเราไปทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ความเชื่อมั่นไม่มีหรอก เพราะไม่ใช่เป็นผู้นำของตัวเอง ไม่ใช่เป็นผู้นำของคนอื่น มันเสียศูนย์เเล้ว
ทุกคนถือว่ามันเก่งทุกคนได้ ฉลาดทุกคนได้ ถือว่าเป็นคนดี เป็นผู้ที่ออกจากทุกข์ เป็นผู้ที่สมควรบูชา ทุกคนต้องประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ไม่ได้ การประพฤติปฏิบัติต้องให้ติดต่อต่อเนื่องกันหลายวันหลายเดือนหลายปี ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ความเสื่อมไม่ได้เสื่อมมาจากไหนหรอก เสื่อมมาจากที่เราไม่ได้ตามพระพุทธเจ้า ไม่เอาธรรมเป็นหลัก เราไม่ได้เป็นอริยสงฆ์สาวก ความเสื่อมมันเป็นอย่างนี้
ส่วนใหญ่ที่เรามองโครงสร้าง เกิดจากพ่อเเม่ไม่เอาศีลไม่เอาธรรม พระอริยสงฆ์ไม่เอาศีลไม่เอาธรรม พวกคนเเก่ๆ มันก็เเก้ยาก พวกติดสิ่งเสพติดมันก็เเยกไม่ออก ถ้าชาวบ้านไม่ว่าจะเเก่หรือหนุ่ม เริ่มที่ปัจจุบันหมด เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องกลับมาเเก้ที่ตัวเอง พระเก่าคนเก่าพากันเเก้ไขตัวเอง เริ่มต้นจากพ่อจากเเม่ จากวัด เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส พวกนั้นต้องเเก้พวกนี้ก่อน เเต่เราจะไปเผยเเพร่ประชาชน เเต่ดูดีๆ โจรมันอยู่ที่เจ้าของ อยู่กับเจ้าอาวาส เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด กรรมการมหาเถรสมาคมนี้เอง ยังยินดีในเงิน ในสตรีในสตางค์ ในลาภยศสรรเสริญ ไปปกครองเเบบเดินเอกสาร ไปจัดการเเก่คนอื่น มันเป็นความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ อันนี้ก็พูดมาหลายครั้งหลายคราว มันจำเป็นที่ทุกคนต้องรับรู้ เพราะกฏหมาย หรือวุฒิปริญญาเอก เพื่อจะเเก้ไขตัวเองไม่มี มีเเต่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะเเก้ไขตัวเอง พวกไปเรียนปริญญาตรีโทเอก มันไปเเก้ไขเเต่คนอื่น มันเลยมีเเต่ความล้มเหลว เพราะมันไปเเก้ที่ปลายเหตุ มันต้องพากันเข้าใจ ทำไม๊ เเก้กัน เถียงกันสนั่นหวั่นไหว มันเเก้ไม่ได้ เพราะปัญหามันอยู่ที่ผู้ที่จะไปเเก้คนอื่น คนๆ นั้นไม่ได้เป็นธรรมาธิปไตย เป็นเเต่พวกอัตตาธิปไตย กับ ประชาธิปไตย ที่เอาโจรทั้งหลายมารวมกันออกกฏหมาย ให้เข้าใจนะพวกนี้ พากันรู้จักนะ พากันมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม พากันรู้จักว่า ปัญหาต่างๆ มันอยู่ที่ผู้เเก้เอง ผู้มาเเก้ ศีลตัวเดียวยังจะไม่มี จะไปเเก้คนอื่นมันก็ยาก เพราะว่าทุกคนทำใจไม่ได้ ที่จะต้องเสียภาษีอากร ทำใจไม่ได้ ถึงจะไปยกมือไหว้ พากันเข้าใจ
ประเทศไทยเราโครงสร้างคือธรรมาธิปไตย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ที่ดำเนินมา ทุกท่านทุกคนต้องพากันมาจัดการกับตัวเอง เปลี่ยนเเปลงตัวเอง เเก้ไขตัวเอง ต้องมาเสียสละ อย่าไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันเเก้ปัญหาไม่ได้ เราอย่าไปคิดว่า โอ้... ออกมาพูดอย่างนี้นะ ออกมาเเสดงอย่างนี้นะ ทำให้คนอื่นเค้าเดือดร้อนนี้ เพราะทำให้คนเค้าฉลาดขึ้น ให้รู้จักว่า ที่ว่าเดือดร้อน มันเดือดร้อนเพราะเรายังเห็นเเก่ตัว เดือดร้อนเพราะเราไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง เราเดือดร้อน
เหมือนพระอรหันต์นี้ ศีล 227 หรือว่า 21,000 พระธรรมขันธ์ ในพระวินัยปิฏก ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะท่านมีเจตนาต้องเสียสละ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของมหาชน ทุกท่านทุกคนอย่าพากันมาทำธุรกิจ เป็นข้าราชการ ทำธุรกิจเป็นนักการเมือง ทำธุรกิจในการเป็นนักบวช เพราะอันนี้มันไม่ใช่ธุรกิจ มันเป็นการมาเสียสละ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของมหาชน เราลงทุนกันเรียนหนังสือตั้งเเต่อนุบาลจนไปถึง ดร. มาลงทุนเพื่อเป็นนายทุน เพื่อจะมาทำธุรกิจ เพื่อความเห็นเเก่ตัวอย่างนี้มันไม่ใช่นะ มันทำให้ส่วนรวมเดือดร้อน ระส่ำระส่าย ข้าราชการดีๆ นักการเมืองดีๆ เราอย่าเอาเเก้วเหล้าเเก้วเบียร์ชนกัน อย่างนี้ไม่ได้ มันไม่เจริญหรอก มันเป็นโครงสร้างของอวิชชา ของคนพาล พวกเหล้าพวกเบียร์ มันเป็นยาระงับความฟุ้งซ่าน เมื่อเราระงับเเล้ว ทำให้ประสาทเราเสีย ของชั่วคราว เมื่อสร่างเหล้าสร่างเบียร์ เราหายเเล้วไม่จบ ก็เพราะว่ามันเเก้ปัญหาไม่ถูก เราต้องพากันมีสติมีสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อมนะ หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน
ผู้ที่เป็นพุทธบริษัทยังไม่เข้าใจศาสนาพุทธ เพราะทางฝ่ายนักบวช ฝ่ายผู้อุปภัมถ์อุปัฏฐาก ศาสนาพุทธคือเรื่องพระนิพพาน เพราะสิ่งที่เราเห็นด้วยตา ฟังด้วยหู ออกมาเป็นความประพฤติ ถ้ามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องเเล้ว เค้าต้องมีความสุขในการรักษาศีล นั่งสมาธิ พัฒนาจิตใจ พร้อมๆ กับ พัฒนาเทคโนโลยี พระเจ้าพระสงฆ์นี้ยังไม่รู้เลย ถ้ารู้เเล้ว ไม่มีใครที่จะรับเงินรับสตางค์เป็นของตัวเอง ถ้ารับก็เพื่อเป็นของส่วนรวม เพราะยังยินดีความเป็นมนุษย์รวย ยินดีในอารมณ์ของสวรรค์อยู่ พวกสวรรค์อะไร มันได้อยู่เเล้ว ดูภาพรวมของประเทศมีพระที่ไหน ไม่ยินดีในสตางค์ อยากรวย อยากมี อยากเป็น ดูเเล้วไม่ใช่ อันนี้เป็นอารมณ์ของมนุษย์รวย อารมณ์ของสวรรค์ ที่เรามาทำกิจวัตรต่างๆ เนี้ย เราก็ไม่มีความสุข เพราะเราไม่เอาพระนิพพาน ทุกคนมันจะเป็นคนฉลาดไม่ได้ เพราะใจมันยังมีอวิชชามีความหลงอยู่ พอบวชมาเเล้วยังอยากได้ศาลาใหญ่ๆ ยังอยากเป็นเจ้าของรถ ของอะไร อย่างนี้นะ วัดทุกวัด มันเลยถึงเป็นเเก็งค์อย่างนี้ มันส่งพฤติกรรมพวกนี้ไปถึงข้าราชการ ทำให้ข้าราชการในเมืองไทยโกงกินคอร์รัปชั่น ทำให้นักการเมืองโกงกินคอร์รัปชั่น เค้าไม่รู้จักว่าพระนิพพานเป็นสิ่งที่สูงสุด เพราะสวรรค์ มนุษย์รวยเราก็ต้องได้อยู่เเล้ว เค้าเรียกว่ารวยอย่างมีปัญญา
เราทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ ที่ได้เเก้ไขตัวเอง เเล้วจะได้หยุดก่อน ลาก่อนวัฏฏะสงสาร เพราะดูเเล้ว เค้าไม่รู้จริงๆ ไปโทษเค้าไม่ได้ น่าสงสาร พระพุทธเจ้าท่านคงจะสลดสังเวชว่า พุทธบริษัทของเรานี้ หลงประเด็น พระทุกรูป ประชาชนทุกคนต้องพากันรู้จักศาสนาพุทธนะ เพียงเเต่เราได้ยินพระพุทธเจ้าก็ได้บุญได้กุศลเเล้ว ต้องดูเเบบอย่างที่ ได้ยินชื่อพระพุทธเจ้า สลบไปเเล้วสลบไปอีก เพราะความปีติยินดีเลย เพราะดูเเล้วพระเราไม่รู้เรื่องพระนิพพานเลย มันโง่ขนาดไหน อย่างงี้ไม่มีวันที่จะฉลาดได้ เพราะว่า มันเป็นมิจฉาทิฏฐิที่ฝังลึก ลึกเกิน
เราทุก ๆ คนที่เกิดมาที่มีความทุกข์ เพราะเรามีความยึดมั่นถือมั่นทางจิตใจว่ามีตัวว่ามีตน "ที่ไหนมีความยึดมั่นถือมั่นทางจิตใจว่ามีตัวมีตน ที่นั่นแหละมีความทุกข์..."
อย่างเรายึดมั่นถือมั่นว่าเราเป็นพระ เราก็มีความทุกข์ เรายึดมั่นถือมั่นว่าเราเป็นโยม เราก็มีความทุกข์ เรายึดมั่นถือมั่นว่าเราเป็นผู้จัดการ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นท่านนายพล เป็นคุณหมอ เป็นผู้อำนวยการ ที่ไหนเรามีตัวมีตน เรามีทุกข์ทั้งนั้น เพราะทุกข์เกิดจากความรู้สึกที่มันมีตัวมีตน...
ผู้ที่มีตัวมีตนนั้นย่อมถือวัตถุเป็นใหญ่ ถือลาภ ยศ สรรเสริญ ถือความร่ำความรวย ถือความรู้ความสามารถเป็นใหญ่
พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาเป็นผู้ให้ทาน ให้เป็นผู้เสียสละทางจิตทางใจ ต้องให้เสียสละทั้งทางจิตใจ เสียสละทางคำพูด เสียสละในการกระทำ...กิริยามารยาทน่ะ
อย่างเราทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่อเสียสละ ทำงานเพื่อช่วยเหลือ ทำงานเพื่อละความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำงานเพื่อไม่เอา ไม่มี ไม่เป็น ทำงานเพื่อสติ เพื่อสัมปชัญญะ ทำงานเพื่อให้ใจของเรามีความสุขที่เราได้เสียสละ
คนเราน่ะมันมีลมหายใจเข้า มันต้องมีลมหายใจออก มันถึงจะไม่มีความทุกข์ จะหายใจเข้าอย่างเดียว เราไม่หายใจออก มันก็ย่อมตาย คนเราต้องใจดี ใจสบาย ใจไม่มีทุกข์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรจะตั้งอยู่ ไม่ว่าอะไรจะดับไป ทุกท่านทุกคนต้องมาแก้ไขที่จิตใจ เพื่อให้ใจของเราสบาย ใจของเราไม่มีทุกข์
ชีวิตของคนเรามันเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นมันจึงมี ถ้าเรามาแก้ที่ใจของเราให้ใจสบาย ทุกข์ก็ไม่มี ไม่ว่าเรื่องกาย ไม่ว่าเรื่องใจ ทุกอย่างเราปฏิบัติธรรม...
เราพยายามมาแก้ที่ใจของตัวเอง แก้ที่การกระทำ แก้ที่คำพูดของตัวเอง เอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ตามใจ และไม่ได้ตามใจนั้นมาประพฤติปฏิบัติธรรม มาเสียสละ มาละความเห็นแก่ตัว ถ้าเรามีตัวมีตนเมื่อไหร่เราก็มีความทุกข์ เราก็จะเครียด "เราเครียดเราไม่พอ ครอบครัวเราก็ทุกข์ก็เครียด เราก็เผาคนอื่น เพราะความยึดมั่นถือมั่นของเรา"
พระพุทธเจ้าบอกสอนเราว่า "ตัวเรามันไม่มี..." เราทานอาหารทุกวัน พักผ่อนทุกวัน ทุกคนก็ผ่านไปทุกๆ วัน จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่ก็เป็นคุณตาคุณยาย สุดท้ายทุกคนก็ไม่ได้ เป็นอะไร
พระพุทธเจ้าให้เราทุกคนเจริญเมตตา เจริญพรหมวิหารทั้ง ๔ ให้มาก ให้เรามีความสงสารคนอื่น เพราะทุกคนในโลกนี้มีความทุกข์ทั้งทางจิตใจ มีความทุกข์ทั้งทางกาย มีความทุกข์ทั้งทางหน้าที่การงาน ทุกอย่าง 'สารพัดทุกข์...
เราต้องเมตตาสงสารคนอื่น... คนอื่นเค้าได้ดี เราก็ยินดีอนุโมทนาอย่าไปอิจฉา ถ้าเราไปอิจฉาก็ทำให้เราเสียความดี เสียบารมี เสียคุณธรรม
เจริญอุเบกขามากๆ คือเราต้องใช้สมาธิให้มาก สมาธิแข็งแรง
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรจะตั้งอยู่ ไม่ว่าอะไรจะดับไป เราต้องไม่นึก ไม่คิด ไม่ปรุงแต่ง พยายามอุเบกขาไว้เพื่อใจของเราสงบ ใจของเราเย็น เพื่อจะไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน
ความอดทนเป็นเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง ต้องอดเอาทนเอา ต้องเป็นคนใจหนักแน่น หยุดคิดให้ได้ หยุดพูดให้ได้ หยุดกระทำให้ได้ ต้องหยุดตัวเอง ต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ
ในโลกนี้มันมีทุกสิ่งทุกอย่าง มีทั้งคนดี มีทั้งคนไม่ดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายและสิ่งที่มาลิดรอนสิทธิ์ จิตใจของเรามันต้องหนักต้องแน่น ต้องสงบ "เราจะเอาแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีเราจะเอาไว้ที่ไหน?"
พระพุทธท่านเจ้าจัดการให้เราทำใจให้สงบ ทำใจให้อุเบกขา เราไม่ต้องตามความคิดไป ไม่ต้องตามอารมณ์ไป
ทุกท่านทุกคนพยายามหายใจเข้าสบาย หายใจออกสบายไว้ เพื่อจะไม่ตามอารมณ์ไป ไม่ตามความคิดไป ไม่ตามสิ่งแวดล้อมไป ทำงานไปให้มีความสุข หายใจเข้า-ออกสบาย ให้มีความสุข
กรรมเก่าๆ ที่ผ่านมาหลายภพหลายชาติน่ะมันสั่งสม เราก็รู้ เราก็จำความได้ตั้งแต่เราเป็นเด็ก เราเคยถูกกดขี่ข่มเหงตบตีทั้งทางกาย ทางวาจา ทั้งจิตใจนั้น พระพุทธเจ้าสอนเราให้หยุด ให้ละ ให้วาง "วางจริงๆ ปล่อยจริงๆ ให้มันได้ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์"
จิตใจของเรา ความยืดมั่นของเราเป็นหน้าที่ของเราทุกๆ คน จะต้องปล่อยต้องวาง สิ่งที่ดีเราก็ต้องปล่อยต้องวาง สิ่งที่ชั่วเราก็ต้องปล่อยต้องวาง สิ่งที่ไม่ดี...ไม่ชั่วเราก็ต้องปล่อยต้องวาง
กลับมาทำใจให้สบาย ทำใจให้มีความสุข ทำใจให้ไม่มีความทุกข์ในปัจจุบันให้ได้ ทุกๆ ท่านทุกคนต้องฝึกปล่อยวางเรื่องอดีต ซึ่งมันเป็นแผลลึกในใจของทุกคน
ถ้าเราไม่ปล่อยไม่วาง ก็เปรียบเสมือนเรายังติดโซ่ติดอวนทางจิตใจ นานๆ ที กรรมเก่าๆ ของเรามันผุดขึ้นมา ก็ให้เรารู้แล้วก็ปล่อยแล้วก็วาง เราจะยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เพราะถ้ายึดมั่นถือมั่นแล้วมันทำให้เครียด ทำให้ทุกข์ ทำให้มีปัญหา
พระพุทธเจ้าสอนเราให้เป็นผู้ที่เสียสละมากๆ เสียสละอย่างไม่มีอะไรที่จะบดบังหัวใจ
เราทุกคนอย่าไปคิดว่างานหนัก ไม่ได้พักผ่อน อย่างนี้มันเป็นอาการของอัตตาตัวตน เป็นอาการของบุคคลที่ติดสุขติดสบาย เป็นอาการของบุคคลที่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ในอัตตา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ธรรมะเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้าน ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า"
พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นต้อง 'เสียสละ...' ไม่ติดสุขติดสบาย ไม่ติดเอร์ดอร่อย เพราะทุกคนต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยความดี ถ้าเรามาติดยึดมั่นถือมั่น ชีวิตของเรามันก็เดินเข้าหาความสุขความดับทุกข์ไม่ได้ เพราะอัตตาตัวตน ความหลงของเรา
ทุกคนอยากเป็นคนรวย อยากเป็นใหญ่เป็นโต อยากมีความสะดวกสบายทุกอย่าง อาการอย่างนี้เป็นอาการของความยึดมั่นถือมั่นในตัวในตน
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เป็นคนเสียสละ... คำว่า 'เสียสละ นี้ไมใช่คนขี้เกียจขี้คร้าน ต้องเป็นคนขยันมากๆ พระพุทธเจ้าท่านขี้เกียจไม่เป็น พระอรหันต์ท่านขี้เกียจไม่เป็น ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไม่มีโลกส่วนตัว ถ้าเรามีความยึดมั่นถือมั่นเราจะมีโลกส่วนตัวเป็นส่วนใหญ่น่ะ จะเป็นผู้มี ผู้เป็น เป็นผู้ที่จะเอา
ถ้าคนขี้เกียจขี้คร้านนี้แหละแม้แต่คิด...มันก็ไม่อยากคิด ทำมันก็ไม่อยากทำ มันทำให้เรามีความทุกข์โดยที่เราไม่เข้าใจว่า เหตุแห่งความทุกข์แห่งอัตตาตัวตน ได้แก่ ความขี้เกียจขี้คร้าน
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราทุกคน... ไม่กลัวความยากความลำบาก ไม่กลัวปัญหา เพราะความทุกข์ ความยาก ความลำบากทำให้ทุกคน เข้าถึงคุณธรรม เข้าถึงความสำเร็จในชีวิต
ถ้าเราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน เราก็ไปโทษคนนั้นคนนี้ โทษดิน ฟ้า อากาศ โทษการบ้าน...การเมือง โทษสายนัก...เช้านัก...ดึกนัก...อะไร แล้วไปโทษอุปสรรคต่างๆ นานา "ถ้าปัญหาต่างๆ มันตัน มันไปไม่ได้น่ะ..."
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราสงบ อุเบกขา ปล่อยวางทุกอย่าง เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ ให้ใจของเราสงบ ให้ใจของเราเย็น เพื่อสมองของเรามันจะได้คลายเครียด สมองเราทุกๆ คนน่ะ มันไม่เหมือนกัน บางคนก็คิดมาก ติดต่อกันได้ บางคนก็คิดมาก ติดต่อกันไม่ได้ มันเปรียบเสมือนเครื่องยนต์นั่นแหละ ผู้ที่เป็นเจ้าของรถยนต์ต้องรู้จักเครื่องยนต์ของตัวเอง ถ้ามันไปไม่ได้ก็ต้องพัก ถ้าฝืนไป เดี๋ยวมันก็เครียด เดี๋ยวมันก็ระเบิด
คนเราน่ะ พระพุทธเจ้าให้เรามีทั้งสมาธิ มีทั้งปัญญา สมาธิ ก็คือ การทำใจดี ใจสบาย ใจไม่มีทุกข์
ปัญหาที่จะเป็นเหตุที่จะเป็นผล หาช่องทางดีๆ ที่เราจะได้เสียสละ ที่เราจะได้ละตัวละตนน่ะ สมาธิ ได้แก่สติสัมปชัญญะน่ะ...
ทุกท่านทุกคนมีความจำเป็นต้องได้ปฏิบัติเพื่อทำใจดี ใจสบาย ใจไม่มีทุกข์ เพราะว่าคนเรามีเวลา ๒๔ ชั่วโมง เวลาตื่นอยู่น่ะตั้งเกือบ ๒๐ ชั่วโมง ถ้าเราไปเครียด ถ้าเราใจไม่ดี ใจไม่สบาย เรามันก็ลำบากแน่ ขาดทุนแน่ เราจึงจำเป็นที่จะต้องขับเคลื่อนชีวิตของเราเองด้วยใจดี ใจสบาย ใจไม่มีทุกข์
ปรับตัวเองเข้าหาศีลทั้ง ๕ ปรับตัวเองเข้าหาการทำงานให้มีความสุข ปรับทั้งทางกาย ปรับทั้งทางวาจา ปรับทั้งทางจิตใจ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติอย่างนี้แหละเราก็จะฉลาดขึ้น ชำนาญขึ้น รู้จักแก้ปัญหาทางจิตใจ แก้ปัญหาทางภายนอกได้มากขึ้น
เราจะข้ามน้ำข้ามทะเลอันกว้างใหญ่ได้ เราจะต้องอาศัยยานพาหนะที่ดีที่ปลอดภัย ถ้าเราจะเข้าถึงความสุข ความดับทุกข์ที่แท้ ต้องอาศัยยานพาหนะที่ดี ที่ปลอดภัย ซึ่งได้แก่ความดี ความถูกต้อง ได้แก่สิ่งที่ไม่มีความรู้สึกว่าเรามีตัวมีตน
จิตใจของเรามันทรมานมาก มันเป็นการสะดุดในหัวใจว่า เราดีกว่าเค้า เราเก่งกว่าเค้า หรือว่าเราสู้เค้าไม่ได้ หรือคิดว่าเราเสมอกับเค้าน่ะ ล้วนแต่มีทุกข์ทั้งนั้น... เพราะความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ มันคือความยึดมั่นถือมั่น คือตัวคือตนน่ะ
"นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง สุขอันไหนก็สู้ความสงบไม่ได้..."
ถ้าเรามีความคิด ความปรุงแต่งเมื่อไหร่น่ะ เราก็มีความทุกข์เมื่อนั้น ทุกๆ ท่านทุกคนต้องฝึกทำใจให้สงบ ทำใจไม่มีทุกข์ ทำใจให้สบาย จะเหน็ดจะเหนื่อยเท่าไหร่ ก็ต้องทำใจให้สงบ ทำใจให้สบาย จะชอบไม่ชอบเท่าไหร่ ก็ต้องทำใจให้สงบ ทำใจให้สบาย มันจะเจ็บไข้ไม่สบาย พิกลพิการก็ช่างหัวมัน ต้องทำใจให้สงบ ทำใจให้ไม่มีทุกข์
คนเราน่ะจะรวยหรือจะจน จะเจ็บไข้...ไม่สบาย ไม่เจ็บไข้...ไม่สบาย สรุปแล้วอยู่ที่ใจสงบ อยู่ที่ใจไม่มีทุกข์
ทุกท่านทุกคนได้พากันมาประพฤติปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านให้เราพากันทำใจให้สบาย ทำใจไม่มีทุกข์ มีสติสัมปชัญญะ พากันฝึกปล่อยฝึกวาง ทบทวนสิ่งที่ผ่านมา ที่มันตัวใหญ่ๆ ตัวหลักๆ น่ะ
เราพยายามตัด...พยายามวาง พยายามปล่อย...พยายามวาง เราจะเดิน เราจะนั่ง เราจะนอนต้องให้ใจของเราสงบ ใจของเราไม่มีทุกข์ ให้มาอยู่กับธรรมชาติ เพราะธรรมชาติที่บริสุทธิ์ นั้นคือสิ่งที่ไม่มีตัวไม่มีตน คนเราถ้าไม่มีตัวไม่มีตน มันมีความสุข มีความดับทุกข์ อยู่ที่ไหนก็สบาย