แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๓๖ เน้นที่ปัจจุบัน รู้มากรู้น้อยไม่สำคัญ สำคัญที่การประพฤติการปฏิบัติ ถ้าใครเสียสละก็เก่งพอๆ กัน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระเก่า พระใหม่ โยมอยู่ที่วัด หรือ โยมอยู่ที่บ้านทุกท่านทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็รู้ชัดเจนหายใจออกก็รู้ชัดเจน รู้ว่าอันไหนผิดอันไหนถูก อันไหนถูกรีบคิดรีบพูดรีบทำ อันไหนผิดก็รีบหยุดคิด รีบหยุดทำ เพราะเวลาของเราทุกคนเป็นของสำคัญ ทุกท่านทุกคนต้องอาศัยตัวของตัวเอง มีความตั้งมั่นมีความเชื่อมั่นในตัวของตัวเอง ต้องเน้นพระเก่า พระใหม่ โยมเก่า โยมใหม่ โยมที่วัด ที่บ้าน ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจตัวเรานี้ เป็นทั้งสถาปนิก เป็นทั้งวิศวะ วิศวะก็คือรู้โครงสร้างรู้ ผิดรู้ถูก เป็นผู้ปฏิบัติการเรียกว่าศีล คือ ศิลปะการประพฤติการปฏิบัติเน้นที่ปัจจุบัน รู้มากรู้น้อยไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่การประพฤติการปฏิบัติ ทุกคนต้องเก่งพอๆกัน ถ้าใครเสียสละก็เก่งพอๆกัน ถ้าใครตามพระธรรมคำสั่งสอนก็เก่งทุกคน ไม่ต้องพากันอยู่ลอยๆ ผ่านไปเป็นวันๆ
ต้องทำอย่างนี้มันถึงจะเข้าถึงภาคปฏิบัติทุกๆ คนมันต้องมีปัญญา ทุกๆ คนต้องเป็นผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติ เพราะจุดมุ่งหมายให้พระให้โยมให้เณรเก่งเหมือนกันทุกคน พวกเราอย่าพากันเซ่อๆ เบลอๆ อยู่ต่อไปไม่ได้เเล้ว เพราะเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญ ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน หยุดมีเซ็กซ์ทางความคิดทางอารมณ์ ที่อันไหนไม่ดีไม่ถูกไม่ต้อง มันมีเซ็กซ์ทางจิตใจทางอารมณ์
เราอย่าเป็นคนลอยๆ เป็นพระลอยๆ อาศัยวัด ถ้าเราเป็นโยมก็อย่าเป็นคนลอยๆ อาศัยบ้านอาศัยพ่ออาศัยเเม่ต้องเป็นคนที่เก่งคนที่ฉลาด เราต้องกลับมาหาตัวเองปฏิบัติตัวเอง อย่าไปกลัว มาหาตัวเองปฏิบัติตัวเอง อย่าไปกลัวเหนื่อยกลัวผอม ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราจะเข้าไม่ถึงการประพฤติการปฏิบัติ พวกที่ซิกเเซกในข้อวัตรปฏิบัติ พระเก่าอย่าซิกแซก พระใหม่ก็อย่าซิกเเซก ต้องจัดการกับตัวเอง กลับมาบังคับตนเอง ตัวเองต้องรับผิดชอบให้มากขึ้น เพราะถ้าอย่างนั้นมันเก่งขึ้นไม่ได้หรอก เพราะหัวมันไม่ถึง พวกหัวถึงก็คอยแต่จะซิกเเซก เราจะเป็นคนที่พระพุทธเจ้าโปรดไม่ได้ พระอรหันต์โปรดไม่ได้ ใครก็โปรดไม่ได้ ถ้าเราไม่โปรดตัวเอง ประพฤติปฏิบัติตัวเอง เราจะเป็นคนที่หลวงพ่อโปรดไม่ได้หรอก
นายฉันนะเป็นคนสนิทที่สุดของเจ้าชายสิทธัตถะก็ว่าได้เพราะเขาเติบโตมากับพระองค์ และมีอายุเท่ากับพระองค์ เมื่อเจ้าชายเสด็จออกมานอกวัง และได้พบเหล่าเทวทูตทั้ง 4 นายฉันนะผู้นี้เองคือผู้ที่ขับรถม้าให้กับพระองค์ ต่อมาในคืนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะออกผนาช เขาเป็นผู้ที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงปลุกให้ตื่นขึ้นเพื่อไปผูกม้ากัณฐกะเพื่อที่จะนำพระองค์ไปยังแม่น้ำอโนมา นายฉันนะจึงเป็นคนเดียวที่เห็นเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าออกบวช
นายฉันนะดูแลพระองค์จนกระทั่งเจ้าชายปลงผมและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นนักบวชจนเสร็จสิ้น เขาจึงนำฉลองพระองค์เดิมและม้ากัณฐกะกลับไปยังกรุงกบิลพัลดุ์ เพื่อเรียนพระเจ้สุทโธทนะให้ทรงทราบว่าพระโอรสได้ออกผนวชแล้ว นายฉันนะมองเจ้าชายจนลับตา และถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ส่วนม้ากัณฐกะตายทันทีหลังจากที่ลับสายตาจากเจ้าชายสิทธิตถะ
เจ้าชายสิทธัตถะใช้เวลาอยู่ 6 ปี พระองค์จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา หลังจากที่พระองค์เสด็จกลับมากรุงกบิลพัลดุ์พื่อโปรดพระญาติ เหล่าพระญาติเกิดศรัทธาขอบวชมากมาย นายฉันนะก็เป็นคนหนึ่งที่ขอบวชด้วย หลังจากบวชแล้ว พระฉันนะกลับเย่อหยิ่งจองหอง เขาถือตัวว่าเป็นข้ารับใช้เก่าแก่ของพระพุทธเจ้า พระฉันนะไม่ฟังผู้ใดแม้กระทั่งพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าก็ตาม
สิ่งที่พระฉันนะชอบใช้ข่มพระอื่น (รวมไปถึงพระอัครสาวกอย่างพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ) มากที่สุดคือ พระฉันนะชอบอ้างว่าเป็นผู้ที่ทำให้พระพุทธเจ้าออกผนวช พระรูปอื่นจึงเริ่มเอือมระอากับพระฉันนะ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน พระฉันนะก็ไม่สามารถบรรลุธรรมอันใดได้เลย เพราะพระฉันนะยึดมั่นว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นเช่นนี้นั่นเอง พระรูปอื่นที่บวชทีหลังจึงบำเพ็ญบารมีแซงพระฉันนะจนบรรลุอรหันต์ไปหมดแล้ว
มีอยู่วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นครโกสัมพี พระฉันนะได้ทำการโต่นต้นไม้ที่เหล่าชาวบ้านเคารพบูชา เพื่อที่เศรษฐีผู้อุปัฏฐากตนจะได้สร้างวิหารถวายตัวพระฉันนะเอง พระรูปอื่นจึงเข้าไปตักเตือนว่าพระฉันนะไม่ควรกระทำเช่นนี้ แต่มีหรือพระฉันนะจะฟัง พระฉันนะว่ากล่าวว่าพระรูปอื่นมีสิทธิ์อันใดมาว่ากล่าวตน ที่ว่า พวกท่านสำคัญว่าเราเป็นผู้ที่ท่านควรว่ากล่าว กระนั้นหรือ เราต่างหากควรว่ากล่าวพวกท่าน เพราะพระพุทธเจ้าก็ของเรา พระธรรมก็ของเรา พระลูกเจ้าของเราตรัสรู้ธรรมแล้ว พวกท่านต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ต่างสกุลกัน บวชรวมกันอยู่ ดุจลมกล้าพัดหญ้าไม้ และใบไม้แห้งให้อยู่ร่วมกัน หรือดุจแม่น้ำที่ไหลมาจาก ภูเขา พัดจอกสาหร่ายและแหนให้อยู่รวมกัน ฉะนั้น
เหล่าภิกษุจึงทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าเรียกพระฉันนะมาสอบถาม พระฉันนะก็รับว่าเป็นจริงตามนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงบริภาษพระฉันนะว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ โมฆบุรุษ ไฉน เธออันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ถูกทางธรรม จึงได้ทำตนให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้ ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว
ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงโทษของการเป็นคนว่านอนสอนยาก และประโยชน์ของการเป็นคนว่านอนสอนง่ายแก่ภิกษุทั้งหลายได้รับฟัง
เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่พระรูปอื่น พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติสิกขาบทข้อใหม่ว่า ถ้าภิกษรูปใดเป็นคนว่ายาก ถ้าคณะสงฆ์ตักเตือนสามครั้งแล้วยังไม่ยอมรับ ภิกษรูปนั้นจะต้องอาบัติสังฆาทิเสส
พระฉันนะจึงกลายเป็นผู้ให้กำเนิดหนึ่งในอาบัติสังฆาทิเสสเช่นเดียวกับพระอุทายีไปโดยปริยาย ถึงแม้รายหลังจะเหมาไปเยอะกว่าก็ตาม
ถึงแม้จะโดนพระพุทธเจ้าบริภาษและตักเตือนแล้ว พระฉันนะก็ยังคงไม่เลิกนิสัยเดิม เมื่อพระฉันนะอายุมากขึ้น นิสัยของเขากลับย่ำแย่ลงด้วยซ้ำไป ทำให้คณะสงฆ์เอือมระอาอย่างมาก เมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระฉันนะที่มีอายุ 80 ปี 44 พรรษาก็ยังไม่ได้บรรลุธรรมใดๆ พระอานนท์ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าก่อนจะปรินิพพานที่กุสินาราว่าจะทำอย่างไรกับพระฉันนะต่อไป เพราะถ้าสิ้นพระพุทธเจ้าแล้ว พระฉันนะย่อมไม่หวั่นเกรงใคร และอาจจะก่อเรื่องขึ้นก็ได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้คณะสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์กับพระฉันนะ เมื่อได้ยินเช่นนั้น พระอานนท์ก็ไม่เข้าใจว่าพรหมทัณฑ์คืออะไร พระพุทธเจ้าจึงอธิบายว่า การลงพรหมทัณฑ์คือการที่ ภิกษุฉันนะพึงพูดตามปรารถนา ภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงว่ากล่าว ไม่พึงสั่งสอน ไม่พึงพร่ำสอนภิกษุฉันนะ
สรุปแล้วก็คือให้ภิกษุไม่ต้องไปยุ่งกับพระฉันนะถ้าไม่จำเป็น พระฉันนะอยากทำอะไรก็ให้ทำไป หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระอานนท์เรียนเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงบอกให้ลงพรหมทัณฑ์แก่เหล่าพระอรหันต์ทั้งหลายทราบ เหล่าพระอรหันต์ทั้งหลายต่างอนุมัติให้ลงพรหมทัณฑ์กับพระฉันนะตามรับสั่งของพระพุทธเจ้า พระอานนท์และสงฆ์ 500 รูปจึงเดินทางไปหาพระฉันนะที่เมืองโกสัมพีทันที พระอานนท์เรียกพระฉันนะให้เข้ามาในหมู่ภิกษุสงฆ์ และประกาศต่อหน้าที่ประชุมสงฆ์ว่า คณะสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ต่อพระฉันนะแล้ว
พระฉันนะที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับตกตะลึง เขาอุทานขึ้นมาว่า ท่านพระอานนท์ ด้วยเหตุเพียงที่ภิกษุทั้งหลายไม่ว่ากล่าว ไม่ตักเตือน ไม่พร่ำสอนข้าพเจ้านี้ เป็นอันสงฆ์กำจัดข้าพเจ้าแล้วมิใช่หรือ แล้วสลบล้มลง ณ ที่นั้นเอง
การลงพรหมทัณฑ์ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อจิตใจของพระฉันนะ ทำให้เขาไม่สะดวกใจที่อยู่ในหมู่ภิกษุสงฆ์ต่อไป เพราะไม่มีผู้ใดยุ่งเกี่ยวกับเขาเลย พระฉันนะจึงปลีกตัวไปอยู่ที่อื่น
เมื่อออกมาอยู่คนเดียวแล้ว พระฉันนะก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ภายในไม่นานพระฉันนะก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ และเข้าถึงความเป็นผู้ไม่เกิดอีก หลังจากนั้นพระฉันนะที่ได้เป็นพระอรหันต์แล้วได้เดินเข้าไปหาพระอานนท์เพื่อขอให้พระอานนท์ระงับพรหมทัณฑ์แก่ตน พระอานนท์จึงกล่าวว่าเมื่อพระฉันนะเป็นพระอรหันต์แล้ว การลงพรหมทัณฑ์ของพระฉันนะก็จบสิ้นไปแล้ว ด้วยความที่พระฉันนะน่าจะมีอายุมากแล้ว พระฉันนะน่าจะนิพพานหลังจากนั้นไม่นาน
ทุกคนต้องมีคุณภาพต้องมีสักกายภาพ ไม่เอาปริมาณ เอาคุณภาพ มันต้องมีการต่อสู้ มีการประพฤติ การปฏิบัติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ ที่มันทุกข์ใจไม่สบายใจอันนั้นเป็นอวิชชาเป็นความหลงทั้งสิ้น เราจะเอาความโลภความโกรธความหลงมาเป็นใจของเรามันไม่ได้ พระเก่าก็อย่าพากันบ่นใจว่า หลวงพ่อนี้เทศน์เอาจริงเอาจังเข้มข้น ทำให้เราอยู่ยากลำบาก ความคิดอย่างนี้ก็อย่ามี เพราะว่า ความคิดอย่างนี้มันไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ครูบาอาจารย์ท่านเป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า นำเราประพฤตินำเราปฏิบัติเราต้องเห็นด้วยยินดีด้วย เราอย่าคิดว่า โอ้ย... จะเคร่งไปถึงไหน จะเคร่งครัดไปถึงไหน อย่าโอ้ยยยย เราจะซิกเเซกไปอยู่วัดไหนหนอออ ความคิดอย่างนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิอย่าไปคิดมัน เรามีเวลาเเล้ว เราต้องตั้งใจ
เพราะดูๆ เเล้วพระก็ฝึกได้อยู่ เเต่ถ้าเรามีเมตตามีกรุณาฝึก ผ้าขาวที่มาอยู่ใหม่ปฏิปทายังไม่เข้มเเข็ง หลวงพ่อใหญ่ให้พระประกบนาค 1 ต่อ 3 เลยเพื่อจะอยู่ดูเเลช่วยเหลือ พระที่ประกบดูเเลเป็นพี่เลี้ยง ที่ครูบาอาจารย์ว่าเป็นพระที่มาตรฐาน ให้นาคพากันเข้าใจ เพื่อจะไม่ให้ซิกเเซกไป ซิกเเซกมา เราจะได้มีโอกาสฝึกจิตฝึกใจ พ่อเเม่อยู่ทางบ้านหวังว่าลูกชายจะได้เปลี่ยนเเปลงไปในทางที่ดี
วัดทุกวัดมันไปไม่ได้ ก็เพราะว่า ผู้นำเจ้าอาวาสประธานสงฆ์ไม่รับผิดชอบ ไม่เอาใจใส่เป็นพิเศษ ในข้อสอบของพระอุปัชฌาย์ถึงมีว่าศาสนาเสื่อมเพราะอะไร เพราะอุปัชฌาย์บวชให้เเล้ว ไม่รับผิดชอบผู้ที่บวชให้ เพราะไม่ได้คัดสรรผู้ที่จะมาบวชในพระศาสนา ไม่ได้คัดกรองมาอย่างดี เเละเสื่อมเพราะเจ้าอาวาส ไม่ควบคุม ไม่นำข้อวัตรข้อปฏิบัติ
พระเก่าถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องกระตือรือร้น ต้องกระฉับกระเฉงเตรียมพร้อมทุกอย่าง อยู่ในคำสอนของหลวงตามหาบัวถึงมีหนังสือเล่มใหญ่ที่ท่านเทศน์ออกมาชื่อธรรมะชุดเตรียมพร้อม เเสดงว่าไม่ได้เข้าศาลา หลังตีระฆัง เตรียมพร้อมเลย ทำอะไรเตรียมพร้อมตลอด ต้องกระฉับกระเฉงกระปรี้ประเปร่า มันต้องเเยกกาย เเยกจิต มันเป็นหนังสือออกมาชื่อชุดตรียมพร้อมเเสดงว่า จิตใจ มันต้องเตรียมพร้อมในปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้รู้จัก เจโตวินิพันธะ คือ เครื่องผูกพันใจ ๕ ประการ อันได้แก่ ๑. ความติดใจ ความยินดีในกาม ๒. ความติดใจยินดีในกาย ๓. ความติดใจยินดีในรูป ๔.ความที่กินแล้วก็นอน และ ๕. ความปรารถนาต้องการเทวนิกาย คือความที่จะไปเกิดในหมู่เทพ คือปรารถนาที่จะไปสวรรค์
ทั้ง ๕ ประการนี้ได้ชื่อว่า เจโตวินิพันธะ คือเครื่องผูกพันใจ เพราะเหตุว่าผูกพันใจไว้ไม่ให้หลุดพ้นได้ ให้ติดอยู่ในกาม ในกาย ในรูป ในการเอาแต่กินนอน และติดอยู่ในสวรรค์
เนกขัมมะ นั้นแปลกันว่าออก ก็คือออกบวชตามความหมายทั่วไป แต่ก็มีความหมายในทางจิตใจ ที่ใช้ได้ทั้งบรรพชิตทั้งคฤหัสถ์เหมือนกัน ก็คือออกจากความติดใจยินดีอยู่ในกามนั้นเอง เมื่อจิตไม่มีเนกขัมมะก็ไม่ได้สมาธิ
ติดใจยินดีในกาย นั้นก็คือในกายของตน อันนับว่าเป็นตัณหาจริตอย่างหยาบ ทำให้พอใจในการที่จะตบแต่งกาย จึงไม่คิดที่จะตบแต่งจิตใจ มุ่งแต่จะตบแต่งกาย ติดในกาย และเมื่อเป็นดั่งนี้จิตก็ออกไม่ได้ และนอกจากนี้ยังหมายถึงติดอยู่ในสุขเวทนาทางกายมากอีกด้วย เช่นมุ่งที่จะทะนุบำรุงกายให้มีความสุข จะต้องอยู่ในที่ๆ มีความสุขทางกาย จึงเป็นอันทำให้ไม่สามารถที่จะปฏิบัติกระทำสิ่งที่จะทำให้ร่างกายเป็นทุกข์ จะตากแดดสักหน่อยหนึ่งก็ร้อน ไม่ได้ จะตากฝนสักนิดหนึ่งก็ไม่ได้ จะถือศีลข้อไม่นั่งไม่นอนบนที่นอนที่ยัดนุ่น ก็เจ็บกายทำไม่ได้ จะนั่งกรรมฐานสักหน่อยหนึ่งก็ปวดเมื่อยกาย ทำไม่ได้ ดั่งนี้ ก็รวมอยู่ในข้อว่าติดใจยินดีอยู่ในกาย
ติดใจยินดีอยู่ในรูป นั้นท่านอธิบายว่ารูปภายนอกต่างๆ ตั้งต้นแต่เครื่องแต่งกาย บ้านเรือน เครื่องแต่งบ้านเรือน และทุกๆ อย่างจะต้องเป็นสิ่งที่สวยงาม จะต้องเป็นสิ่งที่ประณีตต่างๆ ความติดใจยินดีอยู่ในรูปภายนอกดังกล่าวมานี้ก็ทำให้ขวนขวายแต่ในเรื่องของการที่จะประดับตบแต่ง ที่จะทำให้สิ่งต่างๆ โดยรอบมีความสวยงามวิจิตรพิสดาร จึงเป็นอันว่าไม่มีเวลาที่จะมามุ่งปฏิบัติกรรมฐาน หรือปฏิบัติธรรม คือไม่คิดที่จะมาตบแต่งธรรม คือตบแต่งกุศลธรรมทั้งหลายให้บังเกิดขึ้น
กินแล้วนอน ก็เป็นการตัดประโยชน์ทำนองว่าชีวิตนี้ดำรงอยู่ก็เพื่อกินนอน ไม่ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ เสียทั้งทางโลกทั้งทางธรรม และความมุ่งที่จะเกิดในหมู่เทพคือมุ่งสวรรค์ ก็เป็นความมุ่งที่สวนทางกับมรรคผลนิพพาน อันเป็นวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติธรรม
การปฏิบัติธรรมนั้นเพื่อมรรคผลนิพพาน หรือว่าถ้าพูดอย่างสามัญลงมา ก็เพื่อความดี เพื่อความบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพื่อสวรรค์ จะเป็นสวรรค์ในโลกนี้ อันหมายถึงว่าความสุขต่างๆ ในโลกนี้ ทางวัตถุ หรือสวรรค์ในโลกหน้าตามที่แสดงไว้ก็ตาม แต่ว่ามุ่งที่จะขัดเกลาตนเอง ฝึกตนเองให้เจริญด้วยธรรมะที่เป็นคุณธรรม นำให้เกิดความดีงามต่างๆ ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในภายหน้า และทั้งที่เป็นความดีงามอย่างยิ่ง คือมรรคผลนิพพาน
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้รู้จักว่าทั้ง ๕ ข้อนี้ คือมีความติดใจยินดี อันเรียกว่าราคะ อยู่ในกาม ในกาย ในรูป และเอาแต่กินนอน กับมุ่งสวรรค์ ก็คือมุ่งความสุขทางวัตถุต่างๆ เป็น เจโตวินิพันธะ คือเครื่องผูกพันใจ ผูกพันใจเอาไว้ให้ปฏิบัติกระทำ หรือจะเรียกว่าสิกขาศึกษาก็ได้เหมือนกัน เพื่อกาม เพื่อกาย เพื่อรูป เพื่อกินนอน และเพื่อสวรรค์ เพราะฉะนั้น จึงไม่อาจที่จะทรงจิตใจมาศึกษาธรรมะ อันเป็นคุณธรรม นำให้เกิดความดีงามต่างๆ ไม่ตบแต่งหรือปรุงแต่งธรรมะปฏิบัติอันเป็นส่วนดีงาม ไม่ปฏิบัติปรุงแต่ง รูปฌาน อรูปฌาน หรือพูดเป็นกลางๆ ว่าไม่ปฏิบัติปรุงแต่งธรรมะ ที่เป็นคุณงามความดี แม้ตั้งแต่ขั้นรูปธรรมที่เป็นส่วนดีส่วนชอบ และเอาแต่กินนอน ไม่ประกอบชีวิตใช้ชีวิตให้ทำประโยชน์อะไร และไม่มุ่งธรรมะที่เป็นคุณงามความดี มุ่งความสุขที่เป็นวัตถุ
อันเรื่องของมุ่งสวรรค์อันเป็นความสุขที่เป็นวัตถุนี้ เป็นการกล่าวถอดความเข้ามา ให้เห็นสวรรค์ที่เป็นปัจจุบัน เพราะแม้สวรรค์ในโลกหน้าตามที่แสดงไว้ ก็ล้วนเป็นสถานที่ๆ เต็มไปด้วยความสุขทางวัตถุทั้งนั้น ประกอบไปด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่งดงาม น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย ตามที่คนในโลกที่เป็นคนสามัญต้องการกัน
คราวนี้มาพูดถึงปัจจุบัน ก็คือความสุขทางวัตถุที่เป็นปัจจุบันต่างๆ คนเราที่เห็นแก่ได้ เช่นเห็นแก่เงินแก่ทอง เห็นแก่ความร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี ก็กล่าวได้ว่า ล้วนแต่มุ่งสวรรค์ในปัจจุบันได้ทั้งนั้น และเมื่อเป็นดั่งนี้จึงทำให้ตีราคาของวัตถุ เช่นเงินทอง ทรัพย์สิน ยิ่งกว่าธรรมะที่เป็นคุณธรรมอันเป็นตัวความดีต่างๆ คนจึงทิ้งธรรมะ ทิ้งศีล ทิ้งสมาธิ ทิ้งปัญญา ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ คือไม่ศึกษาปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ในปัญญา แต่ไปศึกษาในทางที่ว่าจะได้เงินมามากๆ อย่างไร จะลักขโมยอย่างไร จะโกงอย่างไร จะรวบรวมมาได้อย่างไร เหล่านี้เป็นต้น เพราะเมื่อได้วัตถุนั้นมา เช่นว่าได้เงินได้ทองมา ก็เป็นอันว่านั่นเป็นที่ประสงค์ ตีราคาของสิ่งเหล่านี้ยิ่งไปกว่าราคาของธรรมะที่เป็นตัวคุณงามความดี
เพราะฉะนั้น ข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสว่ามุ่งสวรรค์นั้น ก็ควรจะทำความเข้าใจลงมาดั่งนี้ด้วย ซึ่งเป็นอันตรายต่อศีลธรรม ต่อความสงบสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก ดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ เพราะคนมุ่งวัตถุดังกล่าวนี้ และตีราคาของวัตถุดังกล่าวนี้สูงกว่าราคาของธรรมะที่เป็นคุณงามความดี
เพราะฉะนั้น แต่ละข้อที่ตรัสไว้จึงเป็นสัจจะคือความจริง ที่เป็นเครื่องผูกพันใจ ไม่ให้ใฝ่หาธรรมะที่เป็นตัวคุณงามความดี แต่ให้ใฝ่หาแต่กาม แต่กาย แต่รูป แต่การกินการนอน แต่สวรรค์ ก็คือความสุขทางวัตถุต่างๆ ตามที่ต้องการ เพราะฉะนั้น จึงตรัสสอนให้ละเสีย จึงจะสามารถปฏิบัติธรรมะ อันเป็นส่วนคุณงามความดีให้ก้าวหน้าสืบไปได้ และก็ไม่ต้องว่าถึงมรรคผลนิพพาน เอาแค่ธรรมะที่เป็นคุณงามความดี ที่เป็นประโยชน์ปัจจุบัน เป็นประโยชน์ภายหน้า เท่านี้ ก็จะต้องละเครื่องผูกพันใจเหล่านี้เสียด้วย จึงจะปฏิบัติให้ถูกต้องได้ และถ้าหากว่าไม่ปฏิบัติละเสีย ความเบียดเบียนกันในโลกก็จะยิ่งมีมากขึ้นๆ จนถึงเรียกว่าเป็นกลียุค คนก็จะยิ่งเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ทำร้ายร่างกายกัน ฆ่าฟันกัน มากขึ้นทุกที ๆ
ต่อเมื่อละเสียได้มามุ่งที่จะศึกษาปฏิบัติธรรมะ ที่เป็นส่วนคุณงามความดีกันให้มากขึ้น ละความมุ่งที่จะบำรุงปรับปรุงกาม กาย รูป กินนอน และมุ่งสวรรค์ คือความสุขทางวัตถุต่างๆ ดังกล่าว
ต้องจับประเด็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะคนเราถ้าคิดไม่ดีก็เศร้าหมอง พูดไม่ดีก็เศร้าหมอง ทำไม่ดีก็เศร้าหมอง ถือว่าตั้งอยู่ในความประมาท สติสัมปชัญญะย่อมเกิดไม่ได้ เพราะอย่างนี้ ยิ่งทุกคนไม่อยากแตะต้องเพราะพวกนี้ จิตใจเป็นโจร เป็นมหาโจร เป็นนักเลงโต บางทีทุกคนก็ไม่อยากแตะต้อง ทุกคนต้องมีความเข้าใจ ต้องสังเกต ถ้าใครมีทิฏฐิมานะมากทุกคน ก็ไม่อยากจะยุ่ง ทุกคนต้องพากันกลับมาดูตัวเอง ว่าตัวเองตั้งอยู่ในความประมาทไหม ถ้ายังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระขีณาสพ ก็ต้องย่อมตั้งอยู่ในความประมาทอยู่แล้ว เดี๋ยวจะกลายเป็นคนว่ายากสอนยาก เพราะว่ามันจะเป็นการติด เขาเรียกว่ามันเป็นสิ่งที่เสพติด มันต้องอาศัยศีล สมาธิ ปัญญา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้ามาสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ เน้นในปัจจุบันให้มันละเอียดลออยิ่งขึ้น ไม่อย่างนั้นชีวิตของเราก็จะเป็นหมันแน่นอน อย่าให้มันเสียเวลาเพราะความประมาท ความเพลิดเพลิน เพราะเรื่องนี้มันเรื่องส่วนตัว เรื่องความติด เรื่องความหลง เหมือนประชาชนที่เขาติดยาเสพติด อันนี้ก็อย่างเดียวกัน มันกินเราหลายภพหลายชาติ
ผู้ว่ายากสอนยาก คือผู้ที่มีความเห็นผิด เข้าใจผิด แล้วปฏิบัติผิด ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลิน ตั้งอยู่ในความประมาท คนเราถ้าประมาทแล้วก็คือความวิบัติ พระพุทธเจ้าถึงให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คนเราไปทำตามอัธยาศัย พระเราไปทำตามอัธยาศัย ไปทำตามอารมณ์ ไปทำตามความรู้สึกไม่ได้ ต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คนที่ประมาทคือคนวิบัติ เป็นสาเหตุที่จะนำไปสู่ความวิบัติ ประมาทในการคิด ในความคิด อันนี้ไม่ดีก็ยังไปคิด ไปพูด ไปทำ ทำหลายครั้ง เพราะอันนี้เป็นสาเหตุที่ห้ามมรรคผล ห้ามนิพพาน
ทุกคนต้องทำตามนิสัยของพระพุทธเจ้า วัดเรานี้ก็ถือนิสัยของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ไม่ให้ทุกคนทำตามอัธยาศัย เช่น ไปที่ไหนไม่บอกลา อย่างนี้เขาเรียกว่าตั้งอยู่ในความประมาท อย่างวันนี้เหนื่อย ไม่ออกบิณฑบาต หรือว่ามีธุรกิจอะไรที่เป็นสาธารณประโยชน์ต่อส่วนรวมก็ไปทำ แต่อันนั้นมันไม่ใช่งานหลัก งานหลักคืองานธรรมวินัย งานพระศาสนา อย่างไม่ออกบิณฑบาตเขาเรียกว่าเป็นสาเหตุที่ตั้งอยู่ในความประมาท หลวงพ่อใหญ่ถึงบอกไว้สั่งไว้ว่า ถ้าใครไม่ออกบิณฑบาต ต้องมาขออนุญาตว่ามีความจำเป็นอะไร เพราะเหตุใด เพราะธรรมวินัยที่เราบวชมา พระพุทธเจ้าท่านสั่งให้เราบิณฑบาต ต้องเอาตามธรรมวินัย เช่น เข้าศาลาช้า ไม่กระตือรือร้นในการทำข้อวัตรปฏิบัติ เขาเรียกว่า ลักษณะของคนประมาท มันจะเป็นนิสัย เป็นคนหัวดื้อ เป็นคนว่ายากสอนยาก เราไปเอาตามคนอื่นไม่ได้ ต้องตามพระพุทธเจ้าองค์เดียว เพราะว่ามันเป็นอัธยาศัย เป็นประชาธิปไตยที่ประกอบด้วยความเห็นแก่ตัว มันไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่บัณฑิต มันเป็นคนพาล มันไม่ทำให้เกิดประโยชน์
หลวงพ่อชาถึงได้บอกว่า คนเรามันอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่เหมาะ ที่จะพัฒนาตนให้เป็นพระอริยเจ้าได้ แต่ว่ามันไม่ฉลาด มันเลยทำตามใจ ทำตามอัธยาศัย ทำตามความรู้สึก ชีวิตมันถึงล้มเหลว อยู่ในตำแหน่งดียังจะไปคอรัปชั่นอีก ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึก นี้แหละคือการคอรัปชั่น อย่าไปดูไกล เราทุกคนอย่าให้โจรอยู่ในตัวเราเลย อย่าให้เกิดคอรัปชั่นต่อพระพุทธเจ้า เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เราทุกคนต้องจัดการกับตัวเอง อย่าให้คอรัปชั่นเกิดในตัวเราเลย ในโลกนี้คนเขาด่าเราทั้งโลกก็ไม่เป็นไร อย่าให้พระพุทธเจ้าด่าเรา
เพราะพระพุทธเจ้าคือธรรมะ ไม่มีพรรคไม่มีพวก พระภิกษุว่ายากสอนยากมันเป็นคนพาล 100% มีอยู่ในศาสนาก็เป็นหัวหน้าแก๊ง ไม่มีใครกล้าแตะต้อง เพราะมีอิทธิพลในทางที่ไม่ดี พวกนี้ก็เป็นโมฆะบุรุษ มันต้องได้รับการแก้ไข เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ใหญ่ยิ่งถึงจะเกิดประโยชน์ส่วนรวม ไม่อย่างนั้นก็สมควรที่จะลาสิกขาไป ไม่สมควรที่จะมาเป็นผู้หัวดื้อ ว่ายากสอนยาก ไม่ต้องให้เขาจับมือมาท่ามกลางสงฆ์สวด สวดก็หมายถึงตักเตือนในท่ามกลางคณะสงฆ์ ทุกวันนี้พระเป็นนักเลงขนาดนี้ ใครจะกล้าไปยุ่งกับนักเลง ไม่ใช่ว่าผู้ที่มาบวชมันเป็นคนหัวดื้อ ว่ายากสอนยาก ใครจะไปยุ่ง เพราะเขาจะเอามรรคผลนิพพาน
เราก็ต้องสมาทานให้เกิดกายวิเวก ต้องเพิ่มการสมาทานไปอีก อย่างทำไมอยู่วัดทำได้ กลับไปบ้าน ทำไม่ได้ เพราะสมาทานไม่ดี บางคนไปเลิกยาเสพติดแบบนี้ก็เลิกได้ บางคนก็ไปอยู่วัดที่เขาไม่สูบหรี่ มาบวชในพรรษาก็ทำได้ แต่ว่าสึกไปแล้ว ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าความตั้งใจในการตั้งมั่น มันไม่ดี สมาทานไม่ดี ความรับผิดชอบถือว่ายังไม่ดียังต่ำ ผลงานเราก็ยังไม่ดี เรายังไม่เห็นความสำคัญในการรับผิดชอบ ทำไมเราไปไม่ได้ ก็เพราะเรายังไม่เห็นความสำคัญ เรายังประมาทอยู่ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป หรือว่าการเห็นภัยในวัฏสงสาร การเห็นภัยในกรรมในเวรที่มันจะเกิดขึ้นของเรา ยังไม่พอ ยังไม่เพียงพอ บางคน เวลาสมาทานว่าจะไม่พูดก็ไม่พูดเลย เห็นเวลาไม่สมาทานเหมือนกับคนบ้าเลยเพราะแสดงว่าขาดการสมาทาน ถ้าเรายังอยู่ในความ คนเรามันต้องเห็นความสำคัญในการสมาทานในความตั้งใจ มันจะได้เข้มขึ้น ทำไมนิสัยเก่า มันก็ไปอย่างเก่า มันไม่ได้ตั้งใจใหม่ มันไม่ได้นะ เราจะไปโทษใครโทษตัวโทษอะไรพูดว่าไม่มีบุญวาสนามันไม่ได้ ว่าเราไม่มีบารมีมันไม่ใช่ เราไม่ตั้งใจไม่สมาทาน ถ้าไม่ตั้งใจไม่สมาทานไม่มีทาง เพราะมันเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม ปัจจุบันไม่ดี อนาคตมันจะดีได้ยังไง
ทุกท่านทุกคนต้องกระชับเรื่องปัญญา พิจารณาให้แจ่มแจ้ง ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ให้ศีลสมาธิปัญญาเกิดที่กายที่ใจท่าน ในทุกหนทุกแห่ง เอากายใจที่เหลืออยู่นี้ให้มีแต่ศีลสมาธิปัญญา อย่าเอาเรื่องของบุคคลสิ่งอื่นมาใส่ใจตนเองมากไปกว่านี้เลย ชีวิตของเราจึงจะเป็นชีวิตที่ไม่สูญเปล่า สมกับได้เป็นเกิดมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อพระนิพพานอย่างแท้จริง