แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๓๑ ผู้รู้จักพอ รู้จักละ รู้จักรับผิดชอบ รู้จักเสียสละ จึงเป็น "พระที่แท้จริง"
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
อีกสองสัปดาห์ก็เตรียมตัวเข้าพรรษา กุลบุตรลูกหลานได้พากันมาเตรียมตัวบวชพระ ให้ทั้งพระเก่า พระใหม่ให้เข้าใจเรื่องความเป็นพระ ประชาชนผู้ที่อยู่บ้านทั้งพ่อทั้งเเม่ พุทธบริษัททั้งหลายทั้งในประเทศต่างประเทศให้เข้าใจความเป็นพระ เราจะได้ปฏิบัติเข้าสู่ความเป็นพระ เราจะได้รู้ว่าพระคือใคร เราจะปฏิบัติยังไง เราถึงจะเป็นพระ ส่วนใหญ่เราก็จะยังไม่เข้าใจพระที่เเท้จริง เราคิดว่าพวกที่โกนหัวห่มผ้าเหลืองมาบวช มีพระอุปัชฌาย์บวชให้จึงเป็นพระ
เบื้องต้นต้องพากันเข้าใจก่อน พระเก่าที่ทำไม่ถูกก็จะได้เปลี่ยนใหม่ มันเสียหายไป มันทำลายความมั่นคงเเห่งการเป็นมนุษย์ บางทีเราคิดไม่ถึง ปฏิปทาของเรามันทำลายความมั่นคงของการเป็นมนุษย์ มันทำให้ไม่เข้าถึงความเป็นพระ ที่กล่าวมาเมื่อวานนี้ ความเป็นพระต้องเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ถึงจะเป็นพระศาสนา อันไหนพระทำได้ อันไหนพระทำไม่ได้ อันไหนพระคิดได้ อันไหนพระพูดได้ อันนี้มันต้องเข้าสู่ไลน์ของความเป็นพระ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวตน เรื่องนี้ต้องเริ่มต้นจากความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง
สิ่งเหล่านี้มันเสียหายจากผู้นำ เสียหายจากมหาเถรสมาคม เสียหายจากเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด จนมาถึงอาวาส พาเราทำเสียหาย สิ่งที่ทำกันส่วนใหญ่ไม่ใช่พระธรรมพระวินัย มันเป็นสัญชาติญาณเเห่งสักกายทิฏฐิ ยึดมั่นในตัวในตน เช่น พระทุกวัด เป็นวัดบ้านวัดป่า วัดในอำเภอ ในจังหวัด ในกรุงเทพ มันจะมีโทรทัศน์ประจำกุฏิไม่ได้ เพราะมันผิดถ้ามีโทรทัศนมันก็ไม่ต่างอะไรจากผู้ครองเรือน มันก็อย่างเดียวกันนั้นเเหละ มันก็เปลี่ยนจากบ้าน มาอยู่ในที่เเออัดมาเป็นคอนโด โบสถ์วิหารเจดีย์ ชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัย ไม่ใช่วัดหรอก ถ้าเราไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ ไม่มีธรรมวินัย การจัดการมันก็ทำอย่างนั้น คือสิ่งที่ล้มเหลวสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพราะว่า วัฏจักรมันเสีย เหมือนหัวจักรรถไฟที่ใช้การไม่ได้
เรื่องนี้กรรมการมหาเถรสมาคมพากันคิดดีๆ เพราะว่าผู้ที่จะเป็นผู้นำ เจ้าอาวาส เจ้าคณะต่างๆ ให้พากันเเก้ไขตัวเองก่อน เราจะไปว่า พระว่ายากสอนยากไม่ได้ ต้องเข้าใจ ผู้ใหญ่ ผู้เป็นพ่อเป็นเเม่ เป็นผู้ที่สำคัญ วัดต่างๆ เจ้าอาวาสก็ไม่มีเพาเวอร์อยู่เเล้ว ถ้าไม่มีกฏเถระสมาคมออกมาเค้าทำอะไรไม่ได้ ต้องกล้าเสียสละ การปล่อยกล้าวาง กล้าตัด นโม ตัสสะ น้อมตัวเองสู่พระรัตนตรัย ตัดอันไหนไม่ดีออก ต้องกล้าตัด ศาสนามันไปไม่ได้ เพราะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง วัดในบ้านในเมืองไม่กี่ไร่ ถ้าไม่มีพระเณรมันจะอยู่ได้ยังไง มันอยู่ใด้ เพราะมันมีลมหายใจอยู่ ถ้ามันตาย มันถึงอยู่ไม่ได้ นี้เราตายเเล้วนะ เราตายจากธรรมะวินัย ตายจากศีลสมาธิปัญญา เราเอาตัวตนเป็นใหญ่ เอาสักกายทิฏฐิอย่างนี้เเหละ
ที่พูดนี้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้พูดลอยๆ ถ้าพระพุทธเจ้ามีพระชนม์อยู่ ทุกคนก็จะไม่มีโทรทัศน์มีอะไรหรอก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นสิ่งที่ต้องเเก้ไข อย่างนั้นจะส่งใครเป็นผู้นำก็เป็นไม่ได้ โครงสร้างมันไม่ดี มันไปเเก้ที่ปลายเหตุ ไม่ได้เเก้ที่ต้นเหตุ ผู้นำถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องอย่างนี้ เมื่อทางผู้ใหญ่ เอามรรคผลนิพพาน เอาความมั่นคงเเห่งชาติ เเห่งพระศาสนา เเห่งพระมหากษัตริย์ ทุกอย่างมันถึงไปด้วยดี มันไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาส่วนรวม เอาธรรมธิปไตยเป็นหลัก เราจะเอาประชาธิปไตย เอาตัวตนเป็นใหญ่นี้มันออกกฏหมายมาทำชั่วได้
เราไม่ต้องกลัวใครในโลก อันไหนไม่ดีก็จัดการไป พวกพระขับรถ ขับเรือ อย่างนี้ เข้าเเมคโครโลตัส ไปหาซื้อของ มันไม่เหมาะสม ไม่สมควรอยู่เเล้ว มันไม่ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาปมากเกิน มันต้องเข้าใจ ผู้ที่ให้ทานเค้าจะมีความสุข เค้าได้สนับสนุน จะได้มีความสุข พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านจะได้มีความสุข พระที่มุ่งมรรคผลนิพพาน เค้าจะมีความสุข ว่าผู้นำนี้ ไม่ได้มาเป็นผู้นำเพื่อมาทำธุรกิจ ในการบวช ทำธุรกิจในการทำข้าราชการ ทุกคนยินดีที่จะเสียภาษี ทุกคนมีความสุขในการยกมือไหว้ ถวายอุปถัมถ์อุปัฏฐาก
เมื่อโลกมันเป็นอย่างนี้ปกปิดไม่ได้ มันมีเเต่ข่าวทุกวัน ข่าวพระทำไม่ดี เพราะว่าสื่อต่างๆ มันรู้กันทั้งโลกเเล้วเดี๋ยวนี้ เมื่อพูดดีๆ พูดถูกต้อง เค้าก็รู้กันทั้งโลก พวกที่เลี้ยงโจรไว้ในตัวเอง มันก็อยู่ยากเหมือนกัน เพราะคนมันฉลาดขึ้น คนบ้านนอกก็ฉลาดขึ้น คนในเมืองฉลาดขึ้น เราต้องกลับมาหาสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อมให้ใจเข้ารู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน พระวัดบ้านจะได้มีงาน พระกรรมฐานก็มีงาน สติสัมปัชญญะรู้ตัวทั่วพร้อม รู้ลมเข้าชัดเจน วัดป่าจะได้สะอาดขึ้น ทำวัดสวดมนต์ ผู้ที่บวชมาวันนึงอย่างน้อยทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น นั่งสมาธิ ทำความสะอาด คงไม่ปล่อยให้สภาพความเป็นอยู่ยิ่งกว่าป่าช้าชนบท หมู่บ้านหนึ่งๆ กว่าจะตายกัน ก็ปล่อยให้รกสกปรก วัดเราถ้าอยู่ในแบบเช่นนั้น เเสดงว่า มรรคผลนิพพานมันไม่มี มันมีเเต่ทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน ไม่ได้ เสียหายเสียทรัพยากรไม่ได้ อย่างนี้
เราต้องฟัง ประชาชนเค้าก็พากันฟัง ให้พากันตื่นเถิดพระภิกษุผู้มาบวชทั้งหลาย เราต้องประชุมกัน วัดไหนก็ทำเหมือนๆ กัน สื่อสารมวลชนก็ถึงกันเร็ว อย่ามาอวดโก้ว่ามีรถ มีอะไรอำนวยความสะดวก อย่างนั้น มันไม่ใช่ เราต้องเข้าสู่ธรรมวินัย เราดูตัวอย่างเเบบอย่างของหลวงปู่มั่น เค้าปวารณาตั้งเเต่สมัยก่อน เค้าไม่เขียนลายลักษณ์อักษร กลัวพระจะเอาลายลักษณ์อักษรไปขึ้นโรงขึ้นศาล ให้ปวารณาเฉยๆ พวกพระก็ไม่เอาเงินไม่เอาตังค์ ดูตัวอย่างที่วัดหนองป่าพง หลวงปู่ชา สุภัทโท ท่านเอาตามพระพุทธเจ้า ถือวินัยเยี่ยม ถือเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย พวกข้าวของเงินทอง ที่เค้าให้มาถือเป็นของส่วนกลางของภิกษุสงฆ์ พวกพระไม่ได้คิดเรื่องค่าใช้จ่ายเลย ของเบิกจากห้องคลัง เเจกของไม่ถือพรรคถือพวก ไม่มีระบบใต้โต๊ะ อย่างนี้
คนเรามันเห็นเเก่ตัว ลูกคนรวยมาบวช เเอบบอกพ่อเเม่ให้เอาตังค์ไว้กับโยมคนนั้น เวลาอาตมาสั่งของจะบอกโยมคนนั้นนะ สิ่งที่ไม่ดีมันเกิดขึ้นมาลักษณะอย่างนี้ หรือว่าพระหลายวัด พระพุทธเจ้าบอกไม่ให้รับเงินรับตังค์ก็ยังยินดีในของดีๆ มีอยู่มีกิน ใช้โยมคนนั้นคนนี้เก็บเงินเก็บตังค์ให้ เลยเป็นพระมีเจ้าของ ไม่ได้เป็นพระธรรม เป็นพระวินัย มันก็เป๋ไป เมื่อคนนึงทำได้ คนนึงก็ทำได้ เพราะพระพวกนี้ยังเป็นผู้ที่ลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติ ทุกวัดยังมีโจรในกลุ่มพระ ทุกหน่วยงานข้าราชการมันมีโจรอยู่ทุกหนทุกเเห่ง เราต้องเข้าใจ
ทุกท่านทุกคนต้องเห็นประโยชน์ส่วนรวม บางทีเจ้าอาวาส ประธานสงฆ์เริ่มเป๋เเล้ว มีเงินเดือน พันกว่าบาท เริ่มเป๋เเล้ว หรือมีของส่วนใหญ่ เค้าก็ต้องเอามาถวายสงฆ์ สงฆ์จะไปหาที่ไหน มันก็ต้องหาเจ้าอาวาส ถ้ามันน้อมไปทางตัวเอง มันเป็นการยักยอกนะอย่างนี้นะ พระเราอย่าพากันเป็นแบบนั้น ได้ไม่คุ้มเสีย มันเสียหายมากกว่า เพราะเราต้องเข้าถึงธรรมวินัย เราไม่ใช่คนลูบคลำในศีลข้อวัตรปฏิบัติ พระถึงมีปัญหากันเยอะ พระใหญ่ๆ ตายไป มีเงินในธนาคาร หลายสิบล้าน เพราะเงินนั้น ไม่ได้เอาเป็นของสงฆ์ ยังมีคดี ที่ตายญาติพี่น้องยังจะมาเอาเงินเอารถที่อาจารย์ดังๆ กำลังตายอยู่ มีปัญหาขึ้นโรงขึ้นศาล เราก็ไม่รู้จัก กฏหมายบ้านเมือง ไปลงชื่อรถยนต์เป็นของพระ คนที่จะรับ ญาติเค้าก็มาเอารถวัดไป อย่างนี้ก็มี ให้เราเข้าใจนะ มันมีโจร ถ้าเราไม่รู้จักโจร เพราะโจรอยู่ที่เรามีความเห็นผิด เข้าใจผิด เเล้วพากันปฏิบัติผิด ทีนี้ไม่ไว้วางใจ ตัวเองก็หมดไป พระเณรก็ไม่ไว้วางใจ ประชาชนก็ไม่ไว้วางใจกับเรา อย่างนั้นมันไม่ใช่พระศาสนา อันนี้มันเป็นตัวเป็นตน มันสักกายทิฏฐิ มันไม่ได้มาตามพระพุทะเจ้า
พระพุทธเจ้าเสียสละ ไม่เอาอะไรเลย เเค่เราได้ยินชื่อพระพุทธเจ้าได้บุญได้กุศลเเล้ว เทวดาอินทร์พรหมได้ยินชื่อพระพุทธเจ้าก็ได้บุญได้กุศลเเล้ว เราพากันมาบวชมาปฏิบัติ เราต้องรู้จักพระศาสนาอย่างนี้ ถ้าใครบวชเเล้วปฏิบัติไม่ได้ ก็อย่าพากันมาบวช พวกที่ปฏิบัติไม่ได้ ก็พากันสึกเสีย เราอย่าให้โจรในตัวเองมันลอยนวล ต้องทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้ถูกต้อง เมื่อมีลมหายใจอยู่ทุกคนต้องทำได้ ปฏิบัติได้ ต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราอย่าไปคิด โอ้... เอาใหญ่เเล้ว เอาใหญ่เเล้ว พระที่เทศน์นี้ หลวงพ่อเอาใหญ่เเล้ว ทั้งที่เทศน์อยู่วัดตัวเอง ทำไมลามปามมาหาวัดอื่น เดี๋ยวนี้สื่อมันออกไปทั่วโลกเเล้ว มันไม่ได้อยู่เเค่ภายในวัดหรอก ตามันเป็นสัปปะรดไปหมด หูเป็นสัปปะรดไปหมด ประชาชนทั้งโลกจะรู้ว่า อันไหนพระ อันไหนโจร อันไหนถูกต้อง ไม่ถูกต้อง เราต้องช่วยกัน เพราะความไม่รู้พากันทำลายความมั่นคงของชาติ ของศาสนา ของพระมหากษัตริย์ถือเป็นสิ่งที่เสียหายมาหลายปีเเล้ว
เหมือนพระทางภาคเหนือรู้ว่าศาสนาเป็นสิ่งที่ประเสริฐให้เด็กอย่านมมาบวช ต้องหาข้าวเย็นให้กินจนเป็นประเพณีฉันข้าวตอนเย็นกัน พวกนี้เลยกลายเป็นเจ้าคุณ เจ้าคณะปกครอง ถึงเวลาต้องพากันเเก้นะ เพราะเราต้องเสียสละต่อพระพุทธเจ้า ต่อเเผ่นดิน ต่อพระมหากษัตริย์ ให้คณะปกครองทั้งหลายเข้มเเข็งอย่าไปใจอ่อน เพราะถ้าใจไม่เข้มเเข็ง ไม่เเข็งเเรง ไม่เสียสละ ไม่ได้ ใจมันเสียหาย ไม่ใช่ใจพระ พระคือผู้ที่เสียสละ เหมือนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้นำต้องพากันกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า กตัญญูกตเวทีต่อเเผ่นดิน เพื่อความมั่นคงของชาติ ทำไมมันไปเกี่ยวอะไรชาติ เมื่อองค์กรหลัก ไม่เอาธรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ไม่เข้มเเข็ง การโกงกินคอร์รัปชั่น มันก็มีทุกหน่วยงาน ความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มันเลยมีน้อยมาก
มันเกี่ยวข้องกันนะ วัดทุกวัดต้องเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติอย่าให้มันเป็นสถานที่ซ่องสุมส่องโจร โจรอยู่ที่เรามีความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้องปฏิบัติไม่ถูกต้อง มหาโจรอยู่ที่ใจ คนเราต้องสมาทานความดี มีโครงสร้างมีจุดยืน สร้างชาติสร้างบารมี คิดก่อนพูด คิดก่อนใช้เงิน วางเเผนเเล้วก็ปฏิบัติตามโครงสร้าง เค้าเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ต้องมีความสุข ต้องทนต่อร้อนต่อหนาวต่อสิ่งยั่วยวน มีสติ มีสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้ารู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน ฝึกสมาธิทุกวัน
อดีตได้ผ่านไป อนาคตยังมาไม่ถึง ปัจจุบันเรากำลังตั้งอยู่ เปรียบเสมือนบุคคลคนหนึ่งกำลังขับรถ จะปลอดภัยหรืออุบัติเหตุ ก็อยู่ที่บุคคลคนนั้น เขาต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท อุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะความประมาท เราก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าให้เราไม่ประมาท ที่เรามีปัญหา ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ล้วนมาจากความประมาททั้งนั้น
พระพุทธเจ้าท่านได้บัญญัติศีล บัญญัติพระวินัย เพื่อให้บุคคลที่มีอินทรีย์บารมีอ่อน ที่ยังไม่เข้าใจ ยังเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความประมาท ไม่ให้ล่วงละเมิดในสิกขาบท ตั้งแต่พระวินัยที่ละเอียด ขนาดกลาง ขนาดหนัก
พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บัญญัติศีล บัญญัติพระวินัยไว้สำหรับพระอรหันต์ ไว้สำหรับสามัญชน ความเป็นพระของเรา ความเป็นเณร ความเป็นอุบาสก อุบาสิกา หรือเป็นตำรวจ ทหาร ข้าราชการนั้น ที่จะเป็นไปเต็มรูปแบบทั้งกายทั้งใจ มันต้องเกิดจากความประพฤติ เกิดจากการปฏิบัติของเราทั้งกาย ทั้งวาจาและทางจิตใจ
เราแต่งตั้งกันได้ก็เพียงแต่งตั้งทางสมมุติ แต่ความประพฤตินั้น จะไม่มีใครแต่งตั้งเราได้ นอกจากตัวของเราเอง 'ความรับผิดชอบ' เป็นคุณสมบัติที่จะนำทางเราไปสู่ความเป็น คนดี เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร
คนเราจะมีคุณธรรมมันจะต้องเป็นคนที่รับผิดชอบ มีความรู้มีความเข้าใจนั้นยังไม่เพียงพอ มันต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าใครมีความรับผิดชอบน่ะ คนๆ นั้นก็ชื่อว่าเป็น 'คนดี' ใครไม่มีความรับผิดชอบ เค้าก็เรียกว่าคนนั้นเป็น 'คนไม่ดี' คนที่รับผิดชอบ คือบุคคลที่เอาตัวรอดในทางที่ดี
คนที่ไม่รับผิดชอบ คือคนที่เอาตัวไม่รอด แม้แต่ตัวเองก็ยังปกครองตัวเองไม่ได้ ด้วยเหตุผลนี้ ไม่ว่าเราได้รับหน้าที่อะไร เราต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ อย่างเต็มร้อย เห็นความสำคัญในสิ่งที่เราได้รับมอบหมาย เราต้องการจัดการ ต้องเคลียร์ อย่าได้ประมาท
คนเค้ามองกันว่าคนโน้นรับผิดชอบ คนนี้ไม่รับผิดชอบน่ะ... ความรับผิดชอบนี้จึงเป็นการทำประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
วัดๆ หนึ่ง.... เค้าก็ต้องมองว่ามีพระรูปไหนรับผิดชอบดี เณรรูปไหนบ้างรับผิดชอบดี ญาติโยมคนไหนบ้างรับผิดชอบดี เป็นที่ไว้วางใจของเพื่อนสหพรหมจารี
ที่บ้าน ที่ครอบครัวเค้าก็มองว่าใครบ้างที่รับผิดชอบดีน่ะ พ่อแม่ ลูกๆ หลานๆ น่ะ เค้าทำงานบริษัท หรือราชการ เค้ามองกันว่าใครบ้างรับผิดชอบ ใครบ้างไม่รับผิดชอบ
ความรับผิดชอบนี้จัดเป็นหมวดของ 'ศีล' ถ้าใครมีความรับผิดชอบน้อย ชื่อว่า 'บุคคลนั้นมีศีลน้อย' คนที่รับผิดชอบน้อย หรือไม่มีความรับผิดชอบนั้น จึงไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยที่จะเข้าถึงธรรมะ ความรับผิดชอบนั้นแหละ คืออาการของศีลด่าง ศีล ศีลขาด...
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราไปโทษคนโน้น คนนี้ เป็นสาเหตุ...
สาเหตุนั้นอยู่ที่ความประพฤติของเราเอง เราไม่มีข้อแม้อะไรทั้งสิ้น เช่น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เรามีข้อแม้ว่า เรายังไม่รวย ลูกหลานยังไม่เป็นฝาเป็นฝั่ง ขอโอกาสอย่าแก่ เจ็บ ตายเลย อย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ ทุกๆ อย่างนั้นย่อมมีเหตุมีปัจจัย...
ทำไมพระพุทธเจ้าน่ะเสด็จดับขันธปรินิพพานมาแล้วสองพันห้าร้อยกว่าปี ทำไมถึงมีญาติโยมประชาชนเคารพนับถือ มันก็ต้องมีเหตุมีปัจจัย ธรรมะที่ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
คนเรานั้นน่ะ มันไม่เห็นโทษเห็นภัยในความประมาท คิดว่าไม่เป็นไร คงไม่มีปัญหา สิ่งที่มันจะไม่มีปัญหานั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าความคิด คำพูด การกระทำ ทุกท่านทุกคนต้องรับผิดชอบในความประพฤติของตัวเอง เราจะไปบ่นให้ลูก ให้ภรรยา ว่าเค้าไม่เคารพนับถือนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม เราไม่คิดว่าตัวเองนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ภรรยา ทำให้ลูก หรือทำให้คนอื่นเค้าไม่เคารพนับถือ เพราะทุกคนนั้นยินดีที่จะเคารพนับถืออยู่แล้ว แต่ว่าตัวเราเองนั้นประพฤติตัวเองไม่เหมาะสม เพราะเราเป็นคนที่ไม่รับผิดชอบ ตั้งอยู่ในความประมาท อยากคิดอะไรก็คิด อยากพูดอะไรก็พูด อยากทำอะไรก็ทำ เหมือนกับคนไม่มีสติ
คนเราน่ะถ้ามันอยากคิด อดคิดไม่ได้ ถ้ามันอยากพูด อดพูดไม่ได้ มันอยากไป อดไปไม่ได้ อย่างนี้มันเรียกว่า ความเคยชินที่เราเป็นคนประมาท เป็นโรคประสาทโดยไม่รู้ตัว
ร่างกายของเรานี้เดินด้วยอาหาร ใจของเรานี้เดินทางด้วยธรรมะ เราจะเข้าถึงธรรมะได้ มีทางเดียว คือ 'ความรับผิดชอบ'
พระอาทิตย์นั้น เขาเดินทางสม่ำเสมอ นาฬิกาที่ดีๆ ราคาแพงๆ นั้นเขาก็เดินสม่ำเสมอ ชีวิตของเราต้องมีปฏิปทาที่ดีๆ ที่มันเกิดจากความรับผิดชอบ
การงานที่เราปฏิบัติอยู่น่ะ พระพุทธเจ้าให้เราปรับใจ ปรับวาจา ปรับการกระทำของเราเข้าหาเวลา เพราะเราจะได้ฝึกจิตใจของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่มีการฝึก การปฏิบัติ เพราะใจของคนเรานั้นมันไม่มีตัว ไม่มีตน ต้องอาศัยกาย อาศัยวาจา อาศัยการกระทำเป็นเครื่องฝึก
ถ้าเรารักความสุข เกลียดความทุกข์นั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะความสุขนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราดีใจ ชอบใจ เพราะความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความทุกข์ ความไม่พอใจ ความขัดเคือง
ส่วนใหญ่ความสุขนั้นเราจะไม่ได้พิจารณาเลย เวลาความทุกข์เกิดขึ้นเราถึงรับเอาไปเต็มที่ เพราะสองอย่างนั้นเปรียบเสมือนลมหายใจ หายใจเข้า หายใจออก ถ้าจะให้เข้าไม่ออกมันก็ต้องตาย เมื่อมันมีชอบใจแล้วมันก็ต้องมีไม่ชอบใจ อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทุกคนได้สร้างบารมี
สิ่งสองสิ่งนี้น่ะ ที่เราจะมีความสุข...ความทุกข์ได้ ก็เป็นเพราะเราไปยึดไปถือ เป็นเพราะเราไปปฏิเสธ พระพุทธเจ้าให้เราทำใจให้สงบ ให้ทำใจให้เกิดปัญญา ว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีอะไรจะจีรังยั่งยืน
อย่างเรานั่งสมาธิอย่างนี้เป็นต้น... มันปวดขา เราไม่ขยับ เราไม่สนใจ นานๆ ไปมันก็หายปวด หายปวดแล้ว นานๆ ไปมันก็ปวด มันสลับกันอย่างนี้แหละ ถ้าเรามัวไปเอาความสุขในการหลับนอน ในการกิน การเล่น การเที่ยว มันก็ทำให้เราเสียเวลา เราไม่ได้ปฏิบัติธรรม ไม่ได้ทำใจให้สงบ ไม่ได้ทำใจให้เกิดปัญญา
"ความไม่รับผิดชอบ ถึงเป็นเหตุแห่งความเสื่อม ตกต่ำ"
ถ้าเราอยู่ในครอบครัวก็ทำให้ครอบครัวเรามีความทุกข์ ถ้าเราอยู่ทำงานในบริษัทก็จะทำให้บริษัทนั้นเจ๊ง ถ้าเป็นข้าราชการก็ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ไม่เจริญ ถ้าเราบวชเป็นพระก็ทำให้วัดนั้นเสื่อม
ถ้าเราอยู่ไปหลายปีก็จะทำให้วัดนั้นเสียหายมาก เพราะไม่ได้เป็นแบบ เป็นพิมพ์ เป็นตัวอย่างของลูกของหลาน ของผู้ที่เกิดมาภายหลัง คนที่กราบที่ไหว้นั้นก็ทำใจยาก เพราะเราเป็นพระที่ไม่รับผิดชอบ
ความรับผิดชอบนี้ พระพุทธเจ้าถือว่าเรื่องหยาบๆ เป็นเรื่องทางกายที่เรามองเห็นกันด้วยตาเปล่า ด้วยได้ยินเสียง ได้สัมผัส คนที่ไม่รับผิดชอบนั้น คือคนไม่มีสมาธิ ไม่มีความตั้งมั่นในความดี ในความถูกต้อง
คนไม่มีสมาธินั้น ปัญญาในภาคปฏิบัติมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร..? เราดูคนเก่งคนฉลาดที่เรียนมีมาก มีใบประกาศเป็นดอกเตอร์ บางคนตั้งหลายใบ แต่ความรับผิดชอบนั้นก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่เค้ากว่าจะเป็นดอกเตอร์ได้ เค้าก็ต้องรับผิดชอบพอสมควร ก็ถือว่าดี แต่จะให้ดียิ่ง ต้องรับผิดชอบให้เต็มที่ เพื่อจะได้เข้าถึงความประเสริฐ ที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเพื่อเสียสละ เกิดมาเพื่อรับผิดชอบ เกิดมาเพื่อตั้งมั่นในศีล ในธรรม ในคุณธรรมที่ดีๆ ที่ไม่เป็นบาป
พระพุทธเจ้าให้เราทิ้งอดีตไป ทุกคนให้เราทิ้งอดีตไป แล้วมาตั้งใจใหม่ คนที่เป็นหนี้ ก็จะได้ใช้หนี้ คนที่ยังไม่รวย ก็จะได้พัฒนาตัวเองให้รวยด้วยการเป็นคนที่เสียสละ รับผิดชอบ จิตใจตั้งมั่นในความดี
เรามอง ดู... ถ้าจะเอาคนส่วนใหญ่ที่เค้าไม่รับผิดชอบเป็นประมาณ นั้นไม่ได้ ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เราอย่าไปคิดว่า สมัยโน้นกับสมัยนี้มันไม่เหมือนกัน สมัยไหน...คนก็ย่อมมีความทุกข์ ย่อมมีความไม่สงบเหมือนกัน ไฟมันก็ยังร้อนอย่างเก่า พริกมันก็ยังเผ็ดอย่างเก่า น้ำตาลมันก็หวานอย่างเก่า
พระพุทธเจ้าให้ทุกท่านทุกคนน่ะ ตั้งมั่นใน 'พระรัตนตรัย' คือพระพุทธเจ้า คือพระธรรม คือพระอริยสงฆ์ 'พระอริยสงฆ์' ก็คือตัวเรานี้แหละ...ที่จะประพฤติปฏิบัติ เป็นพระอริยสงฆ์
ใจของคนนั้นมันไม่มีคนเฒ่าคนแก่ ไม่มีคนหนุ่มสาว ไม่มีผู้หญิง ผู้ชาย คือ ใจที่บริสุทธิ์ เป็นผู้หญิง...เป็นผู้ชาย ก็แตกต่างกันที่ไว้ผม มีเครื่องประดับ รักษาผิว เป็นพระ..เป็นโยม ก็แตกต่างกันที่เครื่องนุ่งห่ม กับปลงผม แต่ร่างกาย ก็คือ "ความแก่ ความเจ็บ ความตาย" นั้นเหมือนกัน
ถ้าเราปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร เป็นผู้ที่รับผิดชอบ เป็นผู้ที่เสียสละ หัวใจของเราก็เป็น 'พระอริยเจ้า' ได้ เหมือนกันทุกคน ไม่มีอะไรที่จะมากีดขวาง ขอให้เราตั้งมั่นในพระรัตนตรัย รับผิดชอบให้มันมากขึ้น ทุกอย่างให้มันละเอียดขึ้น เห็นคุณค่าในการเสียสละ เห็นคุณค่าในการที่เราจะต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบ
เราจะเอาแต่ตัวแต่ตน นี้เรา... นี้พ่อแม่เรา... นี้ญาติพี่น้องเรา อะไรก็เราๆ อย่างนี้เค้าเรียกว่า คนไม่รับผิดชอบ เพราะถ้าความคิดอย่างนี้มันต้องเอาความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เราจะรักษาศีล ๕ ได้อย่างไร ศีลข้อเดียวก็อาจจะรักษาไม่ได้ อย่างไหว้พระทุกวันนี้ ถึงจะเหนื่อยเท่าไหร่ก็ต้องไหว้ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธินี้ถือว่าเหนื่อยไม่ได้ ถือว่ายุ่งยากไม่ได้ อันนี้เป็นความรับผิดชอบของเรา
'คำพูด' ของเราก็เหมือนกัน เวลาที่เรายังไม่พูดนี้ เรายังเป็นนายคำพูด เมื่อพูด 'คำพูด' ออกไปแล้ว คำพูดย่อมเป็นนายเรา เราต้องรับผิดชอบ การกระทำทุกอย่าง เราต้องรับผิดชอบหมด
ถ้าเราไม่รับผิดชอบน่ะห้องนอนเราก็ต้องสกปรก ห้องน้ำ ห้องสุขาเราก็ต้องสกปรก ที่ทำงานเราก็ต้องสกปรก รถเราขับไปทุกวัน มันก็ต้องสกปรก รถยนต์ที่เราใช้ทุกวันที่เราขับไปทำงานมันก็ต้องสกปรก
เบื้องต้นของชีวิต ก็คือความรับผิดชอบ ได้แก่ 'ศีล' ภาคประพฤติ ปฏิบัติของเราถึงจะเข้าถึงสมาธิ เข้าหาปัญญาได้ นี้ความรับผิดชอบก็ไม่มี แต่จะพากันไปพระนิพพาน มันจะไปได้อย่างไร ท่านว่า "ไม่มีเหตุไม่มีผลที่จะต้องได้ไปน่ะ"
อย่างเรามีเงินเดือนอย่างนี้ เราก็ต้องรับผิดชอบในการใช้จ่าย พระพุทธเจ้าสอนให้เรารับผิดชอบ เก็บไว้ส่วนหนึ่ง ใช้จ่ายส่วนหนึ่ง ให้พ่อ ให้แม่ ทำบุญส่วนหนึ่ง เอาทำทุนส่วนหนึ่ง ท่านให้เราประพฤติปฏิบัติตามกฎอย่างนี้ นี้เราใช้เงินกันอย่างไม่รับผิดชอบ ไม่รู้ซื้ออะไร..ต่ออะไร... อย่างนี้มันก็ย่อมเป็นหนี้เป็นสินโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ เป็นหนี้เป็นสินโดยไม่รู้ตัว การที่เป็นหนี้เป็นสินนี้ มันมีความทุกข์ที่สุดในโลก...
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราไม่ให้เป็นคนขี้ตระหนี่ แต่ท่านสอนเราให้เราเป็นผู้ที่วางแผนในการเก็บเงิน เพราะเมื่อแก่มาเราก็ย่อมเกษียณอายุ ทำงานไม่ได้ เมื่อเราทำอย่างนี้ ประพฤติอย่างนี้แหละ ลูกเรามันก็ดูเรา เค้าก็เก็บเอาสิ่งที่ดีๆ ที่คุณพ่อคุณแม่พาเรากระทำ พาประพฤติปฏิบัติ เราก็จะได้เป็นคุณพ่อคุณแม่ทั้งทางกาย ทางใจ เป็นแบบเป็นพิมพ์อย่างสมบูรณ์ เราจะเอาแต่บ่นแต่ว่าอะไรให้ลูก แต่ความประพฤติของเราที่ผ่านมานั้นถือว่าไม่เป็นที่เคารพสักการะ ไม่น่านับถือ
"เรื่องศีล เรื่องความรับผิดชอบนี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ... " ดูตัวอย่าง... อย่างหลวงปู่มั่น อาจารย์ชา หลวงตามหาบัวอย่างนี้ เป็นต้น ท่านถือศีล ถือพระวินัยอย่างเคร่งครัด ทั้งข้อเล็ก ข้อใหญ่ เหมือนกับผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นมาก เพราะท่านเป็นคนที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ท่านได้รับ ท่านจึงมีความรับผิดชอบ มีความประพฤติ ชื่อสัตย์ ชื่อตรงไม่มีคด ไม่มีงอ ไม่เป็นกาฝาก เป็นแต่ผู้ให้ ผู้เสียสละ ผู้รับผิดชอบผู้ที่ตั้งมั่น
เราคิดไปเรื่อย มันเป็นความคิดเฉยๆ เราต้องรู้จักความคิด รู้จักอารมณ์ คนเราไปคิดยังไงก็ทำตามมันไม่ได้หรอก เพราะว่าเราจะหยุดวัฏฏะสงสาร เราก็ฉลาดขึ้น ผู้หญิงจะสวยหรือไม่สวย ถ้าเราไม่ปรุงแต่ง เราก็ไม่มีปัญหาอะไร มันอยู่ที่เราไปปรุงแต่ง เลยมีปัญหา รูปมันก็คือรูป เวทนาก็คือเวทนา มันก็ไม่มีปัญหาอะไร ใจก็คือใจ ไม่มีปัญหา เพราะมันรู้จัก รู้จักแล้วก็อย่าไปวุ่นวาย เพราะเราบริโภคกามคุณ มาหลายภพหลายชาติมันก็ยินดี มันเล่นงานเรายิ่งกว่ายาม้า ยาอี ยาไอซ์อีก เราต้องมารู้จักวัฏฏสงสาร พระพุทธเจ้าท่านบอกท่านสอน เราไม่ต้องไปเชื่อใคร เราเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก พระที่แท้จริงจะได้เกิดในตัวเรา เราต้องกตัญญูกตเวที เพราะข้าวทุกเม็ดเป็นของพระพุทธเจ้า น้ำทุกหยดมันเป็นของพระพุทธเจ้า ที่อยู่ที่อาศัยก็เป็นของพระพุทธเจ้า เราต้องกตัญญูกตเวทีในบารมีของพระพุทธเจ้า เรามาทำภพชาติให้มันสิ้นซาก เราจะได้เป็นคนกตัญญูกตเวที ต่อยอดให้ลูกให้หลานให้ถูกต้อง เราไม่ต้องไปสนใจ ตำแหน่งที่แต่งตั้งมันไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เราต้องปฏิบัติเอง ทุกคนต้องปฏิบัติเอง ต้องได้มรรคได้ผลเอง ไม่มีใครแต่งตั้ง พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีตั้ง 20 อสงไขย แสนมหากัปป์ ไม่มีใครแต่งตั้งให้ท่านได้ เราอย่าไปเมาหมัด โลกธรรมมันต่อยเราจนเมาหมัด ให้รู้จัก ให้ทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้