แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๒๘ กลับมาแก้ไขตนเอง กลับมาหาความสงบที่ใจ จะได้ไม่เป็นคนพเนจร
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็ชัดเจน หายใจออกชัดเจน หายใจเข้าก็มีความสุข หายใจออกมีความสุข ความสุขความดับทุกข์ของมนุษย์ อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องและก็ปฏิบัติถูกต้อง เราจะตามอารมณื ตามความคิด ตามสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไปนั้นไม่ได้ เราต้องกลับมาหาสติสัมปชัญญะ มารู้ตัวทั่วพร้อมให้รู้ตัวเองชัดเจน ด้วยการหายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน รู้อันไหนผิด อันถูก อันไหนดี อันไหนชั่ว ให้อยู่กับตัวเอง จะไม่ได้เป็นคนพเนจร จะได้ไม่เป็นคนไม่มีบ้าน เราทุกคนสามารถเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ได้เหมือนกันทุกๆ คน ไม่ว่าคนจน คนรวย เราดูตัวอย่าง อย่างพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรเลย ปล่อยวางหมดทุกอย่าง แต่พระพุทธเจ้าก็มีความสุขกว่าทุกคน เพราะชีวิตอยู่ด้วยการเสียสละ สติสัมปชัญญะของเราถึงจะสมบูรณ์
ทุกคนต้องสร้างพระให้กับตัวเอง แต่ก่อนเราทุกคนไม่ได้คิดอย่างนี้ตามอารมณ์ ตามความคิด ตามความรู้สึก ตามสิ่งแวดล้อมไป เราก็เลยไปเน้นตั้งแต่ทางภายนอก ไม่ไปปฏิบัติทางสายกลาง พัฒนาทั้งใจ พัฒนาทั้งการอยู่ การกิน การนอน การพักผ่อน ปฏิบัติสองอย่างไปพร้อมๆ กัน ถ้าเราทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ ทุกคนก็จะเป็นพระได้ ทั้งประชาชน ทั้งผู้ที่มาบวช
ผู้ที่มาบวชนั้นดีกว่าเพราะว่า ปล่อยวางทุกอย่างหมด ไม่มีปลิโพธกังวล มีแต่อยู่กับสติ อยู่กับสัมปชัญญะ รู้ตัวเองก็ได้ชัดเจน เรารู้ลมออก ลมเข้าก็ได้ชัดเจน ได้มีการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ไม่เหมือนประชาชนผู้ที่ยังอยู่บ้านครองเรือน ต้องไปมีความสุขกับการทำงาน มีความสุขในการขยันรับผิดชอบ อดทน เพราะร่างกายของเราน่ะ มันต้องดูแลรักษา เพื่อให้อาหารกาย แล้วยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาให้ผู้ที่เป็นนักบวชอีก พระเรานี้ผู้ที่มาบวช เอามรรคผลพระนิพพาน ประเทศไทยจะมีพระบวชทุกๆวัดทั้งในพรรษา นอกพรรษา เพราะว่าถือโอกาส ถือเวลา พากันมาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อติดต่อต่อเนื่องกัน ทางส่วนราชการก็ให้เวลา 4 เดือน 120 วัน บวชก่อนพรรษาก็สึกหลังออกพรรษา
แต่อันนี้แหละ ถ้าผู้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในวัด ไม่ได้พากันมุ่งมรรคผลนิพพาน ผู้ที่มาบวชก็ไม่มีความเชื่อมั่น ไม่ไว้วางใจในพระที่พากันบวชอยู่วัด จึงไม่ค่อยจะมีใครมาบวช วัดหนึ่งในพรรษาแทบจะไม่มีพระรับกฐิน พระเก่าถึงเป็นสิ่งที่สำคัญนะ ผู้ที่บวชมาใหม่ ใหม่ๆ ก็ยังละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เมื่อมาอยู่กับพระเก่า และก็มาเอาตัวอย่างแบบอย่างพระเก่า พระเก่าเลยเสียคนกันหมด พาผิดธรรมผิดพระวินัย และก็บอกว่าไม่เป็นไร
ทุกๆ คนน่ะ อยากจะมีพระในดวงใจ คือพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระธรรมพระวินัย ทุกๆ วัด เพื่อให้ธรรมชาติมันสมดุลกัน สังคมมันสมดุลกัน การเทศน์การสอนอันนี้ก็ถ้าคนลูกมีพ่อแม่ที่ดี พ่อแม่ได้มาตรฐานจบปริญญาตรีขึ้นไป อย่างนี้ก็บอกง่ายสอนง่าย ถ้ามีตัวอย่างแบบอย่างที่ดีก็ไปได้เลย เมื่อหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม ที่จะไปอยู่สวนโมกข์ใหม่ๆ ท่านก็อยากให้คนที่ไปอยู่ ต้องจบปริญญาตรี อย่างน้อยต้องจบนักธรรมเอก เพราะว่าบุคคลเหล่านี้ย่อมมีความรับผิดชอบสูง ก็ไปทำอยู่ระยะหนึ่ง แต่มันก็ยาก ก็เลยปล่อยเป็นธรรมชาติ ใครจะจบอะไรหรือไม่จบอะไรก็ไม่สำคัญหรอก สำคัญเอาพระนิพพานเป็นหลัก พระนิพพานก็คือพระธรรมพระวินัยอย่างนี้ ไม่ทำตามอัธยาศัย ที่ทะเลาะวิวาทกัน ก็พระพวกนี้แหละ พวกที่ไม่ได้มาตรฐานนี้แหละ แล้วก็ไปก๋าไปกร่างเหมือนที่กล่าวมาเมื่อวานก่อน แล้วก็พวกนี้อยากคุมอำนาจ คุมหมู่เพื่อน เพราะเราดูโครงสร้างแล้ว ถ้าใครเก่งกว่าฉลาดกว่า ต้องหาวิธีสะกัดดาวรุ่งไว้ ถ้าอย่างนั้นนะตัวเองก็จะอยู่ลำบาก เพราะลักษณะอย่างนี้เป็นการควบคุมฝูงชน เพราะว่าพระที่มันมีปัญหา พระอะไรพวกนี้ แล้วพวกนี้ก็จะแย่งกันคุมพระใหม่ ที่วัดใหญ่บางวัด ที่วัดต่างๆ ที่มันเป็นโจรเป็นแก็งค์ก็เพราะมาจากพระเก่าที่ไม่ได้มาตรฐาน ถ้าใครเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลักก็ไม่มีปัญหาหรอก
เราทุกคนผู้ที่มาบวช คือผู้ที่โชคดี เราได้ปฏิบัติ ให้ทุกคนมีความสุขให้ทุกคนตั้งใจ เพราะเวลาที่เป็นปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทั้งพระเก่าพระใหม่ ทุกท่านทุกคนต้องตั้งใจเข้าถึงมาตรฐานของพระพุทธเจ้า มาตรฐานของธรรมวินัย ปรับกายปรับวาจาปรับใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ก็ความรู้ความเข้าใจทั้งหมด เราเอามาใช้เอามาปฏิบัติ ให้มีความสุข ด้วยกันทุกท่านทุกคน
เราต้องตั้งมั่นในข้อวัตรปฏิบัติ อย่าไปส่งใจออกข้างนอกเยอะ ต้องกับมาหาตัวเอง กลับมาหาปฏิปทาที่มันสม่ำเสมอ ปฏิบัติดีๆ ตลอดกาลนะ อย่าเป็นคนปฏิบัติตามอารมณ์ ปฏิบัติได้สักพักก็เบื่อ เบื่อก็หยุด...ไม่ได้! สมาธิมันต้องอยู่เหนือความเบื่อ มันต้องข้ามความเบื่อ คนเราทำอะไรกำลังจะได้ดีมันชอบเบื่อ
เราจะเป็นพระพเนจร เป็นพระที่ไปตามอารมณ์ "ไม่ได้!" เป็นเณรพเนจร เป็นแม่ชีพเนจร "ไม่ได้!" จิตใจมันส่งออกไปข้างนอก มันไม่มีนิสัยของพระพุทธเจ้า ไม่มีนิสัยของพระอรหันต์ เอาแต่เที่ยวไปโน่นไปนี่ จิตใจ มันไม่หนัก จิตใจมันไม่แน่น
"คนเรานี่มันไม่ค่อยรู้ตัวนะ ใช่ไหม?" "ไม่รู้ว่าตัวเองมันเน่ามันเหม็นอยู่ข้างใน มันถึงระเบิดออกมาข้างนอก"
ที่มันไม่อยู่เย็นเป็นสุข ที่มันเที่ยวแต่ข้างนอก เที่ยวต่างประเทศ เราอย่าไปคิดว่าเราเป็นพระเรทติ้งสูง เป็นพระอินเตอร์นะ ที่แท้แล้ว...เรากำลังเน่านะ! เราอย่าไปคิดว่าเราเป็น 'นักเผยนักแผ่' เรานี่จะเป็น 'นักนอนแผ่' ทิ้งนิสัยของพระพุทธเจ้า ทิ้งนิสัยของพระอรหันต์ เป็นบุคคลที่ส่งใจไปภายนอก หลงโลก หลงอารมณ์
ที่มันออกไปข้างนอกเยอะๆ น่ะ มันทำให้เราผิดศีลผิดธรรม ทำให้ทำร้ายคนอื่น ทำให้เราเป็นคนไม่มีศีล ไม่มีธรรมน่ะ ตั้งแต่นี้ต่อไปน่ะเราจะเอาพระพุทธเจ้า เอาพระธรรม เอาพระอริยสงฆ์เป็นที่ตั้ง จะไม่เอากิเลส เอาความอยากความต้องการเป็นที่ตั้งแล้ว อดเอาทนเอาเพราะสร้างความดีสร้างบารมี
ญาติโยม... พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า... เราพากันมาอยู่วัดมาอบรมบ่มอินทรีย์ เจริญสติสัมปชัญญะ พยายามอยู่กับเนื้อกับตัว อย่าพากันไปพูดกันมาก อย่าพากันคลุกคลีนะ เรื่องพูดเรื่องคุยน่ะมันไม่จบ เรื่องลูกเรื่องหลาน เรื่องอะไรต่างๆ นั้นมันไม่จบน่ะ ต้องกลับมาทบทวนตัวเอง ว่าตัวเองมันบกพร่องตรงไหน ต้องสมาทานแล้วจะได้ปรับปรุง เราจะได้เป็นแบบเป็นพิมพ์ให้ลูกให้หลาน ลูกหลานเค้าจะได้มีความสุข...ว่าพ่อแม่เค้ามีศีลมีธรรม...สงบเย็น พ่อแม่เค้าเดี๋ยวนี้ใจดีมาก ใจเย็นมาก มีหัวใจติดแอร์คอนดิชั่นแล้ว ไม่หลงเรื่องร่ำเรื่องรวย เรื่องไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี้แล้ว
เพราะคนเราถ้าใจมันสงบ มันก็ไม่สนใจอย่างอื่นหรอก... เพราะความสุขความดับทุกข์มันอยู่ที่ 'ใจสงบ' บางทีคนเรามันคิดนะ เดี๋ยวมันแก่เกินมันจะไปเที่ยวเมืองนอกไม่ได้ อันนี้แสดงว่า เราไม่รู้จักเรื่องพระนิพพาน เรารู้จักแต่ความสุขทางภายนอก ถือว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่ เป็นคนมืดอยู่ เป็นคนไม่สว่างไสวอยู่นะ
เราอย่าไปหาสวรรค์ไกล...นิพพานไกล... บางทีก็ไปแสวงหาบุญโน้น ประเทศอินเดียโน้น สวรรค์นิพพานมันอยู่กับเราชีวิตปัจจุบันน่ะ ถ้าใจของเรามันมีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์นะ
เราเป็นพระนี่นะ ถึงเราจะเทศน์ไม่เก่ง สอนไม่เก่ง "ไม่สำคัญ ไม่มีปัญหา" เราช่วยพระศาสนาได้ด้วยการเป็นพระที่ดี เป็นพระที่เดินตามรอยพระพุทธเจ้า การพูด การเทศน์ การสอนเป็นร้อยครั้ง ก็สู้เป็นตัวอย่างที่ดีให้หมู่คณะ ให้ญาติโยมดู...ไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านให้เราพัฒนาตัวเอง พัฒนาทางจิตใจ ที่มันเป็นพระพเนจรไม่เดินตามรอยพระพุทธเจ้า มันถึงทำให้เรามีปัญหา
เรามันชอบพเนจรไปใน 'ทิศ' ทั้งสี่ สุดท้ายก็ได้เป็น 'ทิด' กันเป็นแถวๆ ตามบาปตามกรรมที่ตัวเองทำไว้
เพราะว่าความเผอเรอ ความประมาทในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อนุโลมตามญาติตามโยมที่มีเจตนาดี มีความมุ่งหวังดี แต่ตั้งอยู่ในความประมาทมากเกินไป
พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาต่อเราทุกคน ก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ท่านก็ตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า "สังขารทั้งหลายทั้งปวงมันไม่เที่ยง ท่านจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" นี้เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้ายของพระตถาคตเจ้า
พระเรานี้ก็แปลกนะ! ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบพอสมควร ญาติโยมเขานิมนต์ไปที่โน่นที่นี่ ไปเมืองนอกเมืองนา ก็พากันดีใจพอใจ ยิ้มๆ กันนะ...พระพุทธเจ้าท่านให้เราระวังตัวดีๆ เดี๋ยวจะเป็น 'พระสัญจร' เดี๋ยวจะเป็น 'พระพเนจร' ลืมเนื้อลืมตัว ลืมการประพฤติปฏิบัติของตัวเอง ไม่ได้เอาพระธรรมพระวินัยเป็นที่ตั้ง เอาญาติเอาโยมเป็นที่ตั้ง "โยมเขาว่าอย่างไรก็เอาอย่างนั้น...ใช่ไหม?"
ที่โยมเขามาหาพระ มาที่วัดของเราน่ะ เขาไม่ได้มาดูวัดใหญ่ๆ มาดูกุฏิศาลาสวยๆ นะ เขาพากันมาดูข้อวัตรปฏิบัติ
กุฏิใหญ่ๆ ศาลาใหญ่ๆ มันสู้ญาติโยมเขาไม่ได้อยู่แล้ว ที่ญาติโยมเขาทำกันในเมือง มันใหญ่อยู่แล้ว สูงตั้งหลายสิบชั้น
เขามาดูข้อวัตรปฏิบัติ มาดูการกระทำการปฏิบัติสิ่งที่ประเสริฐ ว่าพระว่าอาจารย์วัดนี้เขาปฏิบัติกัน น่าเคารพน่ากราบไหว้เพียงใด สมกับเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า สมกับเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์หรือไม่?
เรามีเจตนาดี เราตั้งใจบวชไม่สึก พระพุทธเจ้าท่านให้เราสร้างเหตุ สร้างปัจจัย ไม่ให้ย่อหย่อนอ่อนแอ ติดสุขติดสบาย ติดฟรีสไตล์
พระของเราถ้าไม่ปฏิบัติตามพระวินัย เขาเรียกว่าเป็น 'พระบาป'เมื่อมันบาบใจมันก็ป่วย ใจมันป่วยใจมันก็ผอมโซ ใจมันไม่มีกำลังไม่มีพลังใจ มีโรคมีภัยเยอะ เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ ตัวเองมันรู้ตัวเองว่า มันกราบตัวเองไม่ได้ มันไหว้ตัวเองไม่ได้ มันกำลังเน่ามาจากข้างในใจนั่นแหละ
การที่จะรักษาตัวเองให้หายป่วย ให้หายเจ็บทางใจ รักษาความเน่าความเหม็นในใจ พระพุทธเจ้าท่านให้เราพากันเดินตามทางสายกลาง คือ ตั้งใจใหม่ ให้เอา 'พระวินัย' เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งใจใหม่เหมือนกับพระบวชใหม่นี่แหละ เราจะบวชนานก็จริง แต่ใจของเรามันก็ยังเป็นโยมเป็นฆราวาสอยู่ ใจของเรามันยังไม่ได้เป็นพระเลย
พระพุทธเจ้าท่านให้เราเมตตาตัวเอง สงสารตัวเอง อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการผิดศีล ผิดวินัย ผิดข้อวัตรปฏิบัติ เมื่อท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เดินตามทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน สถานการณ์ในใจของเรามันก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มีพลังจิตพลังใจดุจดังพญาช้างสารที่มันแข็งแรง ที่เรามาเป็นโรคทางจิตทางใจมันก็หายไปหมดตามปฏิปทา ตามเหตุ ตามปัจจัยที่เราปฏิบัติ
ความสุขความสบายมันเป็นสิ่งเสพติด ถ้าเราไม่รู้จักเขา ก็จะทำให้การประพฤติปฏิบัติของเราเป๋เหมือนกัน ทำให้เป๋เอียงไปเอียงมา
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราตั้งอยู่ในความไม่ประมาทนะ สร้างความดีสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
ปฏิปทาความดีของเราต้องต่อเนื่องตลอดกาล...ไม่ให้ขาดสาย การสืบทอดต่อยอดพระศาสนาเป็นการส่งต่อกันไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีรูปแบบ ไม่มีตัวอย่าง สิ่งที่ดีๆ ก็หมดไป
เรามาบวชมาปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านให้เราสร้างประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม และก็สร้างประโยชน์ผู้อื่นด้วยการเป็นตัวอย่าง
การสร้างบารมี การทำความดีทุกคนต้องอดทนต้องขยัน ต้องบำเพ็ญ ต้องสร้างเอง เดี๋ยวนี้เราอาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า เราอาศัยบารมีพ่อแม่ครูอาจารย์ ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สำหรับบารมีตัวเราเองมันยังน้อยอยู่ มันยังไม่พอ
เราสังเกตดูครูบาอาจารย์ที่ดังๆ ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่ท่านลาละสังขารไปแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะมีลูกศิษย์ลูกหาปฏิบัติดีๆ มีความเก่งมีความสามารถเหมือนกับครูบาอาจารย์
ตามเป็นจริงแล้วมันเลียนแบบกันได้ มันถอดแบบกันได้ เพราะว่ามีตัวอย่างให้ดู ให้เห็น ให้ได้ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัส เราก็จับเอาแต่สิ่งที่ดีๆ เพื่อต่อยอดสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกๆ คนกลับมาดูความบกพร่องของตัวเอง เมื่อมันเห็นความบกพร่องของตัวเองก็ให้เราแก้ไข... พากันเดินตามทางสายกลาง
เราอย่าไปโทษญาติโยมเขา ว่าโยมไม่ดีอย่างโน้น ไม่ดีอย่างนี้ โยมสมัยนี้ติดเหล้างอมแงม สำส่อนเจ้าชู้ ไม่สนใจเข้าวัด ไม่สนใจพระพุทธศาสนา สาเหตุที่ญาติโยมเขาเป็นอย่างนั้น ก็เพราะพระเรายังเป็นตัวอย่างได้ไม่ดี
ที่เขาไม่เข้าวัด ก็เพราะเขาไม่เลื่อมใสในตัวเรา ถ้าเขามีศรัทธาเลื่อมใส เขาก็จะพากันมาทั้งวันเลย จนพระไม่มีเวลาพักผ่อน เขามาเพื่อจะมากราบมาไหว้ อยู่ตั้งไกลเขาก็ยังพากันมา เพราะ 'ความดี' เป็นสิ่งที่หอมไกล เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ
เห็นไหม ...ตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นมาในโลก ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ยินว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้ว ก็ดีใจ เกิดปีติจนสลบไป และได้ไปกราบพระพุทธเจ้า ฟังธรรม ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นมหาอุบาสก ได้สร้างวัดถวายพระพุทธเจ้ามีนามว่า 'เชตวัน'
เราจะไปโทษคนอื่น...ว่าคนอื่น เราว่าคนอื่น เป็นความไม่ยุติธรรมเลย ไม่ถูกต้อง เราต้องหันกลับมาหาตัวเอง ถึงแม้มันจะยากลำบาก พระพุทธเจ้าท่านก็ให้พวกเราพากันทำ
ชีวิตนี้มันประเสริฐ อยู่ที่เราได้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ได้เดินตามทางสายกลางของพระพุทธเจ้า ความประเสริฐความเป็นสิริมหามงคลก็จะเกิดแก่เรา 'สุดโต' มีความเป็นอยู่ด้วยความผาสุก มีพระนิพพานเป็นบ้านที่อยู่อาศัยด้วยกันทุกท่านทุกคน
ทุกๆ วันนี้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านมองเห็นพระหลายๆ รูป แม่ชีหลายๆ คน ปฏิปทามันยังไม่ดี มันยังไม่ได้มาตรฐาน ท่านเป็นห่วงอนาคตว่า เขาแก่ไปมากกว่านี้ ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร เพราะปฏิปทาเขาไม่ดีไม่ได้มาตรฐาน ใครเขาจะมาเคารพ ใครจะมานับถือ ใครจะมาอุปัฏฐากอุปถัมภ์ เวลาไม่มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ให้พึ่งบารมี พึ่งใบบุญ ชีวิตของเขาต้องลำบากแน่!
ให้ทุกคนกลับมาพิจารณาว่า ตัวเองนั้นปฏิบัติตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง?
ท่านอย่าไปคิดว่า วัดในประเทศไทยมันมีเยอะ ไม่อยู่วัดนี้ ก็ไปอยู่วัดนั้น วัดนั้นวัดนี้ ยิ่งแก่ยิ่งเฒ่า ก็ยิ่งลำบาก เพราะสาเหตุเราเป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ติดสุขติดสบายนี่แหละ กรรมมันถึงได้ตามสนอง เพราะบาปมันมีจริง นรกมันมีจริง
เราจะไปโทษคนโน้นคนนี้ ว่าเขาไม่เคารพเลื่อมใสไม่ได้! เพราะตัวเราเอง ทำตัวไม่น่าเคารพเลื่อมใส ผู้ที่เขามีสติปัญญาจะเคารพนับถือใคร เขาย่อมดูให้ดี เราจะปฏิบัติแบบปากกัดตีนถีบเอาตัวรอดไปวันๆ ไม่ได้! พูดประจบคนโน้น พูดประจบคนนี้ ความดีไม่มีก็สรรหาเรื่องราวต่างๆ มาอวด มาคุย เพราะเราไม่มีความจริง
ท่านสอนว่า "ทุกคนไม่ต้องห่วงอนาคต ให้เดินตามศีล สมาธิ ปัญญา อย่างเดียว ทุกอย่างจะดีเอง เป็นสิ่งที่แน่นอน ทุกๆ คนเคารพนับถือหมด ผู้ใหญ่ก็เคารพนับถือ ผู้น้อยฆราวาสญาติโยมก็เคารพนับถือนะ"
วันนี้ ครูบาอาจารย์ท่านมีเมตตาบอกเรา...สอนเรา... เตือนเรา... กลัวเราจะติดหลงอยู่ ให้เราตั้งใจพัฒนาตัวเอง ให้ทุกท่านทุกคนถือว่า พระพุทธเจ้าชี้ขุมทรัพย์ให้แก่เรา ครูบาอาจารย์บอกสอนเรา เตือนเรา ถ้าเราฟังหูซ้ายทะลุหูขวาอย่างนี้ มันไม่ถูกนะ
ทุกท่านทุกคนเอามาคิดดู ว่าตัวเราเองต้องปรับปรุงแก้ไขอะไร ที่ปฏิบัติอย่างนี้แหละ เราจะได้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน
เราจะไปนิพพานก็ต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัย เราอย่าไปพูดเรื่องพระนิพพานอยู่ไกลๆ โน้น อยู่สูงๆ โน้น ให้กลับมาหาศีล หาข้อวัตรปฏิบัติ นี่แหละ...คือหนทางไปสู่ 'พระนิพพาน"
พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้ย่อหย่อนอ่อนแอ ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะบวชหลายปี หรือว่าเป็นพระเถระ ถ้าไม่ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ก็มีแต่สร้างกรรมให้แก่ตัวเองและเป็นแบบอย่างให้กับลูกศิษย์ลูกหาไม่ได้ สัจธรรม คือ ความจริง เค้าไม่ได้มีว่าพระเก่า พระใหม่ ถ้าใครไปจับไฟก็ร้อนทั้งพระใหม่ พระเก่า
พระพุทธเจ้าท่านให้ทุกคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พยายามทำความดี ปฏิบัติหน้าที่ให้มีความสุข กายอยู่ที่ไหนก็ให้ใจมันอยู่ที่นั่น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ขาดสติ ๑ นาที ก็บ้า ๑ นาที อย่าไปหลงทางวัตถุ เราหลงมาหลายภพหลายชาติแล้ว พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่าไปโง่ ให้วัตถุกามคุณมันเผาจิตเผาใจ ต้องหยุดตัวเอง อดกลั้นอดทน ถ้าเราไม่อดกลั้นอดทน จิตใจของเรานี้ไม่มีทางที่จะสงบ ไม่มีทางที่จะเย็นได้ เพราะจิตใจของเรามันตกอยู่ในอำนาจของความมืด คือกามคุณทั้งหลาย มันหลงวัตถุ ของออกมาใหม่ๆ มันก็ยิ่งหลง
เรามาบวชมาปฏิบัตินี้ต้องตัดใจ ต้องข่มใจ ฝืนกิเลส ฝืนใจของตัวเอง ทำทุกวัน ปฏิบัติทุกวัน "ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะ 'ความรู้เราท่วมหัวก็เอาตัวไม่รอด' เพราะไม่มีการปฏิบัติกาย ปฏิบัติใจ" ต้องเอาสติสัมปชัญญะมาฝึกกาย นั่ง เดิน บริโภคอาหารก็ให้รู้แล้วก็ให้มันสงบ อย่าให้มันวุ่นวาย เพราะใจของเรานี้มันหยุดไม่เป็น มันสงบไม่เป็น บังคับตัวเองให้มันเย็นไว้นะ ที่เราว่าขยัน มันยังไม่ขยัน ที่มันกลัวยากลำบาก กลัวเจ็บ กลัวปวด แสดงว่าเรายังไม่ขยัน
ความขี้เกียจขี้คร้านนี้มันเป็นปัญหาใหญ่หลวง ทุกคนอย่าได้ไปสนใจกับความขี้เกียจขี้คร้าน ถ้าเราไปสนใจมัน ไปติดมัน ชีวิตของเราจะเจริญก้าวหน้าได้อย่างไร?
ที่มันมีปัญหาใหญ่ เรื่องติดสุข ติดขี้เกียจขี้คร้าน เราต้องเดินออกจากความสุข ความขี้เกียจขี้คร้าน ปรับตัวเองเข้าหาพระวินัย เข้าหาข้อวัตรปฏิบัติ เพราะเรามีข้อวัตร มีพระวินัย เป็นเครื่องฝึกในขั้นหยาบ อดทนเอา เสียสละเอา ถือนิสัยของพระพุทธเจ้าไว้ "ทำความดี สร้างปฏิปทาให้มันสม่ำเสมอ ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ อย่าถอยหลังนะ"
ถึงเราเดินช้าก็ไม่เป็นไร มีความหนักแน่นด้วยสมาธิ คือความตั้งใจมั่นชอบ ต้องตั้งใจจริงๆ มันถึงจะได้ดี ไม่ใช่จดๆ จ้องๆ ลูบๆ คลำๆ เป็นการลูบคลำในสีลัพพตปรามาส ในข้อวัตรข้อปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าท่านให้เราตั้งใจนะ การตั้งใจในการประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างเข้มข้น มันไม่ตายหรอก! อย่างมาก...ก็เพียงผอม อดทนเอา ถึงเวลาทำกิจวัตรต่างๆ ต้องปรับตัวเองเข้าหากิจวัตรต่างๆ อย่าได้มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น
ความดีน่ะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรากลัวนะ ความดีถ้าเรากลัวความดี เขาเรียกว่าเป็นคนบาป เราอย่าไปคิดว่า "พอแล้ว พอแล้ว แค่นี้ก็เหนื่อยมากแล้ว แค่นี้ก็ยากลำบากแล้ว" "ทำข้อวัตร...นี้รู้หรือเปล่าว่า สมาธิมันกำลังจะเกิด ปัญญามันกำลังจะเกิด อย่าท้อแท้"
การปฏิบัติ มันต้องอยู่เหนือความเบื่อเขาเรียกว่า สัมมาสมาธิ
การปฏิบัติบูชามันลำบาก มันผัดวันประกันพรุ่งเน๊าะ! มันรอให้เวลาผ่านไป เขาตีระฆังแล้วมันก็ไม่อยากไป มันรอให้ถึงเวลาทำวัตรมันถึงไป อย่างนี้เป็นต้น "มันกลัวความดี มันท้อใจ"
การทำข้อวัตรปฏิบัติ คนที่มีกิเลส มันก็ไม่อยากทำเหมือนนักโทษมันไม่อยากเข้าแดนประหาร กิเลส มันคือนักโทษนะ มันก็ไม่อยากเข้าแดนประหาร มันก็ไม่อยากตาย
'ใจ' ของเรานี้ ผู้เป็นนายคุมนักโทษต้องเข้มแข็งซื่อตรงต่อเวลา ต้องควบคุมนักโทษสู่แดนประหาร การประหาร ก็ได้แก่ นำเจ้าทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนนี่แหละ...เข้าสู่ข้อวัตรปฏิบัติใช่ไหม เพื่อตัดสิ่งที่หยาบๆ ออกจากจิตใจของเรา
รู้หรือเปล่าทุกท่านทุกคนกำลังพากันเป็นนักโทษ โทษ...เพราะท่านเกิดมานี่แหละ ต้องปราบนักโทษด้วยการมาเดินทางสายกลาง อาศัยศีล อาศัยข้อวัตรปฏิบัติ อาศัยสัมมาสมาธิ มาประพฤติปฏิบัตินะ
บุคคลคนหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองได้ มันต้องอาศัยศีล อาศัยข้อวัตรปฏิบัติ มันถึงจะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ใช่อยู่เฉยๆ มันจะเปลี่ยนแปลง
หวังว่าทุกท่านทุกคน จะได้นำเอาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาฝากให้เรา ได้พากันประพฤติปฏิบัติ เพื่ออนาคตวันข้างหน้าต่อยอดสืบทอดพระศาสนาด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ...