แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๒๗ เป็นผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ เพื่อสร้างความเป็นพระ ให้เกิดขึ้นในใจ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกคนต้องพากันสร้างพระ โดยมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีสติ มีสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็รู้ตัวชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน รู้ผิด รู้ถูก รู้ดี รู้ชั่ว ปฏิบัติให้ถูกต้อง ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึกของตัวเองนั่น มันเป็นพระไม่ได้ มันเป็นได้เเต่เพียงคน คนนั้นทำทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งผิดทั้งถูก เพราะในครอบครัวพ่อเเม่เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นพ่อพิมพ์ เเม่พิมพ์ เเม่เเบบ เราต้องเข้าหาความเป็นพระ เรียกว่า พรหมจรรย์ พรหมจรรย์เบื้องต้นคือ ศีล ๕ ให้ทุกคนมีฉันทะ คือความพอใจในการรักษาศีล ๕ ศีล ๕ คือ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพื้นฐานของศีลทั้งหมด พื้นฐานของประชาชนทุกคน ลูกเราหลานเราเหลนเรา เค้ายอมรับพ่อยอมรับเเม่เรื่องคุณงามความดีไม่ได้ เราจะเอาเเต่ไปว่าไปด่าไปบ่นมันไม่ได้
พระเรานี้ก็เหมือนกัน ความเป็นพระที่โลกเค้าสมมุติ เค้าเเต่งตั้งให้เรา ความถูกต้อง ตามอุปัชฌาย์ มันเป็นพระภายนอก เเต่เราต้องเป็นพระภายในจิตใจของเรา ทุกท่านทุกคนต้องเป็นพระ พระที่มาบวชต้องไม่ใช่ผู้มาอาศัยวัดเฉยๆ ไม่ใช่ไปก๋าไปกร่าง เพราะประชาชนเค้าทำใจไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เป็นพระธรรม เป็นพระวินัย เราไม่ได้ไปเสียอะไร เป็นคนตกงานมาอาศัยวัดเฉยๆ พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ถ้าใครปฏิบัติตามพระวินัยของพระพุทธเจ้าเเล้ว ไม่ว่าจะคนรวยคนจน อะไร ทุกคนก็ยอมรับได้หมด เพราะพระคือผู้ที่เสียสละ เราเป็นพระเป็นพ่อเป็นเเม่ เป็นด้วยสมมุติเเต่งตั้งเฉยๆ มันยังไม่เป็นพระธรรม ไม่เป็นพระวินัย มันเป็นเอกสารเป็นสำมะโนครัวเฉยๆ
ทุกคนไม่ว่าใครจะเรียนอะไรมา ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราเป็นพระ อยู่ที่เราเสียสละ เจ้าคุณพุทธทาส ถึงกล่าวว่า พระนั่นอยู่ที่เราตาย พระตายจากตัวจากตน ตายจากสักกายะทิฏฐิ อยู่ที่เราเสียสละไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ถึงจะเป็นพระ “ตายก่อนตาย” นี่มี ๒ ความหมาย
ตายก่อนตายอย่างอันธพาลก็มี ตายก่อนตายอย่างพระอริยะเจ้าก็มี
“ตายซะก่อนตายอย่างอันธพาล” ก็หมายความว่ามันเลว เลวหมดท่าเลย มีความประมาทเต็มที่ก็เรียกว่าคนตายแล้วเหมือนกัน... มันยังเดินได้อยู่แต่มันตายแล้ว โดยพุทธภาษิตว่า เย ปะมัตตา ยะถา มะตา ปะมาโท มัจจุโนปทังประมาทเป็นทางแห่งความตาย เย ปะมัตตา ยะถา มะตา “ผู้ประมาทแล้วชื่อว่าคนตายแล้ว” เป็นพระพุทธภาษิต
ตายอย่างอันธพาล คือคนโง่ คนหลง คนพาล คนประมาทถึงที่สุด นี่ถือว่าเป็นคนตายอยู่ตลอดเวลา คนอย่างนี้ก็จะตายแล้วก่อนตายเหมือนกัน แต่มันตายอย่างอันธพาล
ที่นี้ถ้าว่า “ตายอย่างพระอริยะเจ้า” ตายแล้วก่อนตายหมายถึงว่า มันมีสติปัญญารู้ว่าไม่มีตัวฉัน ไม่มีของฉัน ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทานเกิดขึ้นได้ อย่างนี้ตัวกูตายไป ตัวกูของกูตายไป เหลือแต่เบญจขันธ์ที่บริสุทธิ์ หรือในขณะนั้นกำลังเป็นเบญจขันธ์ที่มีปัญญา หรือความบริสุทธิ์ อย่างนี้ก็เรียกว่าตายแล้วเหมือนกัน ตัวฉันตัวกูตายแล้วตั้งแต่ก่อนตาย แล้วไม่มีความทุกข์ เป็นตายก่อนตายชนิดที่ถูกต้อง ที่ควรปฏิบัติ เป็นวิธีของพระอริยะเจ้า...
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ควรเอาไปดู ไปพิจารณาดูไป ทดสอบดูให้เห็นชัดอยู่เสมอว่ามันมีอยู่ ๒ ความหมายอย่างนี้ ไอ้ตายก่อนตายชนิดหนึ่งใช้ไม่ได้ มันเลวถึงที่สุดไปเลยคือ เป็นประมาท เป็นความไร้ ไร้ค่า ไร้ความหมาย ไร้สาระไปเลย แต่อีกทางหนึ่งเป็นเรื่องสูงสุด มีสาระถึงที่สุด เป็นนิพพาน ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป
นี่มันเกี่ยวกับจิตใจ มีอะไร ถ้ามีอวิชชา มีความโง่มันก็ตายก่อนตายอย่างอันธพาล เอากิเลสตัณหาเข้าว่า ตัวกูไม่มีเอาแต่กิเลสตัณหาตามที่มันต้องการ มันก็ทำไปอย่างอันธพาล เป็นจิตว่างอย่างอันธพาล เอาประโยชน์ท่าเดียวไม่ต้องคิดถึงอะไร
ที่นี้ถ้ามันมีสติปัญญา มันรู้ตามความเป็นจริง รู้ธรรมะที่ว่า ธรรมะสักว่าธรรมะ ธรรมชาติสักว่าธรรมชาติ ไม่มีสัตว์บุคคล ตัวตน เราเขา อย่างนี้มันก็เป็นว่างอย่างแท้จริง เป็นว่างอย่างพระอริยะเจ้า หรือว่าตายเสียก่อนตายตามแบบของพระอริยะเจ้า แล้วเราก็หมายกันถึงข้อนี้
ไอ้อย่างแรกมันมีตัวกูของกู คิดดูว่าจัดจนไม่รับผิดชอบ จนไม่รับรู้ ไม่รับผิดชอบมันมีตัวกูของกูเดือดจัดขนาดนั้น อย่างนั้นตายก่อนตายเหมือนกัน ยังหายใจได้ก็ตาย ตายจมดิ่งโลกันต์ มหานรกไปเลย ที่นี้ถ้ามันมีสติปัญญา ไม่ยึดถือตัวกูของกู มันก็ตายก่อนตายเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องนิพพานไปเลย มันคนละแบบ
“ปริญญาตายก่อนตาย” ใครได้รับ เป็นอันนับ ว่าจบสิ้น การศึกษา
เป็นโลกุตตร์ หลุดพ้น เหนือโลกา หยุดเวียนว่าย สิ้นสังสาร-วัฏฏ์วน
พุทธทาสภิกขุ
เราทุกคนต้องกลับมาสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม เรื่องความสุข ความสะดวกสบาย เอร็ดอร่อยนั้น คือว่า เป็นเรื่องรอง เเค่ภูมิปัญญารักษาโรค เเต่เรื่องหลักคือ จิตใจของเรา ใจมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราต้องมีความสุขในการเข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า มีความสุขในชีวิตประจำวัน ในการเสียสละ มีความตั้งมั่น รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์รู้จักข้อปฏิบัติถึงการดับทุกข์ พระพุทธเจ้าให้เราทำอย่างนี้ ต้องกลับเข้ามาหาตัวเอง ต้องกลับมาเเก้ไขที่ตนเอง ถ้าไม่เเก้ไขไม่ได้ ตัวเราต้องเสียหาย ประเทศเราก็เสียหาย
เพราะเรามีความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ไม่อยากทิ้งไม่อยากละ ความเห็นเเก่ตัว เพราะมันเกิดตายมาด้วยกัน หลายร้อย หลายเเสน หลายชาติ มันต้องอาศัยพระพุทธเจ้า เรียกว่า ยาน คือ ศีล ศิลปะเเห่งการดำเนินชีวิต เราต้องคิดอย่างนี้ เราต้องพูดอย่างนี้ เราต้องปฏิบัติอย่างนี้ต้องเข้าสู่กฏเเห่งกรรมที่มันจะตัดกรรม ตัดเวร ตัดภัย ทุกท่านต้องพากันคิดอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราทุกคนจะพากันมีความสุข มีความดับทุกข์ เราถึงจะได้ส่งไม้ผลัดให้ลูกให้หลาน ให้วัตถุในบ้าน ให้รถ ให้อะไรก็ต้องให้คุณธรรมเป็นตัวอย่างเเบบอย่าง เราจะเป็นตัวเองอย่างไม่มีปัญญา หลงอย่างนั้นไม่ได้ มันเป็นการวุ่นวาย เราจะเป็นคนยากคนจนก็มีความสุขทางจิตใจได้ โดยมีสติสัมปชัญญะ สละเสียซึ่งตัวซึ่งตน หายใจเข้าก็ชัดเจน หายใจออกก็ชัดเจน มีสติสัมปชัญญา ในการทำไร่ไถ่นาอะไรต่างๆ ที่ไม่ให้เป็นบาปทั้งปวง คนเรามันต้องมีความสุขในการเสียสละ ถ้าไม่มีความสุขในการเสียสละ ทุกคนมีความผิดนะ ถ้าเราไม่มีความสุขในการรักษาศีล ประพฤติปฏิบัติธรรม ทุกท่านทุกคนมีความสุข
เราทุกคนจะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งได้ยังไง ทานข้าวทุกวันก็ยังเเก่ นอนทุกวันก็ยังเเก่ เเก่ยังไม่พอ ยังเจ็บ เเละสุดท้ายก็ตาย ที่จริงเเล้วมันตายทุกลมหายใจ ทุกขณะจิต เราทุกคนต้องรู้จักสละเสียซึ่งความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งตัวซึ่งตน มีความสุขกัน พระต้องหายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้ามีความสุข มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม มีความสุขในการทำงาน อย่าไปคิดว่าการกินการนอน การพักผ่อนคือ ความสุข อันนั้นเป็น ความสุขทางกาย มันจะปนเปรอยังไงก็ต้องเกิดเเก่เจ็บตาย มันต้องเสียสละ ความสุขพวกนี้เป็นเพียงยารักษาโรค เพื่อให้เราบรรเทาทุกข์ ในอายุขัยเราไม่เกิน 100 ปีนี้เเหละ เราทุกคนต้องพากันรักกัน สงสารกัน เพราะไม่ถึง 100 ปี ทุกคนต้องจากโลกนี้ไป เราทุกคนต้องคิดอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้
เราจะไปโกรธกันทำไม ทะเลาะกันทำไม ไปก๋า ไปกร่างทำไม เราไปคิดอย่างนั้น ไม่ใช่คนฉลาด เราต้องเป็นคนเสียสละ เพราะความเเตกร้าว มันก็สร้างความเสียหายให้กับตัวเอง อย่างนี้เป็นอนันตริยกรรม พูดซ้ำเเล้วซ้ำอีก เพื่อจะย้ำความสว่างไสว ให้มันสว่างไสวขึ้นอีก ไฟธรรมดาไม่พอ ต้องเพิ่มสปอร์ตไลท์ หลายร้อยหลายพันเเรงเทียน เพื่อสติสัมปชัญญะ ของท่านจะได้สมบูรณ์ ที่พูดมานี้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ ไม่ใช่ของของใคร ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจ ว่าอันนี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่บริสุทธิ์ ให้ฝากไว้กับเรา ท่านทรงบำเพ็ญพุทธบารมี หลายร้อยหลายพัน ร้อยเเสน หลายล้านชาติ เราโชคดีขนาดไหน เราก็อย่ามาเซ่อๆ เบลอๆ งง ไม่ได้นะ
เรามาคำนวณดู ทบทวนดูนะ ว่าเราทำอย่างไร ถึงจะเป็นพระที่ดีได้ ทำอย่างไรถึงจะเป็นสามเณรที่ดีได้ ถ้าเป็นคุณแม่ชี เป็นอุบาสกอุบาสิกา ก็เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ เพราะว่า...ความเป็นพระของเรา ความเป็นเณรของเรา ความเป็นอุบาสกอุบาสิกาของเรานี้ มันอยู่ที่ 'ใจ'
เครื่องแบบ...ไม่ว่าจะจีวร ไม่ว่าผ้าขาวที่เราพากันใส่ปฏิบัติธรรม นี่เรามาคิดดู...มันเป็นเพียงเครื่องแบบนะ มันเป็นได้เพียงแต่พระแต่งตั้ง สามเณรแต่งตั้ง อุบาสกอุบาสิกาแต่งตั้งเท่านั้น มันไม่มีอะไรที่มากไปกว่านั้นเลย
ทุกๆ คนในสังคมในประเทศเห็นสมควร มีความเห็นพร้อมเพรียงกันว่า สถาบันทางศาสนานี้มีประโยชน์นะ ถ้าเรามุ่งแต่ทางวัตถุ มุ่งแต่เรื่องทำมาหากิน โลกนี้ก็จะร้อนเป็นไฟ!
ความเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐนะ แต่มันจะไม่เหลืออยู่ ก็เพราะทุกๆ คนไม่มีศาสนา "ถ้ามนุษย์มีแต่ความเห็นแก่ตัว ชีวิตของมนุษย์ก็จะไม่แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน"
เมื่อสังคมประเทศชาติให้โอกาสเราทำความดี ให้เราดำรงชีพด้วยการเป็นบรรพชิต หรือเป็นนักบวช พระพุทธเจ้าท่านให้เราทำหน้าที่ของเรา ให้เรามาเดินตามรอยพระพุทธเจ้า
เดินตามรอยของพระพุทธเจ้ามันเดินอย่างไร?
เดินตามรอยของพระพุทธเจ้า คือ ปฏิบัติตาม 'ศีล' ทุกข้อ มันย่อยละเอียดเป็น 'พระวินัย' พระวินัยข้อใหญ่ ข้อกลาง ข้อเล็ก ผู้ที่เดินตามรอยของพระพุทธเจ้า "ต้องปฏิบัติตามศีล ตามพระวินัยทุกข้อ" ไม่มีข้อใดยกเว้น ไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น จะมีบ้างเพียงเล็กน้อยสำหรับภิกษุผู้อาพาธและภิกษุบ้า เพราะว่าเป็นคนบ้า ถ้าใครย่อหย่อนผ่อนปรนต่อพระวินัย ถือว่าไม่ได้เดินตามรอยของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง
พระพุทธศาสนาเป็นของประเสริฐ เป็นของสูง ถ้าใครปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง อย่างละเอียด บุคคลนั้นย่อมเข้าถึงพระนิพพานได้ทุกๆ คน
'พระศาสนา' ได้สืบทอดกันมาตั้งสองพันกว่าปี บางคนก็ไม่ได้ศรัทธาเลื่อมใสอย่างแท้จริงนะ แต่เข้ามาบวชเพื่อเอาพุทธศาสนาเป็นที่ทำมาหากิน เป็นที่เลี้ยงชีพ เป็นที่ประกอบอาชีพ บางคนสุขภาพร่างกายไม่ดีไม่สะดวกในการทำมาหากินก็พากันมาบวช บางคนติดเหล้าติดยาก็มาบวช เพื่อหวังที่จะแก้ไขปรับปรุงตัวเองให้มันดีน่ะ
ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเมตตา คือ ให้ผู้ที่มีศรัทธา ซึ่งเป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารได้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ผู้ที่มีความคิดอย่างนี้ เจตนาอย่างนี้ ถึงได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่ตรงต่อพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ความคิดและเจตนานอกจากนี้ ถือว่ายังไม่ตรงต่อพุทธประสงค์ "การมาบวช มาปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติบูชานะ ไม่ใช่อามิสบูชา"
ปฏิบัติบูชา คือ เอาตัวเองมาปฏิบัติ เอาตัวเองมาปฏิบัติ มาเสียสละ มายากลำบาก มาเสียสละทางวัตถุข้าวของเงินทอง มาทำตามพระพุทธเจ้า ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า ทำตามพระพุทธเจ้า
ถ้าเราเป็นพระ ถ้าเราไม่ละ ถ้าเรายังรับเงิน เรายังมีอะไรแบบโลกๆ ที่เขามีกันอย่างนี้ ถือว่าไม่ถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย ถึงเราจะว่า... "เราไม่มีอะไร เพราะใจของเราไม่มีอะไร เพราะใจของเราไม่ยึดไม่ถือ"
ถ้าเราคิดอย่างนี้นะ 'เรา' นี่เองเป็นผู้ที่ทำลายพระศาสนา เพราะไม่ทำตามพระวินัยของพระพุทธเจ้า
สมัยครั้งพุทธกาล...พระขอของจากคนที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณาไม่ได้ พระอริยสาวกก็พากันเคร่งครัด พระบาตรแตก จีวรชำรุด ถ้าไม่มีผ้าห่มก็ยังเอาใบไม้ เอาเปลือกไม้มาพรางกาย
การเคารพคารวะใน 'พระวินัย' เมื่อสมัยพระพุทธเจ้าท่านดำรงชีวิตอยู่ มันน่าเคารพเลื่อมใส พระพุทธเจ้าก็มีเมตตาสงสารพระ ก็อนุญาตให้พระขอจีวรจากผู้ที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณาได้ แต่ได้เพียงผืนเดียว เพื่อปิดอวัยวะที่น่าเกลียด เพื่อไม่ให้เป็นชีเปลือย
การเคารพคารวะในพระวินัย มันยอดเยี่ยมจริงๆ มันเป็นสิ่งอัศจรรย์ น่าเคารพน่าเลื่อมใส พระวินัยมันเลยเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ มันนำทุกคนออกจากวัฏฏสงสารได้ เพราะเรามองๆ ดู ผู้ที่ปฏิบัติตามพระวินัย คือผู้ที่เดินตามทางสายกลางที่แท้จริง ไม่ได้ทำตามความคิดความเห็นของตัวเอง เอาศีลเป็นที่ตั้ง เอาพระวินัยเป็นที่ตั้ง
พระวินัยแต่ละข้อ มันเป็นการละความเห็นแก่ ละความมักง่ายที่เราติดสุขติดสบาย ติดความสะดวกสบายนั้น มันเป็นการสั่งสมกิเลส
สมดั่งคำตัดสินพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อสะสมกิเลส ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า"
คำว่า “สะสมกองกิเลส” หมายถึง การเพิ่มพูน โลภะ โทสะ โมหะ โดยรอบด้าน ผิดจากความกำหนัดย้อมใจตรงที่ ข้อนี้หมายถึงเป็นอุปกรณ์หรือเครื่องสนับสนุนการเกิดของกิเลสทั่วไป และให้ทวียิ่งขึ้นด้วย การสะสมสิ่งซึ่งเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงกิเลสอยู่เป็นประจำ ในกรณีของคนธรรมดาสามัญ บางอย่างอาจจะไม่จัดเป็นการสะสมกองกิเลส แต่จัดเป็นการสะสมกิเลสอย่างยิ่ง สำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์โดยตรง เช่น พวกบรรพชิต หรือในบางกรณีก็จัดว่า เป็นการสะสมกองกิเลส ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต เช่น การมีเครื่องประดับ หรือเครื่องใช้ชนิดที่ไม่มีความจำเป็นแก่การเป็นอยู่ แต่เป็นไปเพื่อความลุ่มหลง หรือความเห่อเหิมทะเยอทะยานประกวดประขันกันโดยส่วนเดียว เป็นต้น เป็นการขยายทางมาของกิเลส ให้กว้างขวาง ไม่มีที่สิ้นสุด
ผู้ที่ปฏิบัติตาม...พระวินัย จึงเป็นผู้ปฏิบัติตาม...ทางสายกลาง เป็นผู้ปฏิบัติจริง เป็นผู้ปฏิบัติแท้ เป็นพระจริง ไม่ใช่พระปลอม
ถ้าเราบวชมาปลงผม นุ่งห่มจีวร แต่เราย่อหย่อน ในพระวินัย พระพุทธเจ้าท่านถือว่าผู้นั้นเป็นพระปลอม บวชมาเพื่อเอาพระศาสนาบังหน้า ปลอมตัวมาเป็นนักบวช เพื่อจะบริโภคปัจจัยสี่ที่ศรัทธาเขาเคารพนับถือเลื่อมใส
ถ้าเราย่อหย่อนในพระวินัย มันเป็นการทำลายพระศาสนา พระวินัยทุกข้อที่พระพุทธเจ้าท่านทรงมีเมตตา สั่งสอนเรา เราต้องปฏิบัติตามด้วยความเคารพ ด้วยเศียรเกล้า อย่าได้มีข้อแม้ใดๆ ทั้งหมดทั้งสิ้น นั่นแหละ คือเดินตามรอยพระพุทธเจ้า
อานิสงส์แห่งการรักษาพระวินัย มันทำให้เราพ้นภัยได้ ไม่ว่าภัยอะไรต่างๆ เราจะเป็นสมาธิโดยอัตโนมัติในตัวเลย เพราะพระวินัยนั้นเป็นข้อวัตรที่ตัดกิเลสที่หยาบๆ มันจะเป็นสมาธิโดยธรรมชาติเลย
เพราะว่า 'สมาธิ' คือ ความตั้งมั่น ถ้าเรามีการปฏิบัติในศีลทุกข้อ คือความตั้งใจมั่น ถ้าใครเข้าใจในเรื่องศีลที่ถูกต้อง แล้วปฏิบัติตาม บุคคลนั้นจะได้รับอานิสงส์ ก็คือจะได้มี 'สัมมาสมาธิ' ไปในตัวเปรียบเสมือนยิงนกนัดเดียวได้ทั้ง ๓ ตัว คือได้ทั้งศีล สมาธิ และ ปัญญา มันเป็นกระบวนการที่นำเราไปสู่มรรดผลนิพพาน
ผู้ที่จะรักษาศีลได้ คือผู้ที่เสียสละ ละความเห็นแก่ตัว ผู้ที่ไม่มีตัวมีตนถึงจะรักษาศีลได้ ผู้ที่จะเกิดสัมมาสมาธิ ก็คือผู้ที่ทำตามศีล คือ ผู้ที่ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง
สมาธิ แปลว่า ผู้ที่ปราศจากนิวรณ์ต่างๆ
ผู้ที่เข้ามาบวชในพระศาสนา มันไม่ใช่รักษาศีล ทำสมาธิ เจริญปัญญาอย่างเดียว เพราะเราอยู่ในบ้านอยู่ในสังคม มันย่อมมีกิจกรรมทางพระศาสนาทั้งภายในวัด ทั้งภายในบ้าน มันก็เป็นสิ่งที่ยากอยู่พอสมควรนะ
มันไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ที่เข้ามาบวชต้องเป็นผู้ที่ขยัน เป็นผู้เสียสละ ถ้าใครไม่ขยัน ไม่เสียสละ มันจะเป็นพระที่ดี... ไม่ได้
พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า "ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่ดำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า"
พระพุทธเจ้า...ท่านเกียจคร้านไม่เป็น
พระอรหันต์สาวก...ท่านก็เกียจคร้านไม่เป็น
ผู้ที่เข้ามาบวชต้องฝึกเป็นผู้ขยันอดทน เสียสละ ไม่เอาความสุขความสบายในเรื่องฉัน เรื่องนอน เรื่องพักผ่อน เรื่องคุย เรื่องเล่น ต้องเอาความสุขกับการเสียสละ ขยัน อดทน ต้องทำกิจวัตรทุกวัน ถ้าวันไหนไม่ทำกิจวัตรถือว่าผิดศีล ผิดพระวินัย
เราจะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำกิจวัตรข้อวัตรไม่ใด้ พระทุกรูปต้องทำวัตรสวดมนต์ ไหว้พระ ต้องทำความสะอาด ถ้าไม่ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เขาเรียกว่าเป็น 'พระผิดศีล"
เราดูสำนักสายวัดป่า...เขาจะมีข้อวัตรกิจวัตรเข้มแข็งกันพอสมควร ถ้าครูบาอาจารย์ ประธานสงฆ์เข้มแข็ง วัดนั้นๆ ก็มีศีลดี มีข้อวัตรปฏิบัติดี
"บทสวดมนต์ ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น พระทุกรูปต้องสวดให้ได้ ต้องท่องให้ได้" บทสวดมนต์พุทธมนต์ต้องท่องให้ได้ บทสวดอภิธรรมบทสวดมาติกาต้องสวดได้ บทให้พรไม่ต้องอาศัยใคร...ก็สวดได้ เหมือน 'พระภิกขุปาฏิโมกข์' เนี่ยนะ เขาสวดเดี่ยวอย่างนี้ได้
ผู้ที่บวชมาที่จะเป็นครูบาอาจารย์ ผู้ที่บวชไม่สึกต้องสวดได้ชัดเจน ฉะฉาน บทให้ศีลให้พรต้องท่องได้ต้องไม่กลัว ไม่สั่น ไม่สะทกสะท้าน ถ้าเราสวดไม่ได้ เราต้องมีปัญหาแน่นอน พอเราบวชไปหลายปีเราต้องนั่งอยู่ข้างหน้า เราไม่อยากนั่งข้างหน้า เราก็ต้องนั่งเพราะเราบวชนาน
ผู้ที่จะบวชนาน หรือสืบทอดต่อยอดพระศาสนาต้องท่องบทสวดมนต์ บทให้พรต่างๆ ให้มันได้ ถ้าไม่อย่างนั้นอนาคตท่านมีปัญหาแน่นอน! ท่านอย่าไปคิดว่า "เราไม่อยากเป็นเจ้าอาวาส เราไม่อยากเป็นประธานสงฆ์ เราไม่อยากใหญ่อยากดัง"
ท่านอย่าไปคิดอย่างนั้น วันนี้ท่านจะหลบไป...ทุกวันๆ แต่ที่สุดแล้วท่านก็หลบไม่ได้ เพราะคนเราแก่ไปทุกวัน พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราเป็น 'พระที่แท้จริง'
ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า เราเองก็เคารพตัวเองไม่ได้ คนอื่นเขาก็มาเคารพเราไม่ได้ มันเป็นความคิดเห็นที่ผิดพลาด เพราะเราเอาตัวตนเป็นใหญ่ เราไม่ได้เอาพระธรรมเป็นใหญ่ เราไม่ได้เดินสายกลาง เรามาคิดๆ ดู มาคำนวณดูนะ ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหมือนพระพุทธเจ้าสอน มันเป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก ตัวเราเองก็เคารพตัวเองได้ คนอื่นก็เคารพกราบไหว้เราได้ และเป็นบุดคลที่ควรเคารพบูชา ญาติโยมเขาจะถวายทานกับเรา เขาก็ได้บุญได้กุศลมาก
ความดีเป็นธนาคาร เป็นธนาคารที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั่นแหละ คือการสร้างธนาคารใหญ่
ทุกคนน่ะห่วงอนาคตของตัวเอง ว่าอนาคตตัวเองจะอยู่อย่างไร?การปฏิบัติตามรอยของพระพุทธเจ้านี่แหละ คือ การสร้างอนาคตที่งดงาม มันเป็นความงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
"ชีวิตของเราในอนาคตมันสดใสแน่นอนนะ"
อย่างเราเป็นอุบาสกอุบาสิกาที่มาอยู่วัด จะบวชเป็นชีพราหมณ์ หรือบวชชีปลงผม หรือเป็นตาผ้าขาว เราก็ต้องปฏิบัติให้มันดี ให้มันเยี่ยม ถ้าไม่อย่างนั้นตัวเราจะกราบไหว้ตัวเองไม่ได้ ตอนเราแก่เราเฒ่าใครจะมาดูแลเรา ถ้าเราเป็นคนไม่น่าเคารพบูชา?
"พระพุทธเจ้าท่านให้เราปฏิบัติให้มันขลัง ให้มันศักดิ์สิทธิ์ ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองใหม่นะ"
ใครรู้ว่าตัวเองมันยังไม่ดียังไม่ได้มาตรฐาน ก็ให้ตั้งมั่นในศีล ในข้อวัตรปฏิบัติ ให้เสียสละไว้ เราอยากไปนิพพานมันก็ไปไม่ได้นะ ถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เรามัวแต่คุยมัวแต่อวดไปเป็นวันๆ น่ะ "อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี้ไม่ถูก"
เราต้องตั้งมั่นในข้อวัตรปฏิบัติ อย่าไปส่งใจออกข้างนอกเยอะ ต้องกับมาหาตัวเอง กลับมาหาปฏิปทาที่มันสม่ำเสมอ ปฏิบัติดีๆ ตลอดกาลนะ อย่าเป็นคนปฏิบัติตามอารมณ์ ปฏิบัติได้สักพักก็เบื่อ เบื่อก็หยุด...ไม่ได้! สมาธิมันต้องอยู่เหนือความเบื่อ มันต้องข้ามความเบื่อ คนเราทำอะไรกำลังจะได้ดีมันชอบเบื่อ
เราทุกคนต้องมีปัญญา เดินไป ปฏิบัติไป ให้เป็นปัจจุบัน ชีวิตของเราก็จะดี อินทรีย์บารมีแก่กล้า ไม่เสียเวลาที่มาบวชมาประพฤติปฏิบัติ เราทุกคนต้องทวนกระแสกิเลส ทวนกระแสอารมณ์ เดินไปตามธรรมะ เราถึงจะเข้าถึงพระพุทธเจ้า เข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะนี่คือสิ่งที่ประเสริฐที่เราควรจะได้รับ ในฐานะที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มาบวชมาประพฤติปฏิบัติ การปฏิบัติของเราต้องให้มีทุกหนทุกแห่งทุกอิริยาบถ ต้องมีศีล ๕ ระดับพื้นฐาน การมีศีล ๕ บริสุทธิ์ก็เป็นคุณธรรมเบื้องต้นของพระโสดาบันนั่นแหละ ต้องพัฒนาตนเองให้ฉลาดขึ้น ข้อวัตรข้อปฏิบัติดีขึ้น พัฒนาใจขึ้นไปก็เป็นสกทาคามี ตำแหน่งอันเป็นผลของการประพฤติปฏิบัติเหล่านี้ ก็มาจากการประพฤติการปฏิบัติของเราไม่มีใครสามารถแต่งตั้งให้ได้ ขึ้นอยู่ที่ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องคนเราต้องฉลาด และต้องปฏิบัติดีไปพร้อมกันเป็นทางสายกลาง