แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๒๔ เป็นทั้งสถาปนิกและวิศกรทำโครงสร้างชีวิต พัฒนาจิตสู่ความดับทุกข์
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกคนต้องมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง เราจะได้มียานพาหนะเพื่อออกจากวัฏฏะสงสาร โครงสร้างของพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ มาบอกมาสอน ทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม รู้อันไหนผิดอันไหนถูกรู้ดีรู้ชั่ว หายใจเข้าให้ชัดเจน หายใจออกให้ชัดเจน ชีวิตเราจะได้มีทั้งสถาปนิกทั้งวิศวะกร มันต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เรียกว่าศีลสมาธิปัญญา โครงสร้างของเราต้องไปอย่างนี้ไปอย่างอื่นไม่ได้ อย่างบ้านเราไม่มีโครงสร้าง ไม่มีศิลปะในชีวิต พ่อเเม่ไม่มีศีล ไม่มีธรรม โครงสร้างครอบครัวเรามันเป็นครอบครัวที่พังทลาย เพราะครอบครัวไม่มีศีล ๕ มีเเต่อบายมุข มีเเต่อบายภูมิ
เราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ถือว่าเรารู้จักทุกข์เหตุเกิดทุกข์ เข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า เข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ ให้ประชาธิปไตยกลายเป็นธรรมาธิปไตยในครอบครัว เราเอาธรรมะเป็นหลักธรรมะเป็นใหญ่ มันอยู่ที่ผู้นำ รู้ว่ามันผิดก็ต้องเเก้ไข ไม่ใช่เค้าทำมาอย่างนี้หลายร้อยปี ถ้าเค้าพาเป็นโจรเราก็ไปเป็นโจรอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าเค้าพาเราเดินสู่อบายมุขเราก็ไม่เดิน เราต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าให้รู้ชัดเจน หายใจออกให้รู้ชัดเจน เราเป็นผู้ที่โชคดีขนาดไหน อย่างโครงสร้างที่ไม่มีศีล ๕ มันผิดนะ ไม่มีการไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ รู้ตัวทั่วพร้อม มันก็ตำเเหน่งเดียวกับสัตว์เดรัจฉาน มันไม่ได้พัฒนาใจมีหลัก มีจุดยืนอะไร เป็นพระมันเป็นได้ยังไง ไปทิ้งพระวินัยหมด เอาเเต่ใจตัวเอง เอาเเต่อารมณ์ตัวเอง มันผิดทางเพราะว่าพัฒนาเเต่เทคโนโลยี พัฒนาเเต่มนุษย์รวย เทวดาที่มีทิพย์ มีวิมานอย่างนี้ไม่ได้ ต้องพัฒนาใจไปพร้อมกัน เพราะร่างกายของเราเเก่ อินทรีย์บารมีของเราก็ต้องเเก่กล้าไปด้วย คนเรามันต้องเข้มเเข็ง อย่าไปเห็นรูปฟังเสียง งงไปหมด ขอบริโภคกาม ต้องใจเเข็ง กินของอร่อย ต้องเสียสละให้เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม
เราต้องทำ โครงสร้างของเรา พระพุทธเจ้าพาทำดีทุกอย่าง ระบบความคิด ระบบคำพูด ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก ไปเอาตัวตนเป็นหลักอย่างนี้ไม่ได้ อยู่ในวัด จะมีโทรทัศน์ได้ไง วัดบ้านวัดป่า มันมีไม่ได้ อย่างเจ้าคณะปกครองต้องคิดดูดีๆ นะ อยากติดกาม มันไม่อยากเสียสละ เราต้องเข้มเเข็งเห็นเเก่พระพุทธเจ้าท่านทรงบำเพ็ญบารมีมา เราต้องมาต่อยอดให้พระพุทธเจ้า เพื่อให้มรรคผลนิพพานจะได้เกิดเเก่กุลบุตรลูกหลาน เมื่อเราเป็นคนทำผิด เราเป็นผู้นำอย่างนี้ มันก็ต้องผิด ก็เพราะว่ามันอยู่ที่หัวใจตัวเอง มันอยู่ที่สัมมาทิฏฐิ ก็ต้องกลับมาอย่างนี้ ระบบโครงสร้างนักปกครองอย่างมากก็มีเเต่คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึก ไม่ควรที่จะเอาโทรทัศน์มาโชว์พระโชว์เณร อย่างนี้มันไม่ได้ มันหน้าด้านเกิน พระพุทธเจ้าจะว่าเราหน้าด้านเกิน ไม่ใช่พระก็ว่าตัวเองเป็นพระ ไม่ใช่เณรก็ว่าตัวเองเป็นเณร ต้องพากันคิดดูดีๆ เราต้องยกธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสริฐให้สวยสดงดงาม กลับมาหาสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม ในการหายใจในการดำรงชีวิต เพราะเราต้องมีฉันทะ มีความพอใจในการทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่ามีฉันทะในสิ่งที่เสียๆ หายๆ ได้อย่างไร จะปกครองเเค่มีลายลักษณ์อักษรมันมีประโยชน์อะไร มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ปกครองคณะสงฆ์มันก็ไปไม่ได้ เพราะว่าทำไม่ถูก ทุกคนต้องมาเเก้ไขที่ตัวเองเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของมหาชน ต้องเอาใหม่เลย อย่าไปลึกซึ้งมั่นคงเเต่ในทางที่ไม่ดี โครงสร้างเราต้องเเข็งเเรง อันไหนไม่ดีเราไม่คิด อันไหนไม่ดีไม่พูด อันไหนไม่ดีไม่ทำ มันต้องทำอย่างนี้ ต้องเข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ทุกคนจะได้เอาสิ่งที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เราอย่าเป็นไปตามอัธยาศรัย ที่กล่าววันก่อนโน่น เราจะเป็นพระอัธยาศัย เณรอัธยาศัย ข้าราชการพ่อค้าประชาชนอัธยาศัยไม่ได้ เราทุกคนไม่อยากเสียสละ เพราะว่ามันอร่อย มันเป็นกาม กาม เเปลว่า ติดเเน่นติดสนิท อย่างลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าถึงให้ตัดสังโยชน์ ไม่เอาตัวเอาตน เราจะได้มีสติสัมปชัญญะมากขึ้น คนเอาตัวตนมันไม่มีสติสัมปชัญญะอะไรหรอก สติก็ไม่มี สัมปชัญญะก็ไม่มี มันมีเเต่มิจฉาทิฏฐิ มีเเต่ความเห็นเเก่ตัว พระพุทธเจ้าสั่งสอนเเต่เรื่องเสียสละ ถ้าไม่เสียสละมันจะมีความสุขได้ยังไง เราต้องรักกัน ต้องสามัคคีกัน ต้องเสียสละ เพราะเดี๋ยวนี้มันทำได้ เพราะสื่อสารมันถึงกัน พูดเดี๋ยวนี้ถ้าฟังก็ฟังพร้อมกันทั้งประเทศทั้งโลก เราเป็นโควิดกลัวโควิด เเต่ไม่กลัวโควิดทางจิตใจที่มันเป็นโรคร้ายที่นำเราเวียนว่ายตายเกิด เราต้องประพฤติปฏิบัตินะ เพราะไม่มีใครประพฤติปฏิบัติให้เรา ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้อันนี้คือความสุขความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ที่พระพุทธเจ้าทรงมาบอกมาสอน
พระเราเณรเรา ญาติโยมที่อยู่วัดและอยู่ทางบ้าน และท่านหลายคนน่ะ ตั้งใจบวชไม่สึกนะ บวชจนตายน่ะ เมื่อเราตั้งใจปฏิญาณอย่างนี้ ทำยังไงเราถึงเป็นพระแท้จริง จะได้เป็นที่พระหมดกิเลสสิ้นอาสวะ พระพุทธเจ้าท่านบอกเราสอนเราให้พากันประพฤติปฏิบัติ เพื่อมุ่งมรรคผลนิพพานอย่างเดียว อย่าได้พากันมาติดความสุขจากปัจจัย ๔ ลาภ ยศ สรรเสริญ เราต้องตัดจริงๆ เหมือนพระพุทธเจ้า พาเราละพ่อ ละแม่ ละลูก ละหลานเรากัน ทิ้งหมดทางด้านจิตด้านใจ ถ้าเรายังไม่ละไม่ปล่อยไม่วาง เราก็ไปไม่ได้ เพราะการปฏิบัติของเรามันเดินไปด้วยจิตใจ ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าของเราสมาทานนอนตามพื้นดิน สมาทานนอนตามโคนไม้ นุ่งห่มจีวรด้วยผ้าบังสุกุล เที่ยวภิกขาจารบิณฑบาต ชาวบ้านเขาถวายอะไรก็ฉันอันนั้น ฉันวันหนึ่งก็เพียงครั้งเดียว การที่มีประเพณีฉันเพลนี้ เป็นประเพณีที่อนุโลมเฉพาะภิกษุไข้และภิกษุเดินทางไกล ท่านไม่ให้ห่วงเรื่องฉันเรื่องอยู่เรื่องอ้วนเรื่องผอม ฉันพออยู่ได้เพื่อได้ทำความเพียร บวชมาแล้วก็ไม่มีใครคิดว่าจะสิกขาลาเพศ เรื่องเพศตรงกันข้ามนี่ให้ตัดอย่างเด็ดขาด ไม่มีคำว่าผู้หญิง ผู้ชายตัดให้หมดนะ ถ้าเราคิดว่ามีหญิงมีชาย จิตใจของเรามันก็แย่มาก จิตใจของนักบวชต้องตัดต้องละต้องวาง จิตใจถึงจะเป็นหนึ่งถึงจะเป็นเอกัคคตา
ความสุขในการฉันในการพักผ่อนนี่ตัดให้หมด ให้พิจารณาร่างกายของเรานี่ เอาผมออก ลอกเอาหนังออกหมด เอาเนื้อออก เพื่อจะได้ทำลายนิมิต ความคิดที่ว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นชายเป็นหญิงนี่ออก วิธีการของเราที่จะต้องปฏิบัติที่จะถอนรากถอนโคน ถอนสักกายทิฏฐิ ที่มันเข้าใจว่าตัวว่าตน เขาเป็นผู้ชายเขาเป็นผู้หญิง พระพุทธเจ้าให้เราพิจารณาสลับกันไปกับการทำสมาธิ เช่น ชั่วโมงหนึ่งน่ะเราอาจจะพิจารณาย้อนไปย้อนมาซัก ๑๐ นาที ๓๐ นาทีอย่างนี้ แล้วก็หยุดให้ใจของเราสงบเย็นไม่ต้องคิดอะไร ถ้าเราพิจารณามากเกินสมองเรามันจะเครียด ถ้าเราไม่คิดเลยไม่พิจารณาเลยปัญญาจะไม่เกิด ธรรมะจะไม่เกิดน่ะ มันจะได้แต่สมาธิอย่างเดียว เวลาออกจากสมาธิแล้วมันก็เป็นเหมือนคนไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย การประพฤติการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าให้เราทำสลับกันไปอย่างนี้เรื่อยๆ
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราคลุกคลีพูดมากคุยมาก เราพากันตั้งอกตั้งใจ พากันทำความเพียรกัน พื้นฐานของจิตใจของเราต้องเป็นคนมีศีล การรักษาศีลของเรามุ่งไปที่พระนิพพานน่ะ คือการละความเห็นแก่ตัว เพราะคนเรามันเห็นแก่ตัวมาก อยู่ด้วยการเบียดเบียนคนอื่น บริโภคคนอื่น ทำอาชีพต่างๆ น่ะ ตั้งแต่เด็กๆ จนถึงลาละสังขาร อยู่ด้วยการเบียดเบียน อยู่ด้วยการเอาเปรียบคนอื่น ไม่ว่าเรื่องบริโภค เรื่องต่างๆ นั้นเต็มไปด้วยการเบียดเบียนทั้งนั้น ท่านให้ถือศีลของพระอริยเจ้าของพระอรหันต์ตั้งแต่นี้จนตลอดชีวิต เราจะมีชีวิตด้วยการไม่เบียดเบียน ไม่ว่าเรื่องกินเรื่องใช้ เราต้องมีชีวิตด้วยการไม่เบียดเบียนเขา อยู่ก็บอกว่าไม่เบียดเบียน ท่านจึงตรัสว่า สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง
ถ้าเราเน้นที่ใจ เน้นที่เจตนาน่ะ เราจะรู้เลยว่าศีลของเราบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ คนเรามันปกปิดคนอื่นได้ มันหลอกคนอื่นได้แต่มันปกปิดตัวเองไม่ได้ หลอกตัวเองไม่ได้ การรักษาศีลของเรา ก็เพื่อให้ตัวเองกราบตัวเองได้ ไหว้ตัวเองได้ เพราะว่าตัวพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั่นคือศีล ศีลนั้นคือความบริสุทธิ์ผุดผ่อง คือ สถานที่ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง อาการที่มันไม่เห็นความสำคัญในศีลคืออาการของตัวของตนน่ะ นักปฏิบัติไม่ว่าพระไม่ว่าโยมบางทีมันประมาทไป เมื่อศีลมันไม่ดีน่ะ สมาธิที่มันเป็นธรรมชาติที่ไม่เข้าไม่ออก ที่เป็นพื้นฐานของสมาธิมันไม่เกิดน่ะ
ถ้าเราศีลดี สมาธิมันก็เกิดมีโดยธรรมชาติ สมาธิก็แปลว่าไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นจิตใจที่ว่างจากนิวรณ์ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องน่ะ ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะรวมกันเป็นหนึ่งไปตลอด เรามาบวช เรามาปฏิบัติ ถ้าเราไม่เอาจริงไม่เอาจัง เราไม่ตั้งใจ มันไม่ได้ผล ทำให้เราเสียเวลา ทำให้เราแก่ไปเปล่าๆ การมาบวชของเรานี่ไม่มีประโยชน์น่ะ ไม่ตรงเป้าหมายของพระพุทธเจ้าที่ท่านสั่งสอนสำหรับผู้ประพฤติพรหมจรรย์ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าทุกคนปฏิบัติได้หมด ไม่เลือกชาติไม่เลือกตระกูล ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ หรือไม่ว่างจากผู้หมดกิเลส พระนิพพานมันไม่ใช่เรื่องไกล สำหรับเราถ้าตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ท่านไม่ให้เราลูบๆ คลำๆ มันเป็นสีลัพพตปรามาส
สำหรับผู้ที่บวชระยะสั้นหรือญาติโยมที่พากันมาอยู่วัดถือศีล ครูบาอาจารย์ก็ให้ตั้งอกตั้งใจ ให้ทำเหมือนกันให้ปฏิบัติเหมือนกัน ให้มุ่งมรรคผลนิพพานเหมือนกัน อย่าไปคิดว่าอีกไม่นานเราจะสึกอยู่ หรืออีกไม่นานเราจะกลับบ้าน เมื่อเรามาอยู่วัดปฏิบัติธรรม เราต้องปฏิบัติให้เต็มที่ ทุกท่านทุกคนมีความอยากมีความต้องการแต่ไม่อยากปฏิบัติ มันจะเกิดประโยชน์อะไร เพราะการปฏิบัติของเรามันไปขอเอาไม่ได้ มันไปอ้อนวอนเอาไม่ได้ ทุกๆ คนแต่งตั้งเราไม่ได้ เราต้องปฏิบัติเอาเอง
ส่วนใหญ่ทุกท่านทุกคนเป็นคนใจอ่อน ท่านจะใจอ่อนไม่ได้นะ สัมมาสมาธิความตั้งใจมั่นชอบ การปฏิบัติของเราไม่มีการถอนเข้าถอนออก เหมือนเต่าเดี๋ยวโผล่หัวออกเดี๋ยวก็ผลุบไปในกระดอง พระพุทธเจ้าให้เราคิดอย่างนี้ให้เราปฏิบัติอย่างนี้ มีความสุขมากมีความพอใจมากในการประพฤติปฏิบัติ สมัยครั้งพุทธกาลลูกชายบวชได้เป็นพระอรหันต์ แม่ห่วงลูกชายบวชตาม ลูกชายท่านเป็นพระอรหันต์ท่านรู้ว่าแม่ยังห่วง ก็เลยใช้กลอุบายเพื่อให้แม่เกลียดให้แม่ไม่พอใจ เพื่อให้แม่ปล่อยแม่วาง เพื่อให้แม่ไม่หลงรักอีก ภิกษุณีที่เป็นแม่น้อยอกน้อยใจ ว่าลูกเขาไม่รักก็เลยปล่อยเลยวาง ไปประพฤติไปปฏิบัติไปทำความเพียร สุดท้ายก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ที่พูดนี้ก็เพื่อจะให้ท่านทั้งหลายนี้ได้เป็นคติว่าเราต้องตัด อย่าเป็นพระมีครอบครัวในหัวใจ เรามาบวชแล้วเราก็ยังมีครอบครัว ยังห่วงพ่อ ห่วงแม่ ห่วงพี่ ห่วงน้อง ให้ตัดจริงๆ ให้ปล่อยให้วางจริงๆ
เมื่อเรายังไม่หมดกิเลส เรายังไม่สิ้นอาสวะ เราจะช่วยเหลือคนอื่นได้ยังไง แม้แต่ตนเองยังเอาตัวไม่รอด เราไปเมตตาคนอื่น เราไปสงสารคนอื่น ทำให้เราไปนิพพานไม่ได้น่ะ พระพุทธเจ้าท่านให้เราเมตตาตนเอง สงสารตนเอง ตั้งจิตตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ให้เรามีธรรมะ มีคุณธรรม เราเป็นพระทางใจ เป็นพระจริงไม่ใช่พระปลอม เดี๋ยวนี้เราเป็นพระปลอม เป็นพระแต่งตั้งเขาสมมติให้เราเป็นพระเฉยๆ แต่เรายังไม่เป็นพระจริง เมื่อเราเป็นพระจริง เราก็มีคำเทศน์คำบอกคำสอน นี่ถึงว่าเมตตาตนเองจริง
พระพุทธเจ้าท่านให้เราเห็นภัยในวัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิดถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเราไม่เกิดมาปัญหาก็ไม่มี ที่ปัญหามันมีเพราะว่าเราเกิดมา มันจะเกิดได้ต่อไปก็เพราะว่าเราไปทำตามความหลง หลงในตัวในตน หลงในสิ่งภายนอก
เดี๋ยวนี้ทุกคนถือว่ายังหันหลังให้พระพุทธเจ้าอยู่ ถ้ายังไม่ละสังโยชน์ ๓ ถือว่ายังหันหลังให้พระพุทธเจ้า เมื่อรู้ว่ามันดีรู้ว่ามันถูก เราไปมัวลังเสสงสัยอยู่ไม่ได้ ถ้าเรารู้แล้วเราไม่ประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญามันไม่เกิดหรอก เพราะความรู้ที่ดูจากหนังสือ ฟังจากผู้อื่น มันเป็นเพียงความรู้ มันเป็นเพียงปริยัติ ยังไม่ใช่ขั้นปฏิบัติ แล้วปฏิบัติกว่าจะเป็นปฏิเวธได้ก็ไม่เรื่องน้อยๆ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง มันเกิดที่เหตุ เราต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้ถึงพร้อม อนาคตที่จะสดใสจะก้าวหน้าสว่างไสวคือปัจจุบันที่เรากำลังคิดดี พูดดี ทำดี มีศีลที่เรากำลังประพฤติปฏิบัติเนี่ยเป็นที่ตั้ง อนาคตคือฐานของวันนี้ที่จะให้เราก้าวไป เมื่อจิตใจมันตรึกนึกคิดในสิ่งไม่ดี คือจิตใจที่จะนำเราไปสู่ความตกตํ่านะ ปฏิบัติไปก้าวไปข้างหนึ่งแล้วก็ถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่ง มันก็แปลว่าปฏิบัติไม่ไปไม่มา ความไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปของเรานี่มันยังใช้ไม่ได้ กิเลสมันยังมากอยู่ มันยังกล้าคิด กล้าปรุง กล้าแต่ง มันจำเป็นต้องตัด ต้องละ ต้องวาง มันจะไปอ่อนไปแอเหมือนที่ผ่านๆ มาใช้ไม่ได้ ใจของเรานั่นน่ะที่มันคิดไม่ดี ตรึกอะไรไม่ดี คนอื่นเขาไม่รู้เขาไม่เห็น ตัวเรามันรู้มันเห็นนะ มันเป็นความคิดที่ไปห้ามพระนิพพาน มรรคคือข้อปฏิบัติ ท่านต้องเดินไปก้าวไปข้างหน้า รู้ว่ามันผิด รู้ว่ามันคิดก็อย่าไปทำ เจริญสติให้มันถี่เข้า
จิตที่ส่งออกไปข้างนอกคือจิตที่จะนำเราไปเกิดในวัฏสงสาร จิตที่เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา จิตที่รู้จักอารมณ์รู้จักความคิด ตั้งมั่นไว้ให้ดี คนเราคิดมากก็ทุกข์มาก คิดน้อยก็ทุกข์น้อย ฝึกให้จิตใจของเรามันเป็นหนึ่ง ผู้ถือประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ต้องถือจิตใจที่เป็นหนึ่ง
การประพฤติปฏิบัติธรรมเราจะเดินจะเหินจะนั่งจะนอนเราต้องทำจิตใจเป็นหนึ่ง จิตที่เป็นหนึ่งเป็นจิตที่ไม่ปรุงแต่ง จิตที่เป็นมรรคเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ตาเห็นรูป หูฟังเสียงที่มันมาสัมผัส ก็เป็นสักแต่ว่า อย่าให้เป็นสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา ฝึกไว้ปฏิบัติไว้ให้ใจของเราเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา คือ ข้อปฏิบัติคือทางสายเอก ต้องจิตใจเป็นหนึ่ง จิตใจตั้งมั่น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่านี้คือหนทางสายเอกของเรา ให้ทุกท่านทุกคนให้กลับมาหาตนเอง กลับมาแก้ไขตนเอง ชีวิตของเราจะได้เปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี ถึงจะยากถึงจะลำบากก็ช่างหัวมัน ถ้ามันลำบากมันได้ดีนะ ถ้ามันสบายมันไม่มีประโยชน์อะไร เราจะไปสบายมันทำไม พระพุทธเจ้าให้เราพากันปฏิบัติอย่างนี้นะ สำหรับผู้ที่บวชเป็นพระที่จะไปพระนิพพานกัน ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติเอง เราก็คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้มันคงเป็นนิยายมั้ง เขียนมาส่งเดชเฉยๆ มั้ง
ถ้าเรามีการประพฤติปฏิบัติ มันก็เป็นเรื่องง่ายๆ เรื่องใกล้ตัว มันเรื่องของเรา ทุกท่านทุกคนมีศักยภาพมีความสามารถ ที่มันยังขาดอยู่ก็คือการประพฤติปฏิบัติ นั่งสมาธิอย่างนี้ก็ให้ตั้งใจให้เข้าสมาธิให้ได้ ให้มันข้ามนิวรณ์ความง่วงเหงาหาวนอน จิตใจให้ตั้งมั่นสว่างไสว อย่าให้มันหลับในบ่อย มันทำให้จิตไม่มีกำลัง พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาความสุขกับการง่วงเหงาหาวนอน ให้ทำใจเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา การเดินบิณฑบาต การทำอะไรให้มันตั้งใจตั้งมั่นกับทุกๆ ท่าน การทำกิจวัตรต่างๆ เราพากันมาเน้นข้อวัตรปฏิบัติ มาเน้นมรรคผลนิพพานกัน ให้มีความสุขกับการปฏิบัติกันจริงๆ
เราจะหลบทางซ้ายหลบทางขวาหลบหน้าหลบหลังไม่ได้ มันเป็นงานเป็นหน้าที่ของทุกท่านทุกคน ต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผลเพื่อนิพพาน ลาภยศสรรเสริญนี่มันไม่ใช่ของเรา มันไม่ใช่ของสำหรับเรา คนเราจะตีค่าด้วยลาภยศสรรเสริญ ด้วยข้าวของเงินทองมันไม่ได้ เราไม่ได้มามุ่งมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ เป็นพระต้องมุ่งมรรคผลนิพพาน เป็นโยมจะคิดว่ามุ่งมรรคผลนิพพานมันไม่ได้ มันได้นะ เราเป็นโยมเราต้องมุ่งมรรคผลนิพพานเพราะมันไม่ใช่เรื่องของกาย จะบวชหรือไม่บวช ถ้าปฏิบัติตามก็ได้มรรคผลนิพพานกันทั้งนั้น การปฏิบัติมันเหมาะสำหรับพระ เราก็ปฏิบัติเป็นพระได้ พระสมมติก็เป็นพระจริงๆ ได้
เราอยู่บ้านอยู่ที่ทำงานก็ต้องตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เพราะเราหาอยู่หากินตั้งแต่อนุบาลจนถึงตาย สุดท้ายเราก็ไม่ได้อะไร มาตัวเปล่าไปตัวเปล่า ทรัพย์สมบัติภายนอกก็ทิ้งไว้ สุดท้ายท่านก็ได้แขกผู้มีเกียรติมาทอดผ้าบังสุกุลให้ท่าน
ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ ทั้งพระทั้งโยมทั้งอยู่วัดอยู่บ้าน การประพฤติปฏิบัติอย่างนี้เขาเรียกว่าปฏิบัติบูชาไม่ใช่อามิสบูชา ตัวศีลนั่นแหละคือพระพุทธเจ้า ตัวไม่โลภไม่โกรธไม่หลงนั้นแหละคือพระพุทธเจ้า การที่เราทำความเพียรสร้างมรรคสร้างปัญญาคือตัวที่จะทำให้เราเป็นพระ
ทุกท่านทุกคนอย่าถือว่าตัวเองเก่ง อย่าถือว่าตัวเองฉลาดว่าไม่กลัวไฟอยากเล่นกับไฟ ถ้าเราคิดอย่างนั้นเราทำอย่างนั้น ชื่อว่าเรายังประมาทอยู่ มันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับพระใหม่หรือว่าเพื่อนๆ ผู้ประพฤติปฏิบัติ
อย่าไปกดตัวเองข่มตัวเองว่าตัวเองมีบุญน้อย มีวาสนาน้อย ไม่มีบารมี คงจะบำเพ็ญบารมีมาแต่ปางก่อนน้อย ถ้าเราไปคิดอย่างนั้น มันทำให้ตัวเองท้อแท้ถดถอยหมดกำลังใจ อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วมันจะดีมันจะชั่ว เราก็แก้ไขไม่ได้
ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ทำได้ ให้เน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันให้เต็มที่ กิเลสมันเก่งอวิชชามันเก่ง มันเสี้ยมมันสอนเรา ถ้าเราไม่จับหลักให้ได้ดีๆ น่ะ เดินตามพระธรรมพระวินัยอย่างแท้จริง มันสู้กิเลส สู้อวิชชาไม่ได้น่ะ ใจของเรามันเคยชินกับเรื่องเก่าๆ มันชอบจะย้อนกลับไปที่เก่าบ้านเคยกินถิ่นที่อยู่ภพที่พักอาศัย มันอาลัยอาวรณ์
ให้เรารู้จักรู้แจ้งพยายามอย่าไปคิดถึงมัน อย่าไปตรึกถึงมัน ถ้ามันตรึกขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ พระพุทธเจ้าก็ให้เราเห็นโทษเห็นภัย อย่าไปตรึกไปนึกไปคิดกับมันอีก อย่าไปให้อาหารมัน ความตรึกความนึกความคิดมันผุดขึ้นมา เราก็อดไม่ได้ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ อย่างนี้ มันก็สร้างปัญหาให้เราไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบวันสิ้น มันโผล่ขึ้นมาเหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่มันอยากได้ของน่ะ มันขอของพ่อแม่ พ่อแม่ไม่ให้มันก็ชักดิ้นชักงอ มันงอกลิ้งแดดิ้นอยู่ตามพื้นน่ะ พ่อแม่ไม่ฉลาด พ่อแม่ไม่เก่ง พ่อแม่ใจอ่อนก็ให้สิ่งของกับมันตามความต้องการ จิตใจของเราก็เหมือนกัน มันตรึก มันนึก มันคิด มันโผล่ขึ้นเมื่อไหร่ เราก็ไม่อดไม่ทน เราก็ไปปรุงไปแต่งเสริมเติมต่อ ไม่ให้มีที่จบไม่มีสิ้น เมื่อเด็กมันได้ตามต้องการน่ะ วันหลังมันก็ทำอย่างนั้นอีก เมื่อผู้ใหญ่เข้มแข็ง ผู้ใหญ่ไม่ให้ เด็กมันก็ไม่ร้อง เด็กมันก็ไม่นอนกลิ้ง เพราะทำแล้วมันไม่ได้
นักประพฤติปฏิบัติ ต้องมีจิตใจที่หนักแน่นเข้มแข็ง ไม่ตรึก ไม่นึก ไม่คิดในสิ่งที่เป็นบาปเป็นอกุศล พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ตอนที่ท่านจะตรัสรู้ ความตรึก ความนึก ความคิดอย่างนี้นะ ข้ารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าจะมาทำบ้านทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป หมายถึงวัฏสงสารที่มันจะเกิดในจิตในใจของเรา ให้เรารู้มัน ให้เราตัดมัน ให้เราหยุดมัน ความเอร็ดอร่อย ความยินดีต่างๆ นะให้เราหยุดมัน พระพุทธเจ้าพาเราประพฤติปฏิบัติ พาเราเดินอย่างนี้ พาเราปฏิบัติอย่างนี้ ทางอื่นไม่มี เน้นที่จิตที่ใจ เน้นที่ตัวเราโดยเฉพาะ ตัดเรื่องภายนอกออกหมด มาเอาเรื่องภายใน
ถ้าเราจะปฏิบัติอย่างนี้ มันจะไม่เครียดจนเกินไปเหรอ เพราะเราไปจี้มันเกินไป บ้าจี้มันเกิน เคร่งเกินไหม ปฏิบัติธรรมนะมันไม่มีความเครียดหรอก ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งสงบ ยิ่งใจเย็น ยิ่งไม่ฟุ้งซ่าน เพราะธรรมะมันเป็นความสงบ เป็นความเย็น ไม่มีทุกข์ไม่เครียด เป็นการปล่อยเป็นการวาง เปรียบเสมือนเราวิ่งมาจากไหน แล้วเราหยุดวิ่ง เปรียบเสมือนเราแบกของหนัก เราไม่เคยปล่อยเราไม่เคยวาง นี่เราวางเราก็ไม่หนักนะ
เรามาปล่อย เรามาวาง เรามาสงบ เราเอาใจมาเข้าถึงนิพพาน เรามาเข้าทางพระนิพพาน มันไม่เครียด มันไม่วุ่นวายเหมือนที่คิดเอา เรามาหยุดความเครียด เรามาหยุดความวุ่นวาย เพราะการเกิดทางร่างกายมันตั้งหลายสิบปีมันถึงตาย แต่การเกิดทางจิตใจวันหนึ่งตั้งหลายหน เกิดแล้วก็ตายๆ มันเผาเราตลอด นักปฏิบัตินะ ถ้าเราเดินตามรอยของพระพุทธเจ้าแล้ว เราไม่ต้องกลัวเราทุกข์ ไม่ต้องกลัวเรายาก ไม่ต้องกลัวเราลำบาก ไม่ต้องกลัวเราเครียด เพราะเราทำเพื่อหยุด เราทำเพื่อเย็น เราทำเพื่อปล่อย เราทำเพื่อวาง เราทำเพื่อไม่มีตัว เราทำเพื่อไม่มีตน เราทำเพื่อไม่เอา เพื่อไม่มี เพื่อไม่เป็น
สิ่งที่มันมีปัญหาเพราะเราเอา เพราะเรามี เพราะเราเป็น เพราะมันได้ เพราะมันเสีย อวิชชาคือกิเลส มันเลยเผาเรา ขอให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจว่าการปฏิบัติที่ถูกต้องมันจะไม่มีความเครียด การทำความเพียรทางด้านจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าให้เราประพฤติให้เราปฏิบัติอย่างนี้ เน้นปฏิปทาให้สม่ำเสมอ
สมํ่าเสมอคือไม่ได้เดิน นั่ง นอน อย่างละเท่ากัน ไม่ใช่อย่างนั้น คือเน้นที่จิตใจนะ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีพระนิพพานในหัวใจ อย่าได้มีเรา อย่าได้มีตัว อย่าได้มีตน อย่าได้มีหญิง อย่าได้มีชาย ให้มีแต่สักแต่ว่ามันเกิดขึ้น มันตั้งอยู่ มันดับไป บางอันก็ดับเร็ว บางอันก็ดับช้า มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป
เพราะทุกอย่างมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนะ ให้ใจของเราเป็นหนึ่ง ให้ใจของเราเป็นเอกัคคตารมณ์ ให้ใจของเราเป็นวิมุตติ ให้ใจของเรามันหลุดมันพ้น ให้ปฏิบัติของเรา ให้มีความเพียรของเราไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ ปฏิปทาอย่างนี้นะ ทำไปทุกๆ วัน จนกว่าเราจะไม่มีเรานะ การประพฤติการปฏิบัติธรรม ถ้าเราทำไปทุกๆ วัน มันก็ยิ่งสบาย มันยิ่งหมดปัญหา ธรรมะมันเป็นเรื่องธรรมดานะ อย่าขี้เกียจ อย่ามีข้ออ้าง ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้านมันไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีเหตุผลที่จะมาห้าม มันเหนือเหตุเหนือผลที่จะมาอ้าง มันไม่ใช่เรื่องมรรคผลนิพพาน
การประพฤติปฏิบัติมันต้องเหนือเหตุเหนือผลที่เอาออกมาโต้แย้ง ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่ออยากใหญ่อยากดัง การกระทำของเราอย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง ถ้าเรามาอยากใหญ่อยากดัง อยากจะมีชื่อเสียง เพื่อให้เขาสรรเสริญเยินยอ เพื่ออารมณ์สวรรค์หรือเพื่อการกระทำในสิ่งที่หยาบๆ ในสิ่งที่ต่ำทราม ก็ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันไม่เป็นความเจริญ มันเป็นความเสื่อม มันเป็นความเครียดนะ
เพราะว่าเป็นการคอยรับรางวัลจากคนอื่น มันคอยให้คนอื่นแต่งตั้ง เมื่อเขาว่าดีมันก็พอง เมื่อเขาว่าไม่ดีมันก็ยุบ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้อง มุ่งมนุษย์สมบัติ มุ่งสวรรค์สมบัติ ที่มันมีความเครียด มีได้มีเสีย มีเจริญมีเสื่อม แต่ถ้าเรามุ่งพระนิพพานเพื่อปล่อย เพื่อวาง มันจะมีความเครียดไปได้อย่างไร มันไม่มีเหตุไม่มีผลจะทำให้มันเครียด ยิ่งทำไป ยิ่งสงบ ยิ่งเย็น ยังไม่ตายมันก็ได้รับความสุข
เหมือนพระอรหันต์รูปหนึ่งตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ท่านได้บรรลุธรรม ท่านมีความสุข ท่านเดินไปท่านก็พูดออกมาว่าสุขหนอๆ นักประพฤติปฏิบัติมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ จะเอาเงินเอาทองเอาลาภยศสรรเสริญมาตีค่าตีราคากับพระนิพพาน มันเทียบกันไม่ได้น่ะ เหมือนครูบาอาจารย์ที่ท่านมีหัวใจเป็นพระนิพพาน มันจะไม่ยินดีในเรื่องโลกๆ มีโบสถ์ก็ใหญ่ๆ มีอะไรมันใหญ่ๆ สวยๆ งามๆ เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องพระศาสนา มันไม่ใช่เรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเมตตาสร้างบารมีมาตั้งหลายอสงไขยมาโปรดเรามาสอนเรา พระพุทธเจ้าท่านไม่ยินดีกับการกระทำของเรา ที่เราพากันมามีมาเป็นแล้วก็พากันมาหลงนะ ถ้าท่านพูดท่านคงพูดว่าน่าสลดสังเวชจังเลย ที่พวกนี้พากันมาหลงอยู่นี่ เราอุตส่าห์พร่ำสอนเสียสละแต่พากันมาหันหลังให้พระพุทธเจ้า มันเป็นเรื่องสลดสังเวชน่าหดหู่ พระพุทธศาสนามันจะเสื่อมจะหมดไป ถ้าเราไม่ทำตามพระพุทธเจ้า นี่มันต้องหมดไปมันต้องเสื่อมไปจริงๆ นะ เพราะพระผู้บวชเก่ามีความเห็นผิด มีการกระทำผิด พากุลบุตรลูกหลานปฏิบัติไม่ถูกต้อง มาแข่งกันไปในทางที่ไม่ถูก ไม่ได้แข่งกันในการรักษาศีลในการทำสมาธิ ไม่ได้แข่งกันในการทำความเพียร
ที่มันเสื่อมก็เน้นไปที่ประธานสงฆ์เจ้าอาวาสอุปัชฌายาจารย์นี้สำคัญ ถ้าครูบาอาจารย์พาประพฤติปฏิบัติเข้มข้นเคร่งครัด พระเณรมันเกเรอยู่ไม่ได้หรอก มันต้องปฏิบัติ ประธานสงฆ์ก็ดี เจ้าอาวาสก็ดีหรือผู้บวชมาหลายพรรษาก็ดี มันต้องเสียสละให้มากกว่านี้นะ เพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่อเป็นแบบอย่าง เพราะการพูดให้ฟัง การเทศน์ให้ฟังหลายร้อยหลายพันครั้ง ก็ไม่สู้การประพฤติปฏิบัติให้ดู คนดูมันอยู่ด้วยกันหลายวัน มันก็รู้กันว่าใครเป็นอย่างนู้นใครเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องอวดไม่ต้องคุยมันก็รู้
เราอย่าอยากเป็นคนมีบารมี มีลูกศิษย์ลูกหาเดินตามข้างหลังเป็นขบวนนะ ถ้ามีลูกศิษย์ลูกหาเต็มขบวน แล้วในจิตใจของท่านนั้นเป็นยังไง มันปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลงรึยัง ท่านทำไปเพื่อต้องการอะไร ยังไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี ลูกศิษย์ลูกหาของท่านก็รู้เองว่าท่านไม่มีอะไร ท่านเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาด พูดได้ดีพูดได้เพราะท่านเป็นคนเรียนมาก เป็นพหูสูต ท่านน่าจะเอาความรู้เอาความสามารถมาประพฤติปฏิบัติตนตามพระพุทธเจ้าจริงๆ เดินตามรอยพระพุทธเจ้าจริงๆ มันถึงจะมีประโยชน์ มันถึงจะเกิดประโยชน์ยั่งยืนและถาวร
ที่ท่านปฏิบัติงานไปท่านเครียด เพราะใจของท่านมันไม่มีนิพพาน มีแต่โลกธรรม หัวใจมันมีแต่ความเจ็บความช้ำ มันมีแต่รอยบาดรอยแผล พระพุทธเจ้าให้ท่านสลัดโลกธรรมออกจากใจ ก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะได้ตรัสรู้ นายโสตถิยพราหมณ์ เอาหญ้าแฝก ๘ กำมาถวายพระพุทธเจ้าเพื่อให้นั่งบัลลังก์ขัดสมาธิ ความหมายก็คือพระพุทธเจ้านั่งทับโลกธรรม ไม่ให้โลกธรรมมามาเหยียบย่ำหัวใจ สิ่งที่แล้วก็แล้วมา สิ่งที่แล้วไปก็แล้วไป พระพุทธเจ้าให้เราเอาใหม่ตั้งใจใหม่ อย่าไปทำอย่างเก่านะ
ความเครียด ความเศร้าหมองมันจะได้หายออกจากไป ไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี มันก็หายจากไปได้ พระพุทธเจ้าให้เรากลับใจกลับตัว สิ่งที่ผ่านๆ มามันถือเป็นบทเรียน เป็นประสบการณ์ทำให้เราเห็นทุกข์เห็นภัยเห็นโทษ ว่าการปฏิบัติของเรามันผิด มันเครียด มันเศร้าหมอง ทำให้คนมีปัญญากลายเป็นคนไม่มีปัญญา ถ้าเราไม่เห็นทุกข์ ถ้าเราไม่เจ็บไม่ช้ำ มันก็ไม่จำ คนเรานะกว่าจะรู้ มันเป็นประสาทไปตั้งหลายครั้ง บางทีขนาดเป็นประสาทไปตั้งหลายครั้ง มันยังไม่จำมันยังไม่เห็น
พระพุทธเจ้าให้เราทุกท่านทุกคนให้พากันเห็นทุกข์เห็นภัยในวัฏสงสาร ให้เห็นเหตุแห่งทุกข์ ให้เห็นความดับทุกข์ ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้ปฏิบัติให้เราได้ นอกจากเราปฏิบัติเอาเอง เป็นอันว่าเราเป็นผู้มีบุญมีวาสนามีบารมีเป็นคนโชคดี ที่ได้ปฏิบัติตามรอยบาทขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ให้แสงสว่างให้ความดับทุกข์ดับโศกของมหาชนทั้งหลาย ท่านเป็นผู้ที่มีเมตตาอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้น้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนไปเป็นแนวทางปฏิบัติด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ…