แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้เข้าใจเรื่องกรรมและกฎแห่งกรรม เราต้องรู้กรรม รู้กฎแห่งกรรม รู้กระบวนการแห่งการเวียนว่ายตายเกิด รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงการดับทุกข์ ทุกท่านทุกคนจะได้แก้ปัญหาเรื่องทุกข์ให้ถูกต้อง ที่เราพากันเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้ตัวเองว่ามาจากไหนแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เรามาจากอวิชามาจากความหลง เราจึงต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอย่างนี้ เรามาหลง หลงในรสในชาติ ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ท่านผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ พวกเราทุกคนรับจ้างมาเกิดโดยไม่มีเจตนา
พระพุทธเจ้าให้เราพากันรู้จัก เราจะได้ตัดกรรมเก่า กรรมเก่ามันเป็น DNA ของทุกๆ คนนะ กรรมเก่าเราต้องรู้จัก การที่จะตัดได้ ก็ต้องอาศัยความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้อง โดยอาศัยยานพาหนะของพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบุญบารมีตั้งหลายล้านชาติ เป็นยานสำเร็จรูปที่สมบูรณ์แบบทั้งอรรถะและพยัญชนะ เราจะได้รู้อย่างชัดเจน อย่างไก่นี่เขาไข่ออกมา เขาจะฟักไข่ออกมา กว่าจะเป็นตัวก็ต้องอาศัยเวลาประมาณ 3 อาทิตย์ที่ไม่ออกจากรังไปหากิน ถ้าออกไปหลายชั่วโมงไข่ก็จะเน่าทั้งรัง
ถ้าออกไปมากน้อยก็ขึ้นอยู่ที่เรา การปฏิบัติธรรมถึงแตกต่างกัน ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน บางคนก็ 7 ชาติกว่าจะไปได้ บางคน 6 ชาติ บางคน 2-3 ชาติ บางคนชาติเดียว มันอยู่ที่กรรมของเราที่เรารู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ไม่หลงในความเพลิดเพลิน ไม่ประมาท การที่เราจะตัดกรรม อย่างเรามาบวชก็เรียกว่า “มรรค” เรามาตัดกาม “กรรม” กับ “กาม” มันก็อันเดียวกันนะ
เราดูแล้วเนี่ย ผู้ที่บวชอยู่ว่าวัดบ้านหน่ะ ตัดกามทางกาย แต่ว่ากามทางตา กามทางหู ยังมี เช่น พระวัดบ้านต่างๆ มีโทรทัศน์ทุกๆ วัดเลย ทั้งวัดในชนบท วัดในเมืองในกรุงเนี่ย ก็ชื่อว่ายังมีกรรมมีกามอยู่ มันก็ยังอยู่กับไวรัส มันก็ต้องเป็นโควิด ก็ยากที่จะเหือดแห้ง ยากที่จะรอดพ้นจากไวรัสได้ เพราะว่าท่านไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ เป็นเพราะว่าผู้หลักผู้ใหญ่นี่ใจอ่อนนะ ไม่ยอมแก้ไขตัวเอง บางทีโทรทัศน์ก็ไม่จำเป็นสำหรับพระเลย จะอ้างว่าเพื่อติดตามข่าวสาร มันก็คือข้ออ้างของกิเลส อย่างคอมพิวเตอร์มันก็อาจจะจำเป็นในการเก็บเอกสาร อะไรต่างๆ อันนี้ก็เป็นส่วนบุคคล ถ้าถึงขั้นมีโทรทัศน์เขาเรียกว่า ส่วนรวมก็จะพังพินาศเลยนะ
ท่านต้องรู้จักกรรมรู้จักเวรนะ ถ้างั้นเราจะเป็นนักปกครองเพียงแต่พากันเดินเอกสาร ทั้งเจ้าอาวาส ทั้งเจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัด ความเสื่อมอยู่ที่เราไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ อย่างวัดบ้านนะมีพื้นที่ไม่กี่ไร่ แต่มันก็ยังเป็นวัดสกปรก เพราะพากันจมอยู่กับเรื่องของโทรทัศน์ โทรศัพท์ จมอยู่กับเรื่องเงินเรื่องสตางค์หน่ะ ไปตามใจตัวเอง ไม่ได้เข้าถึงพระศาสนา พระศาสนาคือละซึ่งตัวซึ่งตน มีแต่พระธรรมพระวินัย จริงๆ วัดหนึ่งก็น่าจะสะอาดเป็นตัวอย่างแบบอย่างของประชาชนนะ นี่ก็แสดงว่าเราเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองนะ เราแก้ไขแต่ภูมิแพ้ภายนอก ภูมิแพ้ภายในคือจิตใจของเรา นี่คือกรรมคือเวรนะ เราจะไปสอนแต่กฎแห่งกรรมเพื่อให้เขาถวายทานนี่ก็ไม่ได้นะ เพราะว่าต้องเข้าใจนะ นี้เป็นสิ่งที่สำคัญ สำนักไหนจะเสื่อม ที่สำนักเรียนจะเสื่อม ถ้าให้โทรทัศน์เข้าไปนะ ย่อมเสื่อมแน่นอน สำนักไหนที่บาลีเขาจะสอบได้เยอะ เขาไม่ให้มีโทรทัศน์ ไม่มีทางโลกทางสามัญนะ เพราะอันนั้นมันทำไปเพื่อกาม มันเป็นการอัพเกรดของคนจนให้เป็นคนรวยเฉยๆ นะ เรื่องนี้น่ะ ต้องพากันมาเข้าใจนะ
อันนี้ไม่ได้ว่าให้พระนะ เพราะพระนั้นคือพระธรรมพระวินัย พูดให้เข้าใจให้เห็นนะ พระวัดป่าเสื่อมเพราะอะไร วัดป่าเสื่อมเมื่อกว่า 30-40 ปีก่อนนะ เมื่อก่อนก็ไม่มีนะโทรทัศน์ในวัดป่า ที่เสื่อมเพราะหนังสือพิมพ์ บางทีเขาไม่เข้าใจ เอาหนังสือพิมพ์ใส่บาตตรพระวัดป่านะ แล้วก็เกิดมีเทป ธรรมะ วิทยุ พระกรรมฐานก็มีวิทยุมีเทปธรรมะ วิทยุก็เปิดได้หลายช่องนะ พระกรรมฐานก็ศึกษาหาความรู้ บางทีครูบาอาจารย์วัดของตัวเองก็ได้ความรู้ ก็อยากได้ความรู้จากอาจารย์ดีๆ จากวัดอื่นบ้างอย่างนี้นะ แล้วในวิทยุก็มีทั้งเพลงทั้งหมอลำอะไรต่างๆ อย่างนี้นะ พระคุณเจ้า พระคุณเณร ก็มีกัน ก็เอามาใส่หู กวาดไปก็ยิ้มไป แต่ที่ไหนได้ มีแต่เพลงมีแต่หมอลำเพลิน อย่างนี้นะ มันเริ่มเสื่อม
เพราะเรามีกรรมเก่าที่เรารับจ้างมาเกิดมันก็หนักอยู่แล้วนะ แล้วเราก็ยังไม่รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์อีกนะ ทีนี้แหละ ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานไม่อยากให้พระไปคลุกคลีกับพระที่ไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติ เพราะมันจะไปติดโควิด โควิดก็คือสิ่งที่ไม่ดีนะ ให้เข้าใจอย่างนี้ เราต้องรู้จักกรรมนะ ถ้าใจอ่อนมันไม่ได้ ต้องใจเข้มแข็ง เพราะเราบวชมาเพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อหยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัยอย่างนี้นะ เราก็เข้าหาพระพุทธเจ้า เข้าหาพระพุทธเจ้าคือ เข้าหาธรรมะ เข้าหาพระวินัย เพราะธรรมวินัยนั้นคือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่นิติบุคล เป็นธรรมะ เป็นสภาวะที่ตัดกรรม เรามาบวช ไม่มี sex ทางร่างกาย จะมามี Sex ทางจิตใจที่เราต้องรู้จัก เราจะได้แก้ที่ตัวเอง ให้มันรู้ตัวเองมากขึ้นชัดเจนขึ้น หายใจเข้าก็รู้ชัดเจนหายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกก็สบาย หายใจเข้าสั้นหายใจออกสั้น ให้มันรู้ชัดเจนในปัจจุบันนะ เราจะได้พากันตัดกรรมตัดเวร พระธรรมวินัยนั้นเป็นยานที่พาเราออกจากวัฏสงสาร เราต้องพากันรู้จักกรรม ส่วนใหญ่แล้วมันก็จะไหลไปหากัน
เราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ในชีวิตประจำวันของเรา เราถึงจะเข้าถึงสภาวะธรรม ตอนนี้เราก็เข้าแต่สภาวะอวิชชา สภาวะความหลงอย่างนี้นะ คิดซะใหญ่โตมโหฬาร ถามครูบาอาจารย์เรื่องจิตเรื่องใจเรื่องสภาวะธรรม แต่สิ่งภายนอกยังทำไม่ได้ มันจะไปสอนใคร ตัวเองก็ยังสอนตัวเองไม่ได้ งานหลักของเราคืองานเสียสละ ถ้าเรายังเสียสละไม่ได้ เราก็เป็นคนท้องผูกหน่ะ ถ้าพูดสั้นๆ ก็ทั้งกายทั้งจิตใจ เราก็เป็นคนยึดมั่นถือมั่น เราก็เป็นคนมีสักกายะทิฏฐิ มันเอาตัวตนเป็นใหญ่ตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไม่ใช่ศาสนา มันเป็นนิติบุคคลอยู่
มาบวชเราก็อยากมีหน้ามีตาอยากมีสตางค์ อยากถูกหวยอะไรอย่างนี้ ใจของเราก็มี sex มีอะไร มันไม่ได้ ไม่ใช่ๆๆ ต้องพากันเข้าใจ พระใหม่รุ่นใหม่หรือว่าพระเก่า พวกนี้ก็ถือว่าต้องพากันแก้ไขนะ พอรุ่นเสื่อม พระเก่าก็ต้องพากันมารีไซเคิลใหม่นะ เพราะว่ามันไม่ได้เป็นเถระ มันเป็นอวิชชาเถระ เราต้องรู้จักนะ สังเกตดูมันจะไหลเข้าหากันนะ เพราะแรงดูงดูดของพลังจักรวาล จักรวาลที่เป็นตัวเป็นตน มันรุนแรง ทำไมมันดึง วึ้บ!! ไปเลย
เราต้องตั้งใจนะ เพราะเราเป็นคนโชคดี เกิดมาทำไมมันโชคดีอย่างนี้ ก็เราเป็นมนุษย์มาแก้ไขมาประพฤติมาปฏิบัตินะ พวกความขี้เกียจขี้คร้าน พวกตี๋เล็กหม๋วยเล็ก นี้ก็ต้องจัดการ ก็ต้องพากันภาวนา พากันปฏิบัติ พากันแก้ให้เต็มที่ไปเลย เอาพระพุทธเจ้าให้เป็นมาตรฐานนะ พระพุทธเจ้าก็คือพระธรรมพระวินัย ปรับใจปรับอะไร อย่าปล่อยให้มันล่องลอยไปอย่างนี้นะ เขาเรียกว่าอย่าให้มันได้นับ ให้มันได้หามเลย
ส่วนใหญ่น่ะ เราไม่ค่อยรู้จักทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านถึงทรงมีเมตตาบัญญัติศีลให้เรา บัญญัติพระวินัยให้เรา
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ และถือว่าเป็นสิ่งที่มาตรฐาน เราไม่ต้องไปคิดอะไรเลยก็ได้นะ เพียงแต่เรามาประพฤติปฏิบัติตาม ท่านเรียกว่า... ตั้งอยู่ในศรัทธา ศรัทธาในพระพุทธเจ้า เชื่อใจมั่นใจ ในพระพุทธเจ้า เพราะ ธรรมะมันเป็นสิ่งที่สำเร็จรูปอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่มาตรฐานอยู่แล้ว ถ้าใครปฏิบัติตาม ผู้นั้นก็ต้องเข้าถึงความ ดับทุกข์ที่แท้จริงได้
การรักษาศีล การปฏิบัติธรรมนี้ มันฝืนจิตฝืนใจของตัวเรา มีแต่สิ่งที่เราไม่ชอบ มีแต่สิ่งที่เราไม่ต้องการทั้งนั้น เป็นสิ่งที่จะต้องทวนกระแส
คนเรานี้ คิดว่าทำตามใจตัวเองมันจะมีความสุข การทำตามใจตัวเอง คือ กำลังสร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง กำลังสร้างปัญหาให้กับตัวเอง ที่จะดับทุกข์ได้ ที่จะแก้ปัญหาได้ คือ เราปฏิบัติตามศีล
การรักษาศีล จึงเป็นรากฐานเป็นบาทฐานที่ประเสริฐ ให้มนุษย์ทุกคนได้สร้างความดี ได้สร้างบารมี สมกับการเกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อเรารักษาศีลแล้ว ในพระบาลีว่า "เราจะเป็นคนมีโภคทรัพย์ด้วยการรักษาศีล"
เรามันคนปัญญาน้อยคิดไม่ออก รักษาศีลทำไม มันถึงจะรวย ทำไมมันถึงมีโภคทรัพย์? "รวยสิ! มีโภคทรัพย์สิ!" ผู้รักษาศีลย่อมเป็นผู้เสียสละ ย่อมเป็นผู้ละความเห็นแก่ตัว เสียสละอะไร... ประการแรก เสียสละตัวตนเสียสละความขี้เกียจขี้คร้าน
คนเราที่มันจนที่มันไม่มีบารมี เพราะเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ติดสุขติดสบาย ความสุขนี้ มันเป็นก็สิ่งเสพติดอย่างหนึ่ง ความสุขนี้ เป็นสิ่งที่ดี 'สุขกาย' ก็เป็นสิ่งที่ดี 'สุขใจ' ก็เป็นสิ่งที่ดี พระพุทธเจ้าท่านเมตตาบอกเราว่า มันเป็นสิ่งเสพติด
ให้ทุกท่านทุกคนฉลาด ให้ทุกคนมีสติ มีปัญญา 'เหยื่อ' เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องบริโภค แต่ไม่ควรที่จะ 'ติดเบ็ด' คนเรามันติดนะ มันไม่ก้าวไปข้างหน้าถึงว่า 'ติด' ความสุขนี้ ท่านถือว่าเป็นคุณ ถ้าเราติด มันก็กลายเป็นโทษ มันเป็นโลกธรรมที่คอยครอบงำ จิตใจของเราอยู่ตลอดเวลา
เราคิดว่าความสุขของเราน่ะ คือความสุขแค่นี้ก็เพียงพอ แต่ที่จริงแล้วความสุขของเราทุกๆ คนนั้น มันอยู่ที่ "หมดกิเลสสิ้นอาสวะ"
นี่มันเป็นความสุขความดับทุกข์นิดหน่อย เพราะคนเรามันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น... ทุกข์ตั้งอยู่....ทุกข์ดับไป... ความสุขที่เราได้รับจากปัจจัยทั้งสี่ เป็นความสุขนิด
เราทำอะไรเราก็ไม่ก้าวหน้า ให้เรียนหนังสือมันก็ไม่ก้าวหน้า เพราะว่ามันติดสุขติดขี้เกียจ ทำการทำงานอะไรมันก็ไม่ก้าวหน้า เพราะว่ามันติดสุขติดขี้เกียจหน่อยเอง
มาบวช มาประพฤติปฏิบัติธรรมมันก็ไม่ก้าวหน้า เพราะว่ามันติดสุข ติดขี้เกียจขี้คร้าน มันเป็นสังโยชน์ ข้อใหญ่ มันเป็นอวิชชา คือความหลงตัวใหญ่ๆ แทนที่ชีวิตของเรามันจะก้าวหน้าจะประเสริฐ สมกับที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์...มันก็ทำไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเชื่อใจ ตัวเองนะ เพราะตัวเองนี้...มันเชื่อใจตัวเองไม่ได้ เพราะเราเป็นคนหลงอยู่ หลงอย่างมากๆ เลย การประพฤติปฏิบัติ ถึงเป็นการเดินตามทางสายกลาง
เอาศีลเป็นที่ตั้ง เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง ขยันเราก็ต้องทำ ไม่ขยันเราก็ยิ่งทำ มันจะทุกข์กายก็ช่างมัน มันจะทุกข์ใจก็ช่างมัน เพราะใจของเรานี้มันยังไม่ได้เรื่อง มันยังไม่เป็นธรรมเป็นวินัย
การสร้างความดี สร้างบารมี มันต้องขัดใจตัวเอง ตลอดนะ เห็นคุณเห็นประโยชน์มากๆ ในการประพฤติปฏิบัติของตน คนเรามันต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองนะ ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง มันก็เหมือนเก่านั่นแหละ...
ทุกข์ขณะนี้มันยังไม่เกิด มันอีกหลายปีข้างหน้าโน้น...มันจะเกิด ความดับทุกข์ขณะนี้มันมองยังไม่เห็นชัดเจน อีกหลายปีข้างหน้ามันจะมองเห็นชัดเจน
การเดินทางตามพระพุทธเจ้านี้ ถึงจัดว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ถือว่าเป็นการทำงานที่ถูกจุดถูกประเด็น ไม่เสียเวลานะ ถึงได้ชื่อว่า เป็นผู้ชนะมาร หรือว่าเป็นผู้พิชิตมาร ที่เราไปทำบุญอะไรต่างๆ น่ะ ถ้าเราทำดี พระจะสวด 'ชยันโต' ให้เรา ให้เราเป็น 'ผู้ชนะ'
อนาคตของเราทุกๆ คนที่อยู่ในที่นี่ หรือว่าอยู่ในที่อื่น ถ้าเราปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ชีวิตของผู้นั้นย่อมเจริญแน่นอน ต้องเป็นมงคลแน่นอน
พระพุทธเจ้าท่านทรงเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอน ด้วยความเมตตา ความกรุณา ด้วยปัญญา เพื่อหวังว่า ทุกๆ คนน่ะ...จะได้ออกจากทุกข์ ออกจากวัฏฏสงสาร คนเรามันทุกข์นะ ทุกข์ทางร่างกาย มันทุกข์ใน การประกอบอาชีพ มันทุกข์ในสิ่งที่พลัดพรากจากของรักของชอบใจ มันมีทุกข์อย่างนี้แหละตลอดไป
การเกิดมามันเป็นทุกข์ ทุกคราวร่ำไป ถ้าเราไม่เกิดมาปัญหาต่างๆ มันก็ไม่มี เราก็ไม่ต้องมาเป็นทุกข์อย่างนี้ การที่จะไม่เกิดมาไม่เป็นทุกข์อย่างนี้ ก็ต้องมาเดินตามพระพุทธเจ้า เอาศีลเป็นที่ตั้ง เอาธรรมเป็นที่ตั้ง ถึงจะตายก็ยอม เพราะเราได้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ตายเพราะความดี ตายเพราะเราได้เสียสละ ให้มันตายไปเถอะ!
เขาเรียกว่า เป็นผู้ที่สง่างาม งามในเบื้องต้น ก็คือ มีศีล ที่สวยสดงดงาม ไม่มีขาดตกบกพร่อง ไม่มีด่างพร้อย
งามในท่ามกลาง ก็คือ สมาธิ ได้แก่ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มีความตั้งมั่น มีสัมมาสมาธิ เดินไปข้างหน้าไม่แวะซ้ายขวา...ไม่หยุด
งามในที่สุดน่ะ ได้แก่ จิตใจที่ใคร่ครวญด้วยดีให้ถูกต้อง ว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างน่ะ มันจำเป็นจะต้องตัด จะต้องละ จะต้องวาง เพราะจะทำตามใจตัวเองไม่ได้ จะทำตามความต้องการไม่ได้นะ ถ้าทำแล้วมันก็ต้องมีความเกิด เมื่อมีความเกิด สิ่งต่างๆ ก็ตามมา "มีปัญญาใคร่ครวญอย่างละเอียดนะ"
ชื่อว่า "ความปรุงแต่ง" ไม่สามารถที่จะมาปรุงแต่งจิตใจของตัวเองได้
ปกติแล้ว รูป มันก็เป็นของบริสุทธิ์น่ะ เพราะ 'ใจ' ของเรามันมีปัญหา 'รูป' มันถึงมีปัญหา เวทนา มันก็เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ เมื่อ 'ใจ' ของเรา มันมีปัญหา 'เวทนา' มันถึงมีปัญหา สังขาร ความปรุงแต่งน่ะ เมื่อคนไม่ตายมันก็คิด โน่นคิดนี่ เมื่อ 'ใจ' ของเรามันมีปัญหา 'สังขาร' มันก็มีปัญหา ใจ คือ ตัวผู้รู้ นี้มันก็เป็นของบริสุทธิ์ เมื่อใจของเราไม่มีปัญหาแล้ว ทุกอย่างมันก็ไม่มีปัญหา
พระพุทธเจ้าท่านให้เราคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้กับธรรมชาติ เพราะความปรุงแต่งนี้ มันเป็นทุกข์อย่างยิ่งเป็นทุกข์หลาย เป็นทุกข์มากๆ
สัมมาสมาธินี้เป็นตัวสำคัญนะ เพราะสัมมาสมาธินี้เป็นตัวที่หยุดตัวเอง เป็นความสุขหล่อเลี้ยงจิตใจของตัวเอง การทำความดีนี้ การสร้างบารมีนี้ มันต้องอาศัยสัมมาสมาธิ คือ ความตั้งใจมั่นชอบ
คนเรานี้มันเข้าใจนะ มันมีความเห็นถูกต้องนะ แต่ 'สมาธิ' มันตั้งไว้ได้ไม่นาน มันขยันเป็นบางครั้งบางคราวน่ะ ขยันเหมือนสายฟ้าแลบ ฟ้ามันแลบ... มันก็หายไปน่ะ สัมมาสมาธิ ก็คือความกระจ่างแจ้ง สว่างตลอดอย่างนี้ ตั้งมั่นตลอดอย่างนี้ "เขาฟักไข่ ให้ไก่มันออกลูกน่ะ มันต้องฟักด้วยอุณหภูมิที่พอดี แล้วก็ ๓ อาทิตย์ ไข่มันถึงจะออกลูก" การทำความเพียรของเรา การปฏิบัติของเราก็อย่างนั้น ต้องอาศัยสัมมาสมาธิ คือ ตั้งมั่น อาศัยตัวที่ปราศจาก นิวรณ์ นี้แหละ คือตัวไม่โลภ-โกรธ-หลงนี้แหละ ตั้งมั่นอย่างนี้แหละ ที่มันง่วงเหงาหาวนอนหวอดๆ ขี้เกียจน่ะ แสดงว่าเรามันเริ่มไหวแล้วนะ
คนเก่ง คนหัวดีนี่ ยังสู้คนที่มีความเพียรขยันสม่ำเสมอ... ไม่ได้ กระต่ายถึงแม้มันจะวิ่งเร็ว แต่มันก็แพ้เต่าจนได้ เพราะว่ามันตั้งอยู่ในความประมาท คนหัวดีน่ะ ถ้าตั้งอยู่ในความประมาทนี่ หัวดีมันจะมีประโยชน์อะไร.... เพราะว่าเราตั้งอยู่ในความประมาก ยิ่งรู้มากก็ยิ่งยากนาน เพราะว่ามันประมาท พระพุทธเจ้าท่านไม่มีความประมาท ท่านถึงได้เป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านไม่มีความประมาท ท่านถึงได้เป็นพระอรหันต์
ถ้าศีลเราด่างพร้อยอย่างนี้ แสดงว่าเราติดสุขติดสบายแล้ว เราตั้งอยู่ในความประมาทแล้ว สมาธิเราอ่อนกำลังแล้ว ปัญญาเราชักมืดมัวแล้วนะ ทุกท่านทุกคนอย่าทำร้ายตัวเองด้วยความประมาท ความเพียรเป็นสิ่งที่จะต้องพากเพียร เพราะเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐแล้ว ต้องเอาร่างกายต้องเอาปัจจัยสี่ มาสร้างความดีมาสร้างบารมี คนเรามันอาลัยอาวรณ์นะ มันอาลัยอาวรณ์ในสิ่งที่เราติดอยู่ เรายึดอยู่ มันไม่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านให้เราคิดดีๆ นะ ว่าชีวิตของเรานี่ ทำอย่างไรมันถึงจะมีคุณค่ามีประโยชน์
ถ้าเราไม่ยกระดับจิตขึ้นสู่การประพฤติปฏิบัติมันจะมีประโยชน์ได้อย่างไร เราอยู่เฉยๆ นี้มันจะเจริญได้อย่างไร มันจะรวยได้อย่างไร มันจะมีคุณธรรมได้อย่างไร... "มันไม่ได้!" 'กรรม' มันมีจริงๆ นะ 'เวร' มันมีจริงนะ แต่คนน่ะมองไม่ออก มันจะมารู้ตัวเองก็ตอนที่ว่า... ตัวเองมันเป็นคนทุกข์ คนจน คนยากลำบาก
"การรักษาศีลนั่นน่ะ จะเป็นคนมีโภคทรัพย์" มันก็แน่นอน...เพราะการรักษาศีลนั้น เราทำความดี เราเสียสละ อย่างนี้นะ เราช่วยเหลือตัวเอง ช่วยเหลือคนอื่น เราไม่เอาเปรียบใคร เราไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามกิเลส ทุกคนก็เคารพเรา นับถือเรารักเรา ทำมาหากินอะไรก็สะดวกก็ง่าย เพราะเครดิตเรามันดี เพราะเราเป็นคนมีศีล เป็นคนที่ไว้ใจได้ เป็นบุคคลที่เขาเคารพกราบไหว้นะ
คนมีศีลน่ะ ได้ 'อริยทรัพย์' คือบุญ คือกุศล เราลองคิดดูสิ คนมีศีลกับคนไม่มีศีลไปขายของ ประชาชนเขาจะซื้อของใครมาก....เขาก็ย่อมซื้อของคนที่มีศีลมากกว่า เพราะว่าผู้ที่มีศีลตั้งอยู่ในความเมตตาไม่เอาเปรียบเอารัดเขา ไม่ทำอาชีพบนหลังคนยากคนจน ไม่เอาความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เป็นบุคคลที่คอยช่วยเหลือคนอื่น ถึงเขาจะเอากำไรน้อยอย่างนี้ เขาก็ได้ขายเยอะ มันก็ได้เงินมากกว่าที่ขายแพงๆ น่ะ นั่งหลับอยู่ไม่ค่อยจะมีใครไปซื้อ ยิ่งนานวัน คนขายแพงก็ยิ่งเน่ายิ่งเหม็น คนมีศีลขายถูกก็ยิ่งหอมกระจายไปไกล..เขารวยอย่างถูกต้อง รวยอย่างมีบุญ มีกุศลที่ไม่มีบาปมีกรรมได้ทั้งเงิน ได้ทั้งคุณธรรม
ทุกวันนี้ที่มนุษย์เราอยู่ด้วยกัน มันไม่ค่อยไว้ใจกัน เพราะว่าไม่ลงใจ เพราะหาคนที่มีศีลนี้มันหาลำบาก "หาเพชรนิลจินดาก็ถือว่ามันยังหาง่ายกว่าหาคนที่มีศีลนะ" คนที่ไม่มีศีลน่ะ... มันไม่นึกถึงบาปบุญคุณโทษ ทั้งเบียดเบียนสัตว์ เบียดเบียนมนุษย์ ค้าขายก็ทำอาชีพบนความยากลำบากของคนอื่น ด้าขายมนุษย์ ค้าขายสัตว์เป็น ค้าขายเหล้าบุหรี่ศาตราอาวุธ ทุกวันนี้หนักมากนะ ค้าขายยาเสพติด อาชีพมีแต่บาปๆ ทั้งนั้น "คนไม่มีศีลนี่มันอันตรายเน๊อะ มันอันตรายทั้งตนเองทั้งผู้อื่น"
ชีวิตที่ไม่มีศีล เป็นชีวิตที่ไม่ปลอดภัยนะ เป็นการสร้างกรรมสร้างเวร พระพุทธเจ้าท่านถึงเมตตาทุกๆ คนให้ประกอบอาชีพที่ชอบ คือ ไม่เป็นบาป เป็นกรรม เป็นเวร เพราะชีวิตนี้ก็เกิดมาส่วนใหญ่ ก็ไม่เกินร้อยปีก็ต้องตาย สมควรจะเอาชีวิตมาสร้างความดีสร้างบารมี ไม่ใช่เอามาทำบาปทำกรรมนะ สร้างเวรสร้างกรรม ท่านให้เราคิดว่า เราเกิดมาเราก็ไม่ได้เอาอะไรมาด้วย เมื่อเราลาละสังขาร เราก็ไม่ได้เอาอะไรไปนะ
หลายๆ คนก็คิดไม่ออกนะ...ว่าถ้าเราไม่ผิดศีลเราจะรวยได้อย่างไร? ถ้าเราปฏิบัติตามศีลนั้นจะต้องรวยแน่นอน แต่ทุกคนที่มันทำไม่ได้ ก็เพราะว่าความอยากมันมาก ความต้องการมันมาก จิตใจมันหยาบ มันเลยเป็นคนไม่ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป สะดุ้งต่อบาป บาป มันเป็นสิ่งที่ไม่มอง...ไม่เห็นตัวเห็นตนนะ เขาเลยไม่กลัวบาปกัน แล้วยังคิดไปอีกว่า ไอ้คนที่เขาทำบาปทำกรรม ทำไม่ดี เห็นแต่รวยๆ ทั้งนั้น
'บาปกรรม' พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เหมือนกับสุนัขมันไล่เนื้อ เมื่อมันตามทันเมื่อไหร่สุนัขนั้นก็กัดเนื้อ" ถ้าเราทำความดีมากๆ กรรมมันก็ตามไม่ทัน
กรรม กว่ามันจะให้ผลบางทีมันก็ช้า แต่ภาพรวมๆ แล้วก็....ทุกคนก็ต้องได้รับผลของกรรมไม่ว่าวิธีใด...ก็วิธีหนึ่ง นอกจากผู้นั้นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกรรมนั้นตามไม่ทัน เขาปฏิบัติธรรมเข้าถึงพระนิพพานก่อน
เราดูตัวอย่าง พระโมคคัลลานะเป็นผู้ที่เลิศทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เวลาท่านจะนิพพานต้องถูกโจรห้าร้อยทุบตีจนแตกละเอียด เพราะกรรมเก่าของท่านตั้งแต่อดีต ท่านเคยทำร้ายพ่อแม่ ท่านก็รู้กรรมในอดีตของตัวเอง พยายามที่จะหนีกรรม ท่านก็หายตัว เหาะเหินเดินอากาศหนี สุดท้ายก็ยอมรับกรรม ให้เขาทุบตีจนแหลกละเอียด แล้วท่านจึงได้อาศัยอิทธิปาฏิหาริย์นี้...สมานกาย แล้วไปกราบลาพระพุทธเจ้าเพื่อนิพพาน
คนเราน่ะ ถ้าตั้งใจดีๆ รักษาศีลดีๆ มันไม่จนหรอก คุณค่าของเรานี่...อยู่ที่เราเป็นคนมีศีล คนที่มันได้รับความดีอย่างโน้นอย่างนี้ มันมาจากผลของศีลนะ
'ศีล' นี้แหละ... ช่วยเราตั้งแต่พื้นๆ จนถึง "พระนิพพาน'
ประชาชนคนส่วนใหญ่กลัว 'ศีล' รักษาศีล ๕ ก็กลัว รักษาศีล ๘ ก็กลัว รักษาศีล ๒๒๗ ก็กลัว มันกลัวความดี กลัวตัวเองได้ดี มันก็เป็นสิ่งที่น่าแปลก "เราปฏิบัติธรรมน่ะ ถ้าเราไม่เอาศีลจะได้ไหม เอาเรื่องจิตเรื่องใจ เอาเรื่องวิปัสสนาเลย?" "ไม่ได้" เพราะคนคิดอย่างนี้มันเป็นคนเห็นแก่ตัว มันเป็นคนอยากจะรวยแต่ว่าไม่ทำงาน อยากจะได้บรรลุธรรมแต่ไม่รักษาศีล เพราะศีลเป็นฐานของสมาธิ ถ้าเรามีศีล สมาธิก็ขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ แล้วก็พ่วงไปหาตัวปัญญา ได้ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา
นักปฏิบัติธรรมจะไปทิ้งศีลไม่ได้! เหมือนคนที่เข้าใจว่า การประพฤติปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ทำวัตรสวดมนต์ได้ไหม นั่งสมาธิเลยอะไรอย่างนี้? ความคิดอย่างนี้ มันเป็นความคิดของคนขี้เกียจขี้คร้านนะ คนจะหมดความโลภ ความโกรธ ความหลงมันต้องเป็นคนไม่ขี้เกียจขี้คร้าน มันต้องทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเสียสละ เพื่อละความเห็นแก่ตัว
ความเห็นแก่ตัวของเรานี้ มันมาหลายรูปแบบนะ มาในความฉลาดมีเหตุมีผล ว่าทำอย่างโน้นได้รับผลอย่างนี้ ทำอย่างนี้ได้รับผลอย่างนั้น มันมีเหตุผลนะ
การประพฤติการปฏิบัติธรรมนี้ มันต้องมีเหตุมีผล แล้วก็เหนือเหตุเหนือผลอีก เพราะคนเราถ้ามีเหตุผลเยอะ มันต้องได้ทะเลาะกัน เพราะใครก็มีเหตุผลทั้งนั้น มันไม่ยอมกันหรอก... ใครเรียนมากก็ยิ่งมีเหตุผลมาก หาวิธีมาพูดมาหักล้าง สิ่งที่มันผิดก็ยังเอาเป็นสิ่งที่ถูกให้ได้ อย่างเรื่องกฎหมายอย่างนี้ เอาหลัก-เอาฐาน-เอาพยานมายืนยันกัน บางทีเรื่องมันไม่จริงก็ต้องหาพยานปลอมมาแล้ว
การปฏิบัติธรรมนี่มันไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาโต้แย้ง มันโต้แย้งไม่ได้ เพราะร่างกายถึงคราวมันแก่ มันก็ต้องแก่ไป เราจะไปบอกว่า... "ไม่ได้... ลูกเรายังไม่โต หลานเรายังไม่โต หลานเรามันยังเรียนไม่จบ ฐานะยังไม่มั่นคงอยู่ เราแก่ไม่ได้" ไม่ได้! มันก็ต้องเป็นไปตามนั้น มันไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น "บางทีเราก็ตายกะทันหันนะ ไม่ได้ตั้งท่าเลย"
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรามาแก้ที่จิตที่ใจของเรา ปรับที่จิตที่ใจของเรา พยายามให้จิดให้ใจของเราไม่ไปสู้รบตบดีกับธรรมะวินัยของพระพุทธเจ้า
นี่เราล่ะ...แย่เลย มันเถียงพระพุทธเจ้าฉอดๆๆ ในใจมันต่อรองทั้งวันทั้งคืน อย่างนี้มันถูกต้องไหม... อย่างนี้ไม่ถูกต้อง
ที่คนเขาทะเลาะกัน สามีภรรยาก็ทะเลาะกัน มันไม่ถูกต้อง มันไม่สงบ ที่บ้านเมืองที่สังคม...ที่เขาทะเลาะกันเขารบกัน มันไม่สงบ อันนั้นมันเป็นเรื่องภายนอกนะ
ภายในเรานี่แหละ มันชอบเป็นนักรบ รบแม้แต่พระพุทธเจ้า เถียงพระพุทธเจ้าอยู่นั่นแหละ เราอย่าไปปฏิเสธตัวเองนะ... ว่าตัวเองนี้ไม่ได้เถียงพระพุทธเจ้า เพราะเราเถียงพระพุทธเจ้าตลอดนะ การเถียง 'พระพุทธเจ้า' ก็คือเราไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับความจริงอย่างไร? อย่างเราที่เกิดมาก็ไม่อยากให้มีโรคมีภัยนี่แหละ ความคิดอย่างนี้แหละ เป็นการเถียงพระพุทธเจ้า
เรามันเกิดมาเราทำกรรมทำเวรไว้ มันก็ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องมีโรคต่างๆ นานา เราก็ต้องยอมรับความจริง เราเกิดมาเราเป็นผู้หญิงเราก็ต้องมีความพอใจในการเป็นผู้หญิง เราเกิดมารูปสวย รูปหล่อ ขนาดนี้เราก็พอใจ ถ้าเราไม่พอใจ ก็ชื่อว่า "เราเถียงพระพุทธเจ้า"
เรารวยเรามีเงินมีทองเท่านี้ เราก็ยอมรับเสีย อย่างเราเป็นคนแก่ เราก็ต้องยอมรับความแก่นะ เราเป็นคนพิการ เราก็ต้องยอมรับความเป็นคนพิการของเรา เราอย่าไปต่อต้าน เพราะ... "กัมมุนา วัตตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
ที่เรามีทุกข์ ก็เพราะเราไม่ยอมให้เขาตัดสินคดีของเรา ธรรมชาติมันตัดสินคดีของเราถูกต้องแล้ว เราก็ไม่ยอมรับคำตัดสิน "มันหาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ นะ"
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราเจริญวิปัสสนา พิจารณากายใจให้เห็นแจ้งตามความเป็นจริงของสกลร่างกาย ว่า
"เรามีความแก่, ความเจ็บ, ความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นไปไม่ได้
เรามีความพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเวลา นี่มันจะต้องถือว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่ทุกคนที่จะยอมรับให้จิตใจของเราสงบ
พระพุทธเจ้าท่านให้เราเห็นคุณค่าในการเกิดมาเป็นมนุษย์นะ ได้ประพฤติปฏิบัติ ได้สร้างความดีได้สร้างบารมี เราต้องเป็นผู้ชนะมาร มารที่มันอยู่ในจิตในใจของเรา มีทั้งพญามาร มีทั้งเสนามาร ลูกหลานมาร มันอยู่ในใจของเรา
หวังว่าทุกท่านทุกคนจะได้นำเอาพระธรรมของพระพุทธเจ้าไปคิด ไปพิจารณา น้อมมาประพฤติปฏิบัติ อย่าได้ฟังแล้วก็แล้วไป เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เป็นตาลยอดด้วนไม่ได้! เป็นผู้ที่ตายจากคุณงามความดี เป็นผู้ที่ตายจากคุณธรรม
ถ้าใจของเรามันป่วย ใจของเรามันมีโรค ที่มันเป็นโรคเป็นภัย ก็ให้ใจของเรามันฟื้นหายจากโรคจากภัยนะ เพราะคนเรามันอ้วนตั้งแต่กายนะ แต่ใจมันผอม ใจมันป่วย ต้องเอาศีลนี่แหละ เอาธรรมนี่แหละ เอาข้อวัตรปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติ เราจะได้เข้าถึงความประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์